เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัว
ภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน "เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง" เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว ‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วยการต่อสู้ แต่การหลบหนีคือสิ่งเดียวที่เธอพอจะทำได้ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อเรียกสติ เธอหันหลังวิ่งไปยังห้องมืดด้านข้างของคฤหาสน์ในทันทีที่เขาเผลอไผล แต่ทว่าหวังไห่เถิงกลับดูไม่รีบร้อนที่จะไล่ตามเธอ ราวกับรู้ดีว่าเธอเลือกที่จะหลบซ่อนมากกว่าเผชิญหน้ากับเขา เขาจึงค่อย ๆ ก้าวเดินตามเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นจากด้านในของคฤหาสน์ เสียงของเขาแผ่วเบาจนเธอแทบจะไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวเหล่านั้น ฉินเจินเจินรู้ดีว่าเธอมีเวลาอีกไม่นาน เพราะหวังไห่เถิงรับบทเป็นนักล่าผู้เชี่ยวชาญในการตามล่าคนหลบหนี และเธอก็รู้ว่าในคฤหาสน์หลังนี้มีซอกหลืบมากมายที่อาจช่วยชีวิตเธอได้ เธอผลักบานประตูหนึ่งเข้าไปในห้องหนึ่งที่มืดสลัว เมื่อปรับสายตาจึงรู้ว่าเธอเข้ามาให้ห้องหนังสือเก่า ที่ไม่ได้ใช้งานมาอย่างยาวนาน เธอใช้มือข้างหนึ่งจับขอบโต๊ะไม้สักของห้อง แล้วค่อย ๆ คลานเข้าไปในความมืด จนมาหยุดอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เธอนั่งลงใต้โต๊ะและสังเกตเห็นว่ามีประตูเล็ก ๆ เป็นช่องลับและสามารถจะเป็นที่ซ่อนตัวได้ ในขณะที่ฉินเจินเจินจะก้มตัวลงเพื่อจะเปิดประตูช่องลับนั้น เสียงฝีเท้าของหวังไห่เถิงก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ สายตาของเธอเอาแต่จับจ้องไปยังบานประตูที่เปิดอยู่ด้วยใจลุ้นระทึก "คุณหนีไปไม่พ้นหรอก เจินเจิน..." เสียงของหวังไห่เถิงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็หาเธอเจออย่างแน่นอน มือของฉินเจินเจินสั่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็รีบเปิดช่องใต้โต๊ะออกด้วยความรวดเร็ว แต่ภายในช่องนั้นมืดมาก ทำให้เธอกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นแล้วตัดสินใจเข้าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอคลานเข้าไปในช่องนั้น หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นรัวขึ้นมา การหลบซ่อนอยู่ภายในนี้ไม่ได้หมายความว่าเธอจะปลอดภัย เพราะเธอรู้ดีว่าในคฤหาสน์นี้มีการเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา และหวังไห่เถิงก็ไม่ใช่คนที่ปล่อยให้ใครหนีไปได้ง่าย ๆ หวังไห่เถิงเดินตามเสียงฝีเท้ามาถึงห้องหนังสือเก่าและหยุดอยู่ด้านหน้าประตู ฉินเจินเจินได้ยินเสียงลมหายใจของเขาที่เข้าใกล้มากขึ้นทุกที แม้จะอยู่ในที่มืดและเงียบสงบ แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่แผ่กระจายอยู่รอบ ๆ ตัว "ถ้าคืนนี้คุณหนีผมไปได้ คุณคงโชคดี...แต่ถ้าไม่ หลังจากที่ผมได้ตัวของคุณ คุณจะเหลือแค่ร่างที่ไร้วิญญาณ" หวังไห่เถิงพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป ในขณะที่เขาหันหลังกลับไป เธอก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แต่ไม่ทันจะได้รู้สึกโล่งใจ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็ดังขึ้นจากทางเดินอีกครั้ง ฉินเจินเจินรู้สึกถึงความหวาดกลัวในใจ ดูเหมือนว่าหวังไห่เถิงจะไม่ใช่คนที่จะหยุดไล่ล่าเธอง่าย ๆ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อจับตัวของเธอ เพื่อเชยชมทุกสิ่งบนร่างกายของเธอ แต่กระนั้นฉินเจินเจินก็ยังไม่ยอมแพ้ เธอจะต้องหาทางหนีต่อไป และรอคอยความช่วยเหลือจาก หวังซานเย่ ด้วยความหวัง ‘หากเขากลับมาไม่ทัน เธอจะทำอย่างไร’ เธอจะต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อเอาตัวรอดจากการไล่ล่าครั้งนี้ให้ได้ เธอจะไม่ยอมตกเป็นของคนจิตใจชั่วร้ายอย่างหวังไห่เถิงเป็นแน่ ฉินเจินเจินก้มตัวลงเดินในช่องลับที่แสนจะคับแคบ ความมืดมิดกำลังจะกลืนกินทุกสิ่งรอบตัวของเธอ เธอใช้มือปัดฝุ่นและเศษไม้ที่ร่วงหล่นลงมา ดวงตาเบิกกว้างจนสุด เมื่อแสงสว่างจากภายนอกเริ่มจางลงไปทุกที เธอรู้ดีว่าหวังไห่เถิงยังคงไม่ยอมไปไหน เขาคงจะกลับมาที่ห้องนี้ในอีกไม่ช้า และคอยจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเธอ ช่องลับที่เธอหลบเข้าไปนั้นเป็นทางเดินเล็ก ๆ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้พื้นของห้องหนังสือ ใช้เวลาไม่นานเธอก็รู้สึกถึงความอับชื้นและความคับแคบของที่หลบนี้ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไร หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น ความหวังในใจของเธอก็เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ ‘หวังซานเย่ ครั้งนี้คุณจะกลับมาช่วยฉันได้ทันหรือไม่’ เธอคิดในใจ ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ค่อย ๆ ลูบไปตามผนังห้องเพื่อหาทางออกไปจากช่องลับนี้ เธอพยายามที่จะตั้งสติและคิดทบทวน ถ้าเกิดว่าหวังไห่เถิงไล่ตามเธอมาจนถึงที่ซ่อนนี้แล้ว เขาคงจะไม่ยอมให้เธอหลบหนีไปได้ง่าย ๆ และเธอคิดว่าเขาคงจะไม่ยอมเสียเวลาค้นหาจนทั่วอย่างแน่นอน เธอจึงต้องหาทางออกที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะเจอเธอ ไม่นานนักเสียงฝีเท้าของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นมาจากประตูทางเข้าของห้องที่เธอเพิ่งจะออกมา เขากำลังเดินตามหาตัวเธอภายในห้องนั้น เสียงลากปลายดาบที่กระทบบนพื้นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉินเจินเจินกัดฟันแน่น ความเงียบในช่องลับยิ่งทำให้ความกลัวก่อตัวขึ้นมา เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ราวกับว่าเธอกำลังตกอยู่ในกับดักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แล้ว... หัวใจของเธอก็เต้นรัวขึ้น เมื่อเสียงฝีเท้าของหวังไห่เถิงห่างออกไป เสียงของเขาดูเหมือนจะบอกว่าเขากำลังเดินไปในทิศทางอื่น เธอเงี่ยหูฟังเสียงนั้นในความมืด ‘เขาไม่ได้หาในห้องนี้แล้วหรือ’ ฉินเจินเจินขยับตัวเงียบ ๆ และเลื่อนมือไปตามผนัง จนสุดท้ายเธอก็พบกับทางออกที่สามารถพาเธอออกไปจากทางเดินนี้ได้ และพบว่าทางเดินแคบ ๆ นี้มีทางออกที่เชื่อมกับสวนด้านหลังของคฤหาสน์ ซึ่งถ้าเธอไปถึงที่นั่นได้ ก็อาจมีโอกาสหนีรอดไปได้ เธอรีบคลานออกจากช่องลับและก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เสียงฝีเท้าของเธอดังเบามากจนแทบไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงของลมหายใจของตัวเองที่ดังก้องอยู่ภายในหู ขณะที่ประตูทางออกก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนเธอใจชื้น แต่ทว่า เสียงของฝีเท้าที่คุ้นเคยกลับดังขึ้นข้างหลังเธอ... "เจินเจิน ผมบอกคุณแล้วไง ว่าคุณหนีผมไม่ได้หรอก" เสียงนั้นดังลั่นจนทำให้ฉินเจินเจินสะดุ้ง ร่างใหญ่ของหวังไห่เถิงปรากฏอยู่ที่ปลายทางเดิน พร้อมกับดาบที่ส่องประกายเย็นเยียบในแสงจันทร์ เขายิ้มให้เธอด้วยความเย็นชา แต่ในแววตานั้นกลับเต็มไปด้วยอันตรายที่ทอประกายออกมา "หนีไปก็ไร้ประโยชน์ ฉินเจินเจิน...คุณไม่สามารถหนีผมได้หรอก" เขาก้าวเดินเข้ามาใกล้ ร่างของเขาฉายเงาทะมึนไปทั่วพื้นที่ ฉินเจินเจินพยายามตั้งสติ แม้รู้ว่าไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ เธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้ "หวังไห่เถิง...คุณไม่สามารถทำอะไรฉันได้ สามีของฉันจะไม่ปล่อยคุณไปแน่" เธอเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา แต่กลับเต็มไปด้วยความแน่วแน่และความมั่นใจ หวังไห่เถิงหยุดก้าวและมองไปที่ฉินเจินเจิน หัวคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย "หวังซานเย่ ฮ่า คุณคิดว่าเขาจะทิ้งหน้าที่มาเพื่อช่วยคุณอย่างนั้นหรือ" เขาหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ย คำพูดนั้นทำให้ฉินเจินเจินรู้สึกเจ็บปวด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะมาช่วยเธอทันหรือไม่ "และผมจะไม่มีทางปล่อยคุณ เจินเจิน ผมขอเชยชมคุณสักครั้ง จะเป็นอะไรไป" หวังไห่เถิงพูดเสียงหนัก ดวงตาของเขาเปล่งประกายเมื่อจ้องมองเรือนร่างของเธอ "ฝันไปเถอะ ผู้ชายความคิดสกปรกอย่างคุณ จะไม่มีวันได้แตะต้องฉัน!" เธอบอกด้วยความเดือดดาล ฝ่ามือเล็กกำมีดสั้นภายในมือแน่น พร้อมจะเผชิญหน้า เคร้ง หวังไห่เถิงทิ้งดาบโบราณลงกับพื้น ก่อนจะเดินอาดเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าหื่นกระหาย ฟึ่บ เธอตวัดปลายมีดออกไป ก่อนที่เขาจะเข้ามาถึงตัว ด้วยความประมาท ทำให้หวังไห่เถิงได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ "หึหึ คุณทำแบบนี้ นั่นหมายถึงว่าคุณคิดดีแล้ว เจินเจิน! ผมจะไม่ปรานีคุณอีกต่อไป" เขาแค่นหัวเราะ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเหี้ยมโหด "ถ้าอยากตายก็เข้ามา!" เธอก็พร้อมจะสู้ตายเช่นกัน ฝ่ามือเล็กตวัดออกไปเมื่อเขาค่อย ๆ ขยับฝีเท้าเข้ามา ฉินเจินเจิน เห็นว่าเขาเตรียมตัวจะโจมตีเธออีกครั้ง แต่เขากลับไม่รีบร้อน ราวกับอยากจะเล่นเกมนี้ให้ยืดเยื้ออีกนิด... ทันใดนั้น เสียงบางอย่างดังขึ้นจากทิศทางด้านหลังของหวังไห่เถิง เป็นเสียงของฝีเท้าหนัก ๆ ดังเข้ามาใกล้ ก่อนจะตามด้วยเสียงที่ดังสนั่น จนเธอต้องหลับตาแน่น ปัง! หวังไห่เถิงหันไปมองอย่างตกใจ ขณะนั้นเองร่างของผู้ชายที่เธอรอคอยอย่างมีความหวังก็ปรากฏขึ้น "ซานเย่...""หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
“นี่คุณ รีบปลุกลูกสาวตัวดีของคุณเร็วเข้า หากนานกว่านี้ ผู้บัญชาการเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกเราแย่แน่”“อาฉวน คุณไม่เห็นหรือว่าฉันปลุกเธอตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่ตื่น จะมาขี้เซาอะไรกันตอนนี้นังลูกไม่รักดี” คนที่โดนเร่งเร้าให้ออกแรงปลุกก็เริ่มจะมีน้ำเสียงที่หงุดหงิดเช่นเดียวกัน“โอกาสดี ๆ แบบนี้ไม่ได้หาง่าย ๆ นะคุณ รีบปลุกลูกสาวของคุณซะ ด้วยความหวังดี” บุรุษเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่รื่นหูเท่าไรนัก ซ้ำยังมีใบหน้าที่บิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจเสียงสนทนาที่ฟังดูคล้ายกับคนทะเลาะกันระหว่างชายหญิงที่ไม่คุ้นหู ผ่านเข้ามาในภวังค์ความคิด แม้จะยังคงหลับตาแต่ก็รับรู้ได้ถึงบทสนทนาที่ชัดเจนมาก พอให้รู้ว่าเสียงนั้นช่างน่ารำคาญและรบกวนการนอนมากเพียงใด ‘แต่เดี๋ยวนะ !’ฉินเจินเจิน ลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะกวาดมองไปรอบกาย จนเจอเข้ากับหนึ่งหญิงหนึ่งชายในวัยกลางคนที่กำลังส่งฝ่ามือเข้ามาปลุกด้วยท่าทางรีบร้อน“พวกคุณเป็นใครกัน เข้ามาในคอนโดของฉันได้อย่างไร” เธอเอ่ยถามออกไป พร้อมกับยันกายลุกขึ้นพิงหมอนอิงใบใหญ่ ก่อนจะกวาดสายตาไปโดยรอบอีกครั้ง เพื่อมองหาเด็กหนุ่มคนรักของตัวเอ
เมืองหนานซาง มณฑลเจียงซี...คอนโดหรูกลางเมืองใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของ ฉินเจินเจิน สาวใหญ่ในวัยสี่สิบปี เจ้าของอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจมากมาย ชีวิตในปัจจุบันนั้นไร้สามี หรือลูกสาว ลูกชาย ให้สืบสกุล อีกทั้งบิดาและมารดาต่างก็พากันจากโลกนี้ไปตั้งแต่ที่เธอยังไม่ร่ำรวยการใช้ชีวิตเพียงคนเดียวมานานแสนนานนั้นช่างเปลี่ยวเหงา บาร์โฮสต์อันแสนหรูหราจึงเป็นสถานที่ให้เธอได้บรรเทาความเหงา กับเงินในกระเป๋าที่ทำให้เธอซื้อความสุขมาครอบครองเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่หน้าตางดงาม เป็นเพียงหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่โชคชะตากลับนำพาเด็กหนุ่มรูปหล่อนามว่าเป่าซานซาน ในวัยเพียงยี่สิบปีมาอยู่ข้างกายให้จิตใจกระชุ่มกระชวยฉินเจินเจิน ได้เจอกับเป่าซานซานที่บาร์โฮสต์ เขาทั้งเอาอกเอาใจ และไม่รังเกียจเธอที่มีอายุมากกว่า ทำให้เธอหลงรักเขาทั้งใจ จนต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินครั้งใหญ่จ้างเขาให้เลิกทำงานเป็นโฮสต์ เพื่อมาอยู่กับเธอในทุกวันชีวิตที่เป็นดั่งความฝันได้เริ่มต้นขึ้น จากความชอบกลายเป็นความรักที่ยากจะถอนตัวถอนใจ ไม่ว่าเป่าซานซานจะต้องการอะไรเธอก็บันดาลให้กับเขาได้ทุกสิ่ง และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ตอบสนองคว
บรรยากาศภายในรถยุโรปนั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงของลมหายใจที่ดังขึ้นด้วยความแผ่วเบาราวกับขนนก ช่างชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สตรีร่างกายบอบบางที่นั่งตัวเกร็งจำต้องส่งสายตากวาดมองสำรวจภายในรถเพื่อลดความเกร็ง เมื่อเธอมองอย่างเต็มตาก็ต้องรู้สึกประหลาด เพียงแค่ปรายตามองดูก็รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นทรงอำนาจและมีเงินมากมายเพียงใด ถึงจะสามารถครอบครองรถเหล่านี้ได้ในยุคสาธารณรัฐที่เพิ่งฟื้นจากวิกฤตเศรษฐกิจและยังไม่ได้เปิดกว้างเช่นนี้ได้“นี่คุณ ปีนี้คือปีที่เท่าไร” เธอถามออกไปโดยไร้หางเสียงเพื่อทำลายความเงียบที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย จากสายตาและการประเมินเพียงผิวเผินบุรุษที่นั่งสงบนิ่งอยู่ข้างกายของเธอก็น่าจะอายุราว ๆ เดียวกันกับเธอในโลกใบที่เธอจากมา“ไม่มีมารยาท คุณเด็กกว่าผมจนเกือบจะเป็นลูกสาวของผมได้อยู่แล้ว พูดจาไม่มีหางเสียงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน หรือว่าตระกูลฉินของคุณไม่สั่งไม่สอนมารยาทมาบ้างเลยหรือ” เสียงเข้มของเขากล่าวขึ้นด้วยความตำหนิ ที่ทำให้เธอต้องขบกรามแน่น“คุณซื้อฉันมาเป็นลูกสาวหรือคะ หากเป็นเช่นนั้นฉันจะได้เรียกคุณว่า คุณพ่อ” ฉินเจินเจินเอ่ยคำประชดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย และ
บรรยากาศภายในห้องนอนของผู้บัญชาการหวังและภรรยาของเขา ถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นและมีแสงไฟสลัว ๆ เต็มไปด้วยความเงียบสงบตามคำสั่งของเขา เพื่อสร้างบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติกสำหรับทำกิจกรรมกระชับรักหวังซานเย่กำลังนั่งข้างเตียง ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนท่อนแขนของภรรยาที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล ใบหน้าของเธอยังคงเปล่งประกายอ่อนหวานเหมือนทุกวัน แต่ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะอ่อนแอลงไปบ้างหลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป หวังซานเย่ตั้งอกตั้งใจที่จะเร่งผลิตทายาทให้กับตระกูลหวังของเขาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ และดูเหมือนว่าความเหน็ดเหนื่อยของเขาและภรรยาจะบังเกิดผล เมื่อฉินเจินเจิน เมียเด็กของเขาเริ่มมีอาการคลื่นไส้และอาเจียนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันด้วยความดีอกดีใจจนไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร โชคดีที่ป้าหวังให้คำแนะนำวิธีการดูแลเธอได้อย่างดีเยี่ยม และไม่ลืมที่จะรีบพาเธอไปพบกับคุณหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจอาการของเธอให้แน่ใจอีกครั้งเมื่อผลการตรวจออกมา ชายวัยสี่สิบที่ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงและมั่นคงก็คงต้องอ่อนแรงลงไป หลังจากที่ได้ยินคุณหมอเอ่ยบอก"ภรรยาของคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ อายุครรภ์ตอนนี้ก็รา
แสงแดดในยามเช้าของวันใหม่ยังคงสาดส่องและทอประกายแสงที่เจิดจ้า เล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้เก่าแก่ภายห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ผู้บัญชาการหวังด้วยความสดใส แสงที่ส่องสะท้อนกับผนังสีขาวสะอาด นั้นดูอบอุ่นและเงียบสงบราวกับไร้ผู้คน แม้แต่เสียงฝีเท้าของคนในบ้านยังคงเงียบเชียบหวังซานเย่ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องทำงานของเขา ดวงตาอันแสนจะเคร่งขรึมจ้องมองไปยังเอกสารต่าง ๆ ที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวอักษรบนกระดาษเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับการค้าขาย และการบริหารจัดการสิ่งของมีค่าของตระกูลหวังที่ยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้จะไร้เงาของอดีตคุณนายหวัง และแม้ว่าหวังไห่เถิงจะออกจากบ้านไปแล้วก็ตาม แต่การบริหารงานของตระกูลยังคงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากเขาและภรรยาผู้บัญชาการหวังรู้สึกว่าชีวิตในคฤหาสน์นั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่หวังไห่เถิงและมารดาตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ด้วยภาระหน้าที่ภายในกองทัพ และภรรยาที่เพิ่งจะเข้ามาจัดการดูแลความเรียบร้อยของทุกอย่างภายในตระกูล ทำให้ทุกสิ่งยังไม่เข้าร่องเข้ารอย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาคู่คมของเขายังคงจับจ้องไ
หวังไห่เถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว เขาคว้าอาวุธปืนที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหวังซานเย่ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหวังซานเย่หันมองหวังไห่เถิงอย่างไม่สะทกสะท้านและไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย"คิดว่าฉันจะกลัวนายหรือ"เขาเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเล็กน้อย แต่การที่ต้องเผชิญกับความโกรธของหวังไห่เถิง ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียมากกว่าหวังไห่เถิงก้าวไปข้างหน้า ภายในมือของเขาจับอาวุธปืนเอาไว้แน่น เขารู้สึกว่าการแก้แค้นอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาจะรู้สึกมีอำนาจในการควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตามแกรก"หวังซานเย่...ทุกอย่างมันต้องจบที่นาย!"หวังไห่เถิงตะโกนลั่น ในขณะจ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับของหวังซานเย่ แต่ทว่ามือของเขากลับสั่นเพราะความโกรธ แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกที่อยากจะหลุดพ้นจากทุกสิ่งที่ต้องเผชิญ"ซานเย่!" ฉินเจินเจินตกใจมาก เธอวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความกลัว แต่ทว่ากลับถูกห่าวอู๋คว้าตัวเอาไว้เสียก่อน เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัยหวังซานเย่เหลือบมองปืนที่จ่อศีรษะ เขาไ
ท่ามกลางเสียงตะโกนและการโต้เถียงที่ดังสนั่นภายในสวนด้านหลังของตระกูลหวัง เกิดการต่อสู้ในระหว่างพี่น้องที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ง่าย ๆ หวังซานเย่บุตรชายคนโตของตระกูลหวัง จ่อปากกระบอกปืนเข้ากับศีรษะของหวังไห่เถิงอย่างไร้ความปรานี"ซานเย่...อย่าทำร้ายเขา!"เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ทำให้หวังซานเย่หยุดนิ่ง ความโกรธแค้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา ขณะที่สายตายังจ้องมองไปที่ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่"คุณแม่" เสียงหวังซานเย่นั้นเรียบเฉยและไม่ได้ดูตกใจเท่าไรนักคุณนายหวัง มารดาที่เคยแสดงออกถึงความเมตตาและความห่วงใยของเขา แต่ในขณะนี้ดวงตาของเธอที่มักจะอ่อนโยน กลับแฝงด้วยความเด็ดขาดและบางครั้งก็เห็นสายตาที่ซ่อนความรู้สึก ในแบบที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน"ซานเย่! อย่าทำแบบนี้!"คุณนายหวังเดินเข้ามาหาเขาและยกมือขึ้นจับแขนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าหวังซานเย่กลับสะบัดมือของเธอออกแล้วจ้องมองไปที่หวังไห่เถิงด้วยความเจ็บปวด"นี่คือสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ!" หวังซานเย่พูดด้วยเสียงแหบแห้ง ความโกรธปะทุขึ้นอีกครั้ง"ซานเย่...แต่เขาเป็นน้องชายของลูก" คุณนายหวังพูดเสียงเบาลง พร้อมกับหายใจเข้าลึก"คุณแน่ใจหรือครับ ว่าเขา
"หวังไห่เถิง....ถอยไป" เสียงนั้นหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้น ผู้บัญชาการยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่หวังซานเย่ เดินมาจากทางเดินที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ด้านหลังของเขาคือที่ที่แสงจันทร์สาดส่อง จึงทำให้เขาดูเหมือนกับผู้ที่ออกมาจากเงามืด เขาส่งสายตามองไปยังฉินเจินเจินแล้วยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอปลอดภัยดี ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหวังไห่เถิงอีกครั้ง"ซานเย่ในที่สุดคุณก็มาทันเวลา" ฉินเจินเจินพึมพำออกมาในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความโล่งอกแต่ทว่าคำพูดของหวังไห่เถิงก็ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย"รู้ตัวเร็วกว่าที่คิดนะ...พี่ชาย ฮ่า"หวังซานเย่ยืนอยู่ตรงกลางลานกว้างของสวนด้านหลังคฤหาสน์ ใบหน้าคมเข้มของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวที่พยายามกดไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ร่างสูงใหญ่นั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจดูน่ากลัวกว่าที่เคยเป็น ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาพยายามรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้น้องชายกลับทำในสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้อีกต่อไป"ไห่เถิง!" เสียงทุ้มต่ำของหวังซานเย่ดังก้องขึ้น"..." เจ้าของชื่อหาได้มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย"หวังไห่เถิง นายกล
เสียงของสายลมที่พัดผ่านต้นไม้ใหญ่ ท่ามกลางความเงียบสงัดแต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์ผู้บัญชาการในตอนนี้กลับเปรียบเสมือนเสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ดังขึ้นภายในเงามืด เงาทึมของพระจันทร์เสี้ยวทอแสงลงมากระทบบนพื้นดินด้วยความเยือกเย็น ความมืดมิดปกคลุมทุกอย่าง ราวกับว่าทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้กำลังหลบซ่อนตัวเองจากความน่ากลัวภายในมุมหนึ่งที่มืดสนิท ฉินเจินเจินยืนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เมื่อเสียงฝีเท้าของ หวังไห่เถิง ดังกระหึ่มมาจากทางเดิน และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เธอหันกลับไปมองบานประตูไม้ทึบที่เปิดอ้าออกไว้เล็กน้อย ใจหนึ่งก็อยากจะหนีไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอก็รู้ดีว่าไม่อาจหนีออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน"เจินเจิน คุณอยู่ไหนกัน ผมหวังว่าคุณคงไม่อยากทำให้ผมโกรธหรอกกระมัง"เสียงของหวังไห่เถิงดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ดวงตาคู่สวยของเธอกลับมองเห็นว่าในมือของเขาถือดาบรูปทรงโบราณ ส่องสะท้อนแสงจันทร์ ทำให้เงานั้นช่างดูดุดันและน่าสะพรึงกลัว‘บ้าชิบ นี่มันคนวิปริตชัด ๆ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรืออย่างไร’ เธอคิดในใจ ก่อนจะกัดฟันแน่น เธอรู้ดีว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ด้วย
แสงอาทิตย์ในยามอรุณรุ่งได้ลาลับขอบฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความมืดมิดที่เงียบสงัด ราวกับไม่มีอะไรจะหยุดยั้งความชั่วร้ายที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วทั้งลั่วหยาง หวังซานเย่ เป็นผู้บัญชาการทหารที่ฉลาดเฉลียวและกล้าหาญ เขาได้รับคำสั่งให้ปราบปรามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ก่อความเดือดร้อนในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง แต่ในระหว่างทางเขากลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนไม่อาจมองข้ามไปได้"ผู้บัญชาการครับ เหตุการณ์ในวันนี้มันดูแปลกไปนะครับ"ห่าวอู๋ ลูกน้องคนสนิทของหวังซานเย่ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา ขณะกอบกุมพวงมาลัยของรถยุโรปทางการทหารหวังซานเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่ภายในใจ และสิ่งที่คิดก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในครั้งนี้ดูแปลกตามที่ห่าวอู๋บอกกล่าว และดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มีจำนวนมากมายเหมือนในทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งพวกมันยังดูเหมือนกับกำลังพยายามหนีเสียมากกว่าการตั้งใจต่อสู้"มันไม่น่าจะใช่แบบนี้" หวังซานเย่พึมพำเบา ๆ เมื่อสายตาคู่คมมองเห็นความผิดปกติในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านเขาสั่งให้ห่าวอู๋หยุดรถในทันทีที่มองเห็นว่าหมู่
หวังซานเย่รับหน้าที่เป็นคนขับรถในเช้าวันใหม่ เขาพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา บรรยากาศในวันนี้สดใสกว่าทุกวัน ความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ทั้งสองฝั่งทำให้เธอทอดสายตามองด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเริ่มมองเห็นคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง สามารถมองเห็นตัวเมืองอันกว้างไกลที่เธอเองก็ยังเดินสำรวจไม่ครบทุกมุม เป็นความหรูหราของสถาปัตยกรรมจีนโบราณผสมผสานกับกลิ่นอายยุคสาธารณรัฐสะท้อนความมั่งคั่งและทรงอำนาจของตระกูลหวัง ตระกูลที่มีบทบาทสำคัญทั้งในกองทัพและเศรษฐกิจระดับประเทศที่ฉินเจินเจินได้มองอย่างเต็มตาในวันนี้"เจินเจิน ผมยังไม่อยากกลับเลย อยากอยู่กับคุณสองต่อสองมากกว่า" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งมาจับมือเธอเอาไว้"ซานเย่ ตั้งใจขับรถหน่อยสิคะ ฉันยังไม่อยากนอนข้างทางนะคะ!" เธอบ่นอุบ เมื่อเห็นเขาขับรถมือเดียว จนรู้สึกไม่ปลอดภัย"คุณไม่อยากอยู่กับผมแค่สองคนอย่างนั้นหรือ" เขาไม่ฟังเธอปราม แต่ทว่าเร่งรัดให้เธอตอบคำถามของเขา"ที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครมาวุ่นวายกับคุณนี่คะ ซานเย่ คุณตั้งใจขับรถก่อนเถอะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะงอนคุณนะคะ" เธอกอดอกมุ่ยหน้าใส่เขาด้วยสายตาเอาจริง"ไม่งอนนะ ผมยอมแล้วก็ได้"ฟอดหวังซ
ปลายนิ้วที่เรียวสวยผลักร่างใหญ่โตของเขาให้นอนราบลงไปบนฝากระโปรงของรถได้ด้วยมือเดียว หวังซานเย่ร่างกายอ่อนระทวยไปกับลีลาอันแสนเร่าร้อนของเธอเสียแล้วฉินเจินเจินนั่งคร่อมลงบนท่อนกายอุ่นร้อนของเขาจนมิดลำ ส่งให้เขาหน้าเบ้ด้วยความคับแน่น ความเจ็บสะท้านแล่นไปทั่วลำใหญ่แต่ทว่ายังคงซ่านเสียวจนสมองขาวโพลนซี้ดไม่ได้มีเพียงเขาที่เจ็บปวด เธอเองก็เช่นกันเพราะขนาดที่ใหญ่โตของเขาได้เบียดเสียดเข้ามาภายในโพรงสวาทจนแทบจะปริแตกจากกัน แต่นั่นกลับเป็นความเจ็บปวดที่เธอยินดีสะโพกอิ่มโขลกไปข้างหน้าเพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนท่อนเอ็นเขื่องเข้าออกร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำเต็มไปด้วยความต้องการที่พุ่งพล่าน ไฟร่านกำลังครอบงำตัวของเธอฉินเจินเจินยกตัวขึ้นแล้วกระแทกตัวลงไปเพื่อให้แท่งหยกเข้าไปในร่องรักของเธออย่างแรง ทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความลึกและความสะใจ มันทั้งร้อนแรงและวาบหวาม จนเขาครางออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า“อ่า เจินเจิน กระแทกอีก ผมเสียวจังเลยครับ”“อะ...อื้อ”ริมฝีปากบางสีแดงสดขบเม้มเข้าหากันด้วยความซ่านสยิว ก่อนที่เธอจะออกแรงขยับสะโพกอย่างเชี่ยวชาญ แล้วบดสะโพกลงไปอย่างหนักจนน้ำกามไหลออกมาชุ่มฉ่ำและเกิดเสียงดังแ