ย่าหยานักเขียนสาวที่ขับรถออกมาหาแรงบันดาลให้งานเขียนชิ้นใหม่ หลังจากที่สมองตันคิดอะไรไม่ออกมาเป็นเดือนแล้ว เธอมีรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่อยู่หนึ่งคันที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธอเอง
ปกติเธอทำงานอยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปเจอผู้คนเท่าไหร่ ชีวิตเธอมีแค่งานกับงาน พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเล็ก ย่าหยาอาศัยอยู่กับแม่จนเมื่อสองปีก่อนแม่พบรักใหม่กับหนุ่มใหญ่ชาวต่างชาติและย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ เธออยากใช้ชีวิตที่เมืองไทยจึงไม่ได้ตามแม่ไปด้วย
แท้ที่จริง เธอรู้สึกเหมือนเฝ้ารออะไรบ้างอย่าง หรือมีใครสักคนรอเธออยู่
“ว้าว บ้านหลังนี้สวยจัง อยู่ริมน้ำด้วย ขอถ่ายรูปเก็บไว้เขียนนิยายหน่อยนะ”
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปบ้านไม้ทรงไทยริมแม่น้ำหลังหนึ่ง วันนี้ย่าหยารู้สึกเบื่อหน่ายจึงขับรถเล่นชานเมืองกรุงเทพฯ ปีนี้เธออายุยี่สิบสองปีแล้ว เธอเป็นนักเขียนอิสระทำงานด้านนี้มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจนมีรายได้พอเลี้ยงตัวเองได้ ที่ สำคัญคือไม่มีภาระเหมือนคนอื่น พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังเล็ก ย่าหยามาอยู่กับแม่มาตลอด แต่เมื่อสองปีก่อนแม่พบรักใหม่กับชายชาวอเมริกาและย้ายไปอยู่ด้วยกันที่ต่างประเทศ เธอไม่ตามไปอยู่กับแม่และครอบครัวใหม่เพราะมีบางเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้
บางครั้งบางคราว
เธอรู้สึกเหมือนรอคอยใครสักคนอยู่
เวลาที่ย่าหยาคิดงานไม่ออก เธอมักขับรถเล่นชานเมือง ดูวิถีชีวิตผู้คนเก็บเป็นไอเดียไว้เขียนนิยาย วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากปิดต้นฉบับสองแสนคำได้สำเร็จ เธอก็อนุญาตให้ตัวเองพักผ่อนด้วยการขับรถเก๋งญี่ปุ่นคันเก่าเลาะเส้นริมแม่น้ำ มื้อเที่ยงเธอแวะกินผัดไทที่ตลาดน้ำ เพราะไม่ใช่ช่วงวันหยุดเทศกาลจึงมีคนมาไม่มากนักทำให้เธอได้พูดคุยกับแม่ค้าพ่อค้าบริเวณนั้นและพอจะรู้ว่ามีบ้านทรงไทยริมแม่น้ำสวยๆ อยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้าของบ้านเขาไม่ได้เปิดให้เข้าไปดูหรอกนะ แต่ถ้าหนูอยากเห็นขับรถไปจอดดูหน้าบ้านก็ได้มั้ง เห็นมีคนไปถ่ายรูปบ่อยๆ”
“หาไม่ยากหรอก บ้านหลังนั้นปลูกดอกไม้หอมฟุ้งไปทั้งหลังเลย เขาเรียกอะไรนะ พวกดอกไม้ในวรรณคดีอะไรนี่แหละ”
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ย่าหยาขับรถมาตามเส้นทางที่พ่อค้าแม่ค้าแนะนำ มันเป็นถนนเส้นเล็กๆ ริมแม่น้ำ ซึ่งหาไม่ยากอย่างที่แม่ค้าแนะนำไว้จริงๆ เธอจอดรถหน้าบ้านแล้วชะเง้อมองดู กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ โชยมาแตะปลายจมูกทำให้เธอตัดสินใจลงจากรถแล้วชะเง้อมองไปด้านใน บริเวณบ้านร่มรื่นด้วยดอกไม้นานาพรรณ เธอมองอยู่นอกรั้วเห็นต้นการะเวกต้นใหญ่หลายต้น ริมรั้วมีดอกเล็บมือนางที่อวดดอกสีแดงอมขาว พลันภาพในหัวปรากฏมาลัยดอกเล็บมือนางงดงามนัก นิ้วเรียวยื่นมือไปแตะดอกไม้ราวกับคนละเมอ
“นั้นใครนะ!”
“อะ! ขอโทษค่ะ” ย่าหยาตื่นจากภวังค์ เธอก้าวถอยหลังด้วยความตกใจและเท้าดันไปเหยียบก้อนหินเข้าให้ทำให้เสียหลักล้มลง
“โอ๊ย!”
“ตายแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า”
หญิงชราวัยประมาณเจ็ดสิบปีนุ่งผ้าถุงสีเขียวเรียบง่ายเดินมาเปิดประตูรั้วแล้วก้มมองหญิงสาวแปลกหน้าที่นั่งก้นกระแทกพื้นอยู่
“เป็นอะไรมากไหมหนู”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูขอโทษค่ะ หนูไม่ได้มีเจตนาไม่ดี คือหนูเห็นดอกไม้สวยมากเลยยืนดูค่ะ” ย่าหยาตอบแล้วยันกายลุกขึ้นยืน ไม่เจ็บจริงๆ แต่อายมากกว่า เธอได้แต่รำพึงในใจ
“ยายก็ไม่ได้อยากให้หนูตกใจ สายตายายไม่ค่อยดี มันมีพวกเด็กเกเรมาแอบเด็ดดอกไม้บ้าง ปาก้อนหินใส่บ้าง ยายเป็นคนดูแลบ้านหลังนี้ก็เลยต้องดุไว้ก่อน”
“คุณยายไม่ใช่เจ้าของบ้านเหรอคะ”
“โอ๊ย! ไม่ใช่หรอก คนแถวนี้เข้าใจผิดคิดว่ายายเป็นเจ้าของบ้าน ยายอยู่กับเจ้านายของบ้านมาตั้งแต่สาวๆ ยายตัวคนเดียวไม่มีลูกไม่มีผัว เจ้าของบ้านใจดีให้ยายอยู่ที่นี่ได้ไปจนตาย หนูอยากดูดอกไม้เหรอจ๊ะ”
“ค่ะ...แต่เอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ หนูไม่ได้ขออนุญาตก่อนเกรงใจเจ้าของบ้านค่ะ”
ย่าหยายกมือไหว้ลาแล้วเดินมาที่รถ เธอก็อยากดูต้นไม้ดอกไม้ที่บ้านหลังนี้อยู่หรอกนะ แต่หกล้มเมื่อกี้เจ็บก้นชะมัด คงไม่มีแรงเดินไปดูอะไรแน่ ขณะที่เธอสตาร์ทรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ เมฆฝนก็ลอยมาพร้อมกับสายลมแรง และจู่ๆ รถของเธอก็สตาร์ทไม่ติด!
“ไม่เอาน่าหยางหยาง อย่างอแงตอนนี้สิ”
หยางหยางคือชื่อรถเก๋งคันนี้ เธอตั้งชื่อรถตามดาราชายที่ชื่นชอบ รถเก๋งมือสองอายุสิบกว่าปีสภาพมันก็ยังดีอยู่แต่เครื่องยนต์เริ่มมีปัญหาบ้าง หลายคนบอกให้เธอเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ได้แล้ว แต่เธอเสียดายเพราะหยางหยางคือรถที่ใช้เงินจากการเขียนนิยายมาซื้อ
“หนูๆ รถเป็นอะไรเหรอ”
“รถสตาร์ทไม่ติดค่ะ แถวนี้มีช่างซ่อมรถไหมคะ”
“มีอยู่จ๊ะ แต่ฝนจะตกแล้ว หนูเข้ามาหลบฝนในบ้านก่อนสิ”
“จะดีหรือคะ”
“ยายอยู่คนเดียว กับหมาอีกสามตัว” คุณยายพูดแล้วหัวเราะออกมา
ย่าหยาหยุดคิดครู่หนึ่ง เสียงฟ้าร้องดั่งสนั่นทำเอาเธอสะดุ้งโหยง รถก็สตาร์ทไม่ติด เธอรีบคว้ากระเป๋าสะพายแล้วลงจากรถเดินตามคุณยายเข้าไปในบ้าน เพียงทั้งสองเข้ามาในบริเวณบ้านแล้ว ฝนก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
“พยากรณ์อากาศแม่นจริงๆ บอกว่าวันนี้พายุฤดูร้อนเข้าก็เข้าจริงๆ เอ้า!หนู เข้ามานั่งตรงนี้สิ อยู่ตรงนั้นจะโดนฝนสาดเอา”
“ขอบคุณค่ะ คุณยาย...”
“ยายชื่อละเอียดจ๊ะ”
“หนูชื่อย่าหยาค่ะ”
“ชื่อดอกไม้นี่ แม่ตั้งชื่อให้รึ”
“คุณยายตั้งให้ค่ะ” ย่าหยายิ้มบางๆ ชื่อเธอสั้นจึงไม่มีชื่อเล่น สมัยเด็กๆ เธอไม่ชอบชื่อตัวเองนักเพราะถูกเพื่อนล้อว่าเป็นคุณย่า แต่คุณครูรู้เข้าก็อธิบายให้เพื่อนในห้องฟังว่าชื่อ ‘ย่าหยา’ คือชื่อดอกไม้มีประโยชน์ใช้เป็นไม้ประดับ มีสรรพคุณบำรุงเลือด บำรุงกำลัง ทำให้เพื่อนในห้องเลิกล้อชื่อของเธอไป พอรู้ว่าชื่อตัวเองมีความหมาย ย่าหยาก็ไม่อายที่ใครจะล้อชื่อเธออีก
“ลมแรงจริงๆ ยายไปปิดหน้าต่างบ้านก่อน”
“ให้หนูช่วยนะคะ” ย่าหยารีบเดินตามยายละเอียด บ้านทรงไทยของภาคกลางจะมีหน้าต่างหลายบาน กว่าจะเสร็จเธอก็โดนน้ำฝนสาดใส่จนเสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมด “แย่แล้วๆ หนูไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า อยู่แบบนี้จะเป็นหวัดเอา” “หนู...” เธอกอดอกยกมือขึ้นถูกแขนไปมาเพราะเริ่มหนาว “ถ้าไม่รังเกียจเอาเสื้อผ้าของยายไปใส่ก่อนนะ อย่าใส่เสื้อเปียกๆเลย จะไม่สบายเอา” ย่าหยาพยักหน้ารับ ปากเริ่มสั่นเพราะความหนาว หญิงสาวเดินตามร่างของหญิงชรา แม้ภายนอกมองเห็นเป็นบ้านทรงไทยโบราณ แต่ด้านในทันสมัยครบครันด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จัดวางอย่างลงตัว ยายละเอียดเดินนำไปที่ห้องหนึ่ง “นี่เป็นห้องรับรองแขก มีห้องน้ำในตัว หนูใช้ห้องนี้ได้ เดี๋ยวยายจะเอาเสื้อผ้ามาวางไว้ให้” “ลำบากคุณยายแล้ว” “ไม่เป็นไรๆ ไปเถอะรีบไปอาบน้ำเสียก่อน” ย่าหยาก้าวเข้าไปด้านใน สายตาสะดุดที่เตียงสี่เสาแบบโบราณมีม่านมุ้งสีขาวเข้ากับผ้าปูที่นอนลูกไม้นั้น เธอเดินเลยไปยังห้องน้ำที่อยู่ด้านใน มีผ้าขนหนูและเครื่องใช้ทุกอย่างครบครันราวกับห้องนี้มีคนอ
‘คุณสินธุ์’ อุ้มร่างที่เบาหวิวตรงดิ่งไปที่เรือนจรุงจิตซึ่งเป็นเรือนที่ ‘หลวงพิชัย’ ยกให้เมียรองได้อยู่อาศัยนั้นก็คือ ‘ยี่สุ่น’ ซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ราวๆ สิบวันแล้ว โดยมีบ่าวรับใช้ชื่อแจ่มและน้องสาวที่ได้ยินว่าสติไม่ค่อยดีชื่อย่าหยามาอยู่ด้วย ชายหนุ่มร่างกำยำอุ้มร่างเล็กที่ไม่มีแรงดิ้นรนขัดขืนมาถึงเรือนจรุงจิต บรรดาบ่าวรับใช้แตกตื่นแต่ไม่กล้าส่งเสียงพูดอันใด ได้แต่ก้มหน้าหลุบตาลงไม่กล้ามอง ‘เจ้านาย’ ยี่สุ่นที่วิ่งตามมารีบเดินไปเปิดประตูห้องเล็กซึ่งเป็นห้องของย่าหยาให้เขาเข้าไปเพื่อว่างร่างที่ไร้เรี่ยวแรงลงบนเตียง “ย่าหยา! เหตุใดเป็นเช่นนี้”ยี่สุ่นบีบมือน้องสาวที่รักราวกับเป็นลูกก็ว่าได้ เพราะมารดาตายจากไปตอนที่ย่าหยาอายุเพียงแปดขวบ นางเป็นพี่จึงเลี้ยงดูน้องคนนี้แทนมารดาทุกสิ่ง และเมื่อตนต้องแต่งงานออกเรือนมาเป็นเมียรองของหลวงพิชัย นางก็ขออนุญาตให้พาย่าหยามาด้วย เพราะที่บ้านไม่เหลือใครแล้ว หากนางไม่อยู่ก็ไม่มีใครดูแลย่าหยา ซึ่งหลวงพิชัยก็เมตตารับน้องสาวของนางมาอยู่ด้วย “แจ่มไปละลายยาหอมมาเร็วๆ แล้วให้คนไปตามหมอมาด้วย” “เจ้าค่ะคุณยี่สุ่น”
ย่าหยาอ้าปากแต่ไม่มีเสียง ยี่สุ่นที่นั่งอยู่ใกล้น้องจึงพูดแทน “ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณคุณช้อยที่ให้หมอมาตรวจอาการน้องสาวอิชั้นเจ้าค่ะ” “เห็นสองคนคอยดูแลกันเช่นนี้ ฉันก็สบายใจ” หลวงพิชัยพูดแล้วอดมองมาทางย่าหยาไม่ได้ ได้ยินว่าแม่เป็นคนจีนทั้งสองพี่น้องจึงผิวขาวผุดผ่อง แต่กลับมีดวงตากลมโตราวกับหยดน้ำวาวใส ท่าทีขี้อายปนประหม่าชวนมองยิ่งนัก “แล้วนี่พ่อสินธุ์ล่ะ กลับมาแล้วไม่ใช่รึ ไม่มากินข้าวกินปลาพร้อมหน้าพร้อมตากันบ้างหรือไร” หลวงพิชัยพูดขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ “มาแล้วขอรับ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังก่อนที่เจ้าของร่างกำยำจะเดินเข้ามานั่งรวมวงรับประทานอาหารเย็น “ฉันซ้อมดาบกับทิดจ้อยเหงื่อท่วมตัวเลยไปอาบน้ำก่อนมาที่นี่ก็เลยมาช้าไปสักหน่อย” สายตาคมปลาบจับจ้องมายังย่าหยา หญิงสาวหดคอด้วยความเคยชิน แต่นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนใจร้ายที่แกล้งเธอ จึงฝืนทำใจกล้ายืดแผ่นหลังตั้งตรงแล้วเชิดปลายคางขึ้น ชายหนุ่มมองแล้วกลั้นยิ้มขำ นึกถึงตอนที่หญิงสาวกลัวจนตัวสั่นแต่พยายามดิ้นรนสุดชีวิต ตอนนี้ก็ยังทำตัวเหมือนแมวน้อยขู่ฟ่อๆ ทั้งที่กล
“คุณพี่ คุณพี่เจ้าขา” “ชอบหรือไม่” “เบาหน่อยเจ้าคะ อื้อ คุณพี่...อิชั้น...ไม่ไหว” “ทนอีกหน่อย พี่ใกล้แล้ว โอ้ววว” นั้นเป็นเสียงที่ดังมาจากห้องข้างๆ ซึ่งย่าหยาเข้าใจดีว่าเกิดกิจกรรมอะไรในห้องนั้น แต่ไม่คิดว่าหลวงพิชัยที่ดูเงียบขรึมและใจดีจะร้อนแรงขนาดทำให้พี่สาวร้องครวญครางเกือบทั้งคืน ซ้ำรุ่งเช้ายังได้ยินอีกรอบด้วย ยังดีที่คุณหลวงมาหาพี่ยี่สุ่นวันเว้นสองวันเพราะเกรงใจคุณช้อย ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ได้หลับสนิทเป็นแน่ แต่พี่สาวของเธอตื่นมาหน้าตาแช่มชื่นในขณะที่เธอนอนหลับไม่สนิทเพราะได้ยินเสียงครวญครางรบกวนทั้งคืน แต่พี่แจ่มดูไม่ทุกข์ร้อนสักนิด คงมีแต่เธอที่ยังไม่ชินสินะ แม้ยังไม่เคยมีคนรักแต่รู้เรื่องระหว่างชายหญิงดี และพอเข้าใจได้ว่าผู้หญิงในยุคนี้ต้องพึ่งพาสามี ถ้าไม่ได้รับความรักความโปรดปรานก็จะใช้ชีวิตอยู่ยาก แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังอยากกลับบ้านอยู่ดี มาอยู่ที่นี่ครบสัปดาห์แล้ว เธอยังหาวิธีกลับบ้านไม่ได้ เธอนึกไม่ออกจริงๆ ว่าอะไรทำให้เธอมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ นับว่าเธอยังโชคดีที่มาอยู่ในร่างที่ไม่เดือดร้อ