ซ่งเสี่ยวเชียนกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือของเธออยู่บนเตียง ที่จริงแล้ว หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอมักจะอยู่ในอินเทอร์เฟซสมุดที่อยู่และกลิ้งไปมาบนเตียงขนาดใหญ่ ตอนนี้เธอแค่อยากโทรหาเย่จื่อหยาง ไม่มีอะไรจริงจัง เธอแค่อยากพูดคุยและฟังเสียง ฟังว่าวันนี้เขาทำอะไร เขามีความสุขไหม? เหนื่อยจากการฝึกซ้อมหรือป่าว?
เธอรู้ว่าเธอชอบเย่จื่อหยาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่อยากจะรู้แต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเธอไม่เคยโทรมาก่อน แต่ก่อนไม่เคยคุยกันทางโทรศัพท์ แล้วตอนนี้การโทรอย่างกะทันหันมันจะเร็วไปไหม
และไม่มีหัวข้อสำคัญอะไรเลยแค่เปิดปากก็ถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง แน่นอนว่าจะถูกหัวเราะเยาะ
จากนั้นก็มองโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย จู่ ๆ โทรศัพท์ก็สั่น ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเบอร์ผู้โทรอย่างชัดเจน ตกใจจนจับมือถือไม่มั่นคง โทรศัพท์ตกลงมาที่หน้าอกของเธอทันที อย่าพูดถึงว่าเจ็บแค่ไหน
เธอลุกขึ้นนั่งและทันใดนั้นเธอก็เริ่มเครียดในใจ รับหรือไม่รับ ไม่รับสายอาจจะดูใจร้ายเกินไปใช่ไหม เมื่อกี้เห็นชัดๆ ว่ากำลังคิดว่าจะโทรหาเขามั้ย ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายโทรมา ทำไมยังไม่รับสายล่ะ
ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้า แล้วเลื่อนไปรับสาย หายใจเข้าลึก ๆ หลายคํา "ฮัลโหล...?"
ปลายสายเงียบไปสองถึงสามวินาที ซ่งเสี่ยวเชียนหยิบลงมาดูที่จอแสดงผล เห็นได้ชัดว่ายังคุยอยู่ ทําไมไม่พูดล่ะ "ทําไมไม่พูดล่ะ ไม่พูดฉันจะวางสายแล้วนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกน
"อย่า อย่าวางสาย!" เสียงของเย่จื่อหยางฟังดูกังวล ในกองทัพ หัวหน้าเย่ที่ไม่ค่อยพูดจริงจังในวันธรรมดายังคงกังวลขนาดนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก ถ้าให้คนอื่นเห็น ก็เป็นข่าวอีกแน่
"อืม" ซ่งเสี่ยวเชียนตอบกลับแล้วเธอก็ค่อยๆสงบลงแล้ว อืม ฟังคําต่อไปนี้ของเขาอย่างอดทน
"... กินข้าวหรือยัง" สมองของเย่จื่อหยางว่างเปล่า ในช่วงเวลาฉุกเฉินก็นึกถึงคําถามนี้ เมื่อถามออกไป เขาไม่อยากจะเชื่อเลย มันไร้สาระมาก...
"กินไปสองชามแล้ว อาหารที่เจียงจิ่งเฟิงทําไม่ใช่ว่าคุณไม่เคยกิน พ่อครัวระดับห้าดาวแน่นอน"
เย่จื่อหยางยังคิดว่าซ่งเสี่ยวเชียนคงจะเบื่อรังคําถามที่เขาถามนั้นน่าเบื่อเกินไป แต่เมื่อได้ยินคําตอบของเธอแบบนี้ เขาก็ยิ้มอย่างโล่งอก ความมั่นใจก็กลับมาทันที "เอ่อ อย่าให้ตัวเองหิวก็พอ"
ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเขาพูดแบบนี้ เธอก็ไม่รู้จะพูดต่อยังไง เมื่อลองคิดดูดี ๆ ก็ยังต้องหาหัวข้อมาพูดเอง คุยโทรศัพท์ไป เดินไปรอบ ๆ ห้องนอน มือเปล่าลูบนั้นลูบนี่ ยังไงก็เป็นโรคทั่วไปของคนโทรศัพท์อยู่แล้ว
"วันชาติคุณจะกลับมาไหม?"
เดือนกันยายนผ่านไปแล้ว วันชาติกําลังจะมาถึง ซ่งเสี่ยวเชียนในฐานะนักศึกษาฝึกงาน แม้ว่าจะไม่ได้ทํางานล่วงเวลาถึงเจ็ดวัน แต่ก็มีสามสี่วันที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล แต่สองหรือสามวันที่ว่างเปล่า เธอก็ไม่รู้ว่าจะวางแผนอย่างไร จึงถามเย่จื่อหยางว่ามีแผนอะไรไหม
เย่จื่อหยางหยุดชั่วคราวเขายังไม่ได้คิดถึงปัญหานี้เลย วันชาติก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดที่จะขอวันหยุดเพราะวันหยุดเขาไม่รู้ว่าจะทําอะไร แต่ตอนนี้ ...
"กลับ เธออยากไปเที่ยวที่ไหน" เย่จื่อหยางยิ้มอยู่ แค่คิดว่าที่บ้านมีคนรอเขากลับบ้านอยู่ หัวใจของเขาก็อบอุ่นและมีความสุขมาก
เย่จื่อหยางไม่ใช่คนพูดมาก แม้ว่าตั้งใจโทรไปฟังเสียงของซ่งเสี่ยวเชียน แต่ก็ไม่เหมือนนิสัยของเจียงจิ่งเฟิงที่พูดได้หนึ่งคืน เวลาสิบกว่านาทีคือขีดจํากัดของเขาแล้ว อธิบายทุกอย่างเสร็จและวางสาย ในใจก็เริ่มวางแผนอย่างเงียบ ๆ ว่าจะใช้เวลาวันหยุดวันชาติทำอะไร
วันรุ่งขึ้น ก่อนที่เย่จื่อหยางจะไปรายงานต่อผู้บัญชาการว่าเขาจะขอวันหยุดในวันชาติ ก็มีคนวิ่งมาทักทายเขา
"หัวหน้าใหญ่ ปีนี้ วันหยุดวันชาติคุณก็ไม่ได้อีกแล้วใช่ไหมอย่าสิ้นเปลืองเลย เอามาให้ผมเถอะ" หนึ่งในสมาชิกในทีมพิเศษมองเย่จื่อหยางทำสีหน้าตั้งตารอ
เพราะในสายตาของพวกเขา หัวหน้าใหญ่ไม่ได้ขอลาพักร้อนในวันชาติมาหลายปีแล้ว และทุกครั้งก็ทิ้งวันหยุดของเขาให้กับเพื่อนร่วมทีมที่ต้องการลาพักร้อน ดังนั้นปีนี้พวกเขาจึงมาหาเย่จื่อหยางอย่างหน้าด้านๆ เพื่อขอลาพักร้อน
เย่จื่อหยางปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ไขว้มือบนหน้าอก มองพวกเขาและไม่ตอบสักครู่
พวกเขาพูดต่อว่า “หัวหน้าใหญ่ สงสารพวกเราเถอะ เพราะเป็นทหารเกณฑ์ ไม่ได้เห็นหน้าภรรยากับพ่อแม่มาสองปีแล้ว”
ถังซุ่นโผล่ออกมาจากไหนไม่รู้ แปะ แปะ แปะ ๆ เอื้อมมือไปตบที่หัวของพวกเขา "พวกนายอยากมีวันหยุดจนบ้าไปแล้วใช่ไหม ลืมไปแล้วหรือไงว่าหัวหน้าของเราเพิ่งแต่งงานจะสามารถยกวันหยุดอันล้ำค่าเช่นนี้ วันที่ได้อยู่กับพี่สะใภ้ให้กับนายได้ยังไง!"
ทุกคนคิดก็ว่ามันถูก แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้และมองไปที่เย่จื่อหยาง บางทีหัวหน้าอาจจะใจดีได้
เย่จื่อหยางหัวเราะเย็นชา "ถังซุ่นพูดถูก วันหยุดปีนี้ไม่สามารถมอบให้พวกนายได้ แต่วันหยุดของถังซุ่นสามารถมอบให้พวกนายได้"
พูดพลางยกมือขึ้นตบไหล่ของถังซุ่นและหันไปมองเขา "ใช่ไหม ถังซุ่น"
ถังซุ่นอัดอั้นคําพูดคัดค้านไว้ไม่อยู่ สีหน้าแสดงจะร้องไห้เต็มทน มองคนอื่นด้วยสีหน้าดีใจมาก สุดท้ายเขาก็พูดอย่างคําอ้อมค้อมว่า "ฉัน วันชาติของฉันจะไปนัดบอด... แม่จัดให้ จำเป็นต้องไป"
เย่จื่อหยางตบไหล่เขาอย่างแรง ทําให้ขาเขาสั้นลงสองถึงสามเซนติเมตร "นัดบอดไปได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ประวัติการฝึกของนายแย่ลงเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นเรื่องสําคัญ พอดีให้วันหยุดแก่คนที่เขาต้องการ นายอยู่ในกองทัพเพื่อฝึกที่ดี เมื่อฉันกลับมา ถ้าฉันไม่เห็นความก้าวหน้าของนาย เทศกาลฤดูใบไม้ผลิปีหน้านายคงออกไปไม่ได้!"
ถังซุ่นโกรธขึ้นทันที ปากขอร้องเย่จื่อหยางบอกอย่าเลยนะ อย่าทําเด็ดขาด แต่เย่จื่อหันหน้าก็ไม่หันกลับมา โบกมือและจากไปเตรียมไปกรอกใบสมัครลาหยุดต่อ
เหลือถังซุ่นและคนอีกสองสามคนที่จ้องมองเขา ถังซุ่นอยากวิ่งหนีแต่ถูกจับไว้ "พี่ถัง อย่าวิ่ง ไปเถอะ ไปเปลี่ยนวันหยุดกันเถอะ คําสั่งของหัวหน้าใหญ่ คุณต้องปฏิบัติตามนะ"
ตอนนี้เฉียนอ้ายเล่อเป็นวิทยากรที่โรงพยาบาล เธอสนิทกับซ่งเสี่ยวเชียนอย่างชัดเจน เรื่องอะไรก็ต้องพูดกับซ่งเสี่ยวเชียนคนเดียว เพื่อให้แน่ใจว่าเธอเข้าใจแล้ว แบบนี้ถึงจะพูดเรื่องต่อไปได้ จากนั้นโรงพยาบาลจะจัดให้เธอแนะแนวการผ่าตัดอะไร เธอก็ต้องมีซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ที่นั่นด้วยและให้เธอเรียนรู้ประสบการณ์อยู่ข้าง ๆ
ทุกคนแอบบงงงวย เพราะซ่งเสี่ยวเชียนนี้ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเย่ยังไม่พอ อาจารย์เฉียนโผล่มาจากไหนอีก ได้แต่เก็บความสงสัย คำซุบซิบเหล่านี้ทําได้แค่พูดลับหลังซ่งเสี่ยวเชียน ใครจะกล้าพูดต่อหน้า
!!
การดูแลในช่วงเวลาสั้นๆของเฉียนอ้ายเล่อก็ติดมาจากเจียงจิ่งเฟิง เธอคิดว่าอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ เธอก็ไม่คุ้นเคยกับใคร ก็รู้จักซ่งเสี่ยวเชียนอยู่คนเดียว และซ่งเสี่ยวเชียนยังให้พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านของเธอ จะว่ายังไงก็เป็นครึ่งครอบครัวกันแล้ว ครั้งที่แล้วซ่งเสี่ยวเชียนถูกรังแก ในใจเธอก็ไม่พอใจมาก ตอนนี้ต้องดูแลเธออย่างดี อย่าให้ใครรังแกอีกเพราะแม้ว่าซ่งเสี่ยวเชียนจะอายุเกือบสามสิบแล้ว แต่เธอก็อยู่ที่โรงเรียนมาตลอด ไม่เคยได้สัมผัสกับสังคมที่อันตรายนี้มากนัก ยังบริสุทธิ์อยู่ เฉียนอ้ายเลอระเบิดนิสัยความเป็นแม่ออกมา จะพูดอย่างไรก็ต้องปกป้องให้ดี จริง ๆ แล้วซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเฉียนอ้ายเล่อทําแบบนี้ไม่ดี แต่เฉียนอ้ายเล่อมีความสุข แน่นอนว่าครอบครัวของเธอก็ต้องใส่ใจมากขึ้น ทฤษฎีนี้ย้ายมาจากเจียงจิ่งเฟิงอย่างแท้จริงเพราะงั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็ไม่มีทางเลือก แต่เนื่องจากมีเฉียนอ้ายเลอให้คำแนะนําอย่างดี เธอจึงพัฒนาได้อย่างไว กว่านักศึกษาฝึกงานรุ่นเดียวกับเธอ นักศึกษารุนเดียวกันยังคงสังเกตการผ่าตัดอยู่ แต่เธอสามารถก้าวไปข้างหน้าเป็นผู้ช่วยของหมอหลักได้แล้ว การผ่
เฉินอ้ายเล่อจ้องเขาอย่างเคร่งขรึมแล้วพูดว่า "คุณหุบปากให้ฉันหน่อยได้ไหม" จากนั้นหันไปมองสีหน้าของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างเป็นห่วงแล้วพูดว่า "พี่ว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยกินข้าว กินอีกนิดเถอะ เมื่อก่อนเธอไม่ใช่แบบนี้นะนิ" พูดพลางเอื้อมมือไปจับหน้าผากซ่งเสี่ยวเชียน ทำท่าทางเหมือนแม่ที่สุด คนที่มีลูกแล้วก็เป็นแบบนี้ "ดูเหมือนจะผอมลงแล้ว ไม่สบายตรงไหน รีบบอกมา อย่าเก็บไว้คนเดียว"ซ่งเสี่ยวเชียนลูบหน้าตัวเองเหมือนผอมลงจริง ๆ "ร่างกายฉันไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ หลายวันมานี้เห็นดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ค่อยอยากกิน เวลาทําเรื่องมักจะรู้สึกกระสับกระส่าย คิดนั้นคิดนี่ไปเรื่อย ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะตอนกลางคืนนอนไม่หลับมั้ง ""เธอยังนอนไม่หลับอยู่" เฉียนอ้ายเล่อถามต่อซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้าเหมือนจะนิดหน่อย นอนแต่หัววัน แต่กลางดึกก็ตื่นขึ้นมา หลังจากตื่นขึ้นมาก็หลับยากแล้วเฉียนอ้ายเลอพยักหน้าและยิ้มเมื่อได้ยินอาการของเธอ "ฉันรู้แล้ว นี่เรียกว่าโรคความคิดถึง" ห้ะ!!! ซ่งเสี่ยวเชียนมองเฉียนอ้ายเ
การพบกันครั้งแรก สีหน้าของคุณปู่ดูเหมือนจะไม่ชอบเธอมากนัก วันนี้ในขณะที่เย่จื่อหยางไม่อยู่ ซ่งเสี่ยวเชียนก็รู้สึกได้ทันทีว่าคุณปู่ต้องการแยกพวกเขาออกจากกันแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ! ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนมีความรู้สึกดีๆให้เย่จื่อหยางแล้ว กําลังเตรียมที่จะให้เย่จื่อหยางกลายเป็นคนของเธอ ตอนนี้คุณปู่มาก่อกวน? ไม่ได้เด็ดขาด คุณปู่หันกลับมามองเธอ "พยายาม จะพยายามยังไงเธอชอบความรู้สึกที่ครึ่งเดือนก็ไม่ได้เจอหน้ากันสักครั้งหรอ,เมื่อเธอกลับบ้านมาก็ไม่เจอใครสักคนอยู่ในบ้านหรอ เย่จื่อหยางออกไปทำภารกิจไม่โทรหาเธอแม้แต่ครั้งเดียว เธอชอบแบบนี้เหรอ""ไม่ชอบค่ะ ไม่ชอบแน่นอน แต่คนที่ฉันรักคือเย่จื่อหยางคนนี้ และสิ่งที่ท่านพูดมันเป็นเพียงความจริงที่โหดร้าย นี่เป็นงานของเย่จื่อหยาง ดังนั้นฉันจะสนับสนุนเขา หนึ่งเดือนครึ่งไม่กลับบ้าน อย่างน้อยก็ยังเหลืออีกครึ่งเดือนที่จะได้เจอเขา คุณปู่ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง สามีของเธอก็เป็นทหารพิเศษ พวกเขาแต่งงานกันมาเจ็ดเกือบแปดปีแล้ว ไม่เคยทะเลาะกันเพราะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลยค่ะ ""อ่อ เพราะรักอะไรก็ได้ทุกอย่างเลยเหรอเด็กน้อย มันง่าย
เย่จื่อหยางสาบานว่าในชีวิตนี้ตราบใดที่เขาเห็นทางเข้ารถไฟใต้ดินจะต้องเดินอ้อม ๆไปไกลๆ เมื่อพบศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด เขาไม่เคยกลัวที่จะถูกจับเป็นเชลย แต่เขากลัวเมื่อเบียดรถไฟใต้ดินพนักงานออฟฟิศที่ไร้ชีวิตชีวานั่งอยู่ในอาคารสำนักงานโดยไม่มีการออกกำลังกาย แต่พวกเขาเก่งที่สุดในการเบียดในรถไฟใต้ดิน พวกเขาบีบทุกซอกทุกมุมและไม่พลาดโอกาสใด ๆ บางทีพวกเขาอาจใช้เวลาออกกำลังกายทั้งหมดในวันนั้นเพื่อเบียดเสียดในรถไฟใต้ดินซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเย่จื่อหยางทำท่าทางตกใจ ในใจเธอก็สงสาร ยืนอยู่เคียงข้างเขา รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คน เย่จื่อหยางสามารถจับห่วงจับได้ ซ่งเสี่ยวเชียนก็จะจับแขนของเขาไว้แทนเมื่อก่อนในรถไฟใต้ดินมักจะเห็นคู่รักยืนในท่าแบบนี้ เมื่อนานมาแล้วซ่งเสี่ยวเชียนก็อยากลองมานานแล้ว แต่ไม่แฟนซักที แต่ตอนนี้ก็ทําได้แล้ว ทั้งดีใจทั้งเสียใจเธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เขียวของเย่จื่อหยาง จึงหุปยิ้มทันที ดึงดึงแขนเสื้อของเขา "เบียดรถไฟใต้ดินเก่งใช่ไหมล่ะ ฉันเบียดทุกวันเลยนะ" หางตาของเย่จื่อหยางชักเล็กน้อย เม้มริมฝีปากไม่พูด เงยหน้าขึ้นไม่มองซ่งเสี่ยวเชียน
"ไม่เอาหรือไม่เอา!" ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็เริ่มต่อต้านอย่างรุนแรง เย่จื่อหยางหยุดและมองกลับมามองเด็กคนนั้น เขาพยายามที่จะสลัดมือออก แต่เย่จื่อหยางก็ยิ่งจับแน่นขึ้น "ปล่อยผม! ผมไม่อยากไปสถานีตำรวจ!" เจ้าเด็กตัวเล็กต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง เย่จื่อหยางจึงอุ้มเขาขึ้นมา แขนคาดเอวของเขา แบกเขาไปทั้งแบบนี้ เมื่อถูกแบกไปแบบนี้แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่เด็กคนนี้ก็ยังต่อต้าน เท้าถีบสะเปะสะปะ แต่เย่จื่อหยางก็ยังไม่ปล่อยมือเกือบจะเดินออกจากซอยแล้ว รีบคว้ามือเย่จื่อหยางขึ้นมาทันทีและกัดที่หลังมือของเขาอย่างแรง เขาเจ็บปวดมาก ขมวดคิ้ว เด็กคนนี้กัดและดิ้นรนไปด้วย มือทั้งสองข้างทั้งตบทั้งตีเขา แต่ว่าเย่จื่อหยางจะไปขัดขวางและไม่ตอบสนองเด็กน้อยอาศัยช่องว่างกระโดดลงไปทันที ในขณะที่แขนของเขาหลวมเล็กน้อยแล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปในซอยลึกเย่จื่อหยางมองหลังมือตัวเอง เด็กน้อยคนนี้โหดจริง ๆ กัดเลือดออกเลย เขาไล่เข้าไปในซอยลึกของตรอกและไม่เห็นเงาของเด็กน้อยคนนั้นแล้วซ่งเสี่ยวเชียนกลับบ้านด้วยความโกรธและโยนกระเป๋าลงบนโซฟาอย่างแรง เจียงจิ่งเฟิงกําลังเก็บเสื้อผ้าที
"หยุดแกเป็นใครมาจากไหน บอกชื่อมา มาก่อกวนธุรกิจของพวกเราเพื่ออะไรกันแน่"ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนตะโกน ตอนนี้เย่จื่อหยางมองเห็นมีดที่คอของซ่งเสี่ยวเชียน พวกคนเหล่านี้ต้องการเอาซ่งเสี่ยวเชียนมาข่มขู่เขา ไม่เจียมกระลาหัว มือของเย่จื่อหยางกําลังจับปกคอของอีกคนคนหนึ่งอยู่ เขาหยุดชั่วขณะแล้วปล่อยออก ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นทันทีด้วยสีหน้าทุลักทุเล เขายืนตัวตรงและมองคนที่อยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนเขายึดตัวเองไว้ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียน เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ขี้ขลาด เย่จื่อหยางเยาะเย้ยว่า "ฉันไม่ใช่คนที่เดินผ่านไปมา ฉันแค่มาเอากระเป๋าเงินของภรรยาของฉันคืน ตอนนี้ฉันเจอแล้ว ปล่อยเธอไป ฉันก็ปล่อยพวกแกไป"เย่จื่อหยางยกประเป๋าเงินในมือของตัวเองขึ้นแล้วส่ายไปส่ายมาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่จื่อหยาง จู่ ๆ ก็หยิบปืนพกออกมาจากเอว บรรจุกระสุน หันหน้าไปทางขมับของเย่จื่อหยาง "ถุย!" คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง ยกมือขึ้น ไม่งั้นฉันจะยิงให้หัวแกกระจุยแน่ต้าหู่ ไอ้พวกนี้มันต้องเป็นคนที่ตํารวจส่งมาแน่ ๆ พวกเรารีบไปเอาเด็กชั้นบนกลุ่มนั้นออกไปดีกว่า!"
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"