เฉินอ้ายเล่อจ้องเขาอย่างเคร่งขรึมแล้วพูดว่า "คุณหุบปากให้ฉันหน่อยได้ไหม" จากนั้นหันไปมองสีหน้าของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างเป็นห่วงแล้วพูดว่า "พี่ว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยกินข้าว กินอีกนิดเถอะ เมื่อก่อนเธอไม่ใช่แบบนี้นะนิ"
พูดพลางเอื้อมมือไปจับหน้าผากซ่งเสี่ยวเชียน ทำท่าทางเหมือนแม่ที่สุด คนที่มีลูกแล้วก็เป็นแบบนี้ "ดูเหมือนจะผอมลงแล้ว ไม่สบายตรงไหน รีบบอกมา อย่าเก็บไว้คนเดียว"
ซ่งเสี่ยวเชียนลูบหน้าตัวเองเหมือนผอมลงจริง ๆ "ร่างกายฉันไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ หลายวันมานี้เห็นดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ค่อยอยากกิน เวลาทําเรื่องมักจะรู้สึกกระสับกระส่าย คิดนั้นคิดนี่ไปเรื่อย ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะตอนกลางคืนนอนไม่หลับมั้ง "
"เธอยังนอนไม่หลับอยู่" เฉียนอ้ายเล่อถามต่อ
ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้าเหมือนจะนิดหน่อย นอนแต่หัววัน แต่กลางดึกก็ตื่นขึ้นมา หลังจากตื่นขึ้นมาก็หลับยากแล้ว
เฉียนอ้ายเลอพยักหน้าและยิ้มเมื่อได้ยินอาการของเธอ "ฉันรู้แล้ว นี่เรียกว่าโรคความคิดถึง"
ห้ะ!!! ซ่งเสี่ยวเชียนมองเฉียนอ้ายเลอแบบอย่ามาตลก
เฉียนอ้ายเล่อตบหน้าเธอเบาๆแล้วพูดว่า "เธออย่าคิดว่าพี่จะพูดเพ้อเจ้อสิ เมื่อก่อนตอนที่พี่คบกับเจียงจิ่งเฟิงเขาก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ เขามักจะต้องกลับไปที่กองทัพ ตอนนั้นพี่อาการคล้ายกับเธอนิแหละ ที่จริงเธอยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้พูดใช่ไหม คือคิดถึงเขาตลอดว่าเขาจะทําอะไรเมื่อไหร่เค้าจะโผล่หน้ามาให้เจออีก?"
ซ่งเสี่ยวเชียนก็มหน้าลงอย่างกระอักกระอ่วน ราวกับว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ……
คนที่ตื่นเต้นไม่ใช่ซ่งเสี่ยวเชียน แต่เป็นคนที่นั่งอยู่ข้างๆเจียงจิ่งเฟิง เขาจับมือเฉียนอ้ายเล่อไว้ "ที่รัก ฉันไม่เคยได้ยินคุณพูดเรื่องนี้เลย คุณคิดถึงว่าฉันจนข้าวปลาไม่อยากกินเลยหรอ โอ้ ความสุขเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป แต่ฉันชอบความกระทันหันแบบนี้..."
เฉียนอ้ายเล่อมองท่าทางภาคภูมิใจของเขาและยื่นมือตบที่หัวเขาให้เขา "คุณหุบปาก!" จากนั้นจึงพูดคุยกับซ่งเสี่ยวเชียนต่อ "คิดก็คิดไปเถอะ หลังจากที่เย่จื่อหยางกลับมา ทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่พี่ต้องเตือนเธอว่า พวกเธออยู่ด้วยกัน วันที่รอคอยแบบนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาสั้น ๆ นะ เตรียมใจไว้ดีกว่า"
ซ่งเสี่ยวเชียนเอามือเท้าคาง มองสองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วถามว่า "พี่เล่อเล่อ เมื่อก่อนพี่รอไอดอลเขากลับบ้านแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ"
"รอสิ แต่ว่าเขาจะโทรกับพี่ทุกวัน แบบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย" ทันใดนั้นเฉียนอ้ายเล่อก็นึกถึงเรื่องในอดีตและรู้สึกดีใจและอบอุ่นมาก ลูบๆคางของเจียงจิ่งเฟิง เจียงจิ่งเฟิงเหมือนสุนัขที่ซื่อสัตย์และชอบการสัมผัสของเธอแบบนี้มาก
"ทุกวันเลยเหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนเริ่มเปรียบเทียบอีกครั้ง เย่จื่อหยางกลับไปที่กองทัพเป็นเวลากว่าอาทิตย์แล้ว เขาโทรหาเธอเพียงครั้งเดียว
เฉียนอ้ายเล่อพยักหน้า "รําคาญเขาจะตายตอนนั้น เช้าครั้งหนึ่ง บ่ายครั้งหนึ่ง ตอนเย็นต้องวิดีโอ เหมือนสอดแนมพี่ว่าทําอะไรต่อวันต้องบอกเขาให้หมด พูดประโยคเดียวหลายร้อยครั้ง นิสัยแบบเย่จื่อหยางดีกว่าเจียงจิ่งเฟิงมาก อย่างน้อยก็จะไม่รบกวนเธอตอนเธอยุ่ง"
"นั้นเรียกว่ารําคาญเหรอ นั่นเรียกว่าความห่วงใย!" เจียงจิ่งเฟิงโต้กลับ
ซ่งเสี่ยวเชียนอ้ำๆอึ้งๆ ฮึ่ม เฉียนอ้ายเล่อเธอผ่านเรื่องที่ 'น่ารําคาญ' เหล่านี้มาแล้ว แต่ซ่งเสี่ยวเชียนไม่เคยประสบมาก่อน มนุษย์เมื่อไม่มีแล้วถึงรู้จักรักษา
ไม่อยากกินก็ไม่กินแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนจัดการอาหารตรงหน้าเธอหมดแล้ว และไม่อยากจะเป็นก็างขวางคออีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงเรียกรถกลับบ้านคนเดียว พอเปิดประตู ไฟในห้องนั่งเล่นเปิดอยู่ มีคนนั่งอยู่บนโซฟา มองไปที่หลังนั้น ซ่งเสี่ยวเชียนมองจากด้านหลังแบบนี้เหมือนเย่จื่อหยางเล็กน้อย
ในทันใดนั้นในใจเธอดีใจเป็นอย่างมาก กลับบ้านก่อนเวลา เพื่อทําให้เธอประหลาดใจ
ก้าวเล็ก ๆ รีบตรงเข้าไปหาคนนั้น "เย่จื่อหยาง คุณกลับมาแล้ว" พอพูดอย่างตื่นเต้นเธอก็เสียใจทันที เมื่อมองเห็นอย่างชัดเจนว่าคนนั้นเป็นใคร ตกใจจนล้มลงบนโซฟาเดี่ยวข้าง ๆ
"คุณปู่!"
ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนคําเรียกนี้อย่างรีบร้อน คุณปู่ของเย่จื่อหยางมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ขาตั้งฉาก เอวตั้งตรง ทีวีก็ไม่ได้เปิด นั่งอยู่เงียบ ๆ ในบ้านที่ไม่มีใครสักคน ยิ่งคิด ซ่งเสี่ยวเชียนก็ยิ่งตื่นตระหนก
คุณปู่กําลังหลับตาและรอให้ซ่งเสี่ยวเชียนกลับบ้าน แต่ทันทีที่กลับมาก็เอะอะโวยวายเรียกชื่อเย่จื่อหยาง คุณปู่ส่ายหัว เฮ้อ ดูเหมือนว่ายังต้องสั่งสอนกันอีกมาก
เมื่อลืมตาขึ้น มองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีสีหน้าประหลาดใจ ถามอย่างใจจดใจจ่อว่า “เลิกงานแล้วไม่กลับบ้านไปไหน เพราะเย่จื่อหยางไม่อยู่บ้าน เลยออกไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมงานหรือ”
"เอ่อ... เอ่อ... ไม่ใช่ค่ะ..." ซ่งเสี่ยวเชียนชี้นิ้วไปชี้นิ้วมาไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง บอกว่าเที่ยวเล่น เธอก็ไม่ได้เที่ยวเล่น แต่บอกว่าไม่ได้เที่ยวเล่น เธอก็ไม่มีหลักฐาน
"ฮึ่ม" คุณปู่ส่งเสียงฮึ่มๆ แล้วเงยหน้าสำรวจห้อง จริง ๆ แล้วก่อนที่ซ่งเสี่ยวเชียนยังไม่กลับมา เขาได้สํารวจทั้งห้องนานแล้ว "ห้องสะอาดไม่เลว แต่ฉันเห็นห้องรับแขกมีของใช้กับปูผ้าปูเตียงอยู่ ทําไมพวกเธอแยกห้องนอนกัน"
คุณปู่พูดแบบนี้ก็เพื่อจะลองใจซ่งเสี่ยวเชียน ตาแก่สายตาเฉียบแหลม แค่เห็นห้องรับแขกก็รู้ว่าต้องมีใครสักคนมาพักที่บ้าน และแน่นอนว่าเป็นสามีภรรยากัน ส่วนห้องนอนของเย่จื่อหยางตู้เสื้อผ้าก็วางเสื้อผ้าของคนสองคนไว้ วิเคราะห์ง่าย ๆ บ้านนี้ต้องอาศัยอยู่สี่คนสองสามีภรรยา
"อ๊ะ...? ฉัน นั่นคือ... เอ่อ... เพื่อนของฉันมาทํางานที่เมืองหลวงนี้ ฉันก็เลยให้เธอพักที่บ้านของฉันก่อน" ซ่งเสี่ยวเชียนมองสีหน้าของชายแก่ตรงหน้า มักจะรู้สึกว่าเธอพูดอะไรก็ผิดและจะถูกตีแน่นอน
คุณปู่มาตรวจสอบอย่างกะทันหัน ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ได้เตรียมใจเลย พูดก็ไม่ราบรื่นสักประโยค
"อ่อ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะค่อนข้างดี ให้พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านของตัวเอง งั้นงานบ้านพวกนี้ก็คงไม่ใช่เธอทำใช่ไหม" คุณปู่เป็นเทพเจ้าแน่ๆ เดาถูกทุกอย่าง ซ่งเสี่ยวเชียนเกือบจะคุกเข่ายอมรับผิดแล้ว
ทันใดนั้นคุณปู่ก็ลุกขึ้นเดินไปเดินมาพูดว่า “พวกเธอก็แต่งงานกันมาได้สักพักแล้ว ปรับตัวได้ไหม ลักษณะการทํางานของเย่จื่อหยาง และอารมณ์ของเขา เขาดูแลคนไม่ค่อยเก่ง อายุก็จะสามสิบแล้ว เขาอาจจะยังคิดไม่รอบคอบ ดูแลเขาให้ดี ฉันดูเธอก็ไม่ค่อยจะโอเค ใช้ชีวิตอยู่กับเขามีทะเลาะกันใช่ไหมล่ะ "
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นคุณปู่ลุกขึ้นแล้ว เธอจึงรีบลุกขึ้นตาม คิดว่าคุณปู่พูดประโยคนี้หมายความว่าอย่างไร ฟังแล้วรู้สึกว่าต้องการให้เขาถอยกลับถ้ารู้สึกถึงความยากลําบาก
"ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะพยายามดูแลเขาให้ดี และเดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ภรรยาควรทําอยู่แล้ว" ซ่งเสี่ยวเชียนเกาหัวและพูด รู้สึกว่าคุณปู่ต้องการบังคับให้เธอออกจากเย่จื่อหยาง
!!
การพบกันครั้งแรก สีหน้าของคุณปู่ดูเหมือนจะไม่ชอบเธอมากนัก วันนี้ในขณะที่เย่จื่อหยางไม่อยู่ ซ่งเสี่ยวเชียนก็รู้สึกได้ทันทีว่าคุณปู่ต้องการแยกพวกเขาออกจากกันแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ! ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนมีความรู้สึกดีๆให้เย่จื่อหยางแล้ว กําลังเตรียมที่จะให้เย่จื่อหยางกลายเป็นคนของเธอ ตอนนี้คุณปู่มาก่อกวน? ไม่ได้เด็ดขาด คุณปู่หันกลับมามองเธอ "พยายาม จะพยายามยังไงเธอชอบความรู้สึกที่ครึ่งเดือนก็ไม่ได้เจอหน้ากันสักครั้งหรอ,เมื่อเธอกลับบ้านมาก็ไม่เจอใครสักคนอยู่ในบ้านหรอ เย่จื่อหยางออกไปทำภารกิจไม่โทรหาเธอแม้แต่ครั้งเดียว เธอชอบแบบนี้เหรอ""ไม่ชอบค่ะ ไม่ชอบแน่นอน แต่คนที่ฉันรักคือเย่จื่อหยางคนนี้ และสิ่งที่ท่านพูดมันเป็นเพียงความจริงที่โหดร้าย นี่เป็นงานของเย่จื่อหยาง ดังนั้นฉันจะสนับสนุนเขา หนึ่งเดือนครึ่งไม่กลับบ้าน อย่างน้อยก็ยังเหลืออีกครึ่งเดือนที่จะได้เจอเขา คุณปู่ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง สามีของเธอก็เป็นทหารพิเศษ พวกเขาแต่งงานกันมาเจ็ดเกือบแปดปีแล้ว ไม่เคยทะเลาะกันเพราะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเลยค่ะ ""อ่อ เพราะรักอะไรก็ได้ทุกอย่างเลยเหรอเด็กน้อย มันง่าย
เย่จื่อหยางสาบานว่าในชีวิตนี้ตราบใดที่เขาเห็นทางเข้ารถไฟใต้ดินจะต้องเดินอ้อม ๆไปไกลๆ เมื่อพบศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด เขาไม่เคยกลัวที่จะถูกจับเป็นเชลย แต่เขากลัวเมื่อเบียดรถไฟใต้ดินพนักงานออฟฟิศที่ไร้ชีวิตชีวานั่งอยู่ในอาคารสำนักงานโดยไม่มีการออกกำลังกาย แต่พวกเขาเก่งที่สุดในการเบียดในรถไฟใต้ดิน พวกเขาบีบทุกซอกทุกมุมและไม่พลาดโอกาสใด ๆ บางทีพวกเขาอาจใช้เวลาออกกำลังกายทั้งหมดในวันนั้นเพื่อเบียดเสียดในรถไฟใต้ดินซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเย่จื่อหยางทำท่าทางตกใจ ในใจเธอก็สงสาร ยืนอยู่เคียงข้างเขา รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คน เย่จื่อหยางสามารถจับห่วงจับได้ ซ่งเสี่ยวเชียนก็จะจับแขนของเขาไว้แทนเมื่อก่อนในรถไฟใต้ดินมักจะเห็นคู่รักยืนในท่าแบบนี้ เมื่อนานมาแล้วซ่งเสี่ยวเชียนก็อยากลองมานานแล้ว แต่ไม่แฟนซักที แต่ตอนนี้ก็ทําได้แล้ว ทั้งดีใจทั้งเสียใจเธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เขียวของเย่จื่อหยาง จึงหุปยิ้มทันที ดึงดึงแขนเสื้อของเขา "เบียดรถไฟใต้ดินเก่งใช่ไหมล่ะ ฉันเบียดทุกวันเลยนะ" หางตาของเย่จื่อหยางชักเล็กน้อย เม้มริมฝีปากไม่พูด เงยหน้าขึ้นไม่มองซ่งเสี่ยวเชียน
"ไม่เอาหรือไม่เอา!" ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็เริ่มต่อต้านอย่างรุนแรง เย่จื่อหยางหยุดและมองกลับมามองเด็กคนนั้น เขาพยายามที่จะสลัดมือออก แต่เย่จื่อหยางก็ยิ่งจับแน่นขึ้น "ปล่อยผม! ผมไม่อยากไปสถานีตำรวจ!" เจ้าเด็กตัวเล็กต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง เย่จื่อหยางจึงอุ้มเขาขึ้นมา แขนคาดเอวของเขา แบกเขาไปทั้งแบบนี้ เมื่อถูกแบกไปแบบนี้แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่เด็กคนนี้ก็ยังต่อต้าน เท้าถีบสะเปะสะปะ แต่เย่จื่อหยางก็ยังไม่ปล่อยมือเกือบจะเดินออกจากซอยแล้ว รีบคว้ามือเย่จื่อหยางขึ้นมาทันทีและกัดที่หลังมือของเขาอย่างแรง เขาเจ็บปวดมาก ขมวดคิ้ว เด็กคนนี้กัดและดิ้นรนไปด้วย มือทั้งสองข้างทั้งตบทั้งตีเขา แต่ว่าเย่จื่อหยางจะไปขัดขวางและไม่ตอบสนองเด็กน้อยอาศัยช่องว่างกระโดดลงไปทันที ในขณะที่แขนของเขาหลวมเล็กน้อยแล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปในซอยลึกเย่จื่อหยางมองหลังมือตัวเอง เด็กน้อยคนนี้โหดจริง ๆ กัดเลือดออกเลย เขาไล่เข้าไปในซอยลึกของตรอกและไม่เห็นเงาของเด็กน้อยคนนั้นแล้วซ่งเสี่ยวเชียนกลับบ้านด้วยความโกรธและโยนกระเป๋าลงบนโซฟาอย่างแรง เจียงจิ่งเฟิงกําลังเก็บเสื้อผ้าที
"หยุดแกเป็นใครมาจากไหน บอกชื่อมา มาก่อกวนธุรกิจของพวกเราเพื่ออะไรกันแน่"ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนตะโกน ตอนนี้เย่จื่อหยางมองเห็นมีดที่คอของซ่งเสี่ยวเชียน พวกคนเหล่านี้ต้องการเอาซ่งเสี่ยวเชียนมาข่มขู่เขา ไม่เจียมกระลาหัว มือของเย่จื่อหยางกําลังจับปกคอของอีกคนคนหนึ่งอยู่ เขาหยุดชั่วขณะแล้วปล่อยออก ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นทันทีด้วยสีหน้าทุลักทุเล เขายืนตัวตรงและมองคนที่อยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนเขายึดตัวเองไว้ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียน เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ขี้ขลาด เย่จื่อหยางเยาะเย้ยว่า "ฉันไม่ใช่คนที่เดินผ่านไปมา ฉันแค่มาเอากระเป๋าเงินของภรรยาของฉันคืน ตอนนี้ฉันเจอแล้ว ปล่อยเธอไป ฉันก็ปล่อยพวกแกไป"เย่จื่อหยางยกประเป๋าเงินในมือของตัวเองขึ้นแล้วส่ายไปส่ายมาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่จื่อหยาง จู่ ๆ ก็หยิบปืนพกออกมาจากเอว บรรจุกระสุน หันหน้าไปทางขมับของเย่จื่อหยาง "ถุย!" คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง ยกมือขึ้น ไม่งั้นฉันจะยิงให้หัวแกกระจุยแน่ต้าหู่ ไอ้พวกนี้มันต้องเป็นคนที่ตํารวจส่งมาแน่ ๆ พวกเรารีบไปเอาเด็กชั้นบนกลุ่มนั้นออกไปดีกว่า!"
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"