เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก
"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาว
สำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”
เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”
เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ซ่งเสี่ยวเชียนตกตะลึงเล็กน้อยและหันกลับไปมองเย่จื่อหยางด้วยความไม่เชื่อ เย่จื่อหยางหยิบกระเป๋าสตางค์ของเขากลับมาแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าของตัวเอง "ในยุคนี้ บางสิ่งบางอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด เธอเป็นหนี้ฉันร้อยหยวน อย่าลืมจ่ายคืนให้ฉันด้วย”
พูดจบ เย่จื่อหยางก็มองไปที่เด็กน้อยและรีบเดินตามออกจากทางเดินใต้ดิน ซ่งเสี่ยวเชียนก็ไม่รอช้า "นี่ พวกเรามีความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว คุณยังคิดบัญชีกับฉันอยู่หรอฮ่ะ?"
เย่จื่อหยางยิ้ม รอยยิ้มของเขาช่างสวยงามเป็นพิเศษ และถามว่า "เรามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน?"
ซ่งเสี่ยวเชียนเขินเกินกว่าจะมองหน้าเขา เธอก้มหน้าลงแล้วเอามือซางๆผม “ก็ความสัมพันธ์แบบนั้นๆไง คุณยังไม่รู้อีกหรอ ” ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่านิสัยของเธอเองไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น พวกเขาจะพูดออกมาได้ไหม?
เมื่อเย่จื่อหยางได้ยินคำตอบของเธอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา น่ารักจริงๆ บางครั้งคำตอบที่ไม่คาดคิดก็ทำให้เขารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ เขาเอื้อมมือไปลูบที่หัวของเธอ
ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก และซ่งเสี่ยวเชียนก็ตระหนักว่าพวกเขากำลังตามเด็กตาบอดอยู่ "เฮ้ ทำไมคุณถึงตามเด็กคนนั้นล่ะ?"
“ยังอยากได้กระเป๋าเงินของเธอไหม?”
“ตามเขาไปจะเจอหรอ?”
บางครั้งเย่จื่อหยางก็คิดว่าซ่งเสี่ยวเชียนโง่ได้น่ารักจริงๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งเมื่อเมื่อเขาไปปฏิบัติภารกิจ ผู้คนรอบตัวเขามักจะมีความเข้าใจโดยปริยายกับเขาเสมอ เพียงมองตาครั้งเดียว ทุกคนก็รู้ว่าต้องทำอะไร ตอนนี้เปลี่ยนเป็นซ่งเสี่ยวเชียน เธอเป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นเธอถึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวแล้วก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
เย่จื่อหยางพาซ่งเสี่ยวเชียนออกมาในวันนี้ด้วยเหตุผลง่ายๆ แน่นอนว่าเป็นการปกปิดสายตาของผู้อื่น จากการวิเคราะห์ของเขา จะต้องมีการค้ามนุษย์อยู่ที่นี่ ซึ่งซ่อนอยู่ในใจกลางเมืองหลวงของจักรพรรดิ ช่างใจกล้ามาก
แก๊งนี่น่าจะมีสายลับอยู่ทุกหนทุกแห่ง แก๊งนี้ไม่เพียงแต่ลักพาตัวและค้าเด็กเท่านั้น แต่ยังใช้เด็กโกงและขโมยเพื่อหาเงินด้วย มันมีอำนาจอย่างมาก ร้านค้าเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ อาจถูกข่มขู่หรือติดสินบนจากคนเหล่านั้น เมื่อตำรวจมาสอบปากคำจึงไม่พบอะไร
เขาไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วหรือแค่กลับบ้านมาเพื่อเก็บเสื้อผ้าสองสามชิ้นแล้วออกเดินทาง จึงไม่ได้สังเกตอะไรมาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเขาอยู่ที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์เหล่านี้จึงเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จนถูกเขาสังเกตเห็น
เย่จื่อหยางเอาแขนของเขาโอบไหล่ของซ่งเสี่ยวเชียนแกล้งทำเป็นว่าพวกเขาเป็นเพียงคู่รักธรรมดาที่ออกเดท ดังนั้นพวกเขาจะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ให้ข้อมูลของแก๊งค์
ซ่งเสี่ยวเชียนบิดไหล่ของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ "เกิดบ้าอะไรขึ้นกับคุณอีกไหล่ของฉันเป็นที่ที่คุณจะเอาแขนมาวางก็เอามาวางได้หรอ" ขณะเธอพูดก็พยายามจะดึงมือของเขาออก
เย่จื่อหยางเพิ่มกำลังมือของเขากดลงที่ไหล่ของเธอ เด็กที่กำลังเดินนำหน้าเขาไปประมาณ 10 เมตร ทันใดนั้นก็เลี้ยวซ้ายและเข้าไปในซอยเล็ก ๆ เย่จื่อหยางรีบรีบวิ่งตามทันที ครั้งที่แล้วฉันถูกทิ้งไว้โดนเด็กน้อยพวกนั้น ครั้งนี้ต้องตามให้ทัน
“ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นสายลับ ฉันจะเข้าไปสำรวจก่อน ถ้ามีข่าวอะไร เธอรีบแจ้งตำรวจแทนฉันได้ไหม” ขณะที่เดินเย่จื่อหยางเดินไปก็พูดไป ซ่งเสี่ยวเชียวรู้สึกสนใจมาก มันเรื่องที่ดีไง
ซ่งเสี่ยวเชียนถูกเขาพาวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธอทำได้เพียงวิ่งแล้ว ขาสั้นของเธอจะสามารถเปรียบกับขายาวของเย่จื่อหยาง
อย่างไรก็ตาม เธอนับถือเด็กน้อยที่อยู่ข้างหน้าจริงๆ ตามองไม่เห็น แต่เดินราวกับเดินบนพื้นเรียบ เลี้ยวซ้ายขวาแต่ไม่ได้สัมผัสอะไรเลย เด็กคนนั้นคงไม่ใช่แกล้งตาบอดหรอกนะ?
อาคารที่รายล้อมด้วยตรอกเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบ้านเก่าที่ยังไม่รื้อถอน สูงเพียง 5-6 ชั้น ดูเก่ามาก ตึกบางหลังก็ว่างเปล่าไปหมด ผู้คนถูกย้ายออกไปพักสถานที่ใหม่หมด แต่ก็มีคนต่างถิ่นหนุ่มสาวบ้างที่มาพักแถวนี้ เพราะค่าเช่าถูก
ท้ายที่สุดแล้วเหลือเพียงอาคารที่ว่างเปล่า ในเมืองหลวงของจักรพรรดิที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเป็นคนเดียวที่ใช้ชีวิตสบาย ๆ ทุกวัน พวกเขาสบายใจกว่าใคร ๆ แต่พวกเขารู้สึกเหงามากกว่าใคร ๆ
เลี้ยวซ้ายแล้วลี้ยวขวา เย่จื่อหยางก็เดินตามไปอย่างติดๆ แต่ซ่งเสี่ยวเชียนเริ่มงงแล้ว หากให้เดินออกไปออกไปข้างนอกคนเดียวเธอคงจะหลงทางอย่างแน่นอน
ในที่สุด หลังจากเดินไปมากกว่าสิบนาทีในตรอกซอกที่คดเคี้ยวเหล่านี้ เด็กที่อยู่ข้างหน้าก็เดินเข้าไปในอาคารเก่าหลังหนึ่ง เย่จือหยางหยุดที่ด้านล่างของอาคาร มองขึ้นไปที่อาคารทั้งหมด มีหกชั้น หน้าต่างสี่บาน พื้นพื้นที่ค่อนข้างใหญ่
เย่จื่อหยางพาซ่งเสี่ยวเชียนมาหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง มีคนเดินบนถนนที่นี่ไม่มากนัก "อย่าไปไหน อยู่แค่ที่นี่ ฉันจะเข้าไปดูก่อน หากไม่มีการเคลื่อนไหวภายในห้านาที จำไว้ ให้แจ้งตำรวจ เธอรู้จักที่อยู่ที่นี่ไหม ?"
ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้าและพูดติดตลกว่า "ทำไมฉันรู้สึกเหมือนคุณกำลังแสดงละครอยู่เลยล่ะ"
เย่จื่อหยางยิ้มและไม่ตอบ อธิบายอย่างละเอียดอีกครั้ง ไม่ว่ายังไงซ่งเสี่ยวเชียวก็ไม่ใช่สมาชิกในทีมที่ได้รับการฝึกฝนมา เธอจะกังวลและลืมสิ่งต่าง ๆ เมื่อเธอกังวล เขาต้องอธิบายอีกครั้งและอีกครั้ง หลังจากนั้นสำรวจไปรอบ ๆ เดินเข้าไปในอาคารอย่างเงียบ ๆ
ซ่งเสี่ยวเชียนรออยู่ข้างนอกคนเดียว เธอปาดเหงื่อจากหน้าผากแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือช่องว่าง ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมก็เงียบสงบมาก เธอหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งราวกับว่าเธอได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองด้วยซ้ำ
นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง แม้ว่าคราวนี้จะเป็นเรื่องสำคัญ และเธอก็รู้ว่าถ้าเข้าไปกับเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งที่เธอช่วยได้ก็คือการอยู่ตรงนี้ และมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เธออยู่คนเดียวที่นี่ในลักษณะนี้ ตรอกที่เงียบสงัดแม้จะเป็นเวลากลางวันแสกๆ แต่เธอก็ยังหวาดกลัว
!!
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
“บ้านเกิดผมอยู่ในเขตชนบทของมณฑลส่านซี พ่อแม่ฉันยังมีชีวิตอยู่ มีพี่ชายหนึ่งคนเปิดร้านอาหารในเมือง ถือว่าทำเงินได้ดีเลยล่ะ ส่วนผมเรียนจบมหาวิทยาลัยซิงหัว ตอนนี้ฉันซื้อบ้านหนึ่งหลังใจกลางเมืองหลวง มีรถBMW อ่อ คุณเคยบอกว่าคุณเป็นนักศึกษาแพทย์ เพิ่งจบปริญญาเอกแล้วกลับประเทศใช่ไหมครับ? เรียนแพทย์มันต้องใช้เวลา หางานได้หรือยังครับ ?ถ้ายังไม่ได้ ผมมีคนรู้จักสามารถให้คุณเข้าไปทำงานโรงพยาบาลใหญ่รัฐบาลได้ แต่ว่าด้วยเงินเดือนของผมตอนนี้ ถ้าเราแต่งงานกัน คุณแค่ทำหน้าที่เป็นภรรยาอยู่บ้านไม่ต้องออกไปทำงานเลยก็ได้อ๋อใช่ คุณยังไม่ได้บอกคุณอายุเท่าไหร่เลย แล้วก็คุณคิดว่าผมโอเคไหม ? ”เป็นครั้งที่ 10 แล้ว หลังจากที่ซ่งเสี่ยวเชียนถูกครอบครัวบังคับให้ไปนัดบอดตั้งแต่ที่เธอกลับมาถึงจีน ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเธออายุ 38 ปี ใส่แว่นหนาเตอะหัวล้านถึงกลางหัว ตามที่เขาอธิบายมันเกิดจากความกดดันจากสภาพจิตใจการทำงานเกี่ยวกับสายงานไอที เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซ่งเสี่ยวเชียนตอบด้วยน้ำเสียงคลายความสงสัย อ๋อ มิน่าล่ะอันที่จริง เธออยากจะจบบทสนทนาระหว่างหนุ่มไอทีคนนี้มานานแล้ว เพราะเธอไม่ชอบผู้ชายใส่แว่นเอาเสียเลย แต่ห
ในบาร์ที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงดนตรีไพเราะขับกล่อม ซ่งเสี่ยวเชียนนั่งที่บาร์ถือแก้วไวน์ เธอดื่มไวน์ในแก้วรวดเดียว ไม่รู้ว่าดื่มไปกี่แก้วแล้วเธอรู้สึกเมาเล็กน้อยแล้ว เธอวางคางไว้บนมือรู้สึกสับสนเล็กน้อย สมองกำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ และไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ทันใดนั้น มีคนนั่งบนที่นั่งห่างจากเธอ 2 ที่นั่ง คนๆ นั้นขอวิสกี้แก้วหนึ่งแล้วดื่มรวดเดียว เธอมองเห็นคนๆ นั้นไม่ค่อยชัด แต่เธอรู้สึกว่ารัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขานั้นทำให้คนรู้สึกว่าไม่ควรเข้าใกล้ซ่งเสี่ยวเชียนเอาแต่มองคนๆ นั้นด้วยความสงสัย บางทีอาจเป็นเพราะออร่าของเขาที่ไม่เหมือนกับคนอื่นทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนเอาแต่จ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขา เขาคนนั้นสังเกตเห็นว่า ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขามานานแล้ว แค่เขาไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง ตั้งหน้าตั้งตาดื่ม ดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าต่อ ๆ ไปไม่รู้จบเพราะความเมา บางครั้งสายตาของเธอก็พร่ามัวและบางครั้งก็ชัดเจน และเธอก็ไม่ได้ตระหนักว่าการจ้องคนอื่นเช่นนี้เป็นการไม่สุภาพ แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่สนใจที่ถูกเธอจ้องมองมากขนาดนี้ เธอยังคงจ้องมองอย่าเอาเป็นเอาตาย และยังคงดื่มไวน์ของตัวเองอย่างชิวๆ
ใช่แล้ว เย่จื่อหยางวัย 30 ปียังไม่แต่งงานและไม่มีแฟน ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการแต่งงาน แต่มีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสถานะทางทหารของเขาเพราะเขามีความสามารถรอบด้าน ละเอียดรอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีผลงานยอดเยี่ยม ผู้บังคับบัญชาจึงเห็นคุณค่าของเขาเสมอ ตราบใดที่งานเล็กหรือใหญ่เหมาะกับเขา ผู้บังคับบัญชาก็จะมอบหมายให้เขา เขามีภาระหน้าที่มากขึ้นและ มีโอกาสทำภาระกิจมากขึ้น ยศก็ขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อันตรายก็เพิ่มขึ้นเช่นกันดังนั้นเขาจึงไม่ตกหลุมรักใครง่ายๆและเขาจะไม่ไปดูตัวเพื่อการแต่งงานเด็ดขาด เพราะเขายังไม่สามารถให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความปลอดภัยได้ ขณะที่เขาทำภารกิจชีวิตของเขาจะตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลาคุณปู่มอบแหวนให้เย่จื่อหยาง ซึ่งแม่ของเขาได้ทิ้งไว้ เดิมทีมีไว้สำหรับลูกสะใภ้ในอนาคต แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้ไปเจอแม่ของเขาในวาระสุดท้ายกลับมาที่กองทัพ ทุกคนรู้เรื่องของเขา ผู้บัญชาการต้องการให้เขาลาหยุดสามเดือนเพื่อให้เขาได้พักผ่อนจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อย แต่เขาปฏิเสธ และเขาก็ไม่หยุดพัก ยังนำกองทหารฝึกตามปกติและปฏิบัติภารกิจตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เขาซึ่งแต่เดิมเป็นคนพูดน้อ
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"