"ไม่เอาหรือไม่เอา!" ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็เริ่มต่อต้านอย่างรุนแรง เย่จื่อหยางหยุดและมองกลับมามองเด็กคนนั้น เขาพยายามที่จะสลัดมือออก แต่เย่จื่อหยางก็ยิ่งจับแน่นขึ้น "ปล่อยผม! ผมไม่อยากไปสถานีตำรวจ!"
เจ้าเด็กตัวเล็กต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง เย่จื่อหยางจึงอุ้มเขาขึ้นมา แขนคาดเอวของเขา แบกเขาไปทั้งแบบนี้ เมื่อถูกแบกไปแบบนี้แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่เด็กคนนี้ก็ยังต่อต้าน เท้าถีบสะเปะสะปะ แต่เย่จื่อหยางก็ยังไม่ปล่อยมือ
เกือบจะเดินออกจากซอยแล้ว รีบคว้ามือเย่จื่อหยางขึ้นมาทันทีและกัดที่หลังมือของเขาอย่างแรง เขาเจ็บปวดมาก ขมวดคิ้ว เด็กคนนี้กัดและดิ้นรนไปด้วย มือทั้งสองข้างทั้งตบทั้งตีเขา แต่ว่าเย่จื่อหยางจะไปขัดขวางและไม่ตอบสนอง
เด็กน้อยอาศัยช่องว่างกระโดดลงไปทันที ในขณะที่แขนของเขาหลวมเล็กน้อยแล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปในซอยลึก
เย่จื่อหยางมองหลังมือตัวเอง เด็กน้อยคนนี้โหดจริง ๆ กัดเลือดออกเลย เขาไล่เข้าไปในซอยลึกของตรอกและไม่เห็นเงาของเด็กน้อยคนนั้นแล้ว
ซ่งเสี่ยวเชียนกลับบ้านด้วยความโกรธและโยนกระเป๋าลงบนโซฟาอย่างแรง เจียงจิ่งเฟิงกําลังเก็บเสื้อผ้าที่ซักเสร็จเมื่อวานนี้ที่ระเบียง พอเห็นเธออารมณ์เสียขนาดนี้ แต่ก็ยังอยากล้อเล่นว่า
"ทำไมอารมณ์เสียขนาดนี้เหรอ หรือว่าจับได้ว่าเย่จื่อหยางอยู่กับผู้หญิงคนอื่น?"
"เขากล้า! พูดเองชัดๆ ว่ามารับฉันกลับบ้าน สุดท้ายพอออกจากสถานีรถไฟใต้ดินก็วิ่งหนีไป ไม่รู้ไปทําอะไร ทิ้งฉันไว้คนเดียวกว่าสิบนาที"
เจียงจิ่งเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เธอรู้ไหมว่าการปล่อยให้เย่จื่อหยางทิ้งเธอไว้แล้วไปทําอย่างอื่นได้ จะเป็นเรื่องอะไร" เจียงจิ่งเฟิงและเย่จื่อหยางมีชีวิตที่คล้ายคลึงกันและเป็นอาชีพพิเศษเดียวกัน นอกจากนิสัยอื่น ๆ ที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว สิ่งอื่นก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตา ให้เขาพูดต่อ
"ต้องเป็นเรื่องที่สําคัญกว่าเธอแน่นอนซิ" เจียงจิ่งเฟิงหยิบเสื้อผ้าใส่ในตะกร้าเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามา เหงื่อท่วมตัวแล้ว จินตนาการได้เลยว่าข้างนอกร้อนแค่ไหน
"ตอแหล! พูดเหมือนไม่ได้พูด" ซ่งเสี่ยวเชียนโยนหมอนที่กอดใส่เขา และโยนใส่หน้าเจียงจิ่งเฟิงพอดี แต่เจียงจิ่งเฟิงก็ไม่ได้โกรธ รับหมอนไปกอด "ประโยคต่อไปนี้ ฉันจริงใจ เธอดูตัวเองสิ ดุขนาดนี้ ใครชอบล่ะ เธออยากอยู่กับเย่จื่อหยางจริง ๆ ก็เปลี่ยนความคิดตัวเองให้เย่จื่อหยาง"
"พี่เล่อเล่อก็ดุเหมือนกันนิ พี่ก็ไม่ใช่ยังรักเธอ"
"เธอเป็นภรรยาของฉัน ดังนั้นเธอจึงเป็นที่รักของฉัน ไม่ว่าเธอจะดุแค่ไหนฉันก็ไม่รังเกียจ ฉันชอบหมด" คําพูดของเจียงจิ่งเฟิงขัดแย้งกับประโยคเมื่อกี้ไม่ใช่หรอ
ในเวลาเดียวกันประตูใหญ่ถูกเปิดออก เย่จื่อหยางเดินเข้ามาด้วยเหงื่อท่วมตัว เปลี่ยนรองเท้าและวางอย่างเรียบร้อยในตู้รองเท้า วางกระเป๋าใบเล็ก ๆ ของเขาลงและรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆ
หลังจากซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเย่จื่อหยางกลับมา เธอก็ไม่พูดอะไรสักคํา นั่งอยู่บนโซฟาอย่างซึมเซา รอให้เย่จื่อหยางมาอธิบายเธอ ใครจะไปรู้ว่าเย่จื่อหยางไปทําธุระของตัวเอง แล้วยังปฏิบัติต่อเธอเหมือนอากาศ เธอเกือบจะโกรธจนเสียสติแล้ว
เมื่อถึงเวลากินข้าวในตอนเย็น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็แตกต่างจากปกติ ซ่งเสี่ยวเชียนกินข้าวของตัวเองอย่างตั้งใจ ไม่แม้แต่จะมองเย่จื่อหยา กินข้าวเสร็จวางชามลงแล้วบอกว่ากินอิ่มแล้วจากไป เย่จื่อหยางจึงรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ
ถามอย่างงงๆว่า "เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?"
เฉียนอ้ายเล่อไอออกมา "เธอโกรธคุณมองไม่ออกเหรอ"
"ห๊ะ ทําไมถึงโกรธล่ะ" เย่จื่อหยางความรู้สึกช้าก็ช่างเถอะ แต่ไม่มีเหตุผลว่าต้องช้าขนาดนี้...
"ไปถามเองก็รู้แล้ว" เจียงจิ่งเฟิงให้สายตาบอกเขาเป็นนัยๆ ให้เขาเข้าไปในห้องถามเอง เย่จื่อหยางคิดอยู่สักพักแล้ววางชามและตะเกียบลง พร้อมที่จะไปถามด้วยตัวเอง
เฉียนอ้ายเล่อถอนหายใจแล้วพูดว่า "เฮ้อ โชคดีที่พวกเราอยู่แก็ปัญหาให้พวกเขา ถ้าวันไหนพวกเราไปแล้ว ถ้าพวกเขาทะเลาะกันขึ้นมาอีก จะไม่รอจนกว่าแก่เลยหรอถึงจะเข้าใจกันอีกอย่างเย่จื่อหยางปฏิกิริยาช้าขนาดนั้น ฉันละเป็นห่วงเธอจริงๆ “
"ไม่ใช่เรื่องของพวกเราซักหน่อย" เจียงจิ่งเฟิงยักไหล่แล้วพูด
ซ่งเสี่ยวเชียนเล่นโทรศัพท์มือถือในห้องนอนและอ่าน Weibo แม้ว่าเธอจะเห็นเรื่องตลก ๆ แบบนั้น เธอแค่ยิ้มผ่านๆและไม่มีความสนุกสนานในนั้น จริง ๆ แล้วในใจของเธอยังหงุดหงิดอยู่ เมื่อก่อนตอนที่เธอยังไม่เข้าใจตัวเองว่ารู้สึกยังไงกับเย่จื่อเย่ เธอไม่จําเป็นต้องสนใจความคิดของเขา แต่ตอนนี้เธอไม่ได้แล้ว
ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นบอกว่าชอบใครมันเหนื่อย จะไปคาดเดาความคิดของเขาโดยไม่รู้ตัว ไปสนใจเขาทุกวันไม่หยุด คิดถึงเขา สังเกตว่าเขาจะแคร์ตัวเองบ้างไหม เขาจะมีเธอในใจด้วยหรือป่าว เดาไปเดามาแบบนี้ก็ไม่ได้คําตอบ มันทําให้เหนื่อยจริง ๆ
โดยเฉพาะอย่าง เย่จื่อหยาง ที่ปกติจะไม่เล่าความคิดของตัวเองให้คนอื่นฟัง ซ่งเสี่ยวเชียนอาศัยการคาดเดาเกือบทั้งหมด เดาถูกแล้วมีความสุขในใจสักพัก เดาผิดเธอก็ไม่พอใจ เย่จื่อหยางก็จะไม่มาปลอบใจบ้าง
เธอถอนหายใจและล้มลงบนเตียง เธอไม่อยากเดาอีกต่อไปแล้ว เธออยากรู้ทันทีว่าเย่จื่อหยางกําลังคิดอะไรอยู่ในใจ และเย่จื่อหยางไม่ควรปิดบังอะไรจากเธอ ควรอธิบายให้เธอฟังอย่างชัดเจนว่าทําไมก่อนหน้านี้เขาถึงหนีไปคนเดียว
ในเวลานี้ประตูเปิดออก เย่จื่อหยางได้เปลี่ยนชุดลําลอง ดูสบาย ๆ มาก แต่กลับมีความเป็นผู้ชายอยู่ข้างใน เพื่อไม่โดยเค้าดึงดูดซ่งเสี่ยวเชียนรับหันหน้าไปทางอื่น ไม่มองเขา
เย่จื่อหยางปิดประตูแล้ว นั่งอยู่ข้างเตียง มองเธอที่นอนอยู่บนเตียง "อารมณ์เสียอะไรโดยไม่มีเหตุผล"
"ไม่มีเหตุไม่มีผล!? ใครทิ้งฉันไว้ที่ประตูสถานีรถไฟใต้ดินไว้คนเดียว ใครปล่อยให้ฉันเดินกลับบ้านคนเดียวภายใต้ดวงอาทิตย์ที่โดดเดี่ยวล่ะ" ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธมาก ยกเท้าขึ้นถีบหลังเย่จื่อหยางอย่างไม่เกรงใจ
เย่จื่อหยางจับข้อเท้าของเธอไว้ "ยิ่งโตยิ่งไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ใช่ไหม" พูดพลางเอามือจี้เท้าเธอ เธอบ้าจี้ที่สุด กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนปลา หัวเราะและร้องไห้ไม่หยุด
พอแล้ว เย่จื่อหยางปล่อยมือออก ซ่งเสี่ยวเชียนนอนอยู่บนเตียงเหมือนปลาที่ตายแล้ว เย่จื่อหยางลูบหัวเธอ "ถ้าเป็นเรื่องก่อนหน้านี้ ฉันขอโทษ นั่นเป็นปฏิกิริยาแรกของฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจทิ้งเธอไว้คนเดียว"
"คุณไปทําอะไรมา" ซ่งเสี่ยวเชียนนอนอยู่บนเตียงและมองเขา
"จับเด็กคนหนึ่ง เขาน่าสงสัย" เย่จื่อหยางได้ส่งข่าวกับสํานักงานความมั่นคงแล้ว เขาคุ้นเคยกับคนในสํานักงานความมั่นคง ความสัมพันธ์กับทุกคนไม่เลว เย่จื่อหยางรู้สึกว่ามีข้อสงสัยพวกตํารวจก็จะพยายามสืบสวนอย่างเต็มที่
"เหอะ ทิ้งฉันไว้เพื่อเด็กแค่คนเดียว ฉันไม่สําคัญขนาดนั้นเหรอ ถ้าในไม่กี่นาทีที่คุณทิ้งฉันไว้ ฉันถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไปล่ะจะทำยังไง จะว่าไงชื่อของฉันยังอยู่ในทะเบียนบ้านของตระกูลเย่ของพวกคุณนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดติดตลก
ยากมากที่เย่จื่อหยางจะหัวเราะออกมา "พวกค้ามนุษย์ลักพาตัวเธอไปไม่ได้"
!!
"หยุดแกเป็นใครมาจากไหน บอกชื่อมา มาก่อกวนธุรกิจของพวกเราเพื่ออะไรกันแน่"ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนตะโกน ตอนนี้เย่จื่อหยางมองเห็นมีดที่คอของซ่งเสี่ยวเชียน พวกคนเหล่านี้ต้องการเอาซ่งเสี่ยวเชียนมาข่มขู่เขา ไม่เจียมกระลาหัว มือของเย่จื่อหยางกําลังจับปกคอของอีกคนคนหนึ่งอยู่ เขาหยุดชั่วขณะแล้วปล่อยออก ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นทันทีด้วยสีหน้าทุลักทุเล เขายืนตัวตรงและมองคนที่อยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนเขายึดตัวเองไว้ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียน เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ขี้ขลาด เย่จื่อหยางเยาะเย้ยว่า "ฉันไม่ใช่คนที่เดินผ่านไปมา ฉันแค่มาเอากระเป๋าเงินของภรรยาของฉันคืน ตอนนี้ฉันเจอแล้ว ปล่อยเธอไป ฉันก็ปล่อยพวกแกไป"เย่จื่อหยางยกประเป๋าเงินในมือของตัวเองขึ้นแล้วส่ายไปส่ายมาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่จื่อหยาง จู่ ๆ ก็หยิบปืนพกออกมาจากเอว บรรจุกระสุน หันหน้าไปทางขมับของเย่จื่อหยาง "ถุย!" คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง ยกมือขึ้น ไม่งั้นฉันจะยิงให้หัวแกกระจุยแน่ต้าหู่ ไอ้พวกนี้มันต้องเป็นคนที่ตํารวจส่งมาแน่ ๆ พวกเรารีบไปเอาเด็กชั้นบนกลุ่มนั้นออกไปดีกว่า!"
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"