เย่จื่อหยางสาบานว่าในชีวิตนี้ตราบใดที่เขาเห็นทางเข้ารถไฟใต้ดินจะต้องเดินอ้อม ๆไปไกลๆ เมื่อพบศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด เขาไม่เคยกลัวที่จะถูกจับเป็นเชลย แต่เขากลัวเมื่อเบียดรถไฟใต้ดิน
พนักงานออฟฟิศที่ไร้ชีวิตชีวานั่งอยู่ในอาคารสำนักงานโดยไม่มีการออกกำลังกาย แต่พวกเขาเก่งที่สุดในการเบียดในรถไฟใต้ดิน พวกเขาบีบทุกซอกทุกมุมและไม่พลาดโอกาสใด ๆ บางทีพวกเขาอาจใช้เวลาออกกำลังกายทั้งหมดในวันนั้นเพื่อเบียดเสียดในรถไฟใต้ดิน
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเย่จื่อหยางทำท่าทางตกใจ ในใจเธอก็สงสาร ยืนอยู่เคียงข้างเขา รอบตัวเต็มไปด้วยผู้คน เย่จื่อหยางสามารถจับห่วงจับได้ ซ่งเสี่ยวเชียนก็จะจับแขนของเขาไว้แทน
เมื่อก่อนในรถไฟใต้ดินมักจะเห็นคู่รักยืนในท่าแบบนี้ เมื่อนานมาแล้วซ่งเสี่ยวเชียนก็อยากลองมานานแล้ว แต่ไม่แฟนซักที แต่ตอนนี้ก็ทําได้แล้ว ทั้งดีใจทั้งเสียใจ
เธอเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เขียวของเย่จื่อหยาง จึงหุปยิ้มทันที ดึงดึงแขนเสื้อของเขา "เบียดรถไฟใต้ดินเก่งใช่ไหมล่ะ ฉันเบียดทุกวันเลยนะ"
หางตาของเย่จื่อหยางชักเล็กน้อย เม้มริมฝีปากไม่พูด เงยหน้าขึ้นไม่มองซ่งเสี่ยวเชียนอีกต่อไป โดยพื้นฐานแล้วรูปร่างของเขาถือว่าสูงที่สุดในตู้รถไฟนี้ ความรู้สึกของการมองลงไปที่ทุกคนไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรู้สึกได้
รอบตัวเขาเต็มไปด้วยผู้คน บางทีก็แออัดเกินไป ก็ยังมีคนเบียดเสียดใส่เขาอย่างแรงอีก เขาอดทนมานาน อดทนอย่างมากที่จะไม่ต่อยคนเหล่านั้นสุดท้ายก็ทำได้แค่ปล่อยวาง เขาไม่ชินกับการมีคนอื่นมาอยู่ใกล้เขา จริง ๆ แล้วยังเป็นสถานที่แบบนี้ เมื่อมีคนเข้าใกล้เขา เขาก็จะยกไหล่ของเขาขึ้นแต่นี่คือรถไฟใต้ดิน การที่เขาทําแบบนี้อาจจะถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต
เขาหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้ง เขาจะอดทนไว้เดี๋ยวก็ถึงสถานีแล้ว เมื่อถึงสถานีเขาก็จะเป็นอิสระ จากนั้นก็ห่างไกลจากสถานที่นี้ ...
แม้ว่าทั้งกายและใจจะอดทนต่อไม่ไหวแล้ว แต่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เหมือนเขาตรวจจับสิ่งรบกวนในมุมหนึ่งได้
หันหน้ามองสองนาฬกา เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สวมหูฟังหลังเอนอยู่บนเบาะข้างประตูรถฟังเพลง กระเป๋าของเธออยู่ข้างตัว แต่ไม่รู้ว่ามีมือมาจากไหนไม่รู้แอบล้วงในกระเป๋าของเธอ
เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ไม่มีการตอบสนอง และคนที่แออัดเป็นก็อนๆ รอบตัวเธอก็ไม่มีการตอบสนอง ทุกคนเหมือนศพเดินได้ เย่จื่อหยางหันหลังและเปลี่ยนทิศทางและเห็นขโมยที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเด็กหญิงตัวเล็ก ๆนั้นอย่างคาดไม่ถึง
ดูอย่างมากก็อายุ 11-12 ปี ใบหน้าดําๆ อาจเป็นเพราะไม่ได้ล้างหน้านานเกินไป เพราะรูปร่างเตี้ย ถูกเบียดเสียดอยู่ในฝูงชนโดยทั่วไปจะมองไม่เห็น มือของเด็กล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเด็กสาว บางทีสายตาของเย่จื่อหยางอาจจะเฉียบแหลมเกินไปแม้ไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ เด็กคนนั้นก็ยังสังเกตเห็นเขาได้
เด็กคนนั้น เงยหน้าขึ้นมองเย่จื่อหยางที่อยู่ไม่ไกล แววตาของเขาไม่มีความรู้สึกใด ๆ แต่หลังจากเห็นเย่จื่อหยาง ทันใดนั้นก็เริ่มกลัว การเคลื่อนไหวในมือของเขาหยุดชะงักชั่วคราว ทั้งสองจ้องมองแบบนี้เป็นเวลานาน เด็กคนนั้นไม่ได้ขโมยอะไรเลย แต่มือยังคงยื่นเข้าไปในกระเป๋าใบนั้น
"คุณมองอะไรน่ะ" ซ่งเสี่ยวเชียนดึงตู้เสื้อผ้าของเขา ตั้งแต่เมื่อกี้จนถึงตอนนี้ เขามองสถานที่ตรงข้ามมาตลอด แต่เนื่องจากเธอสูงไม่พอ จึงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับด้านนั้น
เย่จื่อหยางมองลงมาที่เธอและทําท่าทางเงียบ ๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเด็กคนนั้นต่อไป แต่ในเวลานี้เด็กคนนั้นหายไปและถูกซ่งเสี่ยวเชียนขัดจังหวะ ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นขโมยของไปหรือเปล่า หรืออาจเป็นเพราะความกลัว ในขณะที่เขาไม่สนใจก็รีบหนีไป?
เย่จื่อหยางไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ ในใจ สีหน้าของเขายังคงเหมือนเดิม ตู้รถไฟนี้มีคนมากเกินไป โดยพื้นฐานแล้วเขาถูกเบียดและขยับไม่ได้แม้แต่ครึ่งนาที มิฉะนั้นเขาอาจเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าและดึงขโมยคนนั้นออกมา แต่ในเมื่อตอนนี้เด็ก หนีไปแล้ว เขาก็หยุดคิดได้แล้ว
ถึงสถานีรถไฟใต้ดินแล้ว ในที่สุดก็ลงจากรถไฟใต้ดินได้สักที เย่จื่อหยางถูกซ่งเสี่ยวเชียนจูงให้เบียดออกจากรถไฟใต้ดิน หลังจากออกมา ซ่งเสี่ยวเชียนก็ด่าและพูดว่า "คุณมีประโยชน์จริง ๆ ให้ฉันผู้หญิงตัวเล็กๆพาคุณลงจากรถ คุณเห็นไหมว่าทรงผมของฉันเบียดเสียดยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว"
เย่จื่อหยางไม่สนใจ สายตาของเขามองไปรอบ ๆ แล้วซ่งเสี่ยวเชียนจึงโบกมือต่อหน้าเขา "คุณกําลังมองอะไรอยู่กันแน่ เวลาฉันพูด คุณจริงจังหน่อยได้ไหม"
หลังจากสำรวจไปสัก ไม่พบสิ่งผิดปกติ เย่จื่อหยางมองซ่งเสี่ยวเชียนและยิ้มให้เธอ "ไม่ได้มองอะไร พวกเรากลับบ้านกันเถอะ"
พูดพลางพาซ่งเสี่ยวเชียนเดินไปข้างหน้า ซ่งเสี่ยวเชียนรีบดึงเขาไว้ "คุณอย่าเดินมั่ว ๆ นะ ด้านนี้ถึงจะเป็นทางออก ขึ้นลิฟต์ก่อน"
ซ่งเสี่ยวเชียนพูดไม่ออกกับเย่จื่อหยางแล้ว ในฐานะคนที่นั่งรถไฟใต้ดินครั้งแรก แม้ว่าการหลงทางจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในฐานะกองกําลังพิเศษ ความรู้สึกของทิศทางควรแข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่หรอหลงทางตลอดแบบนี้มันน่าอายเกินไปไหม...
บังเอิญมากที่พวกเขาเพิ่งเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน เย่จื่อหยางก็พบเด็กคนนั้นเดินอยู่ข้างถนน เสื้อผ้าที่เขาใส่ไม่ได้ขาดรุ่งริ่ง แต่เก่าและสกปรกมาก พอเด็กคนนั้นเห็นเขาเหมือนเห็นผี ก็รีบหว่านขาแล้ววิ่งหนีไป
แค่นี้ก็น่าสงสัยมากแล้ว เย่จื่อหยางก็ไม่คิดอะไรมาก เมื่อเจอเรื่องน่าสงสัยของคนน่าสงสัยเหล่านี้ เขาก็ต้องไปหาคำตอบ ทิ้งซ่งเสี่ยวเชียนไว้แล้วรีบตามหาเด็กคนนั้น
เด็กแม้ว่าจะวิ่งเร็วและยืดหยุ่น แต่เย่จื่อหยางก็ไม่ใช่คนธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิ่งในระยะเวลาเร่งรีบนั้นยอดเยี่ยมมากอย่างแน่นอน ในไม่ช้าซ่งเสี่ยวเชียนก็มองไม่เห็นว่าเย่จื่อหยางวิ่งที่หายไปที่ไหนแล้ว ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็ถูกทิ้งไว้แบบนี้ บอกว่าจะมารับเธอกลับบ้าน
เย่จื่อหยางเดินตามหลังเด็กคนนั้นอย่างประชิด รักษาระยะห่างห้าเมตร ทุกครั้งที่เด็กคนนั้นหันกลับมาจะเห็นเย่จื่อหยางเดินตามหลังตลอดเวลา และในที่สุดก็รู้สึกว่าการวิ่งแบบนี้ต่อไปไม่สามารถทําอะไรได้ ดังนั้นจึงหยุดในซอยเล็ก ๆ
"ผม ผมไม่ได้ขโมยอะไร ... ผมจะเอากระเป๋าของผมให้ดู" เด็กคนนั้นเปิดกระเป๋าออกในนนั้นไม่มีอะไรเลย
เย่จื่อหยางก็ไม่แสดงอาการใดๆ ค่อย ๆ เข้าใกล้เด็กคนนั้น เด็กคนนั้นกลัวเย่จื่อหยางขึ้นเรื่อยๆ เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าทีละก้าว เด็กคนนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าว เย่จื่อหยางขมวดคิ้ว "ไม่ได้ขโมยอะไร ทําไมต้องกลัวฉันขนาดนี้?"
"คุณใส่ลายพราง..." เด็กคนนั้นชี้มาที่ตัวของเขา
"นั่นหมายความว่า นายเป็นผู้กระทําผิดซ้ำหรอ ขโมยมากี่ครั้งแล้ว" เย่จื่อหยางยังคงเดินเข้าไปใกล้เด็กคนนั้นเรื่อยๆ เด็กคนนั้นถอยหลัง จนพบว่าหลังติดกับกำแพงแล้ว มองซ้ายมองขวาอย่างใจจดใจจ่อ "ผมไม่เคยขโมย วันนี้เป็นครั้งแรก..."
ประโยคนี้ฟังดูแปลก ๆ เย่จื่อหยางก็เลิกเล่นซ่อนหาแล้ว จับมือเด็กคนนั้นและพาเขาออกนอกซอย "ไปคุยกันที่สถานีตำรวจให้ชัดเจนเถอะ"
!!
"ไม่เอาหรือไม่เอา!" ทันใดนั้นเด็กคนนั้นก็เริ่มต่อต้านอย่างรุนแรง เย่จื่อหยางหยุดและมองกลับมามองเด็กคนนั้น เขาพยายามที่จะสลัดมือออก แต่เย่จื่อหยางก็ยิ่งจับแน่นขึ้น "ปล่อยผม! ผมไม่อยากไปสถานีตำรวจ!" เจ้าเด็กตัวเล็กต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง เย่จื่อหยางจึงอุ้มเขาขึ้นมา แขนคาดเอวของเขา แบกเขาไปทั้งแบบนี้ เมื่อถูกแบกไปแบบนี้แม้ว่าจะเจ็บปวด แต่เด็กคนนี้ก็ยังต่อต้าน เท้าถีบสะเปะสะปะ แต่เย่จื่อหยางก็ยังไม่ปล่อยมือเกือบจะเดินออกจากซอยแล้ว รีบคว้ามือเย่จื่อหยางขึ้นมาทันทีและกัดที่หลังมือของเขาอย่างแรง เขาเจ็บปวดมาก ขมวดคิ้ว เด็กคนนี้กัดและดิ้นรนไปด้วย มือทั้งสองข้างทั้งตบทั้งตีเขา แต่ว่าเย่จื่อหยางจะไปขัดขวางและไม่ตอบสนองเด็กน้อยอาศัยช่องว่างกระโดดลงไปทันที ในขณะที่แขนของเขาหลวมเล็กน้อยแล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปในซอยลึกเย่จื่อหยางมองหลังมือตัวเอง เด็กน้อยคนนี้โหดจริง ๆ กัดเลือดออกเลย เขาไล่เข้าไปในซอยลึกของตรอกและไม่เห็นเงาของเด็กน้อยคนนั้นแล้วซ่งเสี่ยวเชียนกลับบ้านด้วยความโกรธและโยนกระเป๋าลงบนโซฟาอย่างแรง เจียงจิ่งเฟิงกําลังเก็บเสื้อผ้าที
"หยุดแกเป็นใครมาจากไหน บอกชื่อมา มาก่อกวนธุรกิจของพวกเราเพื่ออะไรกันแน่"ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนตะโกน ตอนนี้เย่จื่อหยางมองเห็นมีดที่คอของซ่งเสี่ยวเชียน พวกคนเหล่านี้ต้องการเอาซ่งเสี่ยวเชียนมาข่มขู่เขา ไม่เจียมกระลาหัว มือของเย่จื่อหยางกําลังจับปกคอของอีกคนคนหนึ่งอยู่ เขาหยุดชั่วขณะแล้วปล่อยออก ชายคนนั้นล้มลงกับพื้นทันทีด้วยสีหน้าทุลักทุเล เขายืนตัวตรงและมองคนที่อยู่ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนเขายึดตัวเองไว้ข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียน เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ขี้ขลาด เย่จื่อหยางเยาะเย้ยว่า "ฉันไม่ใช่คนที่เดินผ่านไปมา ฉันแค่มาเอากระเป๋าเงินของภรรยาของฉันคืน ตอนนี้ฉันเจอแล้ว ปล่อยเธอไป ฉันก็ปล่อยพวกแกไป"เย่จื่อหยางยกประเป๋าเงินในมือของตัวเองขึ้นแล้วส่ายไปส่ายมาคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่จื่อหยาง จู่ ๆ ก็หยิบปืนพกออกมาจากเอว บรรจุกระสุน หันหน้าไปทางขมับของเย่จื่อหยาง "ถุย!" คิดว่าฉันเป็นคนโง่หรือไง ยกมือขึ้น ไม่งั้นฉันจะยิงให้หัวแกกระจุยแน่ต้าหู่ ไอ้พวกนี้มันต้องเป็นคนที่ตํารวจส่งมาแน่ ๆ พวกเรารีบไปเอาเด็กชั้นบนกลุ่มนั้นออกไปดีกว่า!"
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"