“ฉันขอโทษจริงๆ เราไม่สามารถย้ายออกไปได้ โรงแรมที่เดิมทีเราจองไว้ถูกยกเลิกแล้ว ถ้าเราจองอีกครั้งตอนนี้ ฉันเกรงว่าพวกเราจะไม่มีห้อง ดังนั้นสองสามเดือนต่อจากนี้คงต้องพักบ้านนายแล้วล่ะ”
ที่จริงเจียงจิ่งเฟิงตั้งใจพูดแบบนี้ เพราะเขารู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเข้มงวดเกินไป และเขาต้องการพูดอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาแค่ตั้งการจะแกล้งเขานั้นเอง
เดิมทีเย่จื่อหยางก็ไม่ชอบเจียงจิ่งเฟิงอยู่แล้ว แล้ว บวกกับที่ซ่งเสี่ยวเชียนยกย่องเขามากในฐานะสามีที่สมบูรณ์แบบ ความโกรธที่ระเบิดออกมาจากหัวใจของเขาทันที และเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อเหวี่ยงหมัดไปที่เจียงจิ่งเฟิง
แต่เจียงจิ่งเฟิงก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วและหลบหมัดของเย่จื่อหยาง แต่เย่จื่อหยางก็ทำการโจมตีครั้งที่สองอย่างรวดเร็ว แต่เจียงจิ่งเฟิงก็หลบมันได้อีกครั้ง
ทั้งคู่เป็นทหารพิเศษและท่าทางการต่อสู้ของพวกเขาก็เหมือนกับการดวลกันระหว่างปรมาจารย์ในละครโทรทัศน์ศิลปะการต่อสู้ ต่อมาเจียงจิ่งเฟิงเลือกที่จะไม่ป้องกันและเริ่มโจมตี ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ของตกแตกเป็นชิ้นๆ เดิมทีห้องสะอาดสะอ้าน แต่ตอนนี้กลับเละเทะทันที
หลังจากต่อสู้มานานกว่า 20 นาที มันยากที่จะบอกว่าใครเป็นผู้ชนะ เย่จื่อหยางเอามือแตะที่ใบหน้าของเขา น่าสนใจ มันนานมากที่เขาไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่สูสีกับเขา
ความปรารถนาของผู้ชายที่จะชนะสามารถถูกกระตุ้นได้ภายในเสี้ยววินาที และเพื่อที่จะชนะ เขาก็สามารถทำตัวเป็นเด็กได้ในเสี้ยววินาที โดยต่อสู้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ นอกจากนี้ ทั้งสองคนนี้ยังเป็นทหารพิเศษที่เก่งที่สุด ในโลกของพวกเขา พวกเขาเก่งและดีที่สุด ตอนนี้พวกเขามาพบกัน พวกเขาจะสู้ตายอย่างแน่นอน!
เมื่อซ่งเสี่ยวเชียนกลับมาถึงบ้าน เย่จื่อหยางและเจียงจิ่งเฟิงนั่งอย่างสงบบนโซฟา พื้นเต็มไปด้วยของแตกหัก ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่าบ้านถูกปล้น
รีบวิ่งไปหาพวกเขาพร้อมถามว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ที่บ้าน! ในที่สุด เธอเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขาเละเทะ ใบหน้าของพวกเขามีบาดแผลหรือบวม และถามพวกเขาว่า "พวกคุณทะเลาะกัน !? ทำไมถึงทะเลาะกัน!"
เจียงจิ่งเฟิง ปิดหน้าที่แดงและบวมครึ่งซ้ายของเขาแล้วพูดว่า "แค่ไม่ถูกชะตา แต่ว่า คนของเธอต่อสู้เก่ง"
“พวกคุณเป็นเด็กหรือไง!” ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนแล้วรีบไปที่ตู้เย็นเพื่อเอาก็อนน้ำแข็งมาให้พวกเขาประคบเพื่อลดอาการบวม เย่จื่อหยางจ้องมองที่ ซ่งเสี่ยวเชียนอย่างเย็นชา โดยคิดว่าที่เธอกังวลไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นไอดอลของเธอได้รับบาดเจ็บหรือป่าว? ถ้าเป็นเป็นกรณีนี้ เย่จื่อหยางคิดว่าเขาน่าจะจัดหนักว่านี้สักหน่อย!
ซ่งเสี่ยวเชียนถือถุงน้ำแข็งสองถุงแล้วโยนถุงหนึ่งไปที่เจียงจิ่งเฟิงโดยไม่แม้แต่จะมอง เธอหยิบถุงอีกใบแล้วค่อยๆ นำไปเบ๊ะกับมุมปากของเย่จือหยาง และพูดกับตัวเองว่า "มันบวมขึ้นมาแบบนี้แล้ว พวกคุณเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กสักหน่อย! ไม่รู้หรือไงว่าจะป้องกันยังไง!”
เย่จื่อหยางยื่นมือออกไปจับมันด้วยตัวเอง แต่ซ่งเสี่ยวเชียนตบเบา ๆ "อย่าขยับ! ดูสิมือของคุณบวมขนาดนี้แล้ว คุณยังจะทำอะไรได้!"
สายตาของซ่งเสี่ยวเชียนเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เย่จื่อหยางเห็นมัน และความหดหู่เมื่อครู่ของเขาก็หายไป เขาอยากจะหัวเราะ แต่มุมปากของเขาเจ็บเมื่อเขาดึงมัน ในท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงรักษาท่าทางที่เป็นอัมพาตและถาม และให้ซ่งเสี่ยวเชียนใช้น้ำแข็งประคบให้เขา
เหลือบมองเจียงจิ่งเฟิงที่อยู่ข้างๆ เขาเหลือบมอง และเขาใช้ก็อนน้ำแข็งทาที่แก็มด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “มองอะไร! มีภรรยาช่วยประคบให้คิดว่าจะกดคนอื่นได้หรอ เหอะ!”
ก็ฉันมีคนดูแลอ่ะจะทำไมเย่จือหยางคิดในใจอย่างผู้ชนะ
เมื่อซ่งเสี่ยวเชียนเห็นสายตาอันภาคภูมิใจของเย่จื่อหยาง เธอก็กดถุงน้ำแข็งในมือของเธออย่างแรง ทำให้เย่จื่อหยางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด "คุณเป็นคนที่ทำตัวเหมือนเด็กที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา! ทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้แล้วยังดีใจอะไรอีก เจ็บให้ตายไปเลยถือเอาไว้!”
ซ่งเสี่ยวเชียนให้เย่จื่อหยางถือถุงน้ำแข็งไว้ จากนั้นไปที่ตู้เย็นเพื่อเอาน้ำแข็งมาห่อด้วยผ้าฝ้าย แล้วนำกลับมาประคบที่มือของเขา
ตำแหน่งที่ได้มาของเย่จื่อหยางและเจียงจิ่งเฟิง ได้มาไม่ใช่แค่ในนาม ทั้งสองทำงานหนักมานานกว่าสิบปีและอดทนต่อความยากลำบากมากกว่าคนธรรมดาถึงร้อยเท่าเพื่อที่จะเป็นทหารที่เก่งที่สุด ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วทั้งสองยังได้ฝึกฝนร่างกายตัวเองให้แข็งแกร่งด้วย คนธรรมดาถ้าถูกเขาต่อยอาจตกอยู่ในอันตรายจากการกระดูกหักได้ นิแค่มือบวมซึ่งถือว่าโชคดีมากแล้ว
ในตอนเย็นเฉียนอ้ายเลอก็กลับมาเช่นกัน เมื่อเธอเห็นอีกคนที่โต๊ะอาหารเธอก็รู้ว่าเป็นสามีของซ่งเสี่ยวเชียน เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาซ่งเสี่ยวเชียนอธิบายให้เธอฟังอย่างชัดเจน ซ่งเสี่ยวเชียนยังอธิบายกับเธออีกว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันชั่วคราว! แต่เฉียนอ้ายเลอคิดว่าเรื่องมันคงไม่ได้ง่ายแบบที่ซ่งเสี่ยวเชียนเล่าป่ะ
ทันทีที่นั่งลง ก็เห็นใบหน้าของเย่จื่อหยางและเจียงจิ่งเฟิงที่บวมเหมือนหัวหมูและมีบาดแผลที่มุมปาก ตกใจแทบแย่ และถามอย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น
ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองชายร่างใหญ่ที่ทำตัวเหมือนเด็กสองคน "พี่เลอเลอ พี่เคยบอกว่าไอดอลชอบทำตัวเหมือนเด็ก แต่ฉันก็ยังไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว และพวกเขาทั้งสองทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย แล้วยังทะเลาะกันแรงอีก พี่ดูใบหน้าของเขายับเหยิงแบบนี้ แล้วจะมีหน้าไปเจอคนอื่นได้ยังไง!” พร้อมกับชี้ไปที่ใบหน้าของเย่จื่อหยาง
“เจียงจิ่งเฟิง! คุณหาเรื่องอีกแล้วใช่ไหม!” เฉียนอ้ายเลอลุกขึ้น เดินไปคว้าหูของเจียงจิ่งเฟิง “ไอ้โจร ทำไมไม่รู้จักเปลี่ยนนิสัยตัวเองบ้างนิมันกี่ปีแล้ว? มือของคุณคันมากใช่ไหมถึงตีคนไปทั่ว ?”
“โอ๊ย ที่รักเจ็บๆ เบาๆหน่อยๆ ใครบอกว่าผมเป็นคนเริ่ม เขาเริ่มก่อนชัดๆ ผมแค่ป้องกันตัว?”
อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของเจียงจิ่งเฟิงนั้นไร้ประโยชน์ ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนชี้เป้าไปทั้งหมดที่เขา และทิ้งระเบิดใส่เขาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีโอกาสที่เขาจะลุกขึ้นยืนเลย
มีรอยยิ้มอีกเล็กน้อยบนใบหน้าที่เป็นอัมธพาลของเย่จื่อหยาง แต่มันไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เมื่อเขายิ้ม ผลที่มุมปากของเขาก็เปิดขึ้นอีกครั้ง เขาปิดปากของเขา ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นมันจึงรีบกดไข่ที่ปอกเปลือกสดๆ ลงบนใบหน้าของเย่จื่อหยาง เขาหลบอย่างรวดเร็ว "อย่าขยับ ฉันจะถูให้คุณ จะได้ลดอาการบวม"
เย่จื่อหยางอดทนต่อความเจ็บปวดและยังเชื่อฟัง เขาจ้องมองที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่อยู่ข้างๆเขา เธอกำลังนวดอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในใจ ยัยผู้หญิงตัวเล็ก ๆคนนี้เป็นห่วงเขา ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น ในใจของเขายิ่งมีความสุขมากขึ้น
แม้ว่าตอนนี้เฉียนอ้ายเลอจะยังคงดุด่า แต่เมื่อเห็นว่าเจียงจิ่งเฟิงก็บาดเจ็บเช่นกัน เธอจึงไม่ดุอีก และไปปอกเปลือกไข่เอามาถูให้เจียงจิ่งเฟิง เจียงจิ่งเฟิงก็เริ่มมีความสุขทันที และมองไปที่เย่จื่อหยาง ดูสิ ดูสิ ฉันมีคนถูให้ฉันด้วย
ความวุ่นวายในการต่อสู้แบบเด็ก ๆ ผ่านไปเช่นนั้น เหมือนพายุทอร์นาโด มันมาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ช่างดุเดือดเหลือเกิน ในที่สุดเย่จื่อหยางก็ตกลงที่จะให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่บ้านชั่วคราวภายใต้การโน้มน้าวใจของซ่งเสี่ยวเชียน แต่ก็ตัดสินใจด้วย การมีกฎมากมาย อย่าจับนั้น อย่าย้ายนี่ เลี่ยนเป็นคนขี้จุกจิกในวินาที
!!
ในไม่ช้าเย่จื่อหยางก็เข้าใจสิ่งที่ซ่งเสี่ยวเชียน พูดก่อนหน้านี้ว่า เจียงจิ่งเฟิงดีกับภรรยาของเขามาก จนเขาไม่สามารถเทียบติด แม้ว่าเขาจะอยู่บ้านเพียงสองวันก่อนจะกลับไปกองทัพ แต่ในเวลาเพียงสองวันนี้ เขาได้เห็นแล้วว่าเจียงจิ่งเฟิงเป็นผู้ชายเป็นคนดีสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ตลอดสองวันคำที่ไม่เคยหายไปเลยคือ "ที่รัก!" มันจะได้ยินตลอดเวลา เย่จื่อหยางต้องการอยู่บ้านเงียบ ๆ อ่านหนังสือหรืองีบหลับ แต่สองคำนี้ มักจะรบกวนให้เขานอนไม่หลับ“ที่รัก หิวไหม? ฉันเตรียมของหวานและน้ำชายามบ่ายไว้ให้แล้ว ที่รัก ไม่อยากกินข้าวเหรอ เธอคงเหนื่อยกับการเตรียมสอนใช่ไหม ผมจะช่วยนวดไหล่หรือนวดขาก็ได้” โดยปกติจะถามตอนที่เพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ และท้องเพิ่งอิ่ม"ที่รัก มานี่ ผมจะป้อนให้ อ่า~" สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นที่โต๊ะอาหารเย็น โดยที่เย่จื่อหยางนั่งอยู่ข้างๆ แต่เจียงจิ่งเฟิง ยังคงไร้ยางอายและป้อนข้าวให้เฉียนอ้ายเลอ และปกติเฉียนอ้ายเลอก็จะใช้มือตบเขา แล้วด่าว่า "ขายขี้หน้า!" แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่เบื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน เรื่องแบบนี้ทำให้เย่จื่อหยางรู้สึกตกใจ ไม่เคยพบเจอคนแบบนี้มาก่อน ดังนั้นสำหรั
ทันใดนั้น พยาบาลประจำการก็รีบไปหาซ่งเสี่ยวเชียน "หมอซ่ง คุณเย่มาที่นี่เพื่อพบคุณ! คุณอยากจะไปดูตอนนี้เลยไหม?"ซ่งเสี่ยวเชียนถือสมุดบันทึกไว้ในมือ ใบหน้าของเธอแข็งค้าง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ ทำไมเขาถึงมาโรงพยาบาลเพื่อตามหาเธอ? เขาควรอยู่ในกองทัพไม่ใช่เหรอ? “เอ่อ ยังไม่ไปพบเขา...ฉันยังต้องไปเช็คผู้ป่วยกับผู้อำนวยการ”"ไม่จำเป็นหรอก ในเมื่อผู้พันเย่มาพบคุณด้วยตนเอง คงต้องมีบางอย่างที่สำคัญ คุณรีบไปดูเถอะ" ก็... ใครในโรงพยาบาลนี้ไม่รู้ว่าเย่จื่อหยางเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งยังรวยเหรอ? จะกล้าละเลยเขาได้อย่างไร? รับผลักให้รีบไปซ่งเสี่ยวเชียนถูกนางพยาบาลพาตัวไปด้วยความลำบากใจ เมื่อเธอมาถึงห้องรับแรก เย่จื่อหยางก็นั่งอยู่บนโซฟาดูทีวีด้วยสีหน้าสบายๆ ซ่งเสี่ยวเชียนเริ่มโกรธทันที "นี่มันเวลาทำงาน คุณมาหาฉันมีธุระอะไร ?”เย่จื่อหยางหันกลับมาแล้วยิ้มให้เธอ ยิ้มหล่อเชียว ทำให้พยาบาลที่อยู่ข้างหลังถึงกับม้วนตัว “ฉันมีเรื่องที่จะคุยเป็นการส่วนตัวกับเธอ’เย่จื่อหยางพูดเพียงครึ่งประโยค แต่นางพยาบาลก็พยักหน้าโดยบอกว่าเธอเข้าใจ พวกคุณค่อยๆคุยพูด และแม้กระทั่งปิดประตูให้พวกเข
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่จื่อหยางพูด ซ่งเสี่ยวเชียนก็สำลักออกมา ไอหลายครั้ง และตบหน้าอกของเธอ ใช่เย่จื่อหยางจริงๆใช่ไหมดื่มไปงงไปเมื่อดื่มน้ำลงไปเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก “เย่จื่อหยางคุณไม่ใช่ว่าถูกกระตุ้นโดยเจียงจิ่งเฟิง ดังนั้นเลยอยากที่จะเป็นแบบเขาหรอกใช่ไหม”“ไม่ใช่ ฉันไม่อยากเป็นเหมือนเขา เขาคือเขาและฉันก็คือฉัน ฉันจะไม่กลายเป็นใครอีกแล้ว” เย่จื่อหยางพูดขณะที่เขาหยิบและกินอาหารบางส่วนบนจาน แล้วพูดว่าเขาอิ่มแล้ว“มีผู้หญิงอยู่ในใจของคุณใช่ไหม คุณกินน้อยกว่าฉันอีก?” ซ่งเสี่ยวเชียนใส่ร้ายเขาอย่างหน้าไม่อาย เมื่อครู่ตอนที่เขาเธอกลัวมาก แต่ตอนนี้เขากลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว เธอต้องด่าสักหน่อยถึงจะรู้สึกสบายใจ"มันไม่อร่อย" นี่คืออีกด้านหนึ่งของเย่จื่อหยางหรอ? ฉันคิดเสมอว่าเย่จื่อหยางจะเป็นคนที่สามารถอดทนต่อความยากลำบากและไม่เลือกกินถึงจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มพิเศษได้ แต่ตอนนี้เขาพูดคำว่า "ไม่อร่อย" สามคำนี้ซ่งเสี่ยวเชียนมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีฝนสีแดงบนท้องฟ้า จากนั้นเธอก็มองไปที่เย่จื่อหยาง "ที่บ้านไม่ใช่ว่าคุณกินข้าวเยอะเหรอ?" ใช่ เย่จื่อหยางสามารถกินข้าวสองหรือสามชามได้"เธอทำอร่อย" ในความเป็น
พูดจบก็รีบวิ่งไปที่ประตูห้องนอน เคาะประตูอย่างแรงสามครั้ง จากนั้นประตูไม้ก็เปิดออก เย่จื่อหยางขมวดคิ้วและมองเขาด้วยความโกรธมาก "มีอะไร!" "น้องรัก พวกเราสองคนเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ" พอพูดไปเจียงจิ่งเฟิงก็กอดไหล่ของเย่จื่อหยางเหมือนคุ้นเคยกันมา ผลักเขาเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ซ่งเสี่ยวเชียนยังได้ยินเสียงล็อคประตู โอ๊ย ทําไมภาพนี้ถึงดูอึดอัดขนาดนี้นะพวกเขาสองคนก็ไม่รู้ว่าได้ปรึกษาอะไรกันข้างใน คุยกันสิบหรือยี่สิบนาทีจึงออกมา ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังเตรียมที่จะแอบไปตักซุปสักชามมาดื่มในห้องครัว แต่ถูกเจียงจิ่งเฟิงจับได้พอดี"แม่สาวน้อย ซุปนี้ยังตุ๋นไม่เสร็จ เอามือของออกไป!" ทันทีที่เจียงจิ่งเฟิงตบมือของเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนก็คลายช้อนด้วยความเจ็บปวด เจียงจิ่งเฟิงรับทันทีแล้วผลักเธอออกไป"ฉันเป็นพี่เลี้ยงให้เธอก็แล้วไปเถอะ จะว่ายังไงฉันก็เป็นคนที่ต้องขออาศัยใต้ชายคา แต่จะมาแอบดื่มซุปไม่ได้หรอก คําแรกยังไงก็ต้องให้ภรรยาของฉันก่อน" เจียงจิ่งเฟิงบ่นพึมพำในห้องครัว ซ่งเสี่ยวเชียนทําหน้าบูดบึ้งใส่เขา "ขี้เหนียว!
"มานี่" เมื่อเสียบปลั๊กแล้ว เย่จื่อหยางก็ทําท่าทางเหมือนเรียกสัตว์เลี้ยงของเขา ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นว่าเขาแค่อยากเป่าผมให้เธอ นี่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกลูบผมที่เปียกชื้นของตัวเองแล้วบอกว่า “ ฮ่าๆ ไม่ต้องเป่าแล้ว ฉันนอนเปียกผมหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไร”"มานี่!" สําหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่เชื่อฟังก็ดุน้ำเสียงของเย่จื่อหยางค่อนข้างน่ากลัว ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มืดครึ้ม คิ้วขมวดแน่น ซ่งเสี่ยวเชียนหดคออีกครั้ง ทางเลือกที่รู้ที่สุดคือเชื่อฟัง คําพูดนี้เย่จื่อหยางพูดอย่างชัดเจนเมื่อพวกเขารู้จักกันครั้งแรกถ้าอย่างนั้นก็เชื่อฟังเถอะ ซ่งเสี่ยวเชียนคลานขึ้นไปต่อหน้าเย่จื่อหยางด้วยความท้อใจ นั่งอยู่ข้างเตียง ไม่ต่อต้าน เชื่อฟังมากเย่จื่อหยางจึงพอใจแล้ว มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย สัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟังจะได้รับความโปรดปรานจากเจ้าของ เปิดเครื่องเป่าผม ความร้อนที่อบอุ่นพัดออกมา เย่จื่อหยางเป่าผมให้เธออย่างอ่อนโยน เส้นผมลอยอยู่ในอากาศ เย่จื่อหยางไม่เคยเป่าผมให้คนอื่น ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงค่อนข้างแข็งกระด้าง แต่เขาดูเหมือนจะสนุกกับการกระทำนี้มาก
ในเวลานี้มือของเย่จื่อหยางคลายแรงลง ซ่งเสี่ยวเชียนหลุดพ้นจากพันธนาการได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากเย่จื่อหยางปล่อยมืออย่างกะทันหัน เธอจึงล้มลงก็นกระแทกกับพื้นอีกครั้ง เธอกรีดร้องและด่าไอ้สารเลวอีกครั้ง ตอนที่เธอเพิ่งจะเปิดประตู จู่ ๆ เย่จื่อหยางก็พูดว่า "คืนนี้ก็นอนที่นี่เถอะ นอนโซฟาหลับสบายหรอฉันนอนคนเดียวมาตลอด เมื่อกี้นอนกับคุณ รู้สึกดีไม่เลว"ซ่งเสี่ยวเชียนหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง ถ้าเย่จื่อหยางมีเสียงหัวเราะเล็กน้อย ซ่งเสี่ยวเชียนอาจวิ่งมาเตะเขาไปแล้ว แต่คราวนี้เย่จื่อหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก ไม่มีความหมายอื่น ๆ เลย เหมือนต้องการใครสักคนอยู่เป็นเพื่อเขาซ่งเสี่ยวเชียนตกตะลึงอยู่นาน จากนั้นเสี่ยวเชียนก็เดินไปข้างเตียง นั่งยอง ๆ อยู่ที่นั่น มองใบหน้าด้านข้างของเย่จื่อหยางที่นอนอยู่บนเตียง "เย่จื่อหยาง คุณอยากคืนดีกับพ่อของคุณหรือเปล่า"จริง ๆ แล้วเธออยากหาโอกาสพูดถึงเรื่องนี้กับเขามาตลอด แต่ก็กลัวว่าจะหาโอกาสไม่ได้ เขาโกรธทันทีเหมือนครั้งที่แล้วที่อยู่ในรถ แต่คืนนี้เป็นโอกาสที่ดีนะ เย่
"ถ้าคุณเก่งจริงก็ลองทำให้ฉันเป็นคนสุดท้าย!? เอาอย่างนี้สิ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณก็อย่าซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเป็นผู้ตัดสินอะไร ลงมาแข่งกับฉัน มาดูกันว่าคุณเก่งจริงหรือแค่ขี้โม้!" เย่จื่อหยางไม่ได้ยั่วยุคนอื่นแบบนี้มานานแล้ว เจียงจิ่งเฟิงคนนี้เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก เขาต้องสั่งสอนเขาให้ดีและทําลายศักดิ์ศรีของเขา"ฉันยอมรับคำท้าของคุณ!" เจียงจิ่งเฟิงตบโต๊ะอีกครั้งทำให้จานบนโต๊ะสั่นเมื่อซ่งเสี่ยวเชียนออกมาแล้ว สิ่งที่พวกเขาเพิ่งพูดเธอก็ได้ยินหมดแล้ว เธอไม่รู้ว่าการแข่งขันที่พวกเขาพูดถึงคืออะไรกันแน่ แต่น่าจะเป็นเรื่องล้อเล่นใช่ไหมมองหน้ากับเฉียนอ้ายเล่อ เธอก็ส่ายหัวอย่างไม่สนใจ "พวกเขาจะแข่งอะไรก็ให้พวกเขาแข่งไปเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของเรา" ใช่ ใช่ ใช่ เฉียนอ้ายพูดถูก นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา ส่วนซ่งเสี่ยวเชียนเธอล่ะ ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว"พวกคุณรู้ไหม มีหมอฝึกหัดจะเข้ามาอีกแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีเส้นสายใหญ่ เพราะมันเลยเวลาที่นักศึกษาฝึกงานเข้าทํางานแล้วไม่ใช่เหรอ" พยาบาลที่ยืนเคาน์เตอร์ซุบซิบกันซ่งเสี่ยวเชียนถือเอกสารกองหน
"คุณพูดเองนะ รักษาคำพูดด้วย" เจียงจิ่งเฟิงยังคงขู่ต่อไป "ใช่ ใช่ ใช่!" คณบดีทำได้แค่ตอบตกลง เจียงจิ่งเฟิงจึงเดินออกมา เมื่อเห็นซ่งเสี่ยวเชียนยืนอยู่ที่ประตู ก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก ยังกระพริบตาให้เธอ กระซิบว่า "ผู้ชายของเธอมีประโยชน์จริง ๆ แค่บอกชื่อก็เรียบร้อยแล้ว"ซ่งเสี่ยวเชียนเตะเขาเรียนมาจากเฉียนอ้ายเลอ "แม้ว่าจะเรียกคุณว่าไอดอล แต่ไอดอลก็เป็นของไอดอล เย่จื่อหยางไม่ใช่สิ่งของ คุณไม่เข้าใจการเคารพผู้คนเหรอ""โย่ แค่แป๊ปเดียวก็ออกหน้าแทนสามีแล้ว เธอนิสัยคล้ายกับฉันเลยนะ คนของตัวเอง คนอื่นพูดอะไรไม่ดีแม้แต่คําเดียวก็พูดไม่ได้ ข้อนี้ดี" เจียงจิ่งเฟิงพูดกึ่งติดตลกซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกพอใจและไม่สนใจเขาอีก แล้วเคาะประตูห้องของคณบดี ก่อนที่คณบดีจะตอบกลับ เธอก็เดินเข้าไปและโยนเอกสารไปที่โต๊ะทํางานของคณบดี "ผู้อํานวยการเฉินบอกให้ฉันเอามาให้คุณ คุณเก็บเอาไว้ให้ดีนะ"คณบดีเห็นได้ชัดว่าเขาไม่กล้าคิดบัญชีกับซ่งเสี่ยวเชียน ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนแต่งงานกับตระกูลเย่เป็นความจริงที่ทุกคนรู้ ใครจะกล้าแข็งข้อกับตระก
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"