โย้ เพื่อนร่วมอุดมการณ์นิ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ เย่จื่อหยางรู้สึกว่ารัศมีของบุคคลนี้แตกต่างจากคนทั่วไปมาก
เย่จื่อหยางมือทั้งสองข้างวางลงในกระเป๋ากางเกงของเขา เคลื่อนไหวปกติและสบตากันกับเจียงจิ่งเฟิง ทั้งสองมีส่วนสูงเกือบเท่ากัน และพวกเขาปฏิเสธที่จะทักทายกัน เจียงจิ่งเฟิงสูดหายใจลึกๆแล้ว หยิบบุหรี่ออกมา และอมมันไว้ในปากของเขาแล้วพูดว่า "ที่รัก จุดบุหรี่ให้ฉันหน่อย"
เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งของเขา เฉียนอ้ายเล่อก็เอาศอกพุ่งเข้าที่เอวของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ "ห้ามสูบบุหรี่!" และหยิบบุหรี่ออกจากปากของเขา
“งื้อ ที่รัก” เราตกลงกันว่าจะอยู่ตรงหน้าคนอื่นในฐานะสามีภรรยากันนิ คุณทำแบบนี้ ผมจะเอาหน้าไปไหนที่ไหน!” จู่ๆ เจียงจิ่งเฟิงก็เปลี่ยนโหมดของเขา และเอื้อมมือออกไปแย่งบุหรี่กลับมา เฉียนอ้ายเล่อ ฮึ "ฟังนะ เชื่อฟังคุณแต่ยังต้องเชื่อฟังฉัน!?"
เจียงจิ่งเฟิงเกาหัวด้วยความอาย "ฟังที่รัก"
เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา เย่จื่อหยางก็เลิกคิ้วขึ้น ทำไมดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกตินะ? หลังจากที่เฉียนอ้ายเล่อตะโกนใส่ เจียงจิ่งเฟิงเสร็จแล้ว เธอก็กลับมายิ้มอีกครั้งและพูดกับ ซ่งเสี่ยวเชียนว่า "จะไม่แนะนำเขาให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ?" ใช้สายตามองไปที่เย่จื่อหยาง
ซ่งเสี่ยวเชียนกำลังจะพูด แต่หยุดไว้กระทันหัน ควรพูดว่ายังไงดี? บอกว่าเขาเป็นสามีของฉัน? ฉันแต่งงานแล้ว! ไม่ๆ! มันไม่จริงนิ ! แต่มันไม่จริงตรงไหนเราจดทะเบียนสมรสแล้ว!
เมื่อเห็นความลังเลของเธอ เย่จื่อหยางคิดว่าเธอคงคิดว่าจะแนะนำเขาอย่างไร ยังจะต้องคิด? ฉันเป็นผู้ชายของเธอ! วางแขนโอบไหล่ของซ่งเสี่ยวเชียน "ฉันชื่อเย่จื่อหยาง และเธอเป็นภรรยาของฉัน"
"ไร้สาระ!" ซ่งเสี่ยวเชียนโต้กลับโดยไม่ต้องคิด ด้วยเหตุนี้เย่จื่อหยางจึงใช้สายตาที่น่ากลัวจ้องเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนลังเลอยู่นานและพูดว่า "พี่เลอเลอ เรื่องมันยาววว!"
“โอ้~~~ ฉันเข้าใจแล้วว เธอไม่จำเป็นต้องอธิบาย!” เฉียนอ้ายเลอยิ้มอย่างคลุมเครือ และเย่จื่อหยางก็บีบไหล่ของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างแน่น ราวกับจะเตือนเธอถ้าคุณพูดมากกว่านี้ ฉันจะลงโทษคุณอย่างหนัก!
เย่จื่อหยางยื่นมือออกไปที่เจียงจิ่งเฟิง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยื่นมือออกไปเพื่อจับมือของเขา เย่จื่อหยางกล่าวต่อว่า "กองกำลัง xxx ภาคเหนือของจีน หัวหน้ากองพลสืบสวนพิเศษ ยศพันเอก”
เมื่อเจียงจิ่งเฟิงได้ยินการแนะนำตัวเองของเขา เขาก็แตะคางของเขาแล้วพูดอย่างครุ่นคิดว่า "ฉันดูเหมือนจะเคยได้ยินชื่อของคุณ" จากนั้นเขาก็เกาหัวแล้วพูดว่า "เฮ้อ ฉันขอโทษจริงๆ ฉันจำชื่อไม่ได้" ฉันหัวหน้าหน่วยรบพิเศษของเขตทหาร xxx ทางตะวันตกเฉียงใต้ แต่ยศทหารสูงกว่าของคุณหนึ่งระดับ ผู้พันอาวุโส” เจียงจิ่งเฟิงตบๆที่ไหล่ของเขา
โชคดีที่เจียงจิ่งเฟิงไม่ได้สวมชุดทหารออกมา ไม่เช่นนั้นเขาคงจะภูมิใจมาก
ใบหน้าของเย่จื่อหยางแสดงออกว่าพูดอะไรไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับบุคคลที่มีบุคลิกแบบนี้ และเขารู้สึกว่าต่อกรไม่ได้กับคนคนนี้ แต่น่าแปลกใจ นิสัยของเย่จื่อหยางนั้นเป็นคนที่จริงจังมาโดยตลอด แต่เจียงจิ่งเฟิง... เขาเหมือนพวกหัวหน้าอันธพาล คุมพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ชายในวัยสามสิบยังทำตัวเหมือนเด็กเวลาอยู่ต่อหน้าเฉียนอ้ายเลอ
เมื่อซ่งเสี่ยวเชียนได้ยินสิ่งนี้ เธอก็รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าใครๆ "ไอดอล ยศทหารของคุณได้รับการเลื่อนตำแหน่งอีกแล้วหรอ! ฉันชื่นชมคุณ ฉันชื่นชมคุณ!" สายตาของเธอแทบจะเต็มไปด้วยความบูชา
เจียงจิ่งเฟิงไม่โดนหลงกลคำพูดเยินของซ่งเสี่ยวเชียน "เธอรู้ไหมว่าเด็กผู้หญิงควรรักษากิริยาให้มากกว่านี้ ทำท่าทางตกอกตกใจไม่เหมือนผู้หญิงแบบนี้ ใครจะมาชอบ" หลังจากพูดจบเขาก็หยุดอีกครั้ง ราวกับนึกบางอย่างได้ แล้วมองไปที่เย่จื่อหยาง และพูดว่า "เฮ้ออ ดูเหมือนสายตาเธอจะแย่มาก ... "
“พี่กำลังพูดถึงอะไร หุบปาก!” เฉียนอ้ายเลอเอามือบัดเอวของเจียงจิ่งเฟิงอีกครั้ง “เอาล่ะ ออกไปจากตรงนี้ก่อนเถอะ พวกเราต้องไปที่โรงแรมเพื่อเช็คอิน” เฉียนอ้ายเลอพูดกับเย่จื่อหยางด้วยท่าทีอ่อนโยน ยิ้มผลักเจียงจิ่งเฟิงแล้วรีบออกไป
เจียง จิงเฟิงเห็นเฉียนอ้ายเล่อยิ้มให้ผู้ชายคนอื่น และพูดอย่างหึงหวงว่า "ที่รัก อย่ายิ้มให้คนอื่นนะ!"
"ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้หุบปาก! รีบเดิน!"
ซ่งเสี่ยวเชียนเดิมทีต้องการจะเดินตามพวกเขาไป แต่เย่จื่อหยางกอดคอของเธอและล็อคคอไม่ให้เธอไป เย่จื่อหยางกอดเธอจากด้านหลังแล้วพูดข้างหูเธอว่า "คุณสนใจในตัวเขา แต่เขาแต่งงานแล้วนะ"
“อี๋! พูดอะไรไร้สาระ คุณรู้ไหมว่าไอดอลหมายถึงอะไร ไอดอลเป็นความเชื่อทางจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่สามารถนำพลังบวกมาให้คุณได้! แต่ขอบอกตามตรงนะ ไอดอลของฉันเขาเป็นแบบอย่างของสามีที่สมบูรณ์แบบในใจฉัน ไม่ว่าเขาจะมียศทหารระดับไหนหรือประสบความสำเร็จขนาดไหน แต่เขาจะทำดีถนุถนอมและรักพี่เลอเลอมาก ดีกว่าคุณหลายเท่า!”
ประโยคนี้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีครั้งใหญ่ในหัวใจของเย่จื่อหยาง หรอ? ผู้ชายคนนั้นที่ชื่อเจียงจิ่งเฟิง ดีอย่างที่ซ่งเสี่ยวเชียนพูดจริงๆหรอ? ทำไมทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนสามารถชื่นชมได้มากขนาดนี้?
จากปากภรรยาของเขา ชมผู้ชายอีกคนดีกว่าเขา และเขาก็ถูกเรียกว่าสามีที่สมบูรณ์แบบ นี่มันยามเกียรติกันอย่างมากและมันทำให้เย่จื่อหยางเกิดความไม่มั่นใจในตนเอง
เนื่องจากเย่จื่อหยางต้องกลับไปที่กองทัพตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์และไม่อยู่บ้านซ่งเสี่ยวเชียนจึงให้เฉียนอ้ายเลอ และเจียงจิ่งเฟิง ให้อยู่บ้านของเธอ ซึ่งสามารถประหยัดเงินได้มากสำหรับการเข้าพักในโรงแรม เฉียนอ้ายเลอในตอนแรกปฏิเสธเพราะเป็นบ้านที่จัดงานแต่งงานด้วย
แต่ซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างน้อยใจว่า "เขาไม่อยู่บ้านห้าวันต่อสัปดาห์ และฉันก็เบื่อที่จะอยู่คนเดียว ถ้าพี่มาอยู่ ฉันก็จะมีคนคุยด้วยอีกสองคน และก็นานมากกกกที่ฉันไม่ได้กินอาหารฝีมือไอดอลฉัน !”
ในเมื่อเธอพูดเช่นนี้แล้ว เฉียนอ้ายเลอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอาศัยอยู่ในบ้านของเย่จื่อหยางโดยที่ เย่จื่อหยางไม่รู้เรื่องนี้
...
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมื่อเย่จื่อหยางกลับบ้านอีกครั้ง เขาพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างในบ้านของเขาที่ไม่ได้เป็นของที่นี่
เมื่อเขากลับมา ซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ที่ทำงาน และเฉียนอ้ายเล่อก็ไปโรงพยาบาลเพื่อเป็นวิทยากร ส่วนเจียงจิ่งเฟิงก็ถูกทิ้งให้อยู่ที่บ้านเพื่อทำความสะอาด เย่จื่อหยางเข้ามาและสบตาจียงจิงเฟิงเป็นเวลานาน
"คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"
“ภรรยาของนายเชิญพวกเราให้มาอยู่ที่นี่ แต่พวกเราไม่ได้อยู่อย่างไร้ประโยชน์นะ ฉันช่วยทำความสะอาด” เจียงจิ่งเฟิงถือไม้ถูพื้นและผูกสวมผ้ากันเปื้อนเอวไว้รอบ ๆ เอว เป็นภาพที่กลมกลืนกันกับคำว่าพ่อบ้านจริงๆ เย่จื่อหยางไม่สามารถนึกถึงว่าเขาเป็นกองกำลังพิเศษออกได้จริงๆ
เย่จื่อหยางหายใจเข้าลึก ๆ และพยายามควบคุมความโกรธของเขา ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ ว่าเขาเป็นโรคกลัวสังคมอย่างมาก ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปในบ้านของเขา ป้าแม่บ้านที่เคยทำความสะอาดบ้านจะต้องมาทำความสะอาดตอนที่เขาไม่อยู่บ้านเท่านั้น ถ้าเย่จื่อหยางเห็น เขาจะถูกไล่ออกทันที!
ดังนั้น การที่เขาได้ให้ซ่งเสี่ยวเชียนมาอาศัยกับเขาถือว่าเป็นการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่แล้ว ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเขาต้องพิสูจน์ให้คุณปู่เห็นว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันจริงๆ
และตอนนี้! คนแปลกหน้าสองคนเดินโซเซเข้าไปในบ้านของเขา เมื่อคิดว่าทุกอย่างในบ้านถูกแตะต้องไปหมดแล้ว เขาจึงควบคุมมันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังควบคุมมันไม่ได้อีกต่อไป
“พวกคุณออกไปเดี๋ยวนี้ รีบออกไป ไม่งั้น.. . ..."
!!
“ฉันขอโทษจริงๆ เราไม่สามารถย้ายออกไปได้ โรงแรมที่เดิมทีเราจองไว้ถูกยกเลิกแล้ว ถ้าเราจองอีกครั้งตอนนี้ ฉันเกรงว่าพวกเราจะไม่มีห้อง ดังนั้นสองสามเดือนต่อจากนี้คงต้องพักบ้านนายแล้วล่ะ”ที่จริงเจียงจิ่งเฟิงตั้งใจพูดแบบนี้ เพราะเขารู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเข้มงวดเกินไป และเขาต้องการพูดอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาแค่ตั้งการจะแกล้งเขานั้นเองเดิมทีเย่จื่อหยางก็ไม่ชอบเจียงจิ่งเฟิงอยู่แล้ว แล้ว บวกกับที่ซ่งเสี่ยวเชียนยกย่องเขามากในฐานะสามีที่สมบูรณ์แบบ ความโกรธที่ระเบิดออกมาจากหัวใจของเขาทันที และเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อเหวี่ยงหมัดไปที่เจียงจิ่งเฟิง แต่เจียงจิ่งเฟิงก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วและหลบหมัดของเย่จื่อหยาง แต่เย่จื่อหยางก็ทำการโจมตีครั้งที่สองอย่างรวดเร็ว แต่เจียงจิ่งเฟิงก็หลบมันได้อีกครั้งทั้งคู่เป็นทหารพิเศษและท่าทางการต่อสู้ของพวกเขาก็เหมือนกับการดวลกันระหว่างปรมาจารย์ในละครโทรทัศน์ศิลปะการต่อสู้ ต่อมาเจียงจิ่งเฟิงเลือกที่จะไม่ป้องกันและเริ่มโจมตี ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ของตกแตกเป็นชิ้นๆ เดิมทีห้องสะอาดสะอ้าน แต่ต
ในไม่ช้าเย่จื่อหยางก็เข้าใจสิ่งที่ซ่งเสี่ยวเชียน พูดก่อนหน้านี้ว่า เจียงจิ่งเฟิงดีกับภรรยาของเขามาก จนเขาไม่สามารถเทียบติด แม้ว่าเขาจะอยู่บ้านเพียงสองวันก่อนจะกลับไปกองทัพ แต่ในเวลาเพียงสองวันนี้ เขาได้เห็นแล้วว่าเจียงจิ่งเฟิงเป็นผู้ชายเป็นคนดีสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ตลอดสองวันคำที่ไม่เคยหายไปเลยคือ "ที่รัก!" มันจะได้ยินตลอดเวลา เย่จื่อหยางต้องการอยู่บ้านเงียบ ๆ อ่านหนังสือหรืองีบหลับ แต่สองคำนี้ มักจะรบกวนให้เขานอนไม่หลับ“ที่รัก หิวไหม? ฉันเตรียมของหวานและน้ำชายามบ่ายไว้ให้แล้ว ที่รัก ไม่อยากกินข้าวเหรอ เธอคงเหนื่อยกับการเตรียมสอนใช่ไหม ผมจะช่วยนวดไหล่หรือนวดขาก็ได้” โดยปกติจะถามตอนที่เพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ และท้องเพิ่งอิ่ม"ที่รัก มานี่ ผมจะป้อนให้ อ่า~" สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นที่โต๊ะอาหารเย็น โดยที่เย่จื่อหยางนั่งอยู่ข้างๆ แต่เจียงจิ่งเฟิง ยังคงไร้ยางอายและป้อนข้าวให้เฉียนอ้ายเลอ และปกติเฉียนอ้ายเลอก็จะใช้มือตบเขา แล้วด่าว่า "ขายขี้หน้า!" แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่เบื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน เรื่องแบบนี้ทำให้เย่จื่อหยางรู้สึกตกใจ ไม่เคยพบเจอคนแบบนี้มาก่อน ดังนั้นสำหรั
ทันใดนั้น พยาบาลประจำการก็รีบไปหาซ่งเสี่ยวเชียน "หมอซ่ง คุณเย่มาที่นี่เพื่อพบคุณ! คุณอยากจะไปดูตอนนี้เลยไหม?"ซ่งเสี่ยวเชียนถือสมุดบันทึกไว้ในมือ ใบหน้าของเธอแข็งค้าง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ ทำไมเขาถึงมาโรงพยาบาลเพื่อตามหาเธอ? เขาควรอยู่ในกองทัพไม่ใช่เหรอ? “เอ่อ ยังไม่ไปพบเขา...ฉันยังต้องไปเช็คผู้ป่วยกับผู้อำนวยการ”"ไม่จำเป็นหรอก ในเมื่อผู้พันเย่มาพบคุณด้วยตนเอง คงต้องมีบางอย่างที่สำคัญ คุณรีบไปดูเถอะ" ก็... ใครในโรงพยาบาลนี้ไม่รู้ว่าเย่จื่อหยางเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งยังรวยเหรอ? จะกล้าละเลยเขาได้อย่างไร? รับผลักให้รีบไปซ่งเสี่ยวเชียนถูกนางพยาบาลพาตัวไปด้วยความลำบากใจ เมื่อเธอมาถึงห้องรับแรก เย่จื่อหยางก็นั่งอยู่บนโซฟาดูทีวีด้วยสีหน้าสบายๆ ซ่งเสี่ยวเชียนเริ่มโกรธทันที "นี่มันเวลาทำงาน คุณมาหาฉันมีธุระอะไร ?”เย่จื่อหยางหันกลับมาแล้วยิ้มให้เธอ ยิ้มหล่อเชียว ทำให้พยาบาลที่อยู่ข้างหลังถึงกับม้วนตัว “ฉันมีเรื่องที่จะคุยเป็นการส่วนตัวกับเธอ’เย่จื่อหยางพูดเพียงครึ่งประโยค แต่นางพยาบาลก็พยักหน้าโดยบอกว่าเธอเข้าใจ พวกคุณค่อยๆคุยพูด และแม้กระทั่งปิดประตูให้พวกเข
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่จื่อหยางพูด ซ่งเสี่ยวเชียนก็สำลักออกมา ไอหลายครั้ง และตบหน้าอกของเธอ ใช่เย่จื่อหยางจริงๆใช่ไหมดื่มไปงงไปเมื่อดื่มน้ำลงไปเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก “เย่จื่อหยางคุณไม่ใช่ว่าถูกกระตุ้นโดยเจียงจิ่งเฟิง ดังนั้นเลยอยากที่จะเป็นแบบเขาหรอกใช่ไหม”“ไม่ใช่ ฉันไม่อยากเป็นเหมือนเขา เขาคือเขาและฉันก็คือฉัน ฉันจะไม่กลายเป็นใครอีกแล้ว” เย่จื่อหยางพูดขณะที่เขาหยิบและกินอาหารบางส่วนบนจาน แล้วพูดว่าเขาอิ่มแล้ว“มีผู้หญิงอยู่ในใจของคุณใช่ไหม คุณกินน้อยกว่าฉันอีก?” ซ่งเสี่ยวเชียนใส่ร้ายเขาอย่างหน้าไม่อาย เมื่อครู่ตอนที่เขาเธอกลัวมาก แต่ตอนนี้เขากลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว เธอต้องด่าสักหน่อยถึงจะรู้สึกสบายใจ"มันไม่อร่อย" นี่คืออีกด้านหนึ่งของเย่จื่อหยางหรอ? ฉันคิดเสมอว่าเย่จื่อหยางจะเป็นคนที่สามารถอดทนต่อความยากลำบากและไม่เลือกกินถึงจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มพิเศษได้ แต่ตอนนี้เขาพูดคำว่า "ไม่อร่อย" สามคำนี้ซ่งเสี่ยวเชียนมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีฝนสีแดงบนท้องฟ้า จากนั้นเธอก็มองไปที่เย่จื่อหยาง "ที่บ้านไม่ใช่ว่าคุณกินข้าวเยอะเหรอ?" ใช่ เย่จื่อหยางสามารถกินข้าวสองหรือสามชามได้"เธอทำอร่อย" ในความเป็น
พูดจบก็รีบวิ่งไปที่ประตูห้องนอน เคาะประตูอย่างแรงสามครั้ง จากนั้นประตูไม้ก็เปิดออก เย่จื่อหยางขมวดคิ้วและมองเขาด้วยความโกรธมาก "มีอะไร!" "น้องรัก พวกเราสองคนเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ" พอพูดไปเจียงจิ่งเฟิงก็กอดไหล่ของเย่จื่อหยางเหมือนคุ้นเคยกันมา ผลักเขาเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ซ่งเสี่ยวเชียนยังได้ยินเสียงล็อคประตู โอ๊ย ทําไมภาพนี้ถึงดูอึดอัดขนาดนี้นะพวกเขาสองคนก็ไม่รู้ว่าได้ปรึกษาอะไรกันข้างใน คุยกันสิบหรือยี่สิบนาทีจึงออกมา ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังเตรียมที่จะแอบไปตักซุปสักชามมาดื่มในห้องครัว แต่ถูกเจียงจิ่งเฟิงจับได้พอดี"แม่สาวน้อย ซุปนี้ยังตุ๋นไม่เสร็จ เอามือของออกไป!" ทันทีที่เจียงจิ่งเฟิงตบมือของเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนก็คลายช้อนด้วยความเจ็บปวด เจียงจิ่งเฟิงรับทันทีแล้วผลักเธอออกไป"ฉันเป็นพี่เลี้ยงให้เธอก็แล้วไปเถอะ จะว่ายังไงฉันก็เป็นคนที่ต้องขออาศัยใต้ชายคา แต่จะมาแอบดื่มซุปไม่ได้หรอก คําแรกยังไงก็ต้องให้ภรรยาของฉันก่อน" เจียงจิ่งเฟิงบ่นพึมพำในห้องครัว ซ่งเสี่ยวเชียนทําหน้าบูดบึ้งใส่เขา "ขี้เหนียว!
"มานี่" เมื่อเสียบปลั๊กแล้ว เย่จื่อหยางก็ทําท่าทางเหมือนเรียกสัตว์เลี้ยงของเขา ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นว่าเขาแค่อยากเป่าผมให้เธอ นี่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกลูบผมที่เปียกชื้นของตัวเองแล้วบอกว่า “ ฮ่าๆ ไม่ต้องเป่าแล้ว ฉันนอนเปียกผมหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไร”"มานี่!" สําหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่เชื่อฟังก็ดุน้ำเสียงของเย่จื่อหยางค่อนข้างน่ากลัว ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มืดครึ้ม คิ้วขมวดแน่น ซ่งเสี่ยวเชียนหดคออีกครั้ง ทางเลือกที่รู้ที่สุดคือเชื่อฟัง คําพูดนี้เย่จื่อหยางพูดอย่างชัดเจนเมื่อพวกเขารู้จักกันครั้งแรกถ้าอย่างนั้นก็เชื่อฟังเถอะ ซ่งเสี่ยวเชียนคลานขึ้นไปต่อหน้าเย่จื่อหยางด้วยความท้อใจ นั่งอยู่ข้างเตียง ไม่ต่อต้าน เชื่อฟังมากเย่จื่อหยางจึงพอใจแล้ว มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย สัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟังจะได้รับความโปรดปรานจากเจ้าของ เปิดเครื่องเป่าผม ความร้อนที่อบอุ่นพัดออกมา เย่จื่อหยางเป่าผมให้เธออย่างอ่อนโยน เส้นผมลอยอยู่ในอากาศ เย่จื่อหยางไม่เคยเป่าผมให้คนอื่น ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงค่อนข้างแข็งกระด้าง แต่เขาดูเหมือนจะสนุกกับการกระทำนี้มาก
ในเวลานี้มือของเย่จื่อหยางคลายแรงลง ซ่งเสี่ยวเชียนหลุดพ้นจากพันธนาการได้อย่างง่ายดาย แต่เนื่องจากเย่จื่อหยางปล่อยมืออย่างกะทันหัน เธอจึงล้มลงก็นกระแทกกับพื้นอีกครั้ง เธอกรีดร้องและด่าไอ้สารเลวอีกครั้ง ตอนที่เธอเพิ่งจะเปิดประตู จู่ ๆ เย่จื่อหยางก็พูดว่า "คืนนี้ก็นอนที่นี่เถอะ นอนโซฟาหลับสบายหรอฉันนอนคนเดียวมาตลอด เมื่อกี้นอนกับคุณ รู้สึกดีไม่เลว"ซ่งเสี่ยวเชียนหันกลับมามองเขาแวบหนึ่ง ถ้าเย่จื่อหยางมีเสียงหัวเราะเล็กน้อย ซ่งเสี่ยวเชียนอาจวิ่งมาเตะเขาไปแล้ว แต่คราวนี้เย่จื่อหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก ไม่มีความหมายอื่น ๆ เลย เหมือนต้องการใครสักคนอยู่เป็นเพื่อเขาซ่งเสี่ยวเชียนตกตะลึงอยู่นาน จากนั้นเสี่ยวเชียนก็เดินไปข้างเตียง นั่งยอง ๆ อยู่ที่นั่น มองใบหน้าด้านข้างของเย่จื่อหยางที่นอนอยู่บนเตียง "เย่จื่อหยาง คุณอยากคืนดีกับพ่อของคุณหรือเปล่า"จริง ๆ แล้วเธออยากหาโอกาสพูดถึงเรื่องนี้กับเขามาตลอด แต่ก็กลัวว่าจะหาโอกาสไม่ได้ เขาโกรธทันทีเหมือนครั้งที่แล้วที่อยู่ในรถ แต่คืนนี้เป็นโอกาสที่ดีนะ เย่
"ถ้าคุณเก่งจริงก็ลองทำให้ฉันเป็นคนสุดท้าย!? เอาอย่างนี้สิ ถ้าคุณเป็นผู้ชาย คุณก็อย่าซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังเป็นผู้ตัดสินอะไร ลงมาแข่งกับฉัน มาดูกันว่าคุณเก่งจริงหรือแค่ขี้โม้!" เย่จื่อหยางไม่ได้ยั่วยุคนอื่นแบบนี้มานานแล้ว เจียงจิ่งเฟิงคนนี้เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมาก เขาต้องสั่งสอนเขาให้ดีและทําลายศักดิ์ศรีของเขา"ฉันยอมรับคำท้าของคุณ!" เจียงจิ่งเฟิงตบโต๊ะอีกครั้งทำให้จานบนโต๊ะสั่นเมื่อซ่งเสี่ยวเชียนออกมาแล้ว สิ่งที่พวกเขาเพิ่งพูดเธอก็ได้ยินหมดแล้ว เธอไม่รู้ว่าการแข่งขันที่พวกเขาพูดถึงคืออะไรกันแน่ แต่น่าจะเป็นเรื่องล้อเล่นใช่ไหมมองหน้ากับเฉียนอ้ายเล่อ เธอก็ส่ายหัวอย่างไม่สนใจ "พวกเขาจะแข่งอะไรก็ให้พวกเขาแข่งไปเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของเรา" ใช่ ใช่ ใช่ เฉียนอ้ายพูดถูก นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา ส่วนซ่งเสี่ยวเชียนเธอล่ะ ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว"พวกคุณรู้ไหม มีหมอฝึกหัดจะเข้ามาอีกแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีเส้นสายใหญ่ เพราะมันเลยเวลาที่นักศึกษาฝึกงานเข้าทํางานแล้วไม่ใช่เหรอ" พยาบาลที่ยืนเคาน์เตอร์ซุบซิบกันซ่งเสี่ยวเชียนถือเอกสารกองหน
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"