"คุณพูดเองนะ รักษาคำพูดด้วย" เจียงจิ่งเฟิงยังคงขู่ต่อไป
"ใช่ ใช่ ใช่!" คณบดีทำได้แค่ตอบตกลง เจียงจิ่งเฟิงจึงเดินออกมา เมื่อเห็นซ่งเสี่ยวเชียนยืนอยู่ที่ประตู ก็ไม่ได้ตกใจอะไรมาก ยังกระพริบตาให้เธอ กระซิบว่า "ผู้ชายของเธอมีประโยชน์จริง ๆ แค่บอกชื่อก็เรียบร้อยแล้ว"
ซ่งเสี่ยวเชียนเตะเขาเรียนมาจากเฉียนอ้ายเลอ "แม้ว่าจะเรียกคุณว่าไอดอล แต่ไอดอลก็เป็นของไอดอล เย่จื่อหยางไม่ใช่สิ่งของ คุณไม่เข้าใจการเคารพผู้คนเหรอ"
"โย่ แค่แป๊ปเดียวก็ออกหน้าแทนสามีแล้ว เธอนิสัยคล้ายกับฉันเลยนะ คนของตัวเอง คนอื่นพูดอะไรไม่ดีแม้แต่คําเดียวก็พูดไม่ได้ ข้อนี้ดี" เจียงจิ่งเฟิงพูดกึ่งติดตลก
ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกพอใจและไม่สนใจเขาอีก แล้วเคาะประตูห้องของคณบดี ก่อนที่คณบดีจะตอบกลับ เธอก็เดินเข้าไปและโยนเอกสารไปที่โต๊ะทํางานของคณบดี "ผู้อํานวยการเฉินบอกให้ฉันเอามาให้คุณ คุณเก็บเอาไว้ให้ดีนะ"
คณบดีเห็นได้ชัดว่าเขาไม่กล้าคิดบัญชีกับซ่งเสี่ยวเชียน ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนแต่งงานกับตระกูลเย่เป็นความจริงที่ทุกคนรู้ ใครจะกล้าแข็งข้อกับตระกูลเย่ล่ะ ใครจะกล้าขัดใจคุณผู้หญิงน้อยของตระกูลเย่ตอนนี้ล่ะ
ซ่งเสี่ยวเชียนเดินออกไป มือทั้งสองข้างยังล้วงกระเป๋า
จากนั้นเมื่อลงไปถึงชั้นหนึ่ง ก็เห็นเฉียนอ้ายเลอดึงหูของเจียงจิ่งเฟิงอย่างโมโห "คุณกําลังสร้างปัญหาอะไรให้ฉันอีก ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องสนใจเรื่องของโรงพยาบาลนี้ ทําไมคุณยังไม่เชื่อฟังอีก กลับบ้านคุกเข่าลงที่กระดานซักผ้า!"
"ที่รัก บ้านของพวกเขา ดูเหมือนจะกระดานซักผ้าที่สามารถนั่งได้ " เจียงจิ่งเฟิงไม่กล้าพูดใดๆ ได้แต่อดทนอย่างเงียบ ๆ
"ใครบอกว่าไม่มี พี่เลอเลอ ตอนนี้เลิกงานแล้วฉันจะซื้อให้อันหนึ่ง" ซ่งเสี่ยวเชียนรีบพูด เจียงจิ่งเฟิงจ้องจ้องตาเขม็ง แต่ซ่งเสี่ยวเชียนไม่สนใจ เมื่ออยู่กับเจียงจิ่งเฟิงมานานแล้ว ก็รู้ว่าบางครั้งเขาควรถูกสั่งสอนบ้าง
คืนนี้เจียงจิ่งเฟิงอับอายขายขี้หน้ามาก เพราะเขาคุกเข่าในห้องนั่งเล่นต่อหน้าเย่จื่อหยาง เขาขอร้อง ถ้าจะคุกเข่า เราปิดประตูและคุกเข่าในห้องได้ไหม ทําไมต้องคุกเข่าต่อหน้าผู้คนมากมายในห้องนั่งเล่นนี้
เฉียนอ้ายเล่อตอบไม่ได้ แค่ต้องทําแบบนี้ถึงจะดับความเย่อหยิ่งของคุณได้ ถ้ายังไม่กล้าคุกเข่าอีก เฉียนอ้ายเล่อหยิบแส้หนังที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเจียงจิ่งเฟิงออกมา ไม่คุกเข่าก็จะถูกตี ให้เขาเลือกเอง
เย่จื่อหยางนั่งอยู่บนโซฟาและพยายามรักษาใบหน้าเคร่งขรึมของตัวเอง แต่เมื่อมองหน้ากับเจียงจิ่งเฟิงที่อ้อนวอนไม่หยุด เขาก็เก็บอาการไม่ไหว เมื่อเห็นชายร่างใหญ่คุกเข่าอยู่บนกระดานซักผ้านั้น เขาไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขมาหลายปีแล้ว
บ้านของเย่จื่อหยาง นานมากแล้วที่ไม่ได้คึกคักขนาดนี้ ตั้งแต่เฉียนอ้ายเลอและเจียงจิ่งเฟิงมาอาศัยอยู่ ไม่มีวันไหนก็เงียบสงบเลย พวกเขาส่งเสียงดังจนหูของเย่จื่อหยางจะทนไม่ไหว แต่เขาไม่ได้ไปห้ามนะ เขารู้สึกว่าไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาแบบนี้มานานแล้ว
ในกองทัพ นอกจากกิน ดื่ม และพูดคุยกับสมาชิกในทีมของเขาเป็นครั้งคราวแล้ว ที่เหลืออยู่ในกองทัพพักผ่อน หรือเขาจะฝึกอยู่สนามฝึกคนเดียว ไม่ก็กลับไปที่หอพักของเขา ปิดประตูและเหม่อลอย สมองของเขาว่างเปล่าไปหมด
ในช่วงเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่ ใบหน้าของเย่จื่อหยางมีรอยยิ้มมากขึ้น ช่องว่างในใจก็เกือบจะถูกเติมเต็มโดยซ่งเสี่ยวเชียน ทุกวันที่เห็นซ่งเสี่ยวเชียนก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเธอ เมื่อเห็นเธอโกรธ แต่ในใจของเขากลับมีความสุข โดยไม่รู้ตัว หัวใจที่เย็นชาเดิมค่อย ๆ ละลายและเต็มไปด้วยความอบอุ่น
คืนนี้เจียงจิ่งเฟิงน่าสงสารที่สุด อาหารเขาเป็นคนทำ แต่เวลากินข้าว กลับไม่มีส่วนของเขา คุกเข่าบนแผ่นซักผ้าที่มุมกําแพง มองตาปริบๆ ทำตัวน่าสงสารมองเฉียนอ้ายเลอเหมือนสุนัขที่ซื่อสัตย์ พูดกับเธอว่า “ป้อนหน่อยยย...”
เย่จื่อหยางไอขึ้นมาทันที คิดว่าเขาได้ยินผิดแล้ว ชายคนนี้ไม่ใช่ทหารพิเศษหรอ ทําไมต่อหน้าภรรยาตัวเองถึงไร้ศักศรีดิ์แบบนี้ล่ะ
เย่จื่อหยางคิดแบบนี้ ภรรยาของเขา แน่นอนว่าต้องคิดถึงเขาตลอดเวลา รับใช้เขาและดูแลเขาตลอดเวลา เพราะเขาเป็นบ้านให้กับภรรยา ยกบ้านทั้งหลังให้ภรรยา ให้เวลาทั้งหมดกับภรรยา ดั้งนั้น บทบาทของภรรยาก็ควรเชื่อฟังเขา
แต่ทําไมเจียงจิ่งเฟิงถึงกลับตรงกันข้าม เจียงจิ่งเฟิงไม่เพียงแต่ให้บ้านที่ปลอดภัยแก่เฉียนอ้ายเล่อ ยกทั้งวันของเขาให้เธอ แถมยังเชื่อฟังภรรยาและดูแลเธออีกด้วย ทุกอย่างเกือบทั้งหมดเขาเป็นคนรับผิดชอบ เย่จื่อหยางอดไม่ได้ที่จะเริ่มชื่นชมเจียงจิ่งเฟิง
หลังจากหัวเราะแล้ว ในที่สุดเจียงจิ่งเฟิงก็กินข้าวจนอิ่ม แล้วนำจานไปล้าง เมื่อเขาล้างชามเสร็จ เย่จื่อหยางก็เรียกเขาว่า "โย่"
"โย่วบ้านแกเหรอ" เจียงจิ่งเฟิงพูดแบบไม่ไว้หน้า
เย่จื่อหยางยกเบียร์ในมือของเขาขึ้นเขย่าแล้วเดินไปที่ระเบียง เจียงจิ่งเฟิงแกะผ้ากันเปื่อนที่เอว และมองไปที่หลังของเย่จื่อหยาง เขาจะทำอะไรของเขาอีก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะตามไป
ระเบียงมีขนาดใหญ่มาก วางโต๊ะเล็ก ๆ หนึ่งตัว ม้านั่งสองตัว เย่จื่อหยางให้เขานั่งลงและเปิดเบียร์สองขวด "ฉันมีอะไรจะคุยกับคุณ ดื่มไหม"
แม้ว่าเจียงจิ่งเฟิงจะไม่รู้ว่าเย่จื่อหยางจะคุยอะไรกับเขาได้ แต่เขาก็ยังนั่งลง นั่งไขว่ห้างและยกเบียร์ขึ้นดื่ม "ว่ามา"
ซ่งเสี่ยวเชียนเพิ่งอาบน้ำออกมา ก็เห็นผู้ชายสองคนนั่งอยู่ที่ระเบียง ดื่มเหล้าอยู่ ไม่รู้ว่ากําลังคุยกันอะไรอยู่ เธอแอบซ่อนอยู่ที่ด้านหลังโซฟา เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งแอบมองที่ระเบียง ประตูกระจกที่ระเบียงไม่ได้ปิด ซ่งเสี่ยวเชียนสามารถได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอย่างแผ่วเบา
ในเวลานี้เฉียนอ้ายเล่อเห็นซ่งเสี่ยวเชียนขดตัวอยู่หลังโซฟาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เธอจึงนั่งยอง ๆ อยู่ข้างซ่งเสี่ยวเชียน "เธอทําอะไรอยู่"
ซ่งเสี่ยวเชียนชี้ไปที่ระเบียง "ควรถามว่าพวกเขากําลังทําอะไรอยู่"
เฉียนอ้ายเล่อมองไปที่ระเบียง โอ้โห สองคนนี้เจอกันครั้งแรกก็ทะเลาะกัน ระยะหลังแม้จะอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ก็มองหน้ากันไม่ชิน ทําไมตอนนี้กลับเหมือนพี่น้องที่ความสัมพันแน่นแฟ้น นั่งดื่มด้วยกันแบบนี้
โอเค คราวนี้ซ่งเสี่ยวเชียนและเฉียนอ้ายเลอต่างก็ให้ความสนใจ ตัดสินใจแอบอยู่หลังโซฟา พร้อมที่จะเริ่มเป็นสายลับแอบดักฟัง
"ฉันคิดว่าคําถามของคุณมีปัญหา อะไรเรียกว่าทําไมฉันถึงดีกับภรรยาฉัน เชื่อฟังทุกอย่าง คําถามนี้ไม่ควรเป็นแบบนี้ คุณลองคิดดูสิ ทําไมฉันถึงแต่งงานกับเธอ เพราะฉันรักเธอ ฉันรักเธอ ก็หมายความว่าฉันควรดีกับเธอ เธอเป็นภรรยาของฉัน ฉันควรทำดีกับเธอเป็นร้อยเท่ามากกว่าที่ดีกับคนอื่น เข้าใจหรือยัง" เจียงจิ่งเฟิงกล่าว
เย่จื่อหยางดื่มเบียร์อย่างเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไร
"ฉันรู้ว่าคนนอกอาจไม่เข้าใจ ต่อให้ดีกับภรรยาก็ต้องมีขีดจํากัด ไม่จําเป็นต้องดีกับเธออย่างไร้ยางอาย คนที่พูดเหล่านั้น ไม่เข้าใจเลยว่าฉันรักเฉียนอ้ายเลอมากแค่ไหน" เจียงจิ่งเฟิงวางขวดเบียร์ลง แล้วถอดเสื้อแขนสั้นออก
เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนของเขา รูปร่างของเขายอดเยี่ยมมาก แต่มีรอยแผลเป็นมากมายบนนั้น เย่จื่อหยางมองออกว่าน่าจะเป็นแผลเป็นจากออกภารกิจ เขาก็มีแผลเป็นมากมายบนร่างกายของเขา รอยแผลเป็นทั้งใหญ่และเล็ก ดูเหมือนจะพบจุดร่วมของทั้งสอง
!!
เจียงจิ่งเฟิงชี้ไปที่แผลเป็นสองแห่งใต้กระดูกไหปลาร้าไหล่ของเขา รอยแผลเป็นนั้นชัดเจนมาก ตําแหน่งเดียวกันของไหล่ทั้งสองบนหลังก็มีรอยแผลเป็นเหมือนกัน เย่จื่อหยางขมวดคิ้ว "แผลนี้เหรอ""นี่ไม่ใช่บาดแผลที่ฉันได้รับจากภารกิจ แต่เป็นปีนั้นมีคนจับภรรยาและลูกชายของฉันเพื่อแก็แค้นฉัน ข่มขู่ฉัน แล้วใช้เบ็ดเหล็กเจาะกระดูกไหปลาร้าไหล่ฉัน รอยแผลเป็นทั้งสองนี้ เตือนฉันตลอดเวลาว่า ฉันกับภรรยาเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้ว แต่พวกเราก็สามารถมีชีวิตรอดมาได้ ""ฉันเป็นคนทําร้ายพวกเขา ครั้งนั้น ความทุกข์ทรมานที่เธอและลูกได้รับ ผมจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องประสบอีกในชีวิตนี้ ดังนั้น ผมจะดีกับพวกเขาให้มากๆ ฉันจะชดเชยให้ทุกอย่างให้พวกเขา" เมื่อเจียงจิ่งเฟิงพูดจบ เขาก็ดื่มเบียร์หมดไปแล้วหนึ่งขวด หยิบเบียร์ที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา ใช้ปากกัดฝาขวด ดื่มต่อ "แต่ที่ฉันพูดแบบนี้ ไม่ใช่เพื่ออธิบาย เพราะเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ฉันจึงดีกับพวกเขาขนาดนี้ ฉันแต่งงานกับเธอแล้ว เธอก็คือคนรักของฉัน ไม่ว่าจะมีเรื่องนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ ฉันก็ยังดีกับเธออยู่ดี"
เฉินเฉินเดินไปที่อ่างล้างมือ แล้วยื่นมือไปล้างมือ เงยหน้ามองตัวเองในกระจก ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ รู้สึกว่ามารยาทของเธอไม่มีปัญหาแล้ว จึงหันมามองซ่งเสี่ยวเชียน"คุณก็อยู่ที่โรงพยาบาลนี้เหรอ" เฉินเฉินถามแบบขอไปที ซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน เฉินเฉินบังเอิญหรือจงใจมาทํางานที่โรงพยาบาลเดียวกับเธอกันแน่ไม่ได้ ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนมีข้อมูลเกี่ยวกับเฉินเฉินน้อยเกินไป ที่บอกว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ซ่งเสี่ยวเชียนตัดสินใจที่จะไปรวบรวมข้อมูลของเฉินเฉินคนนี้ก่อน แล้วค่อยต่อสู้กับเธอ! เธอรีบเก็บเครื่องสําอางบนอ่างล้างมือให้เรียบร้อย ขณะที่กําลังจะไป เฉินเฉินก็พูดอีกครั้ง"รอยคล้ำหนาขนาดนี้ ทาคอนซีลเลอร์เยอะแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ทําไม เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเหรอ" เฉินเฉินยังคงมองซ่งเสี่ยวเชียนในกระจก ซ่งเสี่ยวเชียนมองแววตาที่อธิบายไม่ได้ของเธอ เกรงว่าในใจจะพูดว่า เมื่อคืนคุณทําอะไรกับเย่จื่อหยางซ่งเสี่ยวเชียนสงบลงสักหน่อย ก็นะตอนนี้คนที่แต่งงานกับเย่จื่อหยางก็คือเธอนะ คนที่อาศัยอยู่ในบ้านของเย่จื่อหยางก
กลับมาพูดต่อ วันนี้เฉินเฉินโทรหาเย่จื่อซินและถามเธอว่า เธออยากให้ฉันจะเป็นพี่สะใภ้หรือเป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น แน่นอนว่าเย่จื่อซินตอบว่าหวังว่าพี่เฉินจะเป็นพี่สะใภ้ของฉันดังนั้น เฉินเฉินและเย่จื่อซินได้จัดตั้งแนวร่วม สงครามครั้งแรกยังไม่ได้เริ่ม แต่ก็ต้องสอดแนมสถานการณ์ทางทหารก่อน เย่จื่อซินยืนอยู่ที่ประตูและหายใจเข้าลึก ๆ และกำลังที่จะกดกริ่งประตู แต่ก็คิดได้ว่าเธอมีกุญแจบ้านของเย่จื่อหยาง ก่อนหน้านี้เธออ้อนวอนนานกว่าที่เย่จื่อหยางจึงให้เธอเธอหยิบออกมาอย่างมีความสุขแล้วเปิดประตู จริง ๆ แล้วเธอจินตนาการถึงฉากมากมายที่เธอจะเห็นเมื่อเข้าบ้าน เช่น แม้ว่าพี่ชายของเธอและซ่งเสี่ยวเชียนจะกินข้าวด้วยกัน แต่ก็ไม่มีอะไรคุยกัน พี่ชายของเธอยิ่งมีสีหน้าเฉยเมย หรือพี่ชายของเธอไม่กินข้าวกับซ่งเสี่ยวเชียน เขากินข้าวคนเดียว ยังไงก็แล้วแต่คิดแต่เรื่องที่ไม่ดีเพราะเย่จื่อซินคิดเสมอว่า พี่ชายของเธอคงไม่ชอบซ่งเสี่ยวเชียนจริงๆการแต่งงานก็เป็นไปตามความต้องการของปู่คุณย่าและคุณพ่อใช่ไหมแต่ทันทีที่เปิดประตู ทันทีที่เข้ามา มองเข้าไปในบ้าน บรรยากาศในบ้าน แสงไฟที่สว่าง บรรยากาศ
"พี่เฉิน ฉันคิดว่าครั้งนี้อ่ะ พี่เค้าเอาเหมือนจะเอาจริง ถ้าไม่ใช่ว่าฉันเห็นกับตาตัวเอง ตีให้ตายยังไงฉันก็ไม่เชื่อเลย" จนถึงตอนนี้เย่จื่อซินยังคงไม่ลืมภาพที่เพิ่งเห็นที่บ้านของเย่จื่อหยาง"เธอเห็นอะไร เห็นพี่ชายของเธอจูบผู้หญิงคนนั้นเหรอ นิมันไม่ใช่เรื่องที่จะเอะอะโวยวายนะ คุณลุงและคุณปู่คุณย่า หวังว่าพี่ของเธอจะมีลูกไม่ใช่หรอ สิ่งที่ฉันสนใจคือ เย่จื่อหยางจริงใจกับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า"เฉินเฉินรีบร้อนแล้ว ไม่รีบได้ไหมล่ะ เดิมทีเธอเธอกลับมาในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือกลับมาแต่งงานกับเย่จื่อหยาง แต่แค่ไม่ได้ติดต่อกับเขามานานกว่าหนึ่งปี เขาก็หาผู้หญิงคนอื่นมาแต่งงานแล้ว สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อเฉินเฉินเป็นอย่างมากมาก มีเพียงเธอเท่านั้นรู้อยู่ในใจ และแต่ตอนนี้ ท่าทีของเย่จื่อซินทําให้เธอมองไม่เห็นอนาคตเลย เธอยิ่งร้อนใจมากขึ้น ทุกอย่างสายเกินไปจริง ๆ เหรอเย่จื่อซินประหลาดใจเล็กน้อยกับประโยคที่เธอเพิ่งพูด "พี่เฉิน หรือว่าในสายตาของพี่ คิดว่าพี่ชายของฉันจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับผู้หญิงคนอื่นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้งั้นหรอ"  
การแสดงออกทางสีหน้าของเย่จื่อหยางนั้นทั้งโมโห ทั้งสบสน ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่าเขาคงจะโกรธมาก แต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าแล้ว นี่จะแสดงละครหรอ เย่จื่อหยางจําได้ว่าเขายังไม่ได้สารภาพรักเลย ยังไม่ได้บอกซ่งเสี่ยวเชียนว่าเขาดูเหมือนจะชอบเธอแล้ว ถ้าเขาพูดคําเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล ซ่งเสี่ยวเชียนจะรู้สึกไม่เข้าใจใช่ไหมไฟในใจของเขาดับลงทันที คําสารภาพเป็นงานทางเทคนิค เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ถ้าตอนนี้เขาพูดว่า ฉันชอบเธอ! ดังนั้น อย่าจะไม่อย่ากับเธอ แบบนี้ใช่ไหม ไม่แน่ว่าอาจจะทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนอาจกลัวจนหนีไปนี่ยังต้องวางแผนอีกยาวดังนั้น เย่จื่อหยางจึงกลับไปนั่งบนเก็าอี้อีกครั้ง และพูดอีกประโยคหนึ่งว่า "ฉันรู้แล้ว"ซ่งเสี่ยวเชียนด่าในใจว่า คุณรู้กับผีนะซิ เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ถูกคนจ้องมองในโรงพยาบาลทุกวันเหมือนกําลังจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ได้ไหม เธอกระทืบเท้าด้วยความโกรธ อยากจะเอื้อมมือไปบีบคอเขาจนตายจริง ๆแต่เดี๋ยวนะประโยคนี้ ฉันรู้แล้ว ความหมายเหมือน
บ้านแม่และบ้านสามีอยู่คนละเมือง มันมีประโยชน์มากนะ อย่างเช่นตอนนี้ หนีออกจากบ้านแล้ว ไม่ต้องวิ่งไปพักที่โรงแรม เธอสามารถกลับมาพักบ้านที่แสนจะอบอุ่น กินอาหารที่พ่อแม่ทํา นอนบนที่นอนเล็ก ๆ ที่เธอแสนจะคุ้นเคยลองคิดดูสิ ซ่งเสี่ยวเชียนแทบรอไม่ไหวแล้ว เธอควรกลับไปบ้านของเธอตั้งนานแล้ว ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่บ้านหลังนั้น และต้องทนรับความอารมณ์โกรธเหมือนพายุโหมกระหน่ำทุกวัน ที่สําคัญที่สุด ผลของความทุกข์นี้ ไม่มีค่าอะไรเลย เธอเหมือนตัวคนเดียวมีสิทธิ์อะไร ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธจัดและขึ้นรถบัสด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พอใจ เมื่อลงจากรถบัสที่ป้ายหน้าชุมชนและเพิ่งเดินเข้าไปในชุมชน จะมีจัตุรัสเล็กๆและเหล่าป้าๆจะพากันเต้นรำกันยามเย็น ก็ไม่รู้ว่าพวกป้าตาดีหรือยังไงพอซ่งเสี่ยวเชียนปรากฏตัว ก็มีคนสังเกตเห็นเธอแล้ว พอเห็นเธอก็วิ่งเข้ามา จับมือเธอแล้วไม่ปล่อย "โอ้ หนูใช่เพื่อนสาวของตระกูลซ่งที่อยู่บนชั้นหกไม่ใช่หรอหนูไม่ใช่แต่งงานเข้าตระกูลเย่แล้วหรอ ทำไมตอนนี้กลับมาบ้านล่ะแล้วสามีของหนูล่ะ ไม่ได้มากับหนูเหรอ"ซ่งเสี่ยวเชียนอ้ำอึ้งมาสักพัก ไม่รู้จะตอบยังไง แม้ว่าป้าในชุมชนนี้จะคุ้น
เงยคางขึ้นแล้วพูดว่า "คุณมาที่นี่ได้ยังไง" เย่จื่อหยางมองไปที่พ่อซ่งและแม่ซ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของซ่งเสี่ยวเชียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และปิดประตู พอเย่จื่อหยางเข้ามา ห้องเล็ก ๆ นี้ก็ดูเหมือนห้องจะเล็กกว่าเดิม สาเหตุอาจเป็นเพราะเย่จื่อหยางสูงเกินไป"เธออยากทําให้เรื่องของเราเป็นเรื่องใหญ่ จนแม้แต่พ่อแม่เธอก็รู้เหรอ ตอนนี้พ่อแม่ของเธอดีใจมากที่เธอแต่งงานกับฉัน เธออยากให้พวกเขารู้ความจริง แล้วโกรธพวกเราจนตายหรอ”"เหอะ! ฉันเห็นว่าคุณกําลังคิดเพื่อตัวคุณเองมั้ง ให้พ่อแม่ของฉันรู้ว่าจุดประสงค์ของการแต่งงานของคุณไม่บริสุทธิ์ พ่อแม่ของฉันจะคิดว่าคุณเป็นคนหลอกหลวงและเกลียดคุณ คุณไม่อยากให้พ่อแม่ของฉันรู้ คุณแค่อยากรักษาภาพลักษณ์ของผู้ชายที่ดีที่จอมปลอมของคุณใช่ไหมซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างโมโห เย่จื่อหยางไม่ตีผู้หญิง ถ้าเขาอดทนหรือทำอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือเป็นไอ้สารเลวสักหน่อย เขาก็คงจะชกสักหมัดแต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นสุภาพบุรุษ"รีบตามฉันกลับบ้าน ทะเลาะกันแบบนี้ เธอมีความสุขมากหรอ เดิมทีเธอก็ไร้เหตุผ
ตอนนี้แค่คิดในใจว่า ถ้าเย่จื่อหยางแยกจากเธอ และฉีกกระดาษแผ่นนั้นระหว่างพวกเขา ในใจเธอต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากถึงแม้จะไม่เจ็บปวดจนถึงสุดขั้วหัวใจ แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่ดี ก็คิดในใจว่าอย่าปล่อยมือ ไม่อนุญาตให้เขาจากไปซ่งเสี่ยวเชียนขยี้ผมตัวเองและกลายเป็นเล้าไก่ไปแล้ว เฮ้อ นั่นไม่ใช่ประโยคที่ว่า ใครชอบก่อนคนนั้นก็แพ้ ซ่งเสี่ยวเชียนไม่อยากแพ้หรอก เธอต้องชนะสิ เธอจะจับเย่จื่อหยางไว้ในมือให้แน่น อย่าให้เขาหนีไปได้"กินก๋วยเตี๋ยว!" ในขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในสมอง เสียงของเย่จื่อหยางก็ดังขึ้นและมีน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อยบอกให้เธอกินมากินข้าว ทันทีที่ซ่งเสี่ยวเชียนหันไปก็เห็นเขาวางชามเล็ก ๆ ไว้บนโต๊ะ ดวงตาของเขามองไปที่เธอแล้วมองไปที่ชามก๋วยเตี๋ยวนั้นหมายความว่า ลุกขึ้นมากินก๋วยเตี๋ยวซ่งเสี่ยวเชียนจิบปาก ไม่รู้จักเรียกเธอกินข้าวอย่างอ่อนโยนหรือไง เธอลุกขึ้นนั่งแล้วเดินไปที่โต๊ะเล็ก ๆ นั้น เย่จื่อหยางปิดประตูและนั่งข้างเตียงของเธอ เฮ้ ห้องนี้เล็กมาก แม้แต่ม้านั่งส่วนเกินก็ไม่มี เย่จื่อหยางนั่ง
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"