การแสดงออกทางสีหน้าของเย่จื่อหยางนั้นทั้งโมโห ทั้งสบสน ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่าเขาคงจะโกรธมาก แต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าแล้ว นี่จะแสดงละครหรอ
เย่จื่อหยางจําได้ว่าเขายังไม่ได้สารภาพรักเลย ยังไม่ได้บอกซ่งเสี่ยวเชียนว่าเขาดูเหมือนจะชอบเธอแล้ว ถ้าเขาพูดคําเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล ซ่งเสี่ยวเชียนจะรู้สึกไม่เข้าใจใช่ไหม
ไฟในใจของเขาดับลงทันที คําสารภาพเป็นงานทางเทคนิค เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ถ้าตอนนี้เขาพูดว่า ฉันชอบเธอ! ดังนั้น อย่าจะไม่อย่ากับเธอ แบบนี้ใช่ไหม ไม่แน่ว่าอาจจะทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนอาจกลัวจนหนีไป
นี่ยังต้องวางแผนอีกยาว
ดังนั้น เย่จื่อหยางจึงกลับไปนั่งบนเก็าอี้อีกครั้ง และพูดอีกประโยคหนึ่งว่า "ฉันรู้แล้ว"
ซ่งเสี่ยวเชียนด่าในใจว่า คุณรู้กับผีนะซิ เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ถูกคนจ้องมองในโรงพยาบาลทุกวันเหมือนกําลังจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ได้ไหม เธอกระทืบเท้าด้วยความโกรธ อยากจะเอื้อมมือไปบีบคอเขาจนตายจริง ๆ
แต่เดี๋ยวนะ
ประโยคนี้ ฉันรู้แล้ว ความหมายเหมือนจะคลุมเครือไปหน่อย ฉันรู้แล้ว ฉันจะหย่ากับคุณแล้วอยู่กับเฉินเฉิน หรือผมรู้แล้ว ผมจะคิดเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเฉินเฉินให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจว่าคุณจะอยู่หรือไป
พระเจ้า นี่ทำกับเธอเหมือนเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งโดยสิ้นเชิง! ถือไว้ในมือเมื่อเขาต้องการและโยนทิ้งเมื่อไม่จำเป็นทันที!?
ตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองถามคําพูดเหล่านั้นออกมา เพื่อหาเรื่องใส่ตัวเองทำไมไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น
ซ่งเสี่ยวเชียนมีความสามารถในการคิดเองเออเอง ในใจไม่สมดุลอีกครั้ง ความคับข้องใจก็ระเบิดขึ้นทันที กัดฟันทนไม่ไหวแล้ว ตรงเตะเข้าที่น่องของเขาอย่างแรง ด่าว่า "คนเหี้ย!" แล้ววิ่งออกจากบ้าน
เย่จื่อหยางสัมผัสที่ที่ตัวเองถูกเตะ นี่อารมณ์เสียอะไรนักหนา เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เตะเขาอีกทำไมเย่จื่อหยางรู้สึกงงงวยมากและมองไปที่นาฬิกาควอตซ์บนผนัง เกือบจะหกโมงแล้ว ยัยเด็กนี่วิ่งออกไปในเวลานี้ไม่กินข้าวก่อนหรอ
เดิมทีเฉียนอ้ายเล่อกําลังช่วยเจียงจิ่งเฟิงอยู่ในห้องครัว เมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังปัง นึกว่ามีคนบุกเข้ามา เลยวิ่งออกมาดู ห้องนั่งเล่นว่าปลอดภัยไหม แต่เมื่อเห็นเย่จื่อหยางนั่งอยู่บนโซฟา เธอจึงถามว่า "ซ่งเสี่ยวเชียนเธอวิ่งออกไปตอนนี้ทําไม"
เย่จื่อหยางกลับมามองเธอด้วยสีหน้าสงสัย "ฉันจะรู้ได้ยังไง"
เฉียนอ้ายเลอเอามือกุมกหมับ มองไปที่เย่จื่อหยาง ดูเหมือนจะคิดว่าเส้นประสาทของเขาเล็กลง ซ่งเสี่ยวเชียนเพิ่งคุยกับเขา ในห้องครัวได้ยินเสียงซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนอะไรสักอย่าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงปิดประตู วิ่งออกมาถามเขา แต่เขากลับตอบว่าไม่รู้
"คุณไม่ตามเธอออกไปหรอถึงแม้ฟ้าจะยังไม่มืด แต่ผู้หญิงวิ่งออกไปคนเดียวก็ยังอันตรายอยู่นะ" เฉียอ้ายเลอเรียนรู้น้ำเสียงของเจียงจิ่งเฟิงพูดกับเย่จื่อหยาง
เย่จื่อหยางส่ายหัว "ไม่ต้องหรอก โตขนาดนี้เธอยังไม่รู้ทางกลับบ้านอีกเหรออีกนานแค่ไหนถึงจะกินข้าว" น้ำเสียงของเย่จื่อหยางถือว่าเฉียนอ้ายเล่อและเจียงจิ่งเฟิงเป็นพี่เลี้ยงที่บ้านแล้ว สิ่งที่ถามนั้นเรียกว่าสมเหตุสมผล
ในที่สุดเฉียนอ้ายเล่อก็เข้าใจความรู้สึกของซ่งเสี่ยวเชียนบ้างแล้ว เธอถูกเจียงจิ่งเฟิงตามใจมาตลอด ยังไม่มีใครทําให้เธอโกรธขนาดนี้ ดวงตาจ้องมองเขา "ถ้าไม่พาภรรยาคุณกลับมา วันนี้ก็ไม่อนุญาตให้คุณกินข้าว!"
เธอก็เอาน้ำเสียงที่สั่งสอนเจียงจิ่งเฟิงออกมา ฮึ่มคิดว่าพวกฉันกลัวคุณจริง ๆ เหรอ เฉียนอ้ายเล่อครั้งนี้ผิดคนนะ ก็คือเย่จื่อหยางผิดอยู่แล้ว ยังอยากกินข้าวอีกเหรอ
แม้ว่าเย่จื่อหยางจะเป็นหน่วยรบพิเศษแล้วยังไง เฉียนอ้ายเลอเมื่อได้พบกับเจียงจิ่งเฟิงครั้งแรก ก็ถูกเจียงจิ่งเฟิงขู่เอาชีวิตเธอ เธอยังไม่เคยกลัวเลย ตอนนี้เจียงจิ่งเฟิงก็ถูกเธอทําให้เชื่องเหมือนสุนัขที่ซื่อสัตย์ไม่ใช่หรอ เฉียนอ้ายเล่อมีประสบการณ์มาก่อน
ลูกชายของเฉียนอ้ายเลอทําผิด สอนยังไง ไปที่มุมกําแพงก่อน 30 นาที แล้วนั่งข้าง ๆ ดูพวกเขากินข้าว ดูได้แต่ตะเกียบ ห้ามขยับแม้แต่อันเดียว จากนั้นไปที่มุมกําแพงอีกสามสิบนาที ในเวลานี้ท้องของลูกชายเธอหิวร้องครวญครางมานาน เฉียนอ้ายเลอจึงถามเขาว่า สำนึกผิดหรือยังลูกชายไม่สนใจว่ามันผิดอะไร ขอแค่ได้กินข้าวก็ยอมรับความผิดทุกอย่าง
ดังนั้น การห้ามกินข้าวจึงเป็นเรื่องที่ทรมานคนได้มากที่สุด เย่จื่อหยางก็ทําหน้าเหมือนถูกบังคับ แต่ก็ยังไม่ไปหาซ่งเสี่ยวเชียน ในใจก็คิดว่า เขาไม่ได้ยั่วยุเธอ เธอโกรธและวิ่งออกไปเองเกี่ยวอะไรกับเขา
ต่อไปเย่จื่อหยางเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่กินข้าวซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน ไม่ออกมาให้เห็นให้รำคาญใจ
หนึ่งทุ่ม สองทุ่ม สามทุ่ม สามทุ่มครึ่ง ในที่สุดเย่จื่อหยางก็ออกมาจากห้อง มองไปที่ห้องนั่งเล่นที่เงียบเหงา เฉียนอ้ายเลอก็ออกมาจากห้องพักพอดี ทั้งสองสบตากัน เย่จื่อหยางรู้สึกครั้งแรกว่าถูกจับได้ สายตาของเขาหลบเล็กน้อย
เฉียนอ้ายเลอส่งสายตาเหมือนจับขโมยได้แล้ว ไอและเรียกชื่อเย่จื่อหยาง ให้เขามองตัวเธอ "หิวข้าวไหมถ้าหิวก็ออกไปพาซ่งเสี่ยวเชียนกลับมา"
"เธอยังไม่กลับมาอีกเหรอ" เย่จื่อหยางเพิ่งนอนหลับอยู่ในห้อง ไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกเลย เขาคิดว่าซ่งเสี่ยวเชียนกลับมานานแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา ในใจก็อดไม่พอใจเล็กน้อย
ไม่พอใจอะไร? ในฐานะที่เป็นภรรยาที่มีสามีแล้ว วิ่งออกไปด้วยความโกรธโดยไม่มีเหตุผลก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมาอีกดูเวลาเกือบจะสี่ทุ่ม ทำไมยังไม่กลับบ้าน!?
หรือว่าจะเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกันไปร้านเหล้าเพื่อคลายความกังวลไม่ นี่เป็นการแก็แค้นหรอ? ออกไปทำอะไรไม่ดีข้างนอกเย่จื่อหยางโกรธมาก
"คุณไม่ควรพูดแบบนี้คุณเป็นคนที่สื่อสารยากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาดูเวลาสิ ปล่อยให้ซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ข้างนอกคนเดียว ปลอดภัยไหม แม้ว่าคุณจะไม่สนใจเธอมากนัก แต่ในฐานะผู้ชาย คุณก็มีหน้าที่ต้องปกป้องเธอใช่ไหม ถ้าเจียงจิ่งเฟิงเป็นนิสัยแบบคุณ ฉันจะเตะเขาออกไปนานแล้ว!"
เย่จื่อหยางจ้องมองเฉียนอ้ายเลอ "อย่าพูดพล่ามโดยไม่เข้าใจสถานการณ์ คุณมีสิทธิ์อะไรมาประเมินฉัน"
เย่จื่อหยางตะโกนใส่เฉียนอ้ายเลอ เจียงจิ่งเฟิงก็รีบออกมาจากห้องเพื่อปกป้องเฉียนอ้ายเลอไว้ข้างหลังทันที "ตะโกนอะไร! ภรรยาของฉันพูดผิดตรงไหน เย่จื่อหยาง แค้นครั้งนี้ฉันจําไว้แล้ว นายรีบไปพาซ่งเสี่ยวเชียนให้กลับมา พวกเราค่อยคุยกันว่า ความแค้นนี้จะจัดการยังไง"
เย่จื่อหยางไม่ได้ตอบต่อและกําลังเตรียมที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปหาซ่งเสี่ยวเชียน ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือที่เขาวางไว้บนโต๊ะก็ดังขึ้น
ซ่งเสี่ยวเชียนวิ่งออกจากบ้านของเย่จื่อหยาง แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าตัวเองกําลังจะไปไหน วิ่งออกจากชุมชน คิดในใจว่าเมืองหลวงนี้เจริญรุ่งเรืองมาก แต่เธอจากไปสิบปีแล้ว สําหรับเธอกลายเป็นคนแปลกหน้ามาก มีเพียงที่เดียวเท่านั้นที่สามารถไปได้ นั่นก็คือเธอจะกลับบ้านแม่
!!
บ้านแม่และบ้านสามีอยู่คนละเมือง มันมีประโยชน์มากนะ อย่างเช่นตอนนี้ หนีออกจากบ้านแล้ว ไม่ต้องวิ่งไปพักที่โรงแรม เธอสามารถกลับมาพักบ้านที่แสนจะอบอุ่น กินอาหารที่พ่อแม่ทํา นอนบนที่นอนเล็ก ๆ ที่เธอแสนจะคุ้นเคยลองคิดดูสิ ซ่งเสี่ยวเชียนแทบรอไม่ไหวแล้ว เธอควรกลับไปบ้านของเธอตั้งนานแล้ว ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่บ้านหลังนั้น และต้องทนรับความอารมณ์โกรธเหมือนพายุโหมกระหน่ำทุกวัน ที่สําคัญที่สุด ผลของความทุกข์นี้ ไม่มีค่าอะไรเลย เธอเหมือนตัวคนเดียวมีสิทธิ์อะไร ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธจัดและขึ้นรถบัสด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พอใจ เมื่อลงจากรถบัสที่ป้ายหน้าชุมชนและเพิ่งเดินเข้าไปในชุมชน จะมีจัตุรัสเล็กๆและเหล่าป้าๆจะพากันเต้นรำกันยามเย็น ก็ไม่รู้ว่าพวกป้าตาดีหรือยังไงพอซ่งเสี่ยวเชียนปรากฏตัว ก็มีคนสังเกตเห็นเธอแล้ว พอเห็นเธอก็วิ่งเข้ามา จับมือเธอแล้วไม่ปล่อย "โอ้ หนูใช่เพื่อนสาวของตระกูลซ่งที่อยู่บนชั้นหกไม่ใช่หรอหนูไม่ใช่แต่งงานเข้าตระกูลเย่แล้วหรอ ทำไมตอนนี้กลับมาบ้านล่ะแล้วสามีของหนูล่ะ ไม่ได้มากับหนูเหรอ"ซ่งเสี่ยวเชียนอ้ำอึ้งมาสักพัก ไม่รู้จะตอบยังไง แม้ว่าป้าในชุมชนนี้จะคุ้น
เงยคางขึ้นแล้วพูดว่า "คุณมาที่นี่ได้ยังไง" เย่จื่อหยางมองไปที่พ่อซ่งและแม่ซ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของซ่งเสี่ยวเชียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และปิดประตู พอเย่จื่อหยางเข้ามา ห้องเล็ก ๆ นี้ก็ดูเหมือนห้องจะเล็กกว่าเดิม สาเหตุอาจเป็นเพราะเย่จื่อหยางสูงเกินไป"เธออยากทําให้เรื่องของเราเป็นเรื่องใหญ่ จนแม้แต่พ่อแม่เธอก็รู้เหรอ ตอนนี้พ่อแม่ของเธอดีใจมากที่เธอแต่งงานกับฉัน เธออยากให้พวกเขารู้ความจริง แล้วโกรธพวกเราจนตายหรอ”"เหอะ! ฉันเห็นว่าคุณกําลังคิดเพื่อตัวคุณเองมั้ง ให้พ่อแม่ของฉันรู้ว่าจุดประสงค์ของการแต่งงานของคุณไม่บริสุทธิ์ พ่อแม่ของฉันจะคิดว่าคุณเป็นคนหลอกหลวงและเกลียดคุณ คุณไม่อยากให้พ่อแม่ของฉันรู้ คุณแค่อยากรักษาภาพลักษณ์ของผู้ชายที่ดีที่จอมปลอมของคุณใช่ไหมซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างโมโห เย่จื่อหยางไม่ตีผู้หญิง ถ้าเขาอดทนหรือทำอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือเป็นไอ้สารเลวสักหน่อย เขาก็คงจะชกสักหมัดแต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นสุภาพบุรุษ"รีบตามฉันกลับบ้าน ทะเลาะกันแบบนี้ เธอมีความสุขมากหรอ เดิมทีเธอก็ไร้เหตุผ
ตอนนี้แค่คิดในใจว่า ถ้าเย่จื่อหยางแยกจากเธอ และฉีกกระดาษแผ่นนั้นระหว่างพวกเขา ในใจเธอต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากถึงแม้จะไม่เจ็บปวดจนถึงสุดขั้วหัวใจ แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่ดี ก็คิดในใจว่าอย่าปล่อยมือ ไม่อนุญาตให้เขาจากไปซ่งเสี่ยวเชียนขยี้ผมตัวเองและกลายเป็นเล้าไก่ไปแล้ว เฮ้อ นั่นไม่ใช่ประโยคที่ว่า ใครชอบก่อนคนนั้นก็แพ้ ซ่งเสี่ยวเชียนไม่อยากแพ้หรอก เธอต้องชนะสิ เธอจะจับเย่จื่อหยางไว้ในมือให้แน่น อย่าให้เขาหนีไปได้"กินก๋วยเตี๋ยว!" ในขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในสมอง เสียงของเย่จื่อหยางก็ดังขึ้นและมีน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อยบอกให้เธอกินมากินข้าว ทันทีที่ซ่งเสี่ยวเชียนหันไปก็เห็นเขาวางชามเล็ก ๆ ไว้บนโต๊ะ ดวงตาของเขามองไปที่เธอแล้วมองไปที่ชามก๋วยเตี๋ยวนั้นหมายความว่า ลุกขึ้นมากินก๋วยเตี๋ยวซ่งเสี่ยวเชียนจิบปาก ไม่รู้จักเรียกเธอกินข้าวอย่างอ่อนโยนหรือไง เธอลุกขึ้นนั่งแล้วเดินไปที่โต๊ะเล็ก ๆ นั้น เย่จื่อหยางปิดประตูและนั่งข้างเตียงของเธอ เฮ้ ห้องนี้เล็กมาก แม้แต่ม้านั่งส่วนเกินก็ไม่มี เย่จื่อหยางนั่ง
จากนั้น ในใจเขาก็มีแรงกระตุ้นอยากจะไปกอดเธอ เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องอดทนแล้ว อยากกอดก็กอดสิ ลุกขึ้น นอนอยู่ข้างซ่งเสี่ยวเชียนทันทีเตียงเก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แต่เหมือนจะฝืนรั้งไว้ ซ่งเสี่ยวเชียนตกใจจนทําให้วิญญาณเกือบจะออกจากร่าง ผลักเขาออก ผู้ชายคนนี้จู่ๆก็นอนอยู่ที่นี่ทำไม"คุณ คุณทําอะไร!"เย่จื่อหยางยกแขนยาวและโอบกอดไหล่ของเธอแล้วลากเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ซ่งเสี่ยวเชียนต่อต้านก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ได้แต่อยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง จริง ๆ แล้วการถูกเขากอดไว้แบบนี้ก็ไม่แย่ เต็มไปด้วยกลิ่นของเย่จื่อหยาง กลิ่นที่พิเศษนั้น ทําให้เธอไม่รังเกลียด ทําให้เธอเบิกบานใจช่างเถอะ ให้เขากอดไปเถอะ แค่กอดนั้นเอง ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร ก็ไม่อยากไปถามเขาว่าจะมากอดเธอทำไมด้วย ยังไงในหัวของผู้ชายก็ไม่เคยแสร้งอะไรที่บริสุทธิ์อยู่แล้วแต่ถ้าเขาได้คืบจะเอาศอก ก็เตะออกจากเตียงเย่จื่อหยางกอดเธอ และรู้สึกว่าพอใจแล้ว คืนก่อนถูกซ่งเสี่ยวเชียนกอดระหว่างนอนหลับ ทําให้เขาปรับตัวให้เข้ากับการนอนที่มีคนอื่นในตอนกลางคืน ตอนนี้รู้สึกว่าตอนกลางค
แต่รําคาญก็ส่วนรำคาญ พวกเขาคุยกันได้ขนาดนี้หรอเลย ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนแน่ใจมากขึ้นเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เย่จื่อหยางเป็นคนของเธอ ไม่ว่าจะพูดถึงเย่จื่อหยางยังไง จากปากของพวกเขา นั้นคือสามีของซ่งเสี่ยวเชียน ในใจก็รู้สึกชนะแบบใครไม่สามารถเปรียบได้ คำพูดนั้นว่ายังไงนะ? ผู้หญิงมีความเป็นเจ้าของไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ซ่งเสี่ยวเชียนหลงรักเย่จื่อหยางแล้วซ่งเสี่ยวเชียนฝึกงานในโรงพยาบาลมาสองเกือบสามเดือนแล้วและสามารถสังเกตการผ่าตัดได้แล้ว ในตอนเช้า ผู้อำนวยการเฉินได้จัดการผ่าตัดให้ซ่งเสี่ยวเชียนตรวจดู ผู้ป่วยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและเป็นเพียงการผ่าตัดบายพาสหัวใจแบบธรรมดาถึงแม้จะมีความเสี่ยงแต่ขอเพียงเป็นศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ อัตราความสำเร็จจะอยู่ที่ 100% ครึ่งหนึ่งของโรงพยาบาลของรัฐแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นด้วยทุนทางทหาร ศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์หลายคนจบการศึกษาจากแพทย์ทหารและโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นทหาร ซ่งเสี่ยวเชียนบางครั้งก็รู้สึกว่าไม่เข้ากันและปรับตัวไม่ค่อยได้แต่เมื่อได้รู้จักกับแพทย์ทหารเหล่านี้ ยังไม่มีใค
พูดผิดหรือเปล่า? เธอพูดอย่างกับตัวเองเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่ง ซ่งเสี่ยวเชียนเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่เฉินเฉิน “ตอนนี้ ฉันไม่เห็นหน้าเธอ”เฉินเฉินไม่เชื่อคําพูดที่ตัวเองเพิ่งได้ยินเล็กน้อย ยังไม่มีใครพูดแบบนี้กับเธอด้วยปากแบบนั้นเลย "เธอหมายความว่ายังไง ฉันใจดีประคองเธอออกมา เธอไม่พูดขอบคุณก็ช่างเถอะ ยังพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้อีก!"ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้น ยืนประจันหน้ากับเฉินเฉิน "คําพูดเหล่านั้นเมื่อกี้จงใจพูดให้ฉันฟังใช่ไหม จริง ๆ แล้วฉันไม่สนใจว่าเธอกับเย่จื่อหยางจะเคยจูบกันมาก่อนไหม ไม่สนใจเลยว่านั่นเป็นจูบแรกของพวกคุณหรือเปล่า ตอนนี้ฉันแค่อยากให้เธอหายออกไปจากหน้าฉัน รู้สึกไม่พอใจเหรอ เธอตีฉันสิ!" เฉินเฉินก็ถูกประโยคของซ่งเสี่ยวเชียนกระตุ้น ยกมือขึ้นก็พร้อมที่จะตบ แต่ซ่งเสี่ยวเชียนตอบสนองได้เร็วกว่าเธอ มือของเฉินเฉินยังไม่ได้ตีลงมา ซ่งเสี่ยวเชียนก็แกว่งมือเธอไปแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันก็ใช้ปากยั่วยุนั้นมองหน้าเธอตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่ายังไงเธอก็เป็นคนมีการศึกษา ไม่ควรใช้กำลังแก็ปัญหา ไม่อย่างนั้น ฝ่ามือ
ซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า "คณบดี คุณต้องจัดการอย่างเป็นกลาง ฉันตีเธอใช่ฉันผิด ฉันหุนหันพลันแล่น ฉันยอมรับผิดแล้ว ก็ควรผ่อนปรนไม่ใช่เหรอ" เฉียนอ้ายเลอเดินเข้ามาพอดี เธอถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควร โรงพยาบาลต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเชิญเธอมา แม้ว่าตอนนี้งานบรรยายและคําแนะนําการผ่าตัดจะยุ่งมาก แต่ก็ยกเฉียนอ้ายเลอเป็นผู้มีพระคุณของโรงพยาบาล" โอ้ว ศาสตราจารย์เฉียน คุณมาได้ยังไง มีปัญหาเรื่องงานหรอ" คณบดีรีบทักทายเฉียนอ้ายเลอ"คณบดี คุณอายุมากกว่าฉัน อย่าเรียกฉันศาสตราจารย์อะไรเลยค่ะ แบบนี้ฉันรับไม่ไหว” วันนี้ฉันได้ยินเรื่องที่ซ่งเสี่ยวเชียนลงไม้ลงมือกับคนอื่น เลยตั้งใจจะมาดูว่าคุณจะจัดการยังไง ฉันเพิ่งได้ยินที่หน้าประตูเหมือนกัน ซ่งเสี่ยวเชียนยอมขอโทษ ทําไมต้องยืนกรานที่จะไล่เธอออกด้วย"คําพูดของเฉียนอ้ายเลอนั้นถูกต้องสําหรับคนนอกมอง เธอมองไปที่เฉินเฉินที่อยู่ข้าง ๆ ใช้สายตากวาดมองอย่างละเอียด แล้วเธอจึงเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ ซ่งเสี่ยวเชียน แค่นี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขาต้องออกหน้าให้ซ่งเสี่ยวเชียน"โอ้ เรื่อง
เพื่อนที่อยู่รอบข้างเจียงจิ่งเฟิงมีแต่คนพูดมาก เมื่อเจอเย่จื่อหยางที่เหมือนก้อนหิน เขาก็รู้สึกน่าเบื่อมากและคีบอาหารให้ภรรยาของเขา "ที่รัก นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ คุณก็อย่าไปยุ่งเลย ให้เขาจัดการเอง นี่คือจุดจบของความวุ่นวาย ผมน่ารักกว่า ในชีวิตนี้ผมจะรักคุณคนเดียว"พูดพลางยื่นปากเข้าไปใกล้ๆ อยากจูบเลย ถูกเฉียนอ้ายเลอตบหน้าเข้าให้ สุดท้ายก็กินข้าวอย่างเชื่อฟังวันที่สองเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นตลอดเวลาแล้ว ยังมีเสียงร้องของจั๊กจั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซ่งเสี่ยวเชียนไปหาอะไรกินที่ครัวเพื่อเติมท้องตอนเที่ยงคืนเมื่อคืน หลังจากนั้นก็นอนถึงสิบเอ็ดโมงเช้าถึงจะตื่นต่อมาเฉียนอ้ายเลอก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง ตบก้นเธอและดึงผ้าม่านเปิดออกให้หมด แสงแดดส่องจนซ่งเสี่ยวเชียนจำเป็นต้องตื่นขึ้นมาทันที เธอยืนเอามือกอดออก แล้วพูดว่า “ซ่งเสี่ยวเชียน ยังไม่ตื่นอีก เธอรู้ไหมเย่จื่อหยางออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ฉันถามว่าเขาไปไหน เขาบอกว่าไปหาเฉินเฉิน”พูดจบ รอหนึ่งหรือสองวินาที บนเตียงก็เกิดการเคลื่อนไหวทันที ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นอย่างเร็ว สภาพ
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"