เงยคางขึ้นแล้วพูดว่า "คุณมาที่นี่ได้ยังไง"
เย่จื่อหยางมองไปที่พ่อซ่งและแม่ซ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของซ่งเสี่ยวเชียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และปิดประตู พอเย่จื่อหยางเข้ามา ห้องเล็ก ๆ นี้ก็ดูเหมือนห้องจะเล็กกว่าเดิม สาเหตุอาจเป็นเพราะเย่จื่อหยางสูงเกินไป
"เธออยากทําให้เรื่องของเราเป็นเรื่องใหญ่ จนแม้แต่พ่อแม่เธอก็รู้เหรอ ตอนนี้พ่อแม่ของเธอดีใจมากที่เธอแต่งงานกับฉัน เธออยากให้พวกเขารู้ความจริง แล้วโกรธพวกเราจนตายหรอ”
"เหอะ! ฉันเห็นว่าคุณกําลังคิดเพื่อตัวคุณเองมั้ง ให้พ่อแม่ของฉันรู้ว่าจุดประสงค์ของการแต่งงานของคุณไม่บริสุทธิ์ พ่อแม่ของฉันจะคิดว่าคุณเป็นคนหลอกหลวงและเกลียดคุณ คุณไม่อยากให้พ่อแม่ของฉันรู้ คุณแค่อยากรักษาภาพลักษณ์ของผู้ชายที่ดีที่จอมปลอมของคุณใช่ไหม
ซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างโมโห เย่จื่อหยางไม่ตีผู้หญิง ถ้าเขาอดทนหรือทำอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือเป็นไอ้สารเลวสักหน่อย เขาก็คงจะชกสักหมัดแต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นสุภาพบุรุษ
"รีบตามฉันกลับบ้าน ทะเลาะกันแบบนี้ เธอมีความสุขมากหรอ เดิมทีเธอก็ไร้เหตุผลอยู่แล้ว ฉันมาตามเธอ มารับเธอกลับบ้านเธอได้คืบอย่าเอาศอก" เย่จื่อหยางเข้าใกล้ซ่งเสี่ยวเชียนและบังคับให้เธอถอยกลับไปข้างเตียง
"ใครหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผล ใครได้คืบแล้วจะเอาศอก!? เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความผิดของคุณ!" ซ่งเสี่ยวเชียนถูกเย่จื่อหยางพูดแบบนี้ ก็อดทนไม่ไหวแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยุติธรรมกับเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาชอบเฉินเฉิน แล้วยังลากเธอลงในเกมรักนี้ด้วย ชาติที่แล้วเธอเป็นหนี้เขาเขาหรือไง
"ฉันผิดตรงไหน? คุณกลับบอกว่าฉันผิดตรงไหน!"
เย่จื่อหยางเป็นเหมือนที่เฉียนอ้ายเลอคิดจริง ๆ ประสาทของเขาค่อนข้างใหญ่ แต่ไม่ว่ายังไงเขาไม่ได้พูดคุยกับเพื่อนมา 30 ปีแล้ว แม้แต่ผู้หญิงก็ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เมื่อพูดถึงการจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาของเขาก็ช้านิดหน่อยซึ่งก็เข้าใจได้
ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกน้อยใจ เย่จื่อหยางยังบังคับให้เธอพูดออก ได้วันนี้จะพูดออกไปให้หมดต่อไปไม่ต้องมายุ่งกันอีก
"คุณชอบเฉินเฉิน คุณก็ควรไปแต่งงานกับเธอ ทําไมต้องมาตามราวีฉัน เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้วยังไง ก็ถือว่าเป็นวันไนท์สแตนด์ทําไมคุณถึงบังคับให้ฉันเป็นภรรยาของคุณตลอดเวลา บังคับให้ฉันทําสิ่งที่ฉันไม่ชอบ อยากทิ้งก็ทิ้งเหมือนขยะ อีกอย่าง เฉินเฉินนั้นก็ชอบคุณไม่ใช่เหรอ เธออยากแต่งงานกับคุณตั้งแต่เด็กไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้คุณกลับไม่สนใจเธอ คุณไม่ใช่คนเจ้าชู้แล้วคืออะไร ไอ้สารเลว”
เย่จื่อหยางอึ้งเล็กน้อยหลังจากฟัง สิ่งที่เธอพูดคืออะไรและอะไร เขาบอกเมื่อไหร่ว่าชอบเฉินเฉิน เขาบอกเมื่อไหร่ว่าเธอเป็นเหมือนขยะ อยากทิ้งก็ทิ้ง
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในกองทัพ ไม่เข้าใจว่าสหายที่มีแฟนเหล่านั้นเขาพูดเรื่องอะไร จินตนาการของผู้หญิงนั้นหลากหลายมาก บางครั้งเห็นได้ชัดว่าเรื่องหนึ่งไม่ได้เป็นแบบนั้น เรื่องง่าย ๆ พวกเธอกลับจินตนาการไปหมด สุดท้ายจัดการไม่ได้ก็จะทะเลาะกัน ปวดหัวจริง ๆ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เย่จื่อหยางรู้สึกปวดหัวมาก การจัดการกับซ่งเสี่ยวเชียนนั้นยากกว่าการจัดการกับผู้ลี้ภัยที่มีไอคิวสูงในระดับนานาชาติอีก ทำให้เขาแทบจะเป็นบ้า
เขาบ้าไปแล้ว เลยเอื้อมมือไปจับแขนของซ่งเสี่ยวเชียน ให้เธอนั่งลง นั่งข้างเตียง เย่จื่อหยางนั่งยอง ๆ มองตาเธอแล้วพูดว่า "ผิดทั้งหมด!"
ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัย ผิดอะไร เขาผิดหรือเธอผิด เขาพูดจาให้รู้เรื่องหน่อยได้ไหม
มือทั้งสองข้างของเย่จื่อหยางยังคงบีบไหล่ของเธอแน่น สายตามั่นคง แต่ดูเหมือนว่าจะมีอะไรที่พูดไม่ออก ซ่งเสี่ยวเชียนเลิกคิ้วให้เขา มีอะไรก็พูดมาเร็วๆ
"ฉันไม่ชอบเฉินเฉิน ฉันก็ไม่ได้ทิ้งเธอเหมือนเป็นขยะ ที่อยากทิ้งก็ทิ้ง" เย่จื่อหยางตอบคําพูดของเธออย่างชัดเจน ซ่งเสี่ยวเชียนตกตะลึงก่อน อธิบายเรื่องเมื่อกี้ให้ชัดเจน แต่แค่นั้นเหรอ
ไม่ใช่มองเธอเป็นขยะ แล้วมองเธอเป็นอะไร แววตาค่อนข้างคาดหวังให้เขาพูดต่อ แต่เย่จื่อหยางกลับปิดปากแน่นเหมือนไม่พร้อมที่จะพูดต่อแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนร้อนรนแล้ว "แล้วยังไงต่อ ไม่มีแล้ว"
"ฉันพูดได้แค่ตรงนี้ ยังไงเธอก็ไม่ต้องคิดมาก" เย่จื่อหยางยืนขึ้นและก็มมองที่เธอ
ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่ายังโกรธอยู่บ้าง แต่ทํายังไงก็โวยวายไม่ลง เหมือนมีอะไรสักอย่างมาล็อคไว้ โวยวายไปดูเหมือนจะไม่ดี แต่ถ้าไม่โวยวายก็ยิ่งไม่ถูกต้อง
กําลังคิดจะถามอะไรเขา แต่ทันใดนั้นก็มีเสี่ยงจ๊อกๆดังขึ้นในห้อง ท้องของซ่งเสี่ยวเชียนร้อง อึกทึกครึกโครม ซ่งเสี่ยวเชียนรีบปิดท้องของเธอ อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
"ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า ถามอย่างมาดแมน
ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้า เย่จื่อหยางถอนหายใจและพูดกับเธอว่า "พ่อแม่ของเธอไม่สนใจเธอเหรอ กลับบ้านนานขนาดนี้ยังไม่ได้กินข้าว"
จากนั้นเย่จื่อหยางก็หันไปเปิดประตู ซ่งพ่อซ่งกําลังแอบฟังอยู่ข้างประตู และถูกจับได้ในทันที พวกเขาทำอะไรไม่ถูก มองซ้ายมองขวา คู่มองเย่จื่อหยางด้วยสายตาซับซ้อน ซ่งพ่อถามสิ่งที่อยู่ในใจออกมา "เมื่อกี้ที่ลูกสาวฉันพูด เป็นเรื่องจริงหรอ"
เย่จื่อหยางหันกลับไปมองซ่งเสี่ยวเชียน ซ่งเสี่ยวเชียนทำท่าทางเหมือนไม่ใช่เรื่องของฉัน เหมือนภัยพิบัติที่เธอสร้างขึ้นและโยนความยุ่งเหยิงนี้ให้เย่จื่อหยาง
เย่จื่อหยางก็ไม่ได้ตําหนิอะไรเธอ มองกลับมาอย่างมั่นใจและยิ้มอย่างอ่อนโยน "คุณพ่อ คุณพ่อรู้ว่าผู้หญิงพอเริ่มอารมณ์เสีย อะไรก็กล้าพูด แถมยังเป็นคำพูดไร้สาระอีก"
พ่อซ่งมีสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที ซ่งพ่อรีบตอบรับว่า "โอ้~! ใช่ ใช่ ใช่ เมื่อก่อนแม่ของเธอก็โกรธทะเลาะกัน พูดทุกอย่าง พูดแล้วก็เสียใจ ฮ่าๆๆ พวกเราไม่เคยคิดเป็นจริงเป็นจังเลย"
จากนั้นแม่ซ่งก็ดึงแขนเสื้อของพ่อซ่งมา "คุณดูสิ มันดึกขนาดนี้แล้ว ฉันกับตาแก่ก็จะนอนแล้ว พวกเด็กๆจะอยู่ต่อก็อยู่ ถ้าตอนนี้อยากกลับบ้านตัวเอง เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ไอ้เจ้าเด็กดื้อยังไม่ได้กินอะไรเลย ในห้องครัวยังมีของเหลืออยู่นิดหน่อยนะ"
พูดจบแม่ซ่งก็พาพ่อซ่งเข้าไปในห้องนอนและปิดประตู เย่จื่อหยางไม่ได้พูดอะไร ก็เดินไปที่ห้องครัวแล้ว
ซ่งเสี่ยวเชียนที่ใจเย็นลงตอนนี้รู้สึกอึดอัดใจมาก จะบอกว่าเธออารมณ์แบบเสียนี้โดยไม่มีเหตุผลก็ไม่มีเหตุผลนิดหน่อย ถ้าเธอไม่สนใจเย่จื่อหยาง ทําไมต้องไปยุ่งกับเขาด้วย
เธอสนใจสิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเธอก็สนใจเย่จื่อหยาง สนใจสถานะของตัวเองที่อยู่ในใจเขา และสนใจมากกว่าว่าเย่จื่อหยางมีเธออยู่ในใจหรือป่าว นี่มันหมายความว่าอะไร
ซ่งเสี่ยวเชียนนอนอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ของตัวเอง ขดตัวเป็นลูกบอล เธอไม่ใช่คนโง่สักหน่อย เธอก็ไม่เหมือนเย่จื่อหยางที่เส้นประสาทเล็ก ทุกอย่างต้องให้คนอื่นพูดถึงจะเข้าใจ เธอชอบเย่จื่อหยางแล้ว สนใจ และใส่ใจเขามาก
ตอนนี้แค่คิดในใจว่า ถ้าเย่จื่อหยางแยกจากเธอ และฉีกกระดาษแผ่นนั้นระหว่างพวกเขา ในใจเธอต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากถึงแม้จะไม่เจ็บปวดจนถึงสุดขั้วหัวใจ แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่ดี ก็คิดในใจว่าอย่าปล่อยมือ ไม่อนุญาตให้เขาจากไปซ่งเสี่ยวเชียนขยี้ผมตัวเองและกลายเป็นเล้าไก่ไปแล้ว เฮ้อ นั่นไม่ใช่ประโยคที่ว่า ใครชอบก่อนคนนั้นก็แพ้ ซ่งเสี่ยวเชียนไม่อยากแพ้หรอก เธอต้องชนะสิ เธอจะจับเย่จื่อหยางไว้ในมือให้แน่น อย่าให้เขาหนีไปได้"กินก๋วยเตี๋ยว!" ในขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในสมอง เสียงของเย่จื่อหยางก็ดังขึ้นและมีน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อยบอกให้เธอกินมากินข้าว ทันทีที่ซ่งเสี่ยวเชียนหันไปก็เห็นเขาวางชามเล็ก ๆ ไว้บนโต๊ะ ดวงตาของเขามองไปที่เธอแล้วมองไปที่ชามก๋วยเตี๋ยวนั้นหมายความว่า ลุกขึ้นมากินก๋วยเตี๋ยวซ่งเสี่ยวเชียนจิบปาก ไม่รู้จักเรียกเธอกินข้าวอย่างอ่อนโยนหรือไง เธอลุกขึ้นนั่งแล้วเดินไปที่โต๊ะเล็ก ๆ นั้น เย่จื่อหยางปิดประตูและนั่งข้างเตียงของเธอ เฮ้ ห้องนี้เล็กมาก แม้แต่ม้านั่งส่วนเกินก็ไม่มี เย่จื่อหยางนั่ง
จากนั้น ในใจเขาก็มีแรงกระตุ้นอยากจะไปกอดเธอ เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องอดทนแล้ว อยากกอดก็กอดสิ ลุกขึ้น นอนอยู่ข้างซ่งเสี่ยวเชียนทันทีเตียงเก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แต่เหมือนจะฝืนรั้งไว้ ซ่งเสี่ยวเชียนตกใจจนทําให้วิญญาณเกือบจะออกจากร่าง ผลักเขาออก ผู้ชายคนนี้จู่ๆก็นอนอยู่ที่นี่ทำไม"คุณ คุณทําอะไร!"เย่จื่อหยางยกแขนยาวและโอบกอดไหล่ของเธอแล้วลากเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ซ่งเสี่ยวเชียนต่อต้านก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ได้แต่อยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง จริง ๆ แล้วการถูกเขากอดไว้แบบนี้ก็ไม่แย่ เต็มไปด้วยกลิ่นของเย่จื่อหยาง กลิ่นที่พิเศษนั้น ทําให้เธอไม่รังเกลียด ทําให้เธอเบิกบานใจช่างเถอะ ให้เขากอดไปเถอะ แค่กอดนั้นเอง ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร ก็ไม่อยากไปถามเขาว่าจะมากอดเธอทำไมด้วย ยังไงในหัวของผู้ชายก็ไม่เคยแสร้งอะไรที่บริสุทธิ์อยู่แล้วแต่ถ้าเขาได้คืบจะเอาศอก ก็เตะออกจากเตียงเย่จื่อหยางกอดเธอ และรู้สึกว่าพอใจแล้ว คืนก่อนถูกซ่งเสี่ยวเชียนกอดระหว่างนอนหลับ ทําให้เขาปรับตัวให้เข้ากับการนอนที่มีคนอื่นในตอนกลางคืน ตอนนี้รู้สึกว่าตอนกลางค
แต่รําคาญก็ส่วนรำคาญ พวกเขาคุยกันได้ขนาดนี้หรอเลย ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนแน่ใจมากขึ้นเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เย่จื่อหยางเป็นคนของเธอ ไม่ว่าจะพูดถึงเย่จื่อหยางยังไง จากปากของพวกเขา นั้นคือสามีของซ่งเสี่ยวเชียน ในใจก็รู้สึกชนะแบบใครไม่สามารถเปรียบได้ คำพูดนั้นว่ายังไงนะ? ผู้หญิงมีความเป็นเจ้าของไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ซ่งเสี่ยวเชียนหลงรักเย่จื่อหยางแล้วซ่งเสี่ยวเชียนฝึกงานในโรงพยาบาลมาสองเกือบสามเดือนแล้วและสามารถสังเกตการผ่าตัดได้แล้ว ในตอนเช้า ผู้อำนวยการเฉินได้จัดการผ่าตัดให้ซ่งเสี่ยวเชียนตรวจดู ผู้ป่วยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและเป็นเพียงการผ่าตัดบายพาสหัวใจแบบธรรมดาถึงแม้จะมีความเสี่ยงแต่ขอเพียงเป็นศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ อัตราความสำเร็จจะอยู่ที่ 100% ครึ่งหนึ่งของโรงพยาบาลของรัฐแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นด้วยทุนทางทหาร ศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์หลายคนจบการศึกษาจากแพทย์ทหารและโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นทหาร ซ่งเสี่ยวเชียนบางครั้งก็รู้สึกว่าไม่เข้ากันและปรับตัวไม่ค่อยได้แต่เมื่อได้รู้จักกับแพทย์ทหารเหล่านี้ ยังไม่มีใค
พูดผิดหรือเปล่า? เธอพูดอย่างกับตัวเองเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่ง ซ่งเสี่ยวเชียนเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่เฉินเฉิน “ตอนนี้ ฉันไม่เห็นหน้าเธอ”เฉินเฉินไม่เชื่อคําพูดที่ตัวเองเพิ่งได้ยินเล็กน้อย ยังไม่มีใครพูดแบบนี้กับเธอด้วยปากแบบนั้นเลย "เธอหมายความว่ายังไง ฉันใจดีประคองเธอออกมา เธอไม่พูดขอบคุณก็ช่างเถอะ ยังพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงแบบนี้อีก!"ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้น ยืนประจันหน้ากับเฉินเฉิน "คําพูดเหล่านั้นเมื่อกี้จงใจพูดให้ฉันฟังใช่ไหม จริง ๆ แล้วฉันไม่สนใจว่าเธอกับเย่จื่อหยางจะเคยจูบกันมาก่อนไหม ไม่สนใจเลยว่านั่นเป็นจูบแรกของพวกคุณหรือเปล่า ตอนนี้ฉันแค่อยากให้เธอหายออกไปจากหน้าฉัน รู้สึกไม่พอใจเหรอ เธอตีฉันสิ!" เฉินเฉินก็ถูกประโยคของซ่งเสี่ยวเชียนกระตุ้น ยกมือขึ้นก็พร้อมที่จะตบ แต่ซ่งเสี่ยวเชียนตอบสนองได้เร็วกว่าเธอ มือของเฉินเฉินยังไม่ได้ตีลงมา ซ่งเสี่ยวเชียนก็แกว่งมือเธอไปแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันก็ใช้ปากยั่วยุนั้นมองหน้าเธอตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่ายังไงเธอก็เป็นคนมีการศึกษา ไม่ควรใช้กำลังแก็ปัญหา ไม่อย่างนั้น ฝ่ามือ
ซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า "คณบดี คุณต้องจัดการอย่างเป็นกลาง ฉันตีเธอใช่ฉันผิด ฉันหุนหันพลันแล่น ฉันยอมรับผิดแล้ว ก็ควรผ่อนปรนไม่ใช่เหรอ" เฉียนอ้ายเลอเดินเข้ามาพอดี เธอถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควร โรงพยาบาลต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเชิญเธอมา แม้ว่าตอนนี้งานบรรยายและคําแนะนําการผ่าตัดจะยุ่งมาก แต่ก็ยกเฉียนอ้ายเลอเป็นผู้มีพระคุณของโรงพยาบาล" โอ้ว ศาสตราจารย์เฉียน คุณมาได้ยังไง มีปัญหาเรื่องงานหรอ" คณบดีรีบทักทายเฉียนอ้ายเลอ"คณบดี คุณอายุมากกว่าฉัน อย่าเรียกฉันศาสตราจารย์อะไรเลยค่ะ แบบนี้ฉันรับไม่ไหว” วันนี้ฉันได้ยินเรื่องที่ซ่งเสี่ยวเชียนลงไม้ลงมือกับคนอื่น เลยตั้งใจจะมาดูว่าคุณจะจัดการยังไง ฉันเพิ่งได้ยินที่หน้าประตูเหมือนกัน ซ่งเสี่ยวเชียนยอมขอโทษ ทําไมต้องยืนกรานที่จะไล่เธอออกด้วย"คําพูดของเฉียนอ้ายเลอนั้นถูกต้องสําหรับคนนอกมอง เธอมองไปที่เฉินเฉินที่อยู่ข้าง ๆ ใช้สายตากวาดมองอย่างละเอียด แล้วเธอจึงเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ ซ่งเสี่ยวเชียน แค่นี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขาต้องออกหน้าให้ซ่งเสี่ยวเชียน"โอ้ เรื่อง
เพื่อนที่อยู่รอบข้างเจียงจิ่งเฟิงมีแต่คนพูดมาก เมื่อเจอเย่จื่อหยางที่เหมือนก้อนหิน เขาก็รู้สึกน่าเบื่อมากและคีบอาหารให้ภรรยาของเขา "ที่รัก นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ คุณก็อย่าไปยุ่งเลย ให้เขาจัดการเอง นี่คือจุดจบของความวุ่นวาย ผมน่ารักกว่า ในชีวิตนี้ผมจะรักคุณคนเดียว"พูดพลางยื่นปากเข้าไปใกล้ๆ อยากจูบเลย ถูกเฉียนอ้ายเลอตบหน้าเข้าให้ สุดท้ายก็กินข้าวอย่างเชื่อฟังวันที่สองเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นตลอดเวลาแล้ว ยังมีเสียงร้องของจั๊กจั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซ่งเสี่ยวเชียนไปหาอะไรกินที่ครัวเพื่อเติมท้องตอนเที่ยงคืนเมื่อคืน หลังจากนั้นก็นอนถึงสิบเอ็ดโมงเช้าถึงจะตื่นต่อมาเฉียนอ้ายเลอก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง ตบก้นเธอและดึงผ้าม่านเปิดออกให้หมด แสงแดดส่องจนซ่งเสี่ยวเชียนจำเป็นต้องตื่นขึ้นมาทันที เธอยืนเอามือกอดออก แล้วพูดว่า “ซ่งเสี่ยวเชียน ยังไม่ตื่นอีก เธอรู้ไหมเย่จื่อหยางออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ฉันถามว่าเขาไปไหน เขาบอกว่าไปหาเฉินเฉิน”พูดจบ รอหนึ่งหรือสองวินาที บนเตียงก็เกิดการเคลื่อนไหวทันที ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นอย่างเร็ว สภาพ
"คุณตลกจริง ๆ ตามผมมาเถอะ คุณชายเย่รอคุณนานแล้ว" พูดจบ พนักงานก็รีบเดินไปที่ล็อบบี้ ซ่งเสี่ยวเชียนรีบตามไป รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ "คุณชายเย่ เย่จื่อหยางใช่ไหม?" ซ่งเสี่ยวเชียนทวนคำพูดอีกครั้ง และมีเพียงเย่จื่อหยางเท่านั้นที่คนอื่นเรียกว่าคุณชายเย่ แต่เธอถามอีกประโยค แค่ต้องการยืนยันอีกครั้ง ถ้ารอไม่ถามอะไรเลยรีบตามเข้าไป เข้าไปแล้วพบว่าคนข้างในไม่ใช่เย่จื่อหยาง เหอะๆ เล่นใหญ่กันจริงๆนะ"ใช่" ผู้จัดการพาซ่งเสี่ยวเชียนเข้าไปในลิฟต์และมาถึงชั้นห้า ด้านในเต็มไปด้วยห้องส่วนตัวVIP ในที่สุดเมื่อเลี้ยวตรงมุมก็มาถึงหน้าห้องส่วนตัว ผู้จัดการทําท่าทางเชิญเข้ามาแล้วเปิดประตูให้ซ่งเสี่ยวเชียนเย่จื่อหยางอยู่ข้างในจริง ๆ แต่นอกจากเขาแล้วยังมีคนอื่น ๆ ทุกคนมองซ่งเสี่ยวเชียนด้วยใบหน้าที่จริงจังมองทีละคน และเธอไม่เคยถูกจับตามองแบบนี้มาก่อน ร่างกายของเธอแข็งทื่อและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี แต่เย่จื่อหยางยิ้มให้เธอเล็กน้อยและกวักมือให้เธอเข้ามาซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกอายมากจนเธออยากจะหันหลังกลับและจากไปจริง ๆ เธอบอกว่าจะมาจับคนทรยศนิแล้วทำไมห้องนี้ถึงเต
มองซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้าให้ ลู่เซียงหรงพูดต่ออย่างเต็มใจ "น้องสะใภ้ มา มา มา ดื่มสักแก้ว แล้วค่อยมาบอกเราว่าคุณใช้วิธีอะไรมัดใจเย่จื่อหยาง ในสายตาของเราเขาหัวรั้น ผู้หญิงแบบไหนอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็ไม่หวั่นไหวเลย"ด้วยความเกรงใจก็เทเหล้าขาวให้ซ่งเสี่ยวเชียนหนึ่งแก้ว ถึงจะเป็นแก้วที่เล็กมาก แต่สําหรับคนอย่างซ่งเสี่ยวเชียนที่ดื่มเหล้าไม่ได้นั้น เพียงพอแล้วซ่งเสี่ยวเชียนกลืนน้ำลายรับแก้วเหล้าไว้ แล้วมองไปที่แก้วนั้น มองทุกคนรอบตัวเธอไม่สามารถถอยได้ รีบยกแก้วแล้วดื่มรวดเดียว โดยไม่ชิมแม้แต่นิดเดียวนึกว่าจะไม่รู้สึกอะไร แต่ผลออกมาไม่ถึงวินาทีที่คอของเธอก็แซบ ปากก็แซบ"เผ็ดมาก..." ซ่งเสี่ยวเชียนรีบกรอกน้ำเปล่าลงสองสามแก้วอีกด้านหนึ่งมีชายที่นั่งเงียบๆอีกคนพูดและตบมือว่า "ยอดเยี่ยม! แบบนี้ซิ ฉันถึงจะยอมเรียกพี่สะใภ้ สวัสดีพี่สะใภ้ ฉันชื่อหยางฮ่าว ฉันเป็นเพียงเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ฉันจะแต่งงานกับน้องสาวของพี่เย่และเป็นน้องเขยของเขาอย่างแน่นอน" ฟังน้ำเสียงของหยางฮ่าวก็รู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยเปิดเผย แต่ซ่งเสี่ยวเชียนไม่กล้าเห็นด้
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"