มองซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้าให้ ลู่เซียงหรงพูดต่ออย่างเต็มใจ "น้องสะใภ้ มา มา มา ดื่มสักแก้ว แล้วค่อยมาบอกเราว่าคุณใช้วิธีอะไรมัดใจเย่จื่อหยาง ในสายตาของเราเขาหัวรั้น ผู้หญิงแบบไหนอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็ไม่หวั่นไหวเลย"
ด้วยความเกรงใจก็เทเหล้าขาวให้ซ่งเสี่ยวเชียนหนึ่งแก้ว ถึงจะเป็นแก้วที่เล็กมาก แต่สําหรับคนอย่างซ่งเสี่ยวเชียนที่ดื่มเหล้าไม่ได้นั้น เพียงพอแล้ว
ซ่งเสี่ยวเชียนกลืนน้ำลายรับแก้วเหล้าไว้ แล้วมองไปที่แก้วนั้น มองทุกคนรอบตัวเธอไม่สามารถถอยได้ รีบยกแก้วแล้วดื่มรวดเดียว โดยไม่ชิมแม้แต่นิดเดียวนึกว่าจะไม่รู้สึกอะไร แต่ผลออกมาไม่ถึงวินาทีที่คอของเธอก็แซบ ปากก็แซบ
"เผ็ดมาก..." ซ่งเสี่ยวเชียนรีบกรอกน้ำเปล่าลงสองสามแก้ว
อีกด้านหนึ่งมีชายที่นั่งเงียบๆอีกคนพูดและตบมือว่า "ยอดเยี่ยม! แบบนี้ซิ ฉันถึงจะยอมเรียกพี่สะใภ้ สวัสดีพี่สะใภ้ ฉันชื่อหยางฮ่าว ฉันเป็นเพียงเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ฉันจะแต่งงานกับน้องสาวของพี่เย่และเป็นน้องเขยของเขาอย่างแน่นอน"
ฟังน้ำเสียงของหยางฮ่าวก็รู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยเปิดเผย แต่ซ่งเสี่ยวเชียนไม่กล้าเห็นด้วยกับรสนิยมของหยางฮ่าว "คุณชอบ... น้องสาวเขาเหรอ"
"แน่นอน ฉันชอบเธอมาเกือบ 20 ปีแล้ว" หยางฮ่าวทําหน้าตั้งตารอมาก
ผู้หญิงที่น่ากลัวขนาดนั้น ซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อว่ามีคนที่ชอบเธอแน่นอน แต่คนที่อยากแต่งงานกับเธอ? ซ่งเสี่ยวเชียนได้แต่ยกนิ้วให้เขา "ฉันชื่นชมคุณจริง ๆ..."
"พี่สะใภ้ครับ คุณรู้สึกเหมือนผมใช่ไหม โอ้โห พวกเราเข้าใจกันมากๆ" จู่ ๆ โจวเผิงก็แทรกประโยคนี้ขึ้นมา ยังอยากเอื้อมมือมาจับซ่งเสี่ยวเชียน แต่ถูกเย่จือหยางยกตะเกียบเคาะไปข้างหนึ่ง
"น้องสะใภ้ อย่าพูดเรื่องไร้สาระกับพวกนั้นเลย มาเล่าให้ฟังหน่อยว่าคุณกับเย่จื่อหยางรู้จักกันได้อย่างไร เจ้าคนนี้จะตีให้ตายก็ไม่บอก พวกเราก็อยากรู้เหมือนกัน" ลู่เซียงหรงรีบถาม ดูเหมือนว่าเขาจะติดใจกับปัญหานี้มาก
ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปที่เย่จื่อหยาง เขาดื่มเบียร์แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนจะอยากฟังว่าซ่งเสี่ยวเชียนจะพูดยังไง เธอมักจะพูดตามตรงว่าพวกเขาพบกันในบาร์ ทันใดนั้น ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระพริบตา
"นัดบอด"
"อะไรนะ?" หยางฮ่าวตะโกนเสียงแทนความรู้สึกในใจของทุกคน ลูกตาของทุกคนแทบจะหลุดออกมา เพราะทุกคนรู้จักเย่จื่อหย่างดี เขาจะไปที่แบบนั้นหรอ
ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังจะอธิบาย ทันใดนั้นประตูห้องส่วนตัวก็เปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งถือกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่เข้ามา มองทุกคนแล้วหัวเราะว่า "ขอโทษนะทุกคน ฉันช็อปปิ้งเพลิน ลืมเวลาไป! คุณ คุณเป็นภรรยาของเย่จื่อหยาง ฉันตั้งตารอที่จะได้พบคุณมาก หน้าตาน่ารักมาก ฉันเดามาตลอดทางว่าภรรยาของเย่จื่อหยางจะเป็นคนยังไง"
เธอสะบัดถุงช้อปปิ้งในมือทิ้ง จึงรีบวิ่งไปหาซ่งเสี่ยวเชียน ดึงเธอขึ้นจากเก็าอี้ และบังคับให้เธอหมุนตัวไปรอบ ๆ ที่เดิมสองถึงสามรอบ "สวยและน่ารัก แต่ก็ไม่ได้แต่งตัวพิเศษอะไรพิเศษ มา มา ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสองสามชิ้นพอดี ฉันจะเลือกสองสามชิ้นมาให้คุณ"
กระตือรือร้นมาก ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกลำบากใจมากๆ ลู่เซียงหรงมองภรรยาตัวเองแล้วรู้สึกอับอายจริง ๆ ไอๆแล้วพูดกับซ่งเสี่ยวเชียนว่า "นี่ภรรยาผมเอง..." สิ่งที่ชอบทํามากที่สุดคือ ช้อปปิ้ง ซื้อของ เฮ้อ พูดมาแล้วก็น้ำตาจะไหล
"โอ้ จริงสิ ฉันลืมแนะนําตัวเองเลย ฉันชื่อติงฮุ่ยฮุ่ย คุณสามารถเรียกฉันว่าฮุ่ยฮุ่ยได้ แต่ฉันดูเหมือนจะแก่กว่าคุณ คุณเรียกฉันว่าพี่ฮุ่ยฮุ่ยก็ได้ ดูนี่ซิชอบไหม" พฤติกรรมแบบนี้ของติงฮุ่ยฮุ่ย ทุกคนเห็นมาเยอะแล้ว ไม่แปลกใจเลย และกินข้าวต่อ
เย่จื่อหยางก็ไม่สนใจ ซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้ว่าจะดียังไง ได้แต่พูดว่า "เสื้อผ้าเหล่านี้สวยมาก แต่..." ตอนแรกยังอยากจะพูดต่อ แต่ดูเหมือนว่าสไตล์ไม่เหมาะกับเธอ ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมไง
ติงฮุ่ยฮุ่ยกลับจับมือเธอไว้ รีบพูดว่า “ชอบทั้งหมดงั้นฉันยกให้คุณทั้งหมดเลย" พูดพลางยกถุงช้อปปิ้งกองใหญ่ใส่มือของซ่งเสี่ยวเชียน ให้เธอรับไม่ว่าเธอจะรับหรือไม่รับก็ตาม
ติงฮุ่ยฮุ่ยใจกว้างส่งเสื้อผ้าหลายชุดให้ซ่งเสี่ยวเชียน ยังดีใจมาก กอดคอของลู่เซียงหรงอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า "สามี เสื้อผ้าที่ฉันซื้อใหม่เหล่านี้ถูกส่งออกไปหมดแล้ว จะทําอย่างไรดีน่า"
"... ก็ ซื้อ ให้ คุณ ใหม่ " ลู่เซียงหรงเกือบจะกัดฟันพูดห้าคํานี้จบ ติงฮุ่ยฮุ่ยก็ให้รางวัลเขาโดยการจูบหน้าเขาหนึ่งครั้ง
ซ่งเสี่ยวเชียนถือถุงใหญ่หลายถุงแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม มองเย่จื่อหยางอย่างเศร้าโศก ครั้งแรกที่พบกันและรับของมากมายจากคนอื่น เป็นหนี้บุญคุณมาก เย่จื่อหยางดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เธออยากจะพูดและพูดกับลู่เซียงหรงว่า
"ลู่เซียงหรง ด้วยความสัมพันธ์ของเรา น้ำใจครั้งนี้ ฉันจะไม่คืนนะ"
ซ่งเสี่ยวเชียนเหยียบขาเขาใต้โต๊ะ ถุย พูดอะไรนะ จะไม่คืนได้อย่างไร จะเอาเปรียบคนอื่นหรือไง
ติงฮุ่ยฮุ่ยก็เพิ่งนั่งลง ได้ยินเย่จื่อหยางพูดแบบนี้ ก็รีบแย่งพูดก่อนลู่เซี่ยงหรง "ไม่ต้องคืน ไม่ต้องคืน" สามีของฉันใจร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ" พูดจบ มองลู่เซี่ยงหรง สีหน้าของลู่เซี่ยงหรงเปลี่ยนไปตั้งแต่ติงฮุ่ยฮุ่ยเข้ามา ตอนนี้ยิ่งไม่กล้าคืนปากได้แต่พยักหน้า
"งั้นก็ขอบคุณจริง ๆ" เย่จื่อหยางหันไปเลือกคิ้วให้ซ่งเสี่ยวเชียน จัดการเรียบร้อยแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนถอนหายใจและทันใดนั้นก็เริ่มเห็นใจลู่เซียงหรงขึ้นมาแล้ว
คนกลุ่มใหญ่เริ่มกินดื่มอีกครั้ง ซ่งเสี่ยวเชียนมองบรรยากาศผ่อนคลายลง กระตุกแขนเสื้อของเย่จื่อหยาง แอบกระซิบข้างหูเขาว่า "อาหารมื้อนี้ คืออะไรขึ้นกันแน่"
“แกล้งทําเป็นสามีภรรยาเหรอ ไม่จําเป็นต้องทําเหมือนจริงขนาดนี้ก็ได้ แถมยังพาอีกฝ่ายมารู้จักเพื่อนตัวเองอีก” แต่ความจริงซ่งเสี่ยวเชียน ตอนนี้เธอมีความสุขมาก ได้รู้จักเพื่อนของเย่จื่อหยาง ในใจรู้สึกพอใจอย่างบอกไม่ถูก
เย่จื่อหยางก็ตอบข้างหูเธอด้วยเสียงกระซิบว่า "เธอไม่ใช่กังวลว่าฉันจะถูกคนอื่นแย่งไปเหรอ เพื่อนของฉัน ตอนนี้เธอก็รู้จักกันแล้ว และฉันแนะนําเธอในฐานะภรรยาของฉันให้ทุกคนรับรู้ ตอนนี้เธอยังรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่หรอ ยังต้องไปสนใจการยั่วยุของคนอื่นอีกเหรอ ตอนนี้คนอื่นไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ตําแหน่งเธอแล้วนะ"
คนอื่นที่เย่จื่อหยางพูด แน่นอนว่าหมายถึงเฉินเฉิน เขาพูดถูกนะ ถ้าเฉินเฉินมาก่อกวนเธออีกแล้วยังไงล่ะ เธอไม่มีคุณสมบัติอยู่ดี นั่งตรงตําแหน่งปัจจุบันของซ่งเสี่ยวเชียนแล้วพบประกับทุกคน
มีแค่ซ่งเสี่ยวเชียนคนเดียวที่ทําได้
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในใจของซ่งเสี่ยวเชียนสับสนมาก เธอมองเข้าไปในดวงตาที่อ่อนโยนของเย่จื่อหยาง เขาทำแบบนี้ มองจากทุกมุมการกระทำแบบนี้มันทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่า เขาชอบเธอ
“ทำไมคุณถึงทำสิ่งนี้ให้ฉันแล้วก็ พี่เลอเลอบอกว่าคุณออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้ว คุณไปพบเฉินเฉินคุณพูดอะไรกับเธอ” ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนต้องการทราบความจริงของเรื่องนี้ และต้องการทราบความคิดภายในจิตใจของเย่จื่อหยาง
!!
"ฉันบอกเธอว่า อย่ามาก่อกวนภรรยาฉันอีก" น้ำเสียงของเย่จื่อหยางแตกต่างกันเล็กน้อย ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขา "ใครจะรู้ว่าคุณอาจจะพูดเรื่องไรสาระก็ได้คุณมีเทปบันทึกเสียงไหม ไม่แน่อาจจะบอกเธอว่าไม่ต้องรีบร้อน ไม่ช้าก็เร็วจะหย่ากับฉันก็ได้" "พวกเธอแอบพูดอะไรกันที่เนี๋ย? ต้องหวานแว๋วขนาดนี้เลยเหรอ" หยางฮ่าวยังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก และพูดจาโผงผางขึ้นมา ไม่กลัวอาหารในปากพ่นออกมา ซ่งเสี่ยวเชียนรีบเก็บท่าทางของตัวเอง และเตะเข้าที่ขาเขานั่งตัวตรงและไม่กระซิบกับเขาอีกต่อไป เพราะเมื่อกี้เธอดื่มเหล้ามา ตอนนี้หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว คนที่ดื่มเหล้าไม่เป็นจะหน้าจะแดงง่ายที่สุด หน้าแดงๆ น่ารักมาก หยางฮ่าวหยิบแก้วใหญ่ใบหนึ่งมา รินเหล้าขาวเต็มแก้วลงไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วส่งไปที่หน้าเย่จื่อหยาง "พี่ใหญ่ คุณมีภรรยาแล้วลืมพี่ลืมน้อง เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้นะ ดื่มสักแก้วก่อนแล้วค่อยว่ากัน"เพราะเทเต็มมาก เมื่อส่งมา เหล้าก็เปื้อนมือเย่จื่อหยาง เพราะทิชชู่อยู่ข้างมือของซ่งเสี่ยวเชียน เธอก็หยิบทิชชู่มาเช็ดมือให้เขา ติงฮุ่ยฮุ่ย
"ครูฝึกคนนั้นโหดเหี้ยมจริง ๆ การฝึกที่สบายๆถูกตัดออกหมด ฉันคงไม่ได้แก่ตายแน่" (ฝึกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันอาจไม่มีชีวิตรอดแน่นอน) ตอนนั้นเย่จื่อหยางเดินไปไม่ได้ไกลนัก คือเดินอยู่รอบๆตัวพวกเขา คนอื่น ๆ เห็นเย่จื่อหยางและพร้อมที่จะไม่พูดแล้ว แต่โจวเผิงก็หันหลังให้กับเย่จื่อหยางและพูดต่อไปอย่างกระตือรือร้นที่นั่นว่า "ฉันคิดว่าครูฝึกคนนั้นรู้จักแค่การฝึกเหล่านี้ อะไรก็ไม่เข้าใจ โง่จริงๆ!" (ครูฝึกคนนั้นรู้แค่ฝึกสิ่งเหล่านี้ ไม่เข้าใจอะไรเลย โง่!)ประโยคนี้ถูกเย่จื่อหยางได้ยินพอดี ทุกคนแสดงออกทางสายตาให้โจวเผิงแล้ว แต่โจวเผิงคิดว่าพวกเขาปล่อยให้เขาพูดต่อ กําลังเตรียมที่จะพูดต่อ เย่จื่อหยางก็เดินไปหาโจวเผิงและไอ โจวเผิงตกใจและหันไปดูเห็นว่าเป็นเย่จื่อหยาง ยิ่งกลัวจนเกือบขาอ่อน จึงรีบทําความเคารพและเรียกชื่อครูฝึกเสียงดัง เย่จื่อหยางหัวเราะอย่างเย็นชากับเขา "พูดอะไรน่ะ"โจวเผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกคิดว่าเย่จื่อหยางคงไม่เข้าใจภาษาฉงชิ่งที่เขาพูด รีบแต่งเรื่องขึ้นมาอย่างโง่เขลา "ตอบครูฝึก! ผมกําลังบอกว่าเป็นเรื่องดีที่ ที่ครูฝึกฝึกเราอย่างเ
"คุณได้ใจมากเกินไปแล้ว คำก็ภรรยา สองคำก็ภรรยา ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีของคุณนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนหมายความว่าอย่างไร เย่จื่อหยางเข้าใจดี แต่คนรอบข้างไม่เข้าใจ นึกว่าเป็นคําสาบานที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ของพวกเขา ก็เริ่มงอนอีกแล้วเย่จื่อหยางให้เธอนั่งบนเก็าอี้แล้วหมุนเธอให้มาเผชิญหน้า มือไหนหรอ ก็วางมือลงบนเอวของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างสบายๆ ความใกล้ชิดก็มาได้ยังไง ครั้งนี้ซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้ว่าถูกเขาเอาเปรียบมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เธอก็ไม่สามารถตะโกนให้เขาเอามือออกไปได้"พอได้แล้ว พวกนายหยุดก่อกวนได้แล้ว ฉันจะถามเรื่องซีเรียสเรื่องหนึ่ง พวกนาย น่ะ รู้กันอยู่แล้วนานแค่ไหนที่ไม่ได้จัดพบปะแบบนี้ อั่งเปาจะห่อใหญ่แค่ไหนกันนะ ฉันตื่นเต้นมาก" หลู่เซียงหรงตบหน้าอกและรับประกันหัวหน้าต้องมีความเป็นหัวหน้า นับประสาอะไรกับพี่น้องของเขา เย่จื่อหยางกับเขาคบกันมาสิบกว่าปี อั่งเปาของเขาก็ต้องห่อใบใหญ่ที่สุด คํานวณว่าตอนที่เขาแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน เย่จื่อหยางใส่อั่งเปาไปไม่น้อย และต้องถึงเวลาที่
ซ่งเสี่ยวเชียนยิ่งจูบยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงผลักเย่จื่อหยางออกทันที เช็ดน้ำลาย เป็นหมาป่าหื่นกามจริง ๆ เดิมทีก็เอาเปรียบเธอมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะกัดและแย่งจูบเธออีกเหรอ เธอเตะเข่าของเย่จื่อหยางอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งเย่จื่อหยางก็ถูกเธอเตะเข้าอย่างจัง ถ้าเปลี่ยนเป็นศัตรูที่โจมตีเขา เย่จื่อหยางไม่เพียงแต่จะหลบได้ แต่ยังใช้แค่สองหรือสามกระบวนท่าก็สามารถปราบอีกฝ่ายลงได้ แต่ตอนนี้คนที่โจมตีเขาคือซ่งเสี่ยวเชียน รู้ทั้งรู้ว่าหลบได้ แต่ก็ต้องใจไม่หลบ เขาเรียกว่าการยอมแพ้ที่สมศักดิ์ศรีแต่เย่จื่อหยางดีใจมากจริงๆที่ถูกตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกซ่งเสี่ยวเชียนตี ตีคือจูบ ด่าคือรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจูบเธอเมื่อกี้เธอก็ไม่ได้ต่อต้านมากนัก นี่ไม่ได้หมายความว่าซ่งเสี่ยวเชียนจริง ๆ แล้ว...เพื่อที่จะออกห่างจากเย่จื่อหยางจอมลามก ซ่งเสี่ยวเชียนได้ย้ายตําแหน่งไปข้างติงฮุ่ยฮุ่ย ติงฮุ่ยฮุ่ยทําหน้าว่าฉันเข้าใจสีหน้าของคุณและกระซิบกับเธอว่า "ตอนที่ฉันกับสามีครั้งแรกก็เป็นแบบนี้ ใจร้อนมาก ฉันแทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว"ติงฮุ่ยฮุ่ยพูดแบบนี้ก็ไม่หน้าแดง กลับทําหน้าจริงจังมาก
เย่จื่อหยางทําหน้าไม่เต็มใจ แต่ถูกพลังมหาศาลของซ่งเสี่ยวเชียนดึงออกจากบ้านแล้วปิดประตู ซ่งเสี่ยวเชียนหมดแรงพิงกําแพงทันที เย่จื่อหยางมองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่ไม่มีแรงแล้ว เกือบจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า "ตอนนี้เราถูกไล่ออกจากบ้านของเราแล้ว คุณจะให้เราไปนอนที่ไหน"ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขาแวบหนึ่ง "เกี่ยวอะไรกับฉันย่ะ!" อย่างน้อยเธอก็ยังมีบ้านเดิมให้กลับไปได้ ตอนนี้เห็นเย่จื่อหยางก็รู้สึกโมโม เธอจึงหัวแล้วเดินจากไปเยจื่อหยางจะปล่อยเธอไปได้ยังไง ดึงข้อมือของเธอและดึงเธอกลับมา ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธมากและตะโกนว่า "ในเมื่อเป็นการแสดงแล้ว ที่นี้ก็คิดซะว่าจะเป็นคนไม่รู้ซะ! ทําไมยังมาทำให้ยุ่งเหยิงอีก คุณไปหาเฉินเฉินนางจิ้งจอกของคุณ ฉันจะกลับบ้านแม่คนเดียวเอง"เย่จื่อหยางรู้สึกตลก "ตลกล่ะ! ไม่ได้แน่นอน เธอเป็นภรรยาของฉัน วิ่งกลับบ้านตลอด 3 วัน แบบนี้จะได้ยังไง" ซ่งเสี่ยวเชียนถูกเขาจับข้อมือไว้ เธอพยายามดิ้นรนอย่างหนัก เหมือนแรงเด็กเพิ่งกินนม ไม่เหมือนกับปกติที่ผลักเข้าผลักออกเลย เย่จื่อหยางกลัวว่าจะทําให้เธอเจ็บ ดังนั้นซ่งเสี่ยวเชียนจึงดิ้นหลุดจริง ๆ แ
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ได้พูดถึงความคิดเห็นใด ๆ เพราะตอนนี้เธอไม่เข้าใจเมืองหลวงเลย หลายครั้งที่เธอออกมาเล่นก็จะมีเย่จื่อหยางพาเธอไปด้วย ไม่งั้นเธอจะหลงทางแล้วเมื่อรถจอดอยู่หน้าโรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่ง เธอก็ตามเย่จื่อหยางลงจากรถอย่างเชื่อฟังและเข้าไปในโรงแรมโดยไม่พบสิ่งผิดปกติเย่จื่อหยางแสดงบัตรประชาชนที่แผนกต้อนรับ เมื่อพนักงานต้อนรับมองไปที่แม้แต่การเช็คอินก็ไม่จําเป็นต้องทําแล้ว จึงเรียกผู้จัดการโรงแรมพาเย่จื่อหยางขึ้นไปชั้นบนโรงแรม ถึงตอนนี้เธอก็ยังสังเกตไม่เห็นว่ามีสิ่งผิดปกติเย่จื่อหยางกําลังจะเก็บบัตรประชาชนไว้ในกระเป๋าเงิน ซ่งเสี่ยวเชียนคว้ามาอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอยังไม่เคยเห็นบัตรประชาชนของเย่จื่อหยางเลย ไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็นทั่วไปคือความอยากรู้อยากเห็นมาก แต่เมื่อมองอย่างละเอียดดูนอกจากรูปภาพที่ดูอ่อนกว่าวัยมาก นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษเลย ซ่งเสี่ยวเชียนคืนบัตรประชาชนให้เขาอีกครั้ง ในเวลานี้ลิฟต์หยุดที่ชั้น 33 เธอตกใจและพึมพําเบา ๆ ว่าสูงขนาดนี้ แผ่นดินไหวมาแล้ววิ่งหนีได้ไหม
ซ่งเสี่ยวเชียนกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือของเธออยู่บนเตียง ที่จริงแล้ว หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอมักจะอยู่ในอินเทอร์เฟซสมุดที่อยู่และกลิ้งไปมาบนเตียงขนาดใหญ่ ตอนนี้เธอแค่อยากโทรหาเย่จื่อหยาง ไม่มีอะไรจริงจัง เธอแค่อยากพูดคุยและฟังเสียง ฟังว่าวันนี้เขาทำอะไร เขามีความสุขไหม? เหนื่อยจากการฝึกซ้อมหรือป่าว? เธอรู้ว่าเธอชอบเย่จื่อหยาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่อยากจะรู้แต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเธอไม่เคยโทรมาก่อน แต่ก่อนไม่เคยคุยกันทางโทรศัพท์ แล้วตอนนี้การโทรอย่างกะทันหันมันจะเร็วไปไหมและไม่มีหัวข้อสำคัญอะไรเลยแค่เปิดปากก็ถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง แน่นอนว่าจะถูกหัวเราะเยาะ จากนั้นก็มองโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย จู่ ๆ โทรศัพท์ก็สั่น ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเบอร์ผู้โทรอย่างชัดเจน ตกใจจนจับมือถือไม่มั่นคง โทรศัพท์ตกลงมาที่หน้าอกของเธอทันที อย่าพูดถึงว่าเจ็บแค่ไหนเธอลุกขึ้นนั่งและทันใดนั้นเธอก็เริ่มเครียดในใจ รับหรือไม่รับ ไม่รับสายอาจจะดูใจร้ายเกินไปใช่ไหม เมื่อกี้เห็นชัดๆ ว่ากำลังคิดว่าจะโทรหาเขามั้ย ตอน
การดูแลในช่วงเวลาสั้นๆของเฉียนอ้ายเล่อก็ติดมาจากเจียงจิ่งเฟิง เธอคิดว่าอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ เธอก็ไม่คุ้นเคยกับใคร ก็รู้จักซ่งเสี่ยวเชียนอยู่คนเดียว และซ่งเสี่ยวเชียนยังให้พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านของเธอ จะว่ายังไงก็เป็นครึ่งครอบครัวกันแล้ว ครั้งที่แล้วซ่งเสี่ยวเชียนถูกรังแก ในใจเธอก็ไม่พอใจมาก ตอนนี้ต้องดูแลเธออย่างดี อย่าให้ใครรังแกอีกเพราะแม้ว่าซ่งเสี่ยวเชียนจะอายุเกือบสามสิบแล้ว แต่เธอก็อยู่ที่โรงเรียนมาตลอด ไม่เคยได้สัมผัสกับสังคมที่อันตรายนี้มากนัก ยังบริสุทธิ์อยู่ เฉียนอ้ายเลอระเบิดนิสัยความเป็นแม่ออกมา จะพูดอย่างไรก็ต้องปกป้องให้ดี จริง ๆ แล้วซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเฉียนอ้ายเล่อทําแบบนี้ไม่ดี แต่เฉียนอ้ายเล่อมีความสุข แน่นอนว่าครอบครัวของเธอก็ต้องใส่ใจมากขึ้น ทฤษฎีนี้ย้ายมาจากเจียงจิ่งเฟิงอย่างแท้จริงเพราะงั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็ไม่มีทางเลือก แต่เนื่องจากมีเฉียนอ้ายเลอให้คำแนะนําอย่างดี เธอจึงพัฒนาได้อย่างไว กว่านักศึกษาฝึกงานรุ่นเดียวกับเธอ นักศึกษารุนเดียวกันยังคงสังเกตการผ่าตัดอยู่ แต่เธอสามารถก้าวไปข้างหน้าเป็นผู้ช่วยของหมอหลักได้แล้ว การผ่
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"