"ฉันบอกเธอว่า อย่ามาก่อกวนภรรยาฉันอีก" น้ำเสียงของเย่จื่อหยางแตกต่างกันเล็กน้อย ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขา "ใครจะรู้ว่าคุณอาจจะพูดเรื่องไรสาระก็ได้คุณมีเทปบันทึกเสียงไหม ไม่แน่อาจจะบอกเธอว่าไม่ต้องรีบร้อน ไม่ช้าก็เร็วจะหย่ากับฉันก็ได้"
"พวกเธอแอบพูดอะไรกันที่เนี๋ย? ต้องหวานแว๋วขนาดนี้เลยเหรอ" หยางฮ่าวยังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก และพูดจาโผงผางขึ้นมา ไม่กลัวอาหารในปากพ่นออกมา
ซ่งเสี่ยวเชียนรีบเก็บท่าทางของตัวเอง และเตะเข้าที่ขาเขานั่งตัวตรงและไม่กระซิบกับเขาอีกต่อไป เพราะเมื่อกี้เธอดื่มเหล้ามา ตอนนี้หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว คนที่ดื่มเหล้าไม่เป็นจะหน้าจะแดงง่ายที่สุด หน้าแดงๆ น่ารักมาก
หยางฮ่าวหยิบแก้วใหญ่ใบหนึ่งมา รินเหล้าขาวเต็มแก้วลงไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วส่งไปที่หน้าเย่จื่อหยาง "พี่ใหญ่ คุณมีภรรยาแล้วลืมพี่ลืมน้อง เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้นะ ดื่มสักแก้วก่อนแล้วค่อยว่ากัน"
เพราะเทเต็มมาก เมื่อส่งมา เหล้าก็เปื้อนมือเย่จื่อหยาง เพราะทิชชู่อยู่ข้างมือของซ่งเสี่ยวเชียน เธอก็หยิบทิชชู่มาเช็ดมือให้เขา
ติงฮุ่ยฮุ่ยเห็นพฤติกรรมเช่นนี้ จึงพูดว่า "เด็ก ๆ รักกันมากจริง ๆ สามี เราสองคนไม่เคยสนิทกันขนาดนี้มาก่อน ฉันจะบอกพวกเธอตอนที่ฉันกับสามีเพิ่งรู้จักกัน พวกเราเรียบง่ายมาก เขาอยู่ในกองทัพมาตลอด แม้แต่มือของผู้หญิงก็ไม่เคยจับมือกันมาก่อน ตอนเราเริ่มสถานะเพื่อน เขาก็ไม่กล้าจับมือฉัน จนฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนล่ะ"
หลู่เซียงหรงคีบอาหารในชามของติงฮุ่ยฮุ่ยและห้ามเธอพูด "พอได้แล้วๆ! เรื่องเก่าเมื่อหลายปีก่อนยังเอาออกมาพูดอีกเหรอ"
หลู่เซียงหรงและ ติงฮุ่ยฮุ่ยแต่งงานกันมาเจ็ดเกือบแปดปีแล้ว เย่จื่อหยางรวมถึงทุกคนที่อยู่ที่นี่ยกเว้นซ่งเสี่ยวเชียน ต่างก็ได้เห็นการเติบโตของความรักของพวกเขา ต่างก็เข้าใจว่าติงฮุ่ยฮุ่ยเป็นคนแบบไหน งานอดิเรกสิ่งเดียวที่ชอบคือกินและช็อปปิ้ง และอีกประการหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด หรือถ้าจะให้พูดอย่างอ้อมค้อมคือ ช่างพูด และพูดตรงๆคือปากตลาด...!
ทุกคนอดทนอย่างเงียบ ๆ มาหลายปี หลู่เซียงหรงก็เป็นเพราะรักเธออย่างจริงใจจึงสามารถทนต่อนิสัยแบบนี้ของเธอได้ ดังนั้น ติงฮุ่ยฮุ่ยจึงเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก
เย่จื่อหยางดื่มเหล้าขาวแก้วนั้นหมดไปนานแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนค่อนข้างอึดอัด เธอแค่ใช้มือเช็ดให้เขา ไม่คิดว่าติงฮุ่ยฮุ่ยจะพูดมากขนาดนั้น
เวลานี้ประตูห้องส่วนตัวถูกเปิดออกอีกครั้ง มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามา หอบหายใจแล้วพูดว่า "ขอโทษทุกคน ผมมาช้า รถติดนิดหน่อย สุดท้ายผมจึงลงรถแล้ววิ่งตรงมา..." คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทีมหมู่คนนั้น ถังซุ่น
เย่จื่อหยางส่งเหล้าขาวหนึ่งขวดตรงหน้าให้เขา มองนาฬิกาแล้วพูดว่า "มาสายครึ่งชั่วโมง เหล้าขวดนี้ยังไงก็ต้องดื่มให้หมด"
คำพูดของเขาพูดดูสบาย ๆ มาก แต่ในน้ำเสียงของเขาที่พูดต้องอะไรแอบแฝงอย่างไม่ต้องสงสัย พอถังซุ่นนั่งลงก็หน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว "หัวหน้า อยากให้ผมตายหรอ กินเหล้าครึ่งลิตรนี้ลงไป วันนี้ผมคงต้องนอนอยู่บนพื้นแน่นอน พวกพี่ยังต้องแบกฉันไปโรงพยาบาลอย่างยากลําบาก นี่มันน่าเวทนามากเลยนะใช่ไหม"
เย่จื่อหยางมองซ่งเสี่ยวเชียนแล้วพูดว่า "นี่ไม่ใช่มีหมออยู่เหรอ"
"พี่สะใภ้ คุณดูสิ พวกเราสนิทกันขนาดนี้แล้ว ถ้าผมเข้าโรงพยาบาล จะลดราคาให้ผมได้ไหม" ถังซุ่นมองซ่งเสี่ยวเชียนด้วยสีหน้าขอร้อง
ซ่งเสี่ยวเชียนมองเย่จื่อหยางอย่างไม่รู้จะทําอย่างไรดี ทําไมถึงเปลี่ยนเรื่องมาที่เธอแล้ว จริง ๆ แล้วตอนนี้เธอยังไม่รู้ชื่อทุกคนเลย จะพูดคุยกับพวกเขาอย่างเป็นกันเองได้ยังไง
เย่จื่อหยางได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากซ่งเสี่ยวเชียน รีบโบกมือ "หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว รีบดื่ม นอนบนพื้นแล้วค่อยว่ากัน"
วันนี้เย่จื่อหยางมีความสุขและคําพูดก็เริ่มเพิ่มขึ้น
แม้ว่าซ่งเสี่ยวเชียนจะไม่ชอบคําพูด แต่ในใจเธอมีความสุขมาก เขาแนะนําเธอให้เพื่อนสนิทหลายของเขาให้เธอได้รู้จักกัน เธอก็เป็นภรรยาของเขาจริง ๆ แล้ว หัวข้อว่ารักหรือไม่รัก ต่อไปค่อย ๆ คุยกัน ตลอดชีวิตยังกลัวว่าจะไม่ยอมรับรัก
ถังซุ่นทำท่าทางไม่ยอมแพ้ เปิดขวดเหล้าแล้ววางลงบนโต๊ะอย่างแรง ชี้ไปที่ทุกคน "ได้ วันนี้ผมมาสาย ควรจะโดนลงโทษ ลงโทษตัวเองก่อนสามแก้ว แต่ต่อไปคือหนึ่งขวด ผมขอท้าพวกพี่ทุกคน เล่มเกมสิบห้ายี่สิบมา ถ้าแพ้พ่อจะดื่มให้หมดขวด!"
หยางฮ่าวก็ตื่นเต้นขึ้นมา ลุกยืนขึ้น เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก็าอี้ พับแขนเสื้อขึ้น "มาสิ ปู่ก็เริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว จะทำให้แกลงไปนอนกับพื้นอย่างแน่นอน"
ซ่งเสี่ยวเชียนเริ่มตกใจกับความฮึกเหิมของพวกเขา แต่การท้าทายที่จริงจังแบบนี้ ผลคือทั้งสองเล่นเป่ายิ้งฉุบซ่งเสี่ยวเชียนกระตุกยิ้มที่มุมปากสองครั้งและก็มหน้าจิบเครื่องดื่ม ทําไมรู้สึกขายหน้าเล็กน้อยล่ะ…..
"ยัง ยิง เยา ปัก กะ เป่า ยิ้ง ฉุบ!"
"ยัง ยิง เยา ปัก กะ เป่า ยิ้ง ฉุบ!"
ถังซุ่นออกมากระดาษ หยางฮ่าวออกกรรไกร เกมหนึ่งต้องรู้แพ้ชนะสิ คราวนี้ความฮึกเหิมของถังซุ่นลอยหนีทันที ช่วยไม่ได้นะ นี่คือคําพูดที่ไร้หัวคิดของเขาเอง ตอนนี้แพ้แล้ว เหล้าทั้งขวดนี้จําเป็นต้องดื่มให้หมด
ถังซุ่นหยิบแก้วใหญ่สองใบมา ใบหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าเขา อีกใบวางอยู่ตรงหน้าโจวเผิง โจวเผิงถามว่า "ถังซุ่น แกทําอะไร"
"ทําอะไร มีสุขร่วมสุขมีทุกข์ร่วมทุกข์ มานี่ สหายโจวเผิงที่รัก ตอนนี้สหายที่รักของนายกําลังตกที่ยากลําบากแล้ว รีบมาช่วยกันเร็ว เราสองคนแบ่งเท่า ๆ กัน เทอย่างยุติธรรมแบบนี้!" ถังซุ่นยิ้มไปพูดไป เจ้าเล่ห์ไม่เบา
แต่โจวเผิงไม่หลงกลแล้ว รีบพอผลักแก้วออกไป "ยุติธรรมกับตดนะซิ" โจวเผิงเป็นคนฉงชิง สำเนียงฉงชิ่งแบบนี้จะปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราว
ทันใดนั้นเย่จื่อหยางก็ได้ยินภาษาฉงชิ่งของโจวเผิงออกมา เขาก็หัวเราะเสียงดังโดยไม่รู้ตัว ซ่งเสี่ยวเชียนหันมามองเขาโดยไม่กะพริบตาอย่างแปลกประหลาดใจ ตลกขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมถึงหัวเราะอย่างมีความสุขขนาดนั้น ไม่เคยเห็นเย่จื่อหยางมีสีหน้าร่าเริงขนาดนี้มาก่อน
หลู่เซียงหรงและติ่งฮุ่ยฮุ่ยสังเกตเห็นเย่จื่อหยางที่แตกต่างมากในวันนี้ มองหน้าซึ่งกันและกัน และรู้สึกว่าพลังของความรักนั้นยิ่งใหญ่จริง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงคนคนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์
พูดถึงตรงนี้ ก็ต้องพูดถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นโจวเผิงเพิ่งเข้าสู่หน่วยพิเศษ ในการคัดเลือกอย่างเข้มงวด แต่เย่จื่อหยางเรียกชื่อเขาให้เข้ามา เพราะว่ายังไงให้สมรรถภาพทางกายและตัวชี้วัดต่าง ๆ นั้นยอดเยี่ยมมาก เมื่อพิจารณาจากการแสดงของเขาและการสนทนาเป็นครั้งคราว เย่จื่อหยางคิดว่าเขาเป็นคนค่อนข้างซื่อสัตย์ อันที่จริง คำว่าความซื่อสัตย์นั้นมันเป็นคำพ้องเสียงของคำว่าโง่นั้นเอง...
ตอนฝึกทหารใหม่ เพราะเพิ่งเข้าหน่วยพิเศษ เย่จื่อหยางต้องการเข้มงวดมากขึ้น การฝึกก็รุนแรงมากขึ้น การฝึกครึ่งเดือนของทหารใหม่เกือบทุกคนเริ่มบ่นว่า การฝึกหนักเกินไป การฝึกที่นี่เท่ากับการฝึกครึ่งปีก่อนหน้านี้
ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนพูดจาไม่ดีลับหลังเกี่ยวกับเย่จื่อหยาง ตอนนั้นโจวเผิงได้รู้จักหลายคนที่มาจากฉงชิ่งในหมู่ทหารใหม่ คุยกันได้ค่อนข้างสนุก หลายคนก็เริ่มพูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับเย่จื่อหยาง
!!
"ครูฝึกคนนั้นโหดเหี้ยมจริง ๆ การฝึกที่สบายๆถูกตัดออกหมด ฉันคงไม่ได้แก่ตายแน่" (ฝึกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันอาจไม่มีชีวิตรอดแน่นอน) ตอนนั้นเย่จื่อหยางเดินไปไม่ได้ไกลนัก คือเดินอยู่รอบๆตัวพวกเขา คนอื่น ๆ เห็นเย่จื่อหยางและพร้อมที่จะไม่พูดแล้ว แต่โจวเผิงก็หันหลังให้กับเย่จื่อหยางและพูดต่อไปอย่างกระตือรือร้นที่นั่นว่า "ฉันคิดว่าครูฝึกคนนั้นรู้จักแค่การฝึกเหล่านี้ อะไรก็ไม่เข้าใจ โง่จริงๆ!" (ครูฝึกคนนั้นรู้แค่ฝึกสิ่งเหล่านี้ ไม่เข้าใจอะไรเลย โง่!)ประโยคนี้ถูกเย่จื่อหยางได้ยินพอดี ทุกคนแสดงออกทางสายตาให้โจวเผิงแล้ว แต่โจวเผิงคิดว่าพวกเขาปล่อยให้เขาพูดต่อ กําลังเตรียมที่จะพูดต่อ เย่จื่อหยางก็เดินไปหาโจวเผิงและไอ โจวเผิงตกใจและหันไปดูเห็นว่าเป็นเย่จื่อหยาง ยิ่งกลัวจนเกือบขาอ่อน จึงรีบทําความเคารพและเรียกชื่อครูฝึกเสียงดัง เย่จื่อหยางหัวเราะอย่างเย็นชากับเขา "พูดอะไรน่ะ"โจวเผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกคิดว่าเย่จื่อหยางคงไม่เข้าใจภาษาฉงชิ่งที่เขาพูด รีบแต่งเรื่องขึ้นมาอย่างโง่เขลา "ตอบครูฝึก! ผมกําลังบอกว่าเป็นเรื่องดีที่ ที่ครูฝึกฝึกเราอย่างเ
"คุณได้ใจมากเกินไปแล้ว คำก็ภรรยา สองคำก็ภรรยา ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีของคุณนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนหมายความว่าอย่างไร เย่จื่อหยางเข้าใจดี แต่คนรอบข้างไม่เข้าใจ นึกว่าเป็นคําสาบานที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ของพวกเขา ก็เริ่มงอนอีกแล้วเย่จื่อหยางให้เธอนั่งบนเก็าอี้แล้วหมุนเธอให้มาเผชิญหน้า มือไหนหรอ ก็วางมือลงบนเอวของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างสบายๆ ความใกล้ชิดก็มาได้ยังไง ครั้งนี้ซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้ว่าถูกเขาเอาเปรียบมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เธอก็ไม่สามารถตะโกนให้เขาเอามือออกไปได้"พอได้แล้ว พวกนายหยุดก่อกวนได้แล้ว ฉันจะถามเรื่องซีเรียสเรื่องหนึ่ง พวกนาย น่ะ รู้กันอยู่แล้วนานแค่ไหนที่ไม่ได้จัดพบปะแบบนี้ อั่งเปาจะห่อใหญ่แค่ไหนกันนะ ฉันตื่นเต้นมาก" หลู่เซียงหรงตบหน้าอกและรับประกันหัวหน้าต้องมีความเป็นหัวหน้า นับประสาอะไรกับพี่น้องของเขา เย่จื่อหยางกับเขาคบกันมาสิบกว่าปี อั่งเปาของเขาก็ต้องห่อใบใหญ่ที่สุด คํานวณว่าตอนที่เขาแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน เย่จื่อหยางใส่อั่งเปาไปไม่น้อย และต้องถึงเวลาที่
ซ่งเสี่ยวเชียนยิ่งจูบยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงผลักเย่จื่อหยางออกทันที เช็ดน้ำลาย เป็นหมาป่าหื่นกามจริง ๆ เดิมทีก็เอาเปรียบเธอมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะกัดและแย่งจูบเธออีกเหรอ เธอเตะเข่าของเย่จื่อหยางอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งเย่จื่อหยางก็ถูกเธอเตะเข้าอย่างจัง ถ้าเปลี่ยนเป็นศัตรูที่โจมตีเขา เย่จื่อหยางไม่เพียงแต่จะหลบได้ แต่ยังใช้แค่สองหรือสามกระบวนท่าก็สามารถปราบอีกฝ่ายลงได้ แต่ตอนนี้คนที่โจมตีเขาคือซ่งเสี่ยวเชียน รู้ทั้งรู้ว่าหลบได้ แต่ก็ต้องใจไม่หลบ เขาเรียกว่าการยอมแพ้ที่สมศักดิ์ศรีแต่เย่จื่อหยางดีใจมากจริงๆที่ถูกตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกซ่งเสี่ยวเชียนตี ตีคือจูบ ด่าคือรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจูบเธอเมื่อกี้เธอก็ไม่ได้ต่อต้านมากนัก นี่ไม่ได้หมายความว่าซ่งเสี่ยวเชียนจริง ๆ แล้ว...เพื่อที่จะออกห่างจากเย่จื่อหยางจอมลามก ซ่งเสี่ยวเชียนได้ย้ายตําแหน่งไปข้างติงฮุ่ยฮุ่ย ติงฮุ่ยฮุ่ยทําหน้าว่าฉันเข้าใจสีหน้าของคุณและกระซิบกับเธอว่า "ตอนที่ฉันกับสามีครั้งแรกก็เป็นแบบนี้ ใจร้อนมาก ฉันแทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว"ติงฮุ่ยฮุ่ยพูดแบบนี้ก็ไม่หน้าแดง กลับทําหน้าจริงจังมาก
เย่จื่อหยางทําหน้าไม่เต็มใจ แต่ถูกพลังมหาศาลของซ่งเสี่ยวเชียนดึงออกจากบ้านแล้วปิดประตู ซ่งเสี่ยวเชียนหมดแรงพิงกําแพงทันที เย่จื่อหยางมองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่ไม่มีแรงแล้ว เกือบจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า "ตอนนี้เราถูกไล่ออกจากบ้านของเราแล้ว คุณจะให้เราไปนอนที่ไหน"ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขาแวบหนึ่ง "เกี่ยวอะไรกับฉันย่ะ!" อย่างน้อยเธอก็ยังมีบ้านเดิมให้กลับไปได้ ตอนนี้เห็นเย่จื่อหยางก็รู้สึกโมโม เธอจึงหัวแล้วเดินจากไปเยจื่อหยางจะปล่อยเธอไปได้ยังไง ดึงข้อมือของเธอและดึงเธอกลับมา ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธมากและตะโกนว่า "ในเมื่อเป็นการแสดงแล้ว ที่นี้ก็คิดซะว่าจะเป็นคนไม่รู้ซะ! ทําไมยังมาทำให้ยุ่งเหยิงอีก คุณไปหาเฉินเฉินนางจิ้งจอกของคุณ ฉันจะกลับบ้านแม่คนเดียวเอง"เย่จื่อหยางรู้สึกตลก "ตลกล่ะ! ไม่ได้แน่นอน เธอเป็นภรรยาของฉัน วิ่งกลับบ้านตลอด 3 วัน แบบนี้จะได้ยังไง" ซ่งเสี่ยวเชียนถูกเขาจับข้อมือไว้ เธอพยายามดิ้นรนอย่างหนัก เหมือนแรงเด็กเพิ่งกินนม ไม่เหมือนกับปกติที่ผลักเข้าผลักออกเลย เย่จื่อหยางกลัวว่าจะทําให้เธอเจ็บ ดังนั้นซ่งเสี่ยวเชียนจึงดิ้นหลุดจริง ๆ แ
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ได้พูดถึงความคิดเห็นใด ๆ เพราะตอนนี้เธอไม่เข้าใจเมืองหลวงเลย หลายครั้งที่เธอออกมาเล่นก็จะมีเย่จื่อหยางพาเธอไปด้วย ไม่งั้นเธอจะหลงทางแล้วเมื่อรถจอดอยู่หน้าโรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่ง เธอก็ตามเย่จื่อหยางลงจากรถอย่างเชื่อฟังและเข้าไปในโรงแรมโดยไม่พบสิ่งผิดปกติเย่จื่อหยางแสดงบัตรประชาชนที่แผนกต้อนรับ เมื่อพนักงานต้อนรับมองไปที่แม้แต่การเช็คอินก็ไม่จําเป็นต้องทําแล้ว จึงเรียกผู้จัดการโรงแรมพาเย่จื่อหยางขึ้นไปชั้นบนโรงแรม ถึงตอนนี้เธอก็ยังสังเกตไม่เห็นว่ามีสิ่งผิดปกติเย่จื่อหยางกําลังจะเก็บบัตรประชาชนไว้ในกระเป๋าเงิน ซ่งเสี่ยวเชียนคว้ามาอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอยังไม่เคยเห็นบัตรประชาชนของเย่จื่อหยางเลย ไม่ใช่ความอยากรู้อยากเห็นทั่วไปคือความอยากรู้อยากเห็นมาก แต่เมื่อมองอย่างละเอียดดูนอกจากรูปภาพที่ดูอ่อนกว่าวัยมาก นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรพิเศษเลย ซ่งเสี่ยวเชียนคืนบัตรประชาชนให้เขาอีกครั้ง ในเวลานี้ลิฟต์หยุดที่ชั้น 33 เธอตกใจและพึมพําเบา ๆ ว่าสูงขนาดนี้ แผ่นดินไหวมาแล้ววิ่งหนีได้ไหม
ซ่งเสี่ยวเชียนกำลังเล่นโทรศัพท์มือถือของเธออยู่บนเตียง ที่จริงแล้ว หน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอมักจะอยู่ในอินเทอร์เฟซสมุดที่อยู่และกลิ้งไปมาบนเตียงขนาดใหญ่ ตอนนี้เธอแค่อยากโทรหาเย่จื่อหยาง ไม่มีอะไรจริงจัง เธอแค่อยากพูดคุยและฟังเสียง ฟังว่าวันนี้เขาทำอะไร เขามีความสุขไหม? เหนื่อยจากการฝึกซ้อมหรือป่าว? เธอรู้ว่าเธอชอบเย่จื่อหยาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่อยากจะรู้แต่ละวันเขาทำอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเธอไม่เคยโทรมาก่อน แต่ก่อนไม่เคยคุยกันทางโทรศัพท์ แล้วตอนนี้การโทรอย่างกะทันหันมันจะเร็วไปไหมและไม่มีหัวข้อสำคัญอะไรเลยแค่เปิดปากก็ถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง แน่นอนว่าจะถูกหัวเราะเยาะ จากนั้นก็มองโทรศัพท์อย่างเหม่อลอย จู่ ๆ โทรศัพท์ก็สั่น ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเบอร์ผู้โทรอย่างชัดเจน ตกใจจนจับมือถือไม่มั่นคง โทรศัพท์ตกลงมาที่หน้าอกของเธอทันที อย่าพูดถึงว่าเจ็บแค่ไหนเธอลุกขึ้นนั่งและทันใดนั้นเธอก็เริ่มเครียดในใจ รับหรือไม่รับ ไม่รับสายอาจจะดูใจร้ายเกินไปใช่ไหม เมื่อกี้เห็นชัดๆ ว่ากำลังคิดว่าจะโทรหาเขามั้ย ตอน
การดูแลในช่วงเวลาสั้นๆของเฉียนอ้ายเล่อก็ติดมาจากเจียงจิ่งเฟิง เธอคิดว่าอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ เธอก็ไม่คุ้นเคยกับใคร ก็รู้จักซ่งเสี่ยวเชียนอยู่คนเดียว และซ่งเสี่ยวเชียนยังให้พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านของเธอ จะว่ายังไงก็เป็นครึ่งครอบครัวกันแล้ว ครั้งที่แล้วซ่งเสี่ยวเชียนถูกรังแก ในใจเธอก็ไม่พอใจมาก ตอนนี้ต้องดูแลเธออย่างดี อย่าให้ใครรังแกอีกเพราะแม้ว่าซ่งเสี่ยวเชียนจะอายุเกือบสามสิบแล้ว แต่เธอก็อยู่ที่โรงเรียนมาตลอด ไม่เคยได้สัมผัสกับสังคมที่อันตรายนี้มากนัก ยังบริสุทธิ์อยู่ เฉียนอ้ายเลอระเบิดนิสัยความเป็นแม่ออกมา จะพูดอย่างไรก็ต้องปกป้องให้ดี จริง ๆ แล้วซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเฉียนอ้ายเล่อทําแบบนี้ไม่ดี แต่เฉียนอ้ายเล่อมีความสุข แน่นอนว่าครอบครัวของเธอก็ต้องใส่ใจมากขึ้น ทฤษฎีนี้ย้ายมาจากเจียงจิ่งเฟิงอย่างแท้จริงเพราะงั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็ไม่มีทางเลือก แต่เนื่องจากมีเฉียนอ้ายเลอให้คำแนะนําอย่างดี เธอจึงพัฒนาได้อย่างไว กว่านักศึกษาฝึกงานรุ่นเดียวกับเธอ นักศึกษารุนเดียวกันยังคงสังเกตการผ่าตัดอยู่ แต่เธอสามารถก้าวไปข้างหน้าเป็นผู้ช่วยของหมอหลักได้แล้ว การผ่
เฉินอ้ายเล่อจ้องเขาอย่างเคร่งขรึมแล้วพูดว่า "คุณหุบปากให้ฉันหน่อยได้ไหม" จากนั้นหันไปมองสีหน้าของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างเป็นห่วงแล้วพูดว่า "พี่ว่าช่วงนี้เธอไม่ค่อยกินข้าว กินอีกนิดเถอะ เมื่อก่อนเธอไม่ใช่แบบนี้นะนิ" พูดพลางเอื้อมมือไปจับหน้าผากซ่งเสี่ยวเชียน ทำท่าทางเหมือนแม่ที่สุด คนที่มีลูกแล้วก็เป็นแบบนี้ "ดูเหมือนจะผอมลงแล้ว ไม่สบายตรงไหน รีบบอกมา อย่าเก็บไว้คนเดียว"ซ่งเสี่ยวเชียนลูบหน้าตัวเองเหมือนผอมลงจริง ๆ "ร่างกายฉันไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ หลายวันมานี้เห็นดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ค่อยอยากกิน เวลาทําเรื่องมักจะรู้สึกกระสับกระส่าย คิดนั้นคิดนี่ไปเรื่อย ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจจะตอนกลางคืนนอนไม่หลับมั้ง ""เธอยังนอนไม่หลับอยู่" เฉียนอ้ายเล่อถามต่อซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้าเหมือนจะนิดหน่อย นอนแต่หัววัน แต่กลางดึกก็ตื่นขึ้นมา หลังจากตื่นขึ้นมาก็หลับยากแล้วเฉียนอ้ายเลอพยักหน้าและยิ้มเมื่อได้ยินอาการของเธอ "ฉันรู้แล้ว นี่เรียกว่าโรคความคิดถึง" ห้ะ!!! ซ่งเสี่ยวเชียนมองเฉียนอ้ายเ
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"