ซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า "คณบดี คุณต้องจัดการอย่างเป็นกลาง ฉันตีเธอใช่ฉันผิด ฉันหุนหันพลันแล่น ฉันยอมรับผิดแล้ว ก็ควรผ่อนปรนไม่ใช่เหรอ"
เฉียนอ้ายเลอเดินเข้ามาพอดี เธอถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควร โรงพยาบาลต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเชิญเธอมา แม้ว่าตอนนี้งานบรรยายและคําแนะนําการผ่าตัดจะยุ่งมาก แต่ก็ยกเฉียนอ้ายเลอเป็นผู้มีพระคุณของโรงพยาบาล
" โอ้ว ศาสตราจารย์เฉียน คุณมาได้ยังไง มีปัญหาเรื่องงานหรอ" คณบดีรีบทักทายเฉียนอ้ายเลอ
"คณบดี คุณอายุมากกว่าฉัน อย่าเรียกฉันศาสตราจารย์อะไรเลยค่ะ แบบนี้ฉันรับไม่ไหว” วันนี้ฉันได้ยินเรื่องที่ซ่งเสี่ยวเชียนลงไม้ลงมือกับคนอื่น เลยตั้งใจจะมาดูว่าคุณจะจัดการยังไง ฉันเพิ่งได้ยินที่หน้าประตูเหมือนกัน ซ่งเสี่ยวเชียนยอมขอโทษ ทําไมต้องยืนกรานที่จะไล่เธอออกด้วย"
คําพูดของเฉียนอ้ายเลอนั้นถูกต้องสําหรับคนนอกมอง เธอมองไปที่เฉินเฉินที่อยู่ข้าง ๆ ใช้สายตากวาดมองอย่างละเอียด แล้วเธอจึงเดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ ซ่งเสี่ยวเชียน แค่นี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เขาต้องออกหน้าให้ซ่งเสี่ยวเชียน
"โอ้ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ ไม่ต้องให้คุณมาเป็นห่วง โรงพยาบาลเรามีกฏระเบียบของโรงพยาบาล ผมก็ทำตามกฏระเบียบ" คณบดีเหงื่อท่วมหน้าแล้ว
"ฉันไปโรงพยาบาลซานเจียหลายแห่งทั่วประเทศ ไม่เคยได้ยินมาก่อน พนักงานทําผิดและยินดีที่จะขอโทษและรับผิดชอบยังต้องถูกไล่ออก ซ่งเสี่ยวเชียนฆ่าคนและวางเพลิงเหรอ ก่ออาชญากรรมแบบนี้ก็ไม่สามารถให้อภัยได้"
คณบดีเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก "เอ่อ ใช่ๆ"
หลังจากมองเฉินเฉินแวบหนึ่ง ในที่สุดก็คณบดีก็ตัดสินใจ
"หมอเฉิน หมอซ่งยินดีที่จะขอโทษคุณ คุณก็ไม่ควรต่อความยาวสาวความยืดแบบไม่มีเหตุผลเช่นนี้ เรื่องนี้ หลังจากหมอซ่งขอโทษคุณแล้ว ก็ให้มันแล้วไปเถอะ อย่าพูดถึงมันอีกเลย แล้วก็อย่ามาหาผมคุยเรื่องนี้อีก ผมยังมีงานต้องทำ พวกคุณออกไปกันเถอะ"
วันนี้ยังดีที่มีเฉียนอ้ายเลอออกมาช่วยเหลือ ไม่งั้นซ่งเสี่ยวเชียนแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเย่ยังไง พวกเขาไม่มีใครอยู่ในที่เกิดเหตุ แค่คําพูดที่ข่มขู่ของเฉินเฉิน เกรงว่าจะต้องไล่ซ่งเสี่ยวเชียนออกจริง ๆ
วันนี้ซ่งเสี่ยวเชียนกลับบ้านพร้อมกับเฉียนอ้ายเลอ จริง ๆ แล้วมันไม่มีอะไรพิเศษ ทํางานในโรงพยาบาลเดียวกันอยู่แล้ว แต่สีหน้าของทั้งคู่ก็หดหู่เล็กน้อย ทําให้เจียงจิ่งเฟิงมองออกมาทันที
เขาสวมผ้ากันเปื้อนและถือช้อนใหญ่และถามว่า "คุณสองคนเกิดอะไรขึ้น" โย่ คนฉงชิ่งคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลาหนึ่งหรือสองเดือน สามารถพูดถิ่นทางตะวันออกเฉียงเหนือได้แล้ว
เย่จื่อหยางกําลังถือชามมาวางอยู่ไว้โต๊ะอาหาร ได้ยินเจียงจิ่งเฟิงตะโกนเสียงดังมาก เลยมุ่งความสนใจไปที่ประตู ก็เห็นซ่งเสี่ยวเชียนเหมือนเจอเรื่องไม่ดีก่อนกลับบ้าน ลากกระเป๋าหนังเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เหมือนลืมเอาวิญญาณกลับเข้าร่างจนลืมถอดรองเท้าและเดินข้างมาในบ้าน
เย่จื่อหยางขมวดคิ้ว รีบไปหยุดเธอ พื้นสะอาดขนาดนี้จะปล่อยให้เธอทำขนาดนี้ได้อย่างไร
"เธอลืมเอาวิญญาณมาด้วยหรอ" ดึงซ่งเสี่ยวเชียนไว้ ให้เธอยืนให้ตรง เย่จื่อหยางบีบคางเธอให้เธอเงยหน้ามองเขา เขามองแล้วพูดว่า โอ๊ยนิมันอะไร แววตาไร้ชีวิตชีวา ไร้ชีวิตชีวา เย่จื่อหยางมองต่อไปไม่ได้แล้ว
เฉียนอ้ายเลอเปลี่ยนรองเท้าแตะแล้วเข้ามาในบ้าน "เรื่องนี้พวกคุณถามเธอเองดีกว่า ฉันสั่งสอนเธอบนรถไฟใต้ดินแล้ว"
ใช่ ลองคิดดูสิว่ารถไฟใต้ดินต้องเบียดเสียดกันกี่คนในหนึ่งชั่วโมงเร่งด่วนของเมืองหลวง เฉียนอ้ายเลอก็ไม่สนใจ สั่งสอนเธอยาวต่อไปไม่เว้นเวลาพักเลย
คนหนุ่มสาวก็คือหุนหันพลันแล่น เหมือนวันนี้ที่เฉินเฉินกระตุ้นเธอ ก็เพื่อให้คุณลงมือก่อน แล้วจับจุดอ่อนของเธอ สุดท้ายจะข่มขู่เธออย่างไรก็ได้ เธอก็ไม่ใช่เด็กแล้ว อายุเกือบสามสิบแล้ว ทําไมยังทําตัวเหมือนวัยรุ่นอายุยี่สิบต้น ๆ ล่ะ
เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนก็ได้รับความไม่เป็นทำในวันนี้แล้ว ตอนเลิกงานยังถูกเฉียนอ้ายเล่อสั่งสอนต่อหน้าคนมากมาย เธอยิ่งไร้ที่พึ่งมากขึ้น ดังนั้น ระหว่างทางจึงไร้ชีวิตชีวา เหมือนสุนัขที่ตายแล้ว และถูกเฉียนอ้ายเลอลากกลับบ้าน
เย่จื่อหยางมองซ่งเสี่ยวเชียนแบบนี้ ในใจเป็นห่วงเล็กน้อย คิดว่าเธอถูกใครรังแกแน่ๆ แต่ฟัง เฉียนอ้านเลอพูดว่า เธอทําผิด งั้นก็น่าแปลกไป
ก่อนอื่นให้เธอเปลี่ยนรองเท้าก่อน แล้วจับมือของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างเบามือ จูงเธอไปที่โซฟา แล้วนั่งลง เย่จื่อหยางนั่งอยู่ข้าง ๆ ทำตัวเหมือนพ่อที่ใจดีแล้วถามว่า
"เกิดอะไรขึ้น"
ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเย่จื่อหยางแวบหนึ่ง ตอนนี้เธออายจริง ๆ ที่จะพูดว่าเธอสั่งสอนคนรักเก่าของเย่จื่อหยางแล้ว ตอนนี้โรงพยาบาลจะไล่เธอออก ซ่งเสี่ยวเชียนพูดไม่ออก ตอนนี้เธอเสียใจแล้ว ทําไมตอนนั้นถึงหุนหันพลันแล่นขนาดนี้ล่ะ
ตอนนี้เข้าใจแล้วที่เมื่อก่อนพ่อแม่พูดว่าตอนเด็กๆ เธอเป็นคนใจร้อนและใจแข็งมาก โตขึ้นต้องเสียเปรียบแน่นอน แต่ก่อนเธอยังโต้แย้งว่า เธอจะเสียเปรียบได้อย่างไร ใครแกล้งเธอ เธอก็แกล้งกลับไป ตอนนี้นะหรอเธอเข้าใจแล้วจริง ๆ ว่าพ่อแม่บอกว่าเสียเปรียบ เสียเปรียบตรงไหน
"เด็ก ก็คือเด็ก รู้ว่าตัวเองทําผิด เลยอายที่จะพูดล่ะ ซ่งเสี่ยวเชียนบอกเย่จื่อหยางตามตรงเถอะ ฉันคิดว่าเฉินเฉินอาจจะต้องเอาเรื่องของเย่จื่อหยางมาพูดอีกแน่ๆ เธอไม่พูดตอนนี้ ต่อไปถูกเฉินเฉินสาดน้ำมันใส่ สาดน้ำส้มสายชูใส่ เวลานั้นเธอจะยังยิ้มได้อีกไหม"
วันนี้อากาศร้อนเกินไป เฉียนอ้ายเลออยากดื่มน้ำเย็นสักอึก จึงถูกเจียงจิ่งเฟิงหยุดไว้ คุณผู้หญิงน้ำแข็งไม่ดีต่อร่างกาย ส่งน้ำเปล่าอุณภูมิปกติให้เธอ แล้วเอากระดาษทิชชู่เช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เธอ เฉียนอ้ายเลอก็ยอมรับการปฏิบัติอย่างยินดี
ซ่งเสี่ยวเชียนกัดฟันและด่าในใจว่า พวกคุณอย่าแสดงความรักต่อหน้าฉันได้ไหม จากนั้น สายตาเล็ก ๆ ที่บ่นก็มองไปที่เย่จื่อหยาง "ทั้งหมดเป็นเพราะคุณ!"
เสียงคํารามนี้ เย่จื่อหยางยิ่งไม่เข้าใจ ทําไมนี่เป็นความผิดของเขาล่ะ ทําไมเฉินเฉินถึงมาเกี่ยวข้องด้วย ซ่งเสี่ยวเชียนอยากจะเดินหนี แต่ถูกเย่จื่อหยางดึงเธอไว้ ห้ามไปพูดมาให้ชัดเจน!
ในใจคํารามขนาดนี้ แต่เย่จื่อหยางปากกลับพูดว่า "เป็นความผิดของฉัน เธอบอกฉันหน่อยว่า ฉันทําผิดอะไรอีก"
ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขา อยากฆ่าเขาด้วยสายตา แต่ลองหลายครั้งแล้วไม่ได้ ก็ยอมแพ้และพูดว่า "ฉันโง่ ถูกเฉินเฉินวางกับดักไว้ แล้วยังพยายามเจาะเข้าไปอีก แต่คุณอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบทําไมคุณถึงไปจูบคนอื่นล่ะฮ้ะ คุณคันปากเหรอ ถ้าคันจริง ๆ ฉันจะเอาแปรงชักโครกมาปัดปากคุณเป็นอย่างไร"
ประโยคนี้พูดไม่มีหัวไม่มีหาง เย่จื่อหยางยังคิดอยู่ ซ่งเสี่ยวเชียนก็ถือโอกาส สะบัดมือออกแล้ววิ่งไปที่ห้องนอน
หลังจากนั้น เย่จื่อหยาง ก็เรียกเธอออกมากินข้าว ให้ตายยังไงเธอก็ไม่ออกมา เฉียนอ้ายเลอจึงบอกว่าปล่อยเธอไปก่อน เธอโง่แบบนี้ ก็ไม่มีหน้าออกมาพบปะผู้คนอีกแล้ว
บนโต๊ะอาหาร ยังคงฟังเฉียนอ้ายเลอเล่าเรื่องทั้งหมด เย่จื่อหยางจึงเข้าใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากและไม่ได้ด่าซ่งเสี่ยวเชียนว่าโง่ แต่กินข้าวคนเดียวอย่างเงียบๆ
!!
เพื่อนที่อยู่รอบข้างเจียงจิ่งเฟิงมีแต่คนพูดมาก เมื่อเจอเย่จื่อหยางที่เหมือนก้อนหิน เขาก็รู้สึกน่าเบื่อมากและคีบอาหารให้ภรรยาของเขา "ที่รัก นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ คุณก็อย่าไปยุ่งเลย ให้เขาจัดการเอง นี่คือจุดจบของความวุ่นวาย ผมน่ารักกว่า ในชีวิตนี้ผมจะรักคุณคนเดียว"พูดพลางยื่นปากเข้าไปใกล้ๆ อยากจูบเลย ถูกเฉียนอ้ายเลอตบหน้าเข้าให้ สุดท้ายก็กินข้าวอย่างเชื่อฟังวันที่สองเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นตลอดเวลาแล้ว ยังมีเสียงร้องของจั๊กจั่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซ่งเสี่ยวเชียนไปหาอะไรกินที่ครัวเพื่อเติมท้องตอนเที่ยงคืนเมื่อคืน หลังจากนั้นก็นอนถึงสิบเอ็ดโมงเช้าถึงจะตื่นต่อมาเฉียนอ้ายเลอก็เปิดประตูเข้าไปในห้อง ตบก้นเธอและดึงผ้าม่านเปิดออกให้หมด แสงแดดส่องจนซ่งเสี่ยวเชียนจำเป็นต้องตื่นขึ้นมาทันที เธอยืนเอามือกอดออก แล้วพูดว่า “ซ่งเสี่ยวเชียน ยังไม่ตื่นอีก เธอรู้ไหมเย่จื่อหยางออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ฉันถามว่าเขาไปไหน เขาบอกว่าไปหาเฉินเฉิน”พูดจบ รอหนึ่งหรือสองวินาที บนเตียงก็เกิดการเคลื่อนไหวทันที ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นอย่างเร็ว สภาพ
"คุณตลกจริง ๆ ตามผมมาเถอะ คุณชายเย่รอคุณนานแล้ว" พูดจบ พนักงานก็รีบเดินไปที่ล็อบบี้ ซ่งเสี่ยวเชียนรีบตามไป รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ "คุณชายเย่ เย่จื่อหยางใช่ไหม?" ซ่งเสี่ยวเชียนทวนคำพูดอีกครั้ง และมีเพียงเย่จื่อหยางเท่านั้นที่คนอื่นเรียกว่าคุณชายเย่ แต่เธอถามอีกประโยค แค่ต้องการยืนยันอีกครั้ง ถ้ารอไม่ถามอะไรเลยรีบตามเข้าไป เข้าไปแล้วพบว่าคนข้างในไม่ใช่เย่จื่อหยาง เหอะๆ เล่นใหญ่กันจริงๆนะ"ใช่" ผู้จัดการพาซ่งเสี่ยวเชียนเข้าไปในลิฟต์และมาถึงชั้นห้า ด้านในเต็มไปด้วยห้องส่วนตัวVIP ในที่สุดเมื่อเลี้ยวตรงมุมก็มาถึงหน้าห้องส่วนตัว ผู้จัดการทําท่าทางเชิญเข้ามาแล้วเปิดประตูให้ซ่งเสี่ยวเชียนเย่จื่อหยางอยู่ข้างในจริง ๆ แต่นอกจากเขาแล้วยังมีคนอื่น ๆ ทุกคนมองซ่งเสี่ยวเชียนด้วยใบหน้าที่จริงจังมองทีละคน และเธอไม่เคยถูกจับตามองแบบนี้มาก่อน ร่างกายของเธอแข็งทื่อและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี แต่เย่จื่อหยางยิ้มให้เธอเล็กน้อยและกวักมือให้เธอเข้ามาซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกอายมากจนเธออยากจะหันหลังกลับและจากไปจริง ๆ เธอบอกว่าจะมาจับคนทรยศนิแล้วทำไมห้องนี้ถึงเต
มองซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้าให้ ลู่เซียงหรงพูดต่ออย่างเต็มใจ "น้องสะใภ้ มา มา มา ดื่มสักแก้ว แล้วค่อยมาบอกเราว่าคุณใช้วิธีอะไรมัดใจเย่จื่อหยาง ในสายตาของเราเขาหัวรั้น ผู้หญิงแบบไหนอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็ไม่หวั่นไหวเลย"ด้วยความเกรงใจก็เทเหล้าขาวให้ซ่งเสี่ยวเชียนหนึ่งแก้ว ถึงจะเป็นแก้วที่เล็กมาก แต่สําหรับคนอย่างซ่งเสี่ยวเชียนที่ดื่มเหล้าไม่ได้นั้น เพียงพอแล้วซ่งเสี่ยวเชียนกลืนน้ำลายรับแก้วเหล้าไว้ แล้วมองไปที่แก้วนั้น มองทุกคนรอบตัวเธอไม่สามารถถอยได้ รีบยกแก้วแล้วดื่มรวดเดียว โดยไม่ชิมแม้แต่นิดเดียวนึกว่าจะไม่รู้สึกอะไร แต่ผลออกมาไม่ถึงวินาทีที่คอของเธอก็แซบ ปากก็แซบ"เผ็ดมาก..." ซ่งเสี่ยวเชียนรีบกรอกน้ำเปล่าลงสองสามแก้วอีกด้านหนึ่งมีชายที่นั่งเงียบๆอีกคนพูดและตบมือว่า "ยอดเยี่ยม! แบบนี้ซิ ฉันถึงจะยอมเรียกพี่สะใภ้ สวัสดีพี่สะใภ้ ฉันชื่อหยางฮ่าว ฉันเป็นเพียงเจ้าของบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ฉันจะแต่งงานกับน้องสาวของพี่เย่และเป็นน้องเขยของเขาอย่างแน่นอน" ฟังน้ำเสียงของหยางฮ่าวก็รู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยเปิดเผย แต่ซ่งเสี่ยวเชียนไม่กล้าเห็นด้
"ฉันบอกเธอว่า อย่ามาก่อกวนภรรยาฉันอีก" น้ำเสียงของเย่จื่อหยางแตกต่างกันเล็กน้อย ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขา "ใครจะรู้ว่าคุณอาจจะพูดเรื่องไรสาระก็ได้คุณมีเทปบันทึกเสียงไหม ไม่แน่อาจจะบอกเธอว่าไม่ต้องรีบร้อน ไม่ช้าก็เร็วจะหย่ากับฉันก็ได้" "พวกเธอแอบพูดอะไรกันที่เนี๋ย? ต้องหวานแว๋วขนาดนี้เลยเหรอ" หยางฮ่าวยังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก และพูดจาโผงผางขึ้นมา ไม่กลัวอาหารในปากพ่นออกมา ซ่งเสี่ยวเชียนรีบเก็บท่าทางของตัวเอง และเตะเข้าที่ขาเขานั่งตัวตรงและไม่กระซิบกับเขาอีกต่อไป เพราะเมื่อกี้เธอดื่มเหล้ามา ตอนนี้หน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว คนที่ดื่มเหล้าไม่เป็นจะหน้าจะแดงง่ายที่สุด หน้าแดงๆ น่ารักมาก หยางฮ่าวหยิบแก้วใหญ่ใบหนึ่งมา รินเหล้าขาวเต็มแก้วลงไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วส่งไปที่หน้าเย่จื่อหยาง "พี่ใหญ่ คุณมีภรรยาแล้วลืมพี่ลืมน้อง เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้นะ ดื่มสักแก้วก่อนแล้วค่อยว่ากัน"เพราะเทเต็มมาก เมื่อส่งมา เหล้าก็เปื้อนมือเย่จื่อหยาง เพราะทิชชู่อยู่ข้างมือของซ่งเสี่ยวเชียน เธอก็หยิบทิชชู่มาเช็ดมือให้เขา ติงฮุ่ยฮุ่ย
"ครูฝึกคนนั้นโหดเหี้ยมจริง ๆ การฝึกที่สบายๆถูกตัดออกหมด ฉันคงไม่ได้แก่ตายแน่" (ฝึกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ฉันอาจไม่มีชีวิตรอดแน่นอน) ตอนนั้นเย่จื่อหยางเดินไปไม่ได้ไกลนัก คือเดินอยู่รอบๆตัวพวกเขา คนอื่น ๆ เห็นเย่จื่อหยางและพร้อมที่จะไม่พูดแล้ว แต่โจวเผิงก็หันหลังให้กับเย่จื่อหยางและพูดต่อไปอย่างกระตือรือร้นที่นั่นว่า "ฉันคิดว่าครูฝึกคนนั้นรู้จักแค่การฝึกเหล่านี้ อะไรก็ไม่เข้าใจ โง่จริงๆ!" (ครูฝึกคนนั้นรู้แค่ฝึกสิ่งเหล่านี้ ไม่เข้าใจอะไรเลย โง่!)ประโยคนี้ถูกเย่จื่อหยางได้ยินพอดี ทุกคนแสดงออกทางสายตาให้โจวเผิงแล้ว แต่โจวเผิงคิดว่าพวกเขาปล่อยให้เขาพูดต่อ กําลังเตรียมที่จะพูดต่อ เย่จื่อหยางก็เดินไปหาโจวเผิงและไอ โจวเผิงตกใจและหันไปดูเห็นว่าเป็นเย่จื่อหยาง ยิ่งกลัวจนเกือบขาอ่อน จึงรีบทําความเคารพและเรียกชื่อครูฝึกเสียงดัง เย่จื่อหยางหัวเราะอย่างเย็นชากับเขา "พูดอะไรน่ะ"โจวเผิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกคิดว่าเย่จื่อหยางคงไม่เข้าใจภาษาฉงชิ่งที่เขาพูด รีบแต่งเรื่องขึ้นมาอย่างโง่เขลา "ตอบครูฝึก! ผมกําลังบอกว่าเป็นเรื่องดีที่ ที่ครูฝึกฝึกเราอย่างเ
"คุณได้ใจมากเกินไปแล้ว คำก็ภรรยา สองคำก็ภรรยา ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีของคุณนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนหมายความว่าอย่างไร เย่จื่อหยางเข้าใจดี แต่คนรอบข้างไม่เข้าใจ นึกว่าเป็นคําสาบานที่สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ของพวกเขา ก็เริ่มงอนอีกแล้วเย่จื่อหยางให้เธอนั่งบนเก็าอี้แล้วหมุนเธอให้มาเผชิญหน้า มือไหนหรอ ก็วางมือลงบนเอวของซ่งเสี่ยวเชียนอย่างสบายๆ ความใกล้ชิดก็มาได้ยังไง ครั้งนี้ซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้ว่าถูกเขาเอาเปรียบมากน้อยแค่ไหนแล้ว แต่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เธอก็ไม่สามารถตะโกนให้เขาเอามือออกไปได้"พอได้แล้ว พวกนายหยุดก่อกวนได้แล้ว ฉันจะถามเรื่องซีเรียสเรื่องหนึ่ง พวกนาย น่ะ รู้กันอยู่แล้วนานแค่ไหนที่ไม่ได้จัดพบปะแบบนี้ อั่งเปาจะห่อใหญ่แค่ไหนกันนะ ฉันตื่นเต้นมาก" หลู่เซียงหรงตบหน้าอกและรับประกันหัวหน้าต้องมีความเป็นหัวหน้า นับประสาอะไรกับพี่น้องของเขา เย่จื่อหยางกับเขาคบกันมาสิบกว่าปี อั่งเปาของเขาก็ต้องห่อใบใหญ่ที่สุด คํานวณว่าตอนที่เขาแต่งงานเมื่อหลายปีก่อน เย่จื่อหยางใส่อั่งเปาไปไม่น้อย และต้องถึงเวลาที่
ซ่งเสี่ยวเชียนยิ่งจูบยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงผลักเย่จื่อหยางออกทันที เช็ดน้ำลาย เป็นหมาป่าหื่นกามจริง ๆ เดิมทีก็เอาเปรียบเธอมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะกัดและแย่งจูบเธออีกเหรอ เธอเตะเข่าของเย่จื่อหยางอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งเย่จื่อหยางก็ถูกเธอเตะเข้าอย่างจัง ถ้าเปลี่ยนเป็นศัตรูที่โจมตีเขา เย่จื่อหยางไม่เพียงแต่จะหลบได้ แต่ยังใช้แค่สองหรือสามกระบวนท่าก็สามารถปราบอีกฝ่ายลงได้ แต่ตอนนี้คนที่โจมตีเขาคือซ่งเสี่ยวเชียน รู้ทั้งรู้ว่าหลบได้ แต่ก็ต้องใจไม่หลบ เขาเรียกว่าการยอมแพ้ที่สมศักดิ์ศรีแต่เย่จื่อหยางดีใจมากจริงๆที่ถูกตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกซ่งเสี่ยวเชียนตี ตีคือจูบ ด่าคือรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจูบเธอเมื่อกี้เธอก็ไม่ได้ต่อต้านมากนัก นี่ไม่ได้หมายความว่าซ่งเสี่ยวเชียนจริง ๆ แล้ว...เพื่อที่จะออกห่างจากเย่จื่อหยางจอมลามก ซ่งเสี่ยวเชียนได้ย้ายตําแหน่งไปข้างติงฮุ่ยฮุ่ย ติงฮุ่ยฮุ่ยทําหน้าว่าฉันเข้าใจสีหน้าของคุณและกระซิบกับเธอว่า "ตอนที่ฉันกับสามีครั้งแรกก็เป็นแบบนี้ ใจร้อนมาก ฉันแทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว"ติงฮุ่ยฮุ่ยพูดแบบนี้ก็ไม่หน้าแดง กลับทําหน้าจริงจังมาก
เย่จื่อหยางทําหน้าไม่เต็มใจ แต่ถูกพลังมหาศาลของซ่งเสี่ยวเชียนดึงออกจากบ้านแล้วปิดประตู ซ่งเสี่ยวเชียนหมดแรงพิงกําแพงทันที เย่จื่อหยางมองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่ไม่มีแรงแล้ว เกือบจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า "ตอนนี้เราถูกไล่ออกจากบ้านของเราแล้ว คุณจะให้เราไปนอนที่ไหน"ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเขาแวบหนึ่ง "เกี่ยวอะไรกับฉันย่ะ!" อย่างน้อยเธอก็ยังมีบ้านเดิมให้กลับไปได้ ตอนนี้เห็นเย่จื่อหยางก็รู้สึกโมโม เธอจึงหัวแล้วเดินจากไปเยจื่อหยางจะปล่อยเธอไปได้ยังไง ดึงข้อมือของเธอและดึงเธอกลับมา ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธมากและตะโกนว่า "ในเมื่อเป็นการแสดงแล้ว ที่นี้ก็คิดซะว่าจะเป็นคนไม่รู้ซะ! ทําไมยังมาทำให้ยุ่งเหยิงอีก คุณไปหาเฉินเฉินนางจิ้งจอกของคุณ ฉันจะกลับบ้านแม่คนเดียวเอง"เย่จื่อหยางรู้สึกตลก "ตลกล่ะ! ไม่ได้แน่นอน เธอเป็นภรรยาของฉัน วิ่งกลับบ้านตลอด 3 วัน แบบนี้จะได้ยังไง" ซ่งเสี่ยวเชียนถูกเขาจับข้อมือไว้ เธอพยายามดิ้นรนอย่างหนัก เหมือนแรงเด็กเพิ่งกินนม ไม่เหมือนกับปกติที่ผลักเข้าผลักออกเลย เย่จื่อหยางกลัวว่าจะทําให้เธอเจ็บ ดังนั้นซ่งเสี่ยวเชียนจึงดิ้นหลุดจริง ๆ แ
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"