เฉินเฉินเดินไปที่อ่างล้างมือ แล้วยื่นมือไปล้างมือ เงยหน้ามองตัวเองในกระจก ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ รู้สึกว่ามารยาทของเธอไม่มีปัญหาแล้ว จึงหันมามองซ่งเสี่ยวเชียน
"คุณก็อยู่ที่โรงพยาบาลนี้เหรอ" เฉินเฉินถามแบบขอไปที
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน เฉินเฉินบังเอิญหรือจงใจมาทํางานที่โรงพยาบาลเดียวกับเธอกันแน่
ไม่ได้ ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนมีข้อมูลเกี่ยวกับเฉินเฉินน้อยเกินไป ที่บอกว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ซ่งเสี่ยวเชียนตัดสินใจที่จะไปรวบรวมข้อมูลของเฉินเฉินคนนี้ก่อน แล้วค่อยต่อสู้กับเธอ! เธอรีบเก็บเครื่องสําอางบนอ่างล้างมือให้เรียบร้อย ขณะที่กําลังจะไป เฉินเฉินก็พูดอีกครั้ง
"รอยคล้ำหนาขนาดนี้ ทาคอนซีลเลอร์เยอะแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ทําไม เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเหรอ" เฉินเฉินยังคงมองซ่งเสี่ยวเชียนในกระจก ซ่งเสี่ยวเชียนมองแววตาที่อธิบายไม่ได้ของเธอ เกรงว่าในใจจะพูดว่า เมื่อคืนคุณทําอะไรกับเย่จื่อหยาง
ซ่งเสี่ยวเชียนสงบลงสักหน่อย ก็นะตอนนี้คนที่แต่งงานกับเย่จื่อหยางก็คือเธอนะ คนที่อาศัยอยู่ในบ้านของเย่จื่อหยางก็คือเธอ ถ้าไม่พอใจ คนที่ไม่พอใจที่สุดก็คือเฉินเฉิน ซ่งเสี่ยวเชียนกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจมากในทันที
เธอจ้องมองเฉินเฉินผ่านกระจก ดวงตาคู่นั้นของเฉินเฉินสวยจนละสายตาไม่ได้จริง ๆ ถ้าเลิกคิ้วให้ผู้ชายและกะพริบตาทีละครั้ง ก็จะตกหลุมพรางได้ทันที เย่จื่อหยางไม่ชอบ นั่นคงเป็นเรื่องแปลก
ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่า ตอนนี้จะตอบอย่างไรก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่ตอบก็ดูยอมให้เกินไป เลยตอบอย่างเล่นแง่ไป "เดาสิ?"
คราวนี้เปลี่ยนเฉินเฉินตกตะลึง ในใจของซ่งเสี่ยวเชียนมีความสุขเล็กน้อย ยังไม่ถือว่าแพ้อย่างน่าเกลียดเกินไป เธอยิ้มแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป
ในตอนเที่ยง บรรยากาศที่อึมครึมของทั้งสองคนกำลังวนเวียนอยู่ในโรงอาหารของโรงพยาบาล เฉินเฉินนั่งกินข้าวอยู่ข้างหนึ่ง และซ่งเสี่ยวเชียนนั่งอีกด้านหนึ่ง ระยะห่างระหว่างที่นั่งสี่หรือห้าแถว แต่ทุกคนที่เพิ่งเดินเข้าไปในโรงอาหารสามารถรู้สึกถึงสาตาอาฆาตที่ปล่อยออกมาจากพวกเขาสองคน
บังเอิญเมื่อเย่จื่อหยางโทรหาซ่งเสี่ยวเชียน เมื่อซ่งเสี่ยวเชียนมองสายเรียกเข้า เธอตกใจเล็กน้อย เพราะเขาโทรมาในเวลานี้ และไม่ไกลนักมีสายตาอาฆาตจ้องมองเธอตลอดเวลา
ซ่งเสี่ยวเชียนไอแล้วกําลังใจตัวเอง ทําไมต้องทําตัวเหมือนเป็นโจร เธอเป็นภรรยาของเขา ภรรยาที่แท้จริง!
"ซ่งเสี่ยวเชียน คุณเอาเนคไททั้งหมดของผมไปไหน" พอรับโทรศัพท์ เย่จื่อหยางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ตั้งคําถาม มันเป็นเสียงที่เหมือนกับตอนที่เขาอ่อนโยนกับเธอก่อนหน้านี้ ซ่งเสี่ยวเชียนอยากด่าจริง ๆ ว่าเนคไทของคุณหายไปมันเกี่ยวอะไรกับฉัน
ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณวางมันไว้ที่ไหนคุณคิดว่าฉันเป็นแม่บ้านของคุณแล้วจริงๆใช่ไหม
แต่เมื่อซ่งเสี่ยวเชียนเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเฉินเฉินจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตาจากฝั่งตรงข้าม ซ่งเสี่ยวเชียนกัดฟันและตอบอย่างอ่อนโยนว่า "จื่อหยาง ฉันกินแล้ว คุณไม่ต้องกังวลนะ"
อะไรนิ? เย่จื่อหยางกําลังมองหาเนคไทของเขาที่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ แต่ซ่งเสี่ยวเชียนใช้น้ำเสียงแบบนี้เพื่อตอบประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องเลย เย่จื่อหยางตกตะลึงทันทีและคิดว่าเขาโทรผิด หยิบโทรศัพท์ออกมาดูว่าโทรศัพท์ถูกไหม
"ซ่งเสี่ยวเชียน ทําบ้าอะไรของเธอ!" เย่จื่อหยางตอบกลับ
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ฉันรู้แล้ว ฉันจะกินให้อิ่มแน่ๆ อุ๊ย คุณอย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็กเลยสิ ไม่พูดแล้ว เดี๋ยวสักแปปฉันมีงาน วางล่ะน่ะ จุ๊บๆ" ซ่งเสี่ยวเชียนยังจูบโทรศัพท์และวางสาย เธอเองก็รู้สึกคลื่นไส้ตัวเองจนตัวสั่นและโยนมือถือทิ้งไป
จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเฉินเฉินที่อยู่ตรงข้าม แม้ว่าซ่งเสี่ยวเชียนจะอดทนอย่างสุดความสามารถ แต่ซ่งเสี่ยวเชียนก็ยังสามารถเห็นเปลวไฟที่กําลังจะระเบิดในสายตาของเธอ ครั้งนี้ถือว่าสมองของเธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและก็มหน้าก็มตากินต่อ
เมื่อกลับถึงบ้านในตอนกลางคืน ซ่งเสี่ยวเชียนก็ได้ยินเสียงดังของเจียงจิ่งเฟิงพูดว่า "ฉันลืมเอาเนคไทมาด้วย ดังนั้นฉันก็เลยยืมมาใช้ก่อน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะจับคู่ยังไง ฉันก็เลยเอามาทั้งหมดเลย ตอนนี้คืนให้นาย!"
อ๋อ ที่แท้เนคไทถูกเจียงจิ่งเฟิงยืมไปนี่เอง ไปงานอะไรมา ซ่งเสี่ยวเชียนจ้องมองเย่จื่อหยางแล้วมองด้วยสายตาว่า ดูสิ คุณทำผิดกับฉัน
"ไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลอะไร ของของฉัน พวกคุณไม่มีสิทธิ์แตะต้อง!" เย่จื่อหยางชี้ไปที่จมูกของเจียงจิ่งเฟิงและพูด แล้วชี้ไปที่ซ่งเสี่ยวเชียน ซ่งเสี่ยวเชียนรู้ว่าเขาเป็นคนรักความสะอาดยังไม่นาน แต่ก็ถือว่าเข้าใจได้และยักไหล่
เย่จื่อหยางครวญคราง หยิบเน็คไทเหล่านั้นขึ้นมา มองดูอย่างรังเกียจแล้วก็โยนลงถังขยะ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดว่า "คุณยังวิตถารจริง ๆ ไม่ใช่แค่คนอื่นยืมไปใช้แค่แปปเดียวเองหรอ จําเป็นต้องทิ้งทั้งหมดไหม"
เย่จื่อหยางหันไปมองซ่งเสี่ยวเชียน "ตอนนี้เข้าใจอารมณ์ของฉันแล้วใช่ไหม ต่อไปต้องเอาใจฉันให้ดี!"
พูดพลางเข้าไปในห้องนอนแล้วล็อกประตูอีก ขังตัวเองอยู่ข้างใน ตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงงงประโยคที่เขาเพิ่งพูดไว้ แต่เจียงจิ่งเฟิงกลับยิ้มและตบไหล่ของซ่งเสี่ยวเชียน "โอ้ คุณผู้ชายคนนี้ เอาใจยากนะ"
แม้ว่านิสัยอารมณ์ของเย่จื่อหยางกําลังเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ แต่นิสัยที่ติดตัวมานานหลายสิบปีจะเปลี่ยนไปได้ง่ายๆอย่างไร บางทีก็ยังโวยวาย อารมณ์เสีย เหมือนกับเด็กๆ พูดๆไปแล้วก็ผ่านเลยไป
เวลากินข้าวตอนกลางคืน ยังไม่ใช่ของกินที่ควรกิน เครื่องดื่มที่ควรดื่ม รังแกซ่งเสี่ยวเชียนอย่างไรก็รังแกเธออย่างนั้น
คืนนี้เย่จื่อซินยกตะกร้าผลไม้ใบใหญ่ขึ้นมา ข้างในมีทุกอย่าง ตะวันตก ตะวันออกผสมกันทั้งหมด ยกแทบไม่ไหวเมื่อมาถึงประตูบ้านของเย่จื่อหยางและหายใจเข้าลึก ๆ ตอนนี้เธอมาที่นี่เพื่อสอดแนมสถานการณ์
ตั้งแต่เด็ก เย่จื่อซินและเฉินเฉินสนิทกัน อายุก็ใกล้เคียงกัน เป็นเพื่อนสนิทที่ดีกันมาสิบกว่าปีแล้ว เฟยเฉินเฉินผู้สมัครพี่สะใภ้คนเดียวในใจของเย่จื่อซิน ก่อนหน้านี้เย่จื่อซินคิดเสมอว่าพี่ชายของเธอไม่อยากแต่งงาน เพื่อที่จะรอพี่เฉินกลับประเทศแล้วแต่งงานกับเธอ
ไม่คาดคิด ซ่งเสี่ยวเชียนโผล่มาอย่างกะทันหัน เจอกันครั้งแรกก็บอกให้เรียกพี่สะใภ้ เธอยังไม่เชื่อเลย แต่หลังจากนนั้นพาไปเจอครอบครัว เจอคุณพ่อ จะไม่เชื่อได้หรอ
แต่เย่จื่อซินรู้สึกเสียใจกับเฉินเฉินจริง ๆ พี่ชายของเธอเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมแค่ไหนเธอรู้ดี แม้ว่าการสูบบุหรี่และดื่มเหล้า แต่ก็มีขีดจํากัด ไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้าแล้วยังเป็นผู้ชายไหม แล้วยังเป็นทหารอีก เกิดมาพร้อมกับนิสัยที่พิเศษเช่นนั้น และเขาก็โดดเด่นที่สุดในบรรดาฝูงชนอีก
พี่เธอเรียกว่า ต้องการชาติตระกูลมีชาติตระกูล ต้องการหน้าตามีหน้าตา มีความสามารถ อยู่ในกองทัพไม่มีใครเทียบติด
จะพูดถึงข้อเสีย ก็คืออารมณ์อึมครึมมากขึ้นทุกปี นับวันยิ่งเงียบลงเรื่อย ๆ ยิ่งเมื่อคุณแม่เสียชีวิตไปเขายิ่งเย็นชาขึ้นไปอีก แต่ความเงียบก็เป็นเสน่ห์ของผู้ชายอย่างหนึ่งนะ
ดังนั้นเย่จื่อซินจึงชื่นชมพี่ชายของเธอเป็นพิเศษ หากไม่ใช่เพราะเธอและเย่จื่อหยางมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน เธอคงจะแต่งงานกับเย่จื่อหยางอย่างแน่นอน
!!
กลับมาพูดต่อ วันนี้เฉินเฉินโทรหาเย่จื่อซินและถามเธอว่า เธออยากให้ฉันจะเป็นพี่สะใภ้หรือเป็นผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น แน่นอนว่าเย่จื่อซินตอบว่าหวังว่าพี่เฉินจะเป็นพี่สะใภ้ของฉันดังนั้น เฉินเฉินและเย่จื่อซินได้จัดตั้งแนวร่วม สงครามครั้งแรกยังไม่ได้เริ่ม แต่ก็ต้องสอดแนมสถานการณ์ทางทหารก่อน เย่จื่อซินยืนอยู่ที่ประตูและหายใจเข้าลึก ๆ และกำลังที่จะกดกริ่งประตู แต่ก็คิดได้ว่าเธอมีกุญแจบ้านของเย่จื่อหยาง ก่อนหน้านี้เธออ้อนวอนนานกว่าที่เย่จื่อหยางจึงให้เธอเธอหยิบออกมาอย่างมีความสุขแล้วเปิดประตู จริง ๆ แล้วเธอจินตนาการถึงฉากมากมายที่เธอจะเห็นเมื่อเข้าบ้าน เช่น แม้ว่าพี่ชายของเธอและซ่งเสี่ยวเชียนจะกินข้าวด้วยกัน แต่ก็ไม่มีอะไรคุยกัน พี่ชายของเธอยิ่งมีสีหน้าเฉยเมย หรือพี่ชายของเธอไม่กินข้าวกับซ่งเสี่ยวเชียน เขากินข้าวคนเดียว ยังไงก็แล้วแต่คิดแต่เรื่องที่ไม่ดีเพราะเย่จื่อซินคิดเสมอว่า พี่ชายของเธอคงไม่ชอบซ่งเสี่ยวเชียนจริงๆการแต่งงานก็เป็นไปตามความต้องการของปู่คุณย่าและคุณพ่อใช่ไหมแต่ทันทีที่เปิดประตู ทันทีที่เข้ามา มองเข้าไปในบ้าน บรรยากาศในบ้าน แสงไฟที่สว่าง บรรยากาศ
"พี่เฉิน ฉันคิดว่าครั้งนี้อ่ะ พี่เค้าเอาเหมือนจะเอาจริง ถ้าไม่ใช่ว่าฉันเห็นกับตาตัวเอง ตีให้ตายยังไงฉันก็ไม่เชื่อเลย" จนถึงตอนนี้เย่จื่อซินยังคงไม่ลืมภาพที่เพิ่งเห็นที่บ้านของเย่จื่อหยาง"เธอเห็นอะไร เห็นพี่ชายของเธอจูบผู้หญิงคนนั้นเหรอ นิมันไม่ใช่เรื่องที่จะเอะอะโวยวายนะ คุณลุงและคุณปู่คุณย่า หวังว่าพี่ของเธอจะมีลูกไม่ใช่หรอ สิ่งที่ฉันสนใจคือ เย่จื่อหยางจริงใจกับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า"เฉินเฉินรีบร้อนแล้ว ไม่รีบได้ไหมล่ะ เดิมทีเธอเธอกลับมาในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือกลับมาแต่งงานกับเย่จื่อหยาง แต่แค่ไม่ได้ติดต่อกับเขามานานกว่าหนึ่งปี เขาก็หาผู้หญิงคนอื่นมาแต่งงานแล้ว สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อเฉินเฉินเป็นอย่างมากมาก มีเพียงเธอเท่านั้นรู้อยู่ในใจ และแต่ตอนนี้ ท่าทีของเย่จื่อซินทําให้เธอมองไม่เห็นอนาคตเลย เธอยิ่งร้อนใจมากขึ้น ทุกอย่างสายเกินไปจริง ๆ เหรอเย่จื่อซินประหลาดใจเล็กน้อยกับประโยคที่เธอเพิ่งพูด "พี่เฉิน หรือว่าในสายตาของพี่ คิดว่าพี่ชายของฉันจะมีความสัมพันธ์แบบไหนกับผู้หญิงคนอื่นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้งั้นหรอ"  
การแสดงออกทางสีหน้าของเย่จื่อหยางนั้นทั้งโมโห ทั้งสบสน ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่าเขาคงจะโกรธมาก แต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าแล้ว นี่จะแสดงละครหรอ เย่จื่อหยางจําได้ว่าเขายังไม่ได้สารภาพรักเลย ยังไม่ได้บอกซ่งเสี่ยวเชียนว่าเขาดูเหมือนจะชอบเธอแล้ว ถ้าเขาพูดคําเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล ซ่งเสี่ยวเชียนจะรู้สึกไม่เข้าใจใช่ไหมไฟในใจของเขาดับลงทันที คําสารภาพเป็นงานทางเทคนิค เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องเตรียมอะไรเลย ถ้าตอนนี้เขาพูดว่า ฉันชอบเธอ! ดังนั้น อย่าจะไม่อย่ากับเธอ แบบนี้ใช่ไหม ไม่แน่ว่าอาจจะทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนอาจกลัวจนหนีไปนี่ยังต้องวางแผนอีกยาวดังนั้น เย่จื่อหยางจึงกลับไปนั่งบนเก็าอี้อีกครั้ง และพูดอีกประโยคหนึ่งว่า "ฉันรู้แล้ว"ซ่งเสี่ยวเชียนด่าในใจว่า คุณรู้กับผีนะซิ เขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ถูกคนจ้องมองในโรงพยาบาลทุกวันเหมือนกําลังจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ได้ไหม เธอกระทืบเท้าด้วยความโกรธ อยากจะเอื้อมมือไปบีบคอเขาจนตายจริง ๆแต่เดี๋ยวนะประโยคนี้ ฉันรู้แล้ว ความหมายเหมือน
บ้านแม่และบ้านสามีอยู่คนละเมือง มันมีประโยชน์มากนะ อย่างเช่นตอนนี้ หนีออกจากบ้านแล้ว ไม่ต้องวิ่งไปพักที่โรงแรม เธอสามารถกลับมาพักบ้านที่แสนจะอบอุ่น กินอาหารที่พ่อแม่ทํา นอนบนที่นอนเล็ก ๆ ที่เธอแสนจะคุ้นเคยลองคิดดูสิ ซ่งเสี่ยวเชียนแทบรอไม่ไหวแล้ว เธอควรกลับไปบ้านของเธอตั้งนานแล้ว ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่บ้านหลังนั้น และต้องทนรับความอารมณ์โกรธเหมือนพายุโหมกระหน่ำทุกวัน ที่สําคัญที่สุด ผลของความทุกข์นี้ ไม่มีค่าอะไรเลย เธอเหมือนตัวคนเดียวมีสิทธิ์อะไร ซ่งเสี่ยวเชียนโกรธจัดและขึ้นรถบัสด้วยสภาพร่างกายที่ไม่พอใจ เมื่อลงจากรถบัสที่ป้ายหน้าชุมชนและเพิ่งเดินเข้าไปในชุมชน จะมีจัตุรัสเล็กๆและเหล่าป้าๆจะพากันเต้นรำกันยามเย็น ก็ไม่รู้ว่าพวกป้าตาดีหรือยังไงพอซ่งเสี่ยวเชียนปรากฏตัว ก็มีคนสังเกตเห็นเธอแล้ว พอเห็นเธอก็วิ่งเข้ามา จับมือเธอแล้วไม่ปล่อย "โอ้ หนูใช่เพื่อนสาวของตระกูลซ่งที่อยู่บนชั้นหกไม่ใช่หรอหนูไม่ใช่แต่งงานเข้าตระกูลเย่แล้วหรอ ทำไมตอนนี้กลับมาบ้านล่ะแล้วสามีของหนูล่ะ ไม่ได้มากับหนูเหรอ"ซ่งเสี่ยวเชียนอ้ำอึ้งมาสักพัก ไม่รู้จะตอบยังไง แม้ว่าป้าในชุมชนนี้จะคุ้น
เงยคางขึ้นแล้วพูดว่า "คุณมาที่นี่ได้ยังไง" เย่จื่อหยางมองไปที่พ่อซ่งและแม่ซ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของซ่งเสี่ยวเชียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และปิดประตู พอเย่จื่อหยางเข้ามา ห้องเล็ก ๆ นี้ก็ดูเหมือนห้องจะเล็กกว่าเดิม สาเหตุอาจเป็นเพราะเย่จื่อหยางสูงเกินไป"เธออยากทําให้เรื่องของเราเป็นเรื่องใหญ่ จนแม้แต่พ่อแม่เธอก็รู้เหรอ ตอนนี้พ่อแม่ของเธอดีใจมากที่เธอแต่งงานกับฉัน เธออยากให้พวกเขารู้ความจริง แล้วโกรธพวกเราจนตายหรอ”"เหอะ! ฉันเห็นว่าคุณกําลังคิดเพื่อตัวคุณเองมั้ง ให้พ่อแม่ของฉันรู้ว่าจุดประสงค์ของการแต่งงานของคุณไม่บริสุทธิ์ พ่อแม่ของฉันจะคิดว่าคุณเป็นคนหลอกหลวงและเกลียดคุณ คุณไม่อยากให้พ่อแม่ของฉันรู้ คุณแค่อยากรักษาภาพลักษณ์ของผู้ชายที่ดีที่จอมปลอมของคุณใช่ไหมซ่งเสี่ยวเชียนพูดอย่างโมโห เย่จื่อหยางไม่ตีผู้หญิง ถ้าเขาอดทนหรือทำอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือเป็นไอ้สารเลวสักหน่อย เขาก็คงจะชกสักหมัดแต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นสุภาพบุรุษ"รีบตามฉันกลับบ้าน ทะเลาะกันแบบนี้ เธอมีความสุขมากหรอ เดิมทีเธอก็ไร้เหตุผ
ตอนนี้แค่คิดในใจว่า ถ้าเย่จื่อหยางแยกจากเธอ และฉีกกระดาษแผ่นนั้นระหว่างพวกเขา ในใจเธอต้องรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากถึงแม้จะไม่เจ็บปวดจนถึงสุดขั้วหัวใจ แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่ดี ก็คิดในใจว่าอย่าปล่อยมือ ไม่อนุญาตให้เขาจากไปซ่งเสี่ยวเชียนขยี้ผมตัวเองและกลายเป็นเล้าไก่ไปแล้ว เฮ้อ นั่นไม่ใช่ประโยคที่ว่า ใครชอบก่อนคนนั้นก็แพ้ ซ่งเสี่ยวเชียนไม่อยากแพ้หรอก เธอต้องชนะสิ เธอจะจับเย่จื่อหยางไว้ในมือให้แน่น อย่าให้เขาหนีไปได้"กินก๋วยเตี๋ยว!" ในขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในสมอง เสียงของเย่จื่อหยางก็ดังขึ้นและมีน้ำเสียงตำหนิเล็กน้อยบอกให้เธอกินมากินข้าว ทันทีที่ซ่งเสี่ยวเชียนหันไปก็เห็นเขาวางชามเล็ก ๆ ไว้บนโต๊ะ ดวงตาของเขามองไปที่เธอแล้วมองไปที่ชามก๋วยเตี๋ยวนั้นหมายความว่า ลุกขึ้นมากินก๋วยเตี๋ยวซ่งเสี่ยวเชียนจิบปาก ไม่รู้จักเรียกเธอกินข้าวอย่างอ่อนโยนหรือไง เธอลุกขึ้นนั่งแล้วเดินไปที่โต๊ะเล็ก ๆ นั้น เย่จื่อหยางปิดประตูและนั่งข้างเตียงของเธอ เฮ้ ห้องนี้เล็กมาก แม้แต่ม้านั่งส่วนเกินก็ไม่มี เย่จื่อหยางนั่ง
จากนั้น ในใจเขาก็มีแรงกระตุ้นอยากจะไปกอดเธอ เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องอดทนแล้ว อยากกอดก็กอดสิ ลุกขึ้น นอนอยู่ข้างซ่งเสี่ยวเชียนทันทีเตียงเก่าส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แต่เหมือนจะฝืนรั้งไว้ ซ่งเสี่ยวเชียนตกใจจนทําให้วิญญาณเกือบจะออกจากร่าง ผลักเขาออก ผู้ชายคนนี้จู่ๆก็นอนอยู่ที่นี่ทำไม"คุณ คุณทําอะไร!"เย่จื่อหยางยกแขนยาวและโอบกอดไหล่ของเธอแล้วลากเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ซ่งเสี่ยวเชียนต่อต้านก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ได้แต่อยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง จริง ๆ แล้วการถูกเขากอดไว้แบบนี้ก็ไม่แย่ เต็มไปด้วยกลิ่นของเย่จื่อหยาง กลิ่นที่พิเศษนั้น ทําให้เธอไม่รังเกลียด ทําให้เธอเบิกบานใจช่างเถอะ ให้เขากอดไปเถอะ แค่กอดนั้นเอง ก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไร ก็ไม่อยากไปถามเขาว่าจะมากอดเธอทำไมด้วย ยังไงในหัวของผู้ชายก็ไม่เคยแสร้งอะไรที่บริสุทธิ์อยู่แล้วแต่ถ้าเขาได้คืบจะเอาศอก ก็เตะออกจากเตียงเย่จื่อหยางกอดเธอ และรู้สึกว่าพอใจแล้ว คืนก่อนถูกซ่งเสี่ยวเชียนกอดระหว่างนอนหลับ ทําให้เขาปรับตัวให้เข้ากับการนอนที่มีคนอื่นในตอนกลางคืน ตอนนี้รู้สึกว่าตอนกลางค
แต่รําคาญก็ส่วนรำคาญ พวกเขาคุยกันได้ขนาดนี้หรอเลย ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนแน่ใจมากขึ้นเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เย่จื่อหยางเป็นคนของเธอ ไม่ว่าจะพูดถึงเย่จื่อหยางยังไง จากปากของพวกเขา นั้นคือสามีของซ่งเสี่ยวเชียน ในใจก็รู้สึกชนะแบบใครไม่สามารถเปรียบได้ คำพูดนั้นว่ายังไงนะ? ผู้หญิงมีความเป็นเจ้าของไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ซ่งเสี่ยวเชียนหลงรักเย่จื่อหยางแล้วซ่งเสี่ยวเชียนฝึกงานในโรงพยาบาลมาสองเกือบสามเดือนแล้วและสามารถสังเกตการผ่าตัดได้แล้ว ในตอนเช้า ผู้อำนวยการเฉินได้จัดการผ่าตัดให้ซ่งเสี่ยวเชียนตรวจดู ผู้ป่วยมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและเป็นเพียงการผ่าตัดบายพาสหัวใจแบบธรรมดาถึงแม้จะมีความเสี่ยงแต่ขอเพียงเป็นศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ อัตราความสำเร็จจะอยู่ที่ 100% ครึ่งหนึ่งของโรงพยาบาลของรัฐแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นด้วยทุนทางทหาร ศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์หลายคนจบการศึกษาจากแพทย์ทหารและโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นทหาร ซ่งเสี่ยวเชียนบางครั้งก็รู้สึกว่าไม่เข้ากันและปรับตัวไม่ค่อยได้แต่เมื่อได้รู้จักกับแพทย์ทหารเหล่านี้ ยังไม่มีใค
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"