ถึงจะหล่อเหลาเอาเรื่อง เสน่ห์เหลือล้นพอจะดึงดูดใครก็ตาม แต่ความลับน่าอับอายของมิวหนุ่มวัย 24 คือ ‘การแข็งตัว’ ข้อบกพร่องร้ายแรงที่ทำให้เขาไม่อาจสัมพันธุ์ทางกายกับใคร จนกระทั่งการมาถึงของปีศาจแห่งราคะ
View Moreในห้องสี่เหลี่ยมทึบทั้งสี่ด้านไม่มีอะไรให้สังเกตสังกา โดยเฉพาะในช่วงเวลาอันเหนื่อยอ่อนเช่นนี้ เด็กหนุ่มลอบมองไปยังใบหน้าขาวผุดผ่องภายใต้เรือนผมสีทอง เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าข้างในจิตใจของคิวปิดตรงหน้าอยู่นั้น มีความเป็นปีศาจหรือเทวดามากกว่ากัน “เลอะเทอะกว่าที่คิดไว้สักหน่อย” เอสันใช้แรงมหาศาลที่ขัดกับรูปลักษณ์ของตัวเอง ยกเก้าอี้ขึ้นมาตั้งเพื่อให้มิวนั่ง หลังมองเห็นขาเรียวบางของมนุษย์หนุ่มสั่นงันงกแทบยืนไม่ไหว “แต่ก็หวังว่านายจะไม่ได้รับพลังของฉันจนมากเกินไปนะ” “หมายความว่าไง?” มิวถามห้วนๆ หลังพักสะโพกลงบนเก้าอี้บุหนัง จิตใจของเด็กหนุ่มสงบลงหลังเสร็จกิจกามฉบับเร่งด่วน เขามีเวลาได้พักผ่อนร่างนิดหน่อย ถึงกุญแจมือจะเริ่มบาดข้อมือมากขึ้นก็ตาม “ก็ตอนนี้ในตัวนายมีอะไรต่อมิอะไรผสมกันยุ่งเหยิงไปหมด ขืนนายรับเวทมนตร์เล่นงานมั่วซั่วเข้าไปจนเกินพอดี มีหวังนายอาจจะเสียตัวตนไปตลอดกาลก็ได้” เมื่อเห็นแววตาช่างสงสัยของมิว เอสันจึงขยายความต่อสั้นๆ “หมายถึงวิกลจริต” มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย สีหน้าของมิวซีดเผือด หางคิ้วและดวงตาลู่ต่ำ ในหัวพยายามจับคู่ใบหน้ากับ
นิ้วมือทั้งสิบของเอสันถูกปกคลุมด้วยเมือกเหลวโดยสมบูรณ์ เมื่อการกระตุกครั้งสุดท้ายสงบนิ่ง กามเทพผู้กระหายก็ปลดปล่อยอีกร่างให้เป็นอิสระ นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด… ทว่ากลับเป็นการเริ่มสู่บทใหม่ที่เร้าใจยิ่งกว่า ท่าทีกระเสือกกระสนด้วยความเสียวซ่านของมิว ปลุกชีพเทวดาน้อยตัวใหญ่ที่สิงสถิตอยู่ระหว่างขาของเอสัน ให้ชูชันพร้อมสำหรับบรรเลงท่วงทำนองการโหมโรง “ฉันถลำลึกเกินไปแล้ว” เอสันบ่นกับตัวเอง เขาทั้งรู้ตัวเองดีและขลาดเขลาไปพร้อมกัน ทุกอย่างในความนึกคิดถูกไฟแห่งความคลุมเครือแผดเผาจนเหลือแต่ตอตะโก “ฉันควรแค่นี้หรือเปล่า” “แล้วมีอะไรให้นายทำอีกหรือยังไง” มิวถามด้วยดวงตาใสซื่อ “ถ้าฉันอยากทำมากกว่านี้ล่ะ” คิวปิดฉายแววเจ้าเล่ห์ผ่านทางคำพูด พลางกดหลังของมิวให้แอ่นโค้ง และยกสะโพกให้เด้งสูง “ยังไงซะ! ก็หวังว่านายจะชอบของขวัญที่ฉันกำลังจะมอบให้นะ” สำหรับมิวของขวัญจากเทพไม่เคยเป็นเรื่องดี รวมถึงในสถานการณ์แสนหมิ่นเหม่ในครั้งนี้เช่นกัน ถึงอยากจะปฏิเสธหรือแข็งขืน แต่ผลลัพธ์คงออกมาไม่ต่างกัน ศาสตราแห่งเทพชูชันแข็งโด่อย่างเต
เมื่อโดนทักท้วงถึงความรู้สึกที่ถูกละเลย มิวรู้จึงเริ่มรู้ตัวถึงของเหลวที่ไหลซึมผ่านรอยแยกจากด้านหลัง มันพรั่งพรูออกมาไม่ต่างจากด้านหน้า เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรวิตกกังวลกับเหตุการณ์นี้แล้วหรือยัง “เมล็ดพันธุ์คงกำลังกระตุ้นนายอยู่” เอสันพูดพลาง แสยะยิ้มที่ไม่อาจอ่านความหมาย ใบหน้าเคลือบแฝงความบริสุทธิ์และความร้ายกาจไปพร้อมกัน “ไม่ใช่เลือดหรืออะไรที่เลวร้ายใช่ไหม?” มิวลดคิ้วลงต่ำ พยายามก้มมองลงไปยังหว่างขาที่เปียกโชก แต่ก็ติดโซ่เย็นยะเยือกตรึงร่างเอาไว้ “มันก็แค่น้ำใสๆ เผื่อนายอยากรู้” หมอกจางๆสีสวยยังคงครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบให้โอบล้อมด้วยเสน่หา คิวปิดผู้ร่วมชะตากรรมลุกขึ้นยืน สาวเท้าก้าวเล็กๆ เข้าไปในวงเวทย์รูปดาว ดวงตาดุจดวงดาราในห้วงอวกาศจับจ้องไปยังใบหน้าขวยเขินของเด็กหนุ่ม “นายเป็นผู้โอบอุ้ม… น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าเมล็ดพันธุ์ต้องการอะไร” พูดพลางเอสันก็ยื่นมือจับไปยังแท่งไฟที่ยังแข็งอยู่กลางลำตัวของมิว “เกสรไม้ย่อมมีน้ำหวานเพื่อล่อหลอกให้แมลงเข้ามาเชยชม ถึงจะได้ดอกผลอันงดงาม” “ฮะ… อึก…” มิวย่นคิ้วใบหน้าเหยเก
นอกเหนือจากรสสัมผัสทางการมองเห็นจะน่าหลงใหล กลิ่นแก่นร่างกายของเอสันยังชวนให้มิวเคลิบเคลิ้ม จนเขาอดคิดถึงขนมเพิ่งอบใหม่ๆไปเสียไม่ได้ กลิ่นวานิลลาหอมอ่อนๆผสมกับกลิ่นละมุนของเด็กหนุ่มคละเคล้ากัน สร้างความรู้สึกอันหาสิ่งใดเปรียบเปรยไม่ได้ กามเทพหนุ่มมีรูปร่างสมส่วนราวกับปั้นแต่งโดยช่างศิลป์มือทอง ใบหน้าทั้งสองข้างสมมาตรกันพอดิบพอดีไร้ที่ติ ดวงตากลมโตแต้มสีฟ้าทอเป็นประกายงดงาม เส้นผมหยักศกเป็นลอนใหญ่ราวแสงอรุณสีเหลืองทอง ผิวพรรณก็เนียนลออเรียบลื่นไม่ต่างจากหินอ่อน กล้ามเนื้อมัดเล็กช่วยเสริมให้ร่างกายที่ไม่สูงมากนักดูแข็งแรง หากประเมินผ่านๆด้วยสายตา มิวคิดว่าเอสันน่าจะสูงสักร้อยเจ็ดสิบนิดๆ ซึ่งน่าจะเตี้ยกว่าเขาไม่เกินแปดเซนติเมตรโดยประมาณ เมื่อประกอบรวมกับใบหน้าอันอ่อนเยาว์ ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยว่ากามเทพตรงหน้านั้นอายุถึงวัยทำเรื่องอย่างว่าจริงๆแล้วแน่ใช่ไหม “นายคงไม่สบายตัวแน่ถ้ายังขืนใส่กางเกงเอาไว้แบบนี้” เอสันพูดพลางเคล้นคลึงกลางเป้าที่เปียกแฉะ ยิ่งเขาสัมผัสและบีบแท่งเนื้อในร่มผ้านั้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแสดงอาการอึดอัดมากตามเท่านั้น “ให้ฉันถอ
สถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมผันเปลี่ยนเร็ว จนหัวของเด็กหนุ่มตาใสอย่างมิวหมุนตามไม่ทัน สติของเด็กหนุ่มอายุยี่สิบสี่ตั้งรับกับการผันผวนยิ่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นไม่ไหว ไม่กี่อาทิตย์ก่อนมิวยังหงุดหงิดเรื่องไอ้จ้อนของตัวเองไม่ยอมกระดิกทำหน้าที่มานานหลายปี พอมาช่วงนี้เขากลับมีเรื่องอย่างว่ารุมล้อมไม่เว้นวัน เหมือนได้ช่วงชีวิตวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่ขาดหายคืนมาแบบทบต้นทบดอก อากาศนห้องถึงจะถูกเติมเข้ามาจนหายใจสะดวก ทว่ามิวกลับรู้สึกอึดอัด อาการคันยุบยิบปรากฏแถวท้องน้อย ที่สำคัญเด็กหนุ่มครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นพิเศษ อาการเหล่านี้เป็นแบบเดียวกับตอนดันเต้พยายามครอบครองร่างกายของเขา ยิ่งมองสบเข้าไปยังดวงตาสีฟ้าประกายแวววาว มิวยิ่งตกอยู่ในวังวนแห่งเสน่หา จิตวิญญาณบอบบางเหมือนลอยคว้างอยู่กลางอวกาศท่ามกลางหมู่ดาว เหงื่อเม็ดใสแตกซิกๆตามกรอบหน้า รูม่านตาขยายออกจากความตื่นเต้น หัวใจเต้นระริกอยู่ในโพรงอันอบอุ่น หมดทั้งสมองทึ่มทื่อมะลื่อของมิวไม่เหลือพื้นที่ให้สงสัยกามเทพหนุ่มตรงหน้า เมื่อเอสันบอกว่าการกลั่นแกล้งสารพัดเป็นฝีมือของน้องชาย มิวก็ยินยอมเชื่อว่าเป็นฝีมือขอ
หลังจากเดินจนครบหนึ่งรอบถ้วนทั่วพื้นที่ห้องสี่เหลี่ยม คิวปิดร่างเล็กก็ทิ้งตัวลงหน้ากรงขัง อันที่จริงเอสันรู้อยู่แล้วว่าทางออกเดียวของที่นี่คือประตูเหล็กบานใหญ่ที่ถูกปิดล็อกจากด้านนอก แต่เขาแค่เพียงอยากหาเรื่องอื่นให้สนใจนอกเหนือจากความปวดแสบกลางลำตัว เวทมนตร์แบบเดียวกับที่ดันเต้โดนเมื่อคราวก่อน มันส่งผลแสลงอย่างร้ายแรงเมื่อผู้รับเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีผลอะไรกับคิวปิดผู้เป็นเจ้าของ ความแสบร้อนรวมกระจุกกันอยู่ในช่องท้อง มันไม่ได้ถูกทำให้หาย เพียงแค่กักเก็บเอวไว้เพื่อรอเวลาปลดปล่อยที่เหมาะสม ‘เอสัน’ และ ‘เจสัน’ เป็นคู่พี่น้องฝาแฝดที่ทั้งรักและเกลียด ทว่าความเกลียดส่วนใหญ่จะอยู่กับเจสันผู้เป็นน้องเสียมากกว่า แม่ของทั้งสองเทพเป็นเทพีผู้เรืองนามเรื่องความงามและความรัก จึงทำให้บุตรชายของนางนั้นเป็นที่รักไปด้วย กระนั้นทั้งหมดกลับไปสามารถส่งถึงน้องชายผู้มาทีหลัง จริงๆแล้วอุปนิสัยของเจสันค่อนข้างผิดแผกจากการเป็นเทพทั่วไป ที่มักมีเป้าหมายอย่างชัดเจน แม้จะมีคิวปิดคนอื่นอีกมากมายก็ไม่มีใครเป็นเหมือนเจสันผู้นี้ เขาจึงถูกมองว่าเป
‘เอสันสองคน’ หากยังมีแรงมากพอมิวคงหัวเราะให้กับความตลกร้ายตรงหน้า ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้… สมองเพี้ยนๆ ของเขายังสามารถสร้างภาพลวงตาโป้ปดเพื่อลดทอนความรุนแรง ไอ้อาการแบบนี้มิวเคยเจออยู่บ้างนานๆครั้ง ความรู้สึกเหมือนผีอำทำให้ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ มองเห็นอะไรแปลกๆ กึ่งหลับกึ่งตื่นแยกแยะหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก มันต่างจากตอนเมาจนแฮงค์ ถึงกุญแจมือจะถูกหุ้มด้วยขนสัตว์เทียมอ่อนนุ่ม แต่ภายในยังคงเป็นเหล็ก มันถึงทิ้งรอยบาดเล็กๆ สีแดงช้ำๆ รอบข้อมือของมิว หากความชาถูกนับเป็นความรู้สึกก็ถือว่ามิวมีความก้าวหน้า เขาเริ่มซ่าๆแถวบริเวณที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมานาน และเหมือนว่าจะเริ่มเป็นตะคริวบ้างแล้ว เด็กหนุ่มพยายามกระชากข้อมือให้หลุดจากพันธนาการ เขามั่นใจว่าใช้แรงทั้งหมดที่รวบรวมได้ส่งไปยังท่อนแขนที่ชูเหนือหัว ผลลัพธ์ที่ได้มันเหมือนการกระตุกของกล้ามเนื้อมัดเล็กเสียมากกว่า การเคลื่อนไหวแผ่วเบาไม่อาจสร้างความสนใจได้มากพอ เป็นอีกครั้งที่มิวลองเปล่งเสียงจนสุดกะบังลม เช่นกัน… ผลลัพธ์ที่ได้มีเพียงลมอุ่นๆเล็ดลอดผ่านโพรงปากเพียงเท่านั้น
เสียงอึกทึกครึกโครมครอบคลุมพื้นที่ส่วนบน ยิ่งในวันหยุดด้วยแล้ว… ความโกลาหลและบาปเจ็ดประการรวมกระจุกกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แสงไฟระยิบระยับสว่างไสวจนแสงดาวยังยอมแพ้ ทุกคนจับต้องไปยังเวทีที่จัดแสดงดาวบนดินมากหน้าหลายตา ไม่มีใครอยากแหงนหน้าขึ้นมองหมู่ดวงดาราด้านบนแม้แต่น้อย ลึกลงไปใต้ผืนดินในพื้นที่เดียวกันทุกอย่างกลับเงียบสงบ เขตหวงห้ามนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ ทางเดินของชั้นใต้ดินลับนั้นทอดยาวเป็นเส้นตรง ไม่ได้มีความซับซ้อนเหมือนด้านบน แต่ละห้องถูกแบ่งแยกตามแต่ละประเภทของการใช้งานเป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นมีห้องสี่เหลี่ยมสีชมพูอ่อนหวาน แต่กลับมีชื่อแสนน่ากลัว กามเทพหนุ่มเรียกมันว่า ‘ห้องสังเกตการณ์’ ห้องสังเกตการณ์ถูกสร้างเพื่อเฝ้าดูปฏิกิริยาตอบโต้ของตัวทดลอง เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่หรือแม้แต่เวทมนตร์คาถาแบบใหม่ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ผิดกฎพันธสัญญาสองโลก กามเทพหนุ่มจอมเพี้ยนจึงปกปิดมัน โดยจำกัดวงของผู้ที่รับรู้ความลับให้อยู่แค่คนที่ไว้ใจได้เท่านั้น ความสดใสของห้อ
หลังจากการพยายามมานักต่อนัก อย่างน้อยก็มีสักเรื่องที่ดันเต้พูดถูก คำสารภาพจากชายร่างเล็กเหมือนเด็กวัยรุ่นตรงหน้า เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่ปีศาจคิวบัสพร่ำโน้มน้าวมานานนับสัปดาห์ ความทุกข์ใจอันสะสมมานานนับปีแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธผสมความสับสน ปั่นรวมราวน้ำวนเชี่ยวกรากในจิตใจ ลึกสุดของหลุมดำข้างใต้กระแสธารานั้นคือสิ่งที่มิวไม่เข้าใจอยู่อีกเพียบ “นายทำแบบนั้นไปทำไม?” “ง่ายๆ… มันเป็นหน้าที่” แสงไฟอ่อนนุ่มไม่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าขาวผ่องอ่อนโยนตาม ความหยาบกระด้างเผยอยู่ในเนื้อเสียง ขัดกับดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ “คงคิดว่าเทพแห่งความรักส่วนใหญ่จะเป็นผู้นำพาความรักมาให้อย่างเดียวสินะ อันที่จริงพวกเรามีหน้าที่ลงทัณฑ์ด้วย” “แล้วฉันทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องโดนนายลงโทษด้วย” “นายดูถูกความรักของคนคนหนึ่งจนสร้างบาดแผลที่ไม่อาจลบล้างได้ มนุษย์ผู้น่าสงสารคนนั้นไร้ซึ่งทางออก จึงทำได้เพียงสวดอ้อนวอนให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นส่งคืนแก่ผู้ที่กระทำ” ชายร่างเล็กยักไหล่ เล่าอย่างเรียบง่ายราวกับเป็นเพียงตำนานที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง “มันก็ง่ายๆแค่นั้น”
ปีศาจส่วนใหญ่ก่อกำเนิดจากอารมณ์ของมนุษย์ นี่คือพลังที่แม้แต่ผู้สร้างอย่าง ‘มนุษย์’ เองก็ไม่รู้ นอกจากจะก่อกำเนิดอมนุษย์ต่างๆแล้ว มนุษย์ยังเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์วิเศษเหล่านี้อีกด้วย พวกมันมีชีวิตเกือบเรียกได้ว่าอมตะ และสามารถสร้างสิ่งวิเศษที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ ถึงแม้จะมีเวทมนตร์ทรงพลังแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในมือในเผ่าพันธุ์ด้อยปัญญา พลังเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งที่มีขีดจำกัด เนื่องจากไร้การสรรค์สร้างมากพอจะเอาไปใช้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการสนองความอยู่รอดของตัวเอง ทว่าก็นับว่าดีที่สิ่งทรงพลังอย่างเวทมนตร์นั้นไม่อาจถูกครอบครองด้วยมนุษย์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจใช้มันเพื่อทำลายล้างกันเอง และสร้างความโกลาหลยิ่งใหญ่เกินกว่าโลกทั้งใบจะรับได้ จวบจนทุกวันนี้ความัลบเหล่านั้นก็มีน้อยคนเท่านั้นที่จะรู้ เหล่าอมนุษย์ยังคงเร้นกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อชักจูงบรรดาอาหารบุฟเฟ่ต์เหล่านี้ ให้มอบพลังให้แก่ตนเองเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงนายเหนือหัวของพวกมันอีกที ในหมู่มวลปีศาจที่โด่งดังคงหนีไม่พ้นพวกคิวบัส ปีศาจที่เข้าไปยุ่มย่ามกับตั...
Comments