ถึงจะหล่อเหลาเอาเรื่อง เสน่ห์เหลือล้นพอจะดึงดูดใครก็ตาม แต่ความลับน่าอับอายของมิวหนุ่มวัย 24 คือ ‘การแข็งตัว’ ข้อบกพร่องร้ายแรงที่ทำให้เขาไม่อาจสัมพันธุ์ทางกายกับใคร จนกระทั่งการมาถึงของปีศาจแห่งราคะ
Lihat lebih banyak“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด
ฝุ่นผงแห่งความอลหม่านถูกพัดปลิวให้จางหาย ถึงต่างฝ่ายจะยังค้างคาต่อกันไม่ว่าจะเป็นฝั่งปีศาจ เทพ หรือมนุษย์ ทว่าการยอมปล่อยให้เชือกที่ถืออยู่หลุดออกจากมือไปก่อน และรอให้คนของตัวเองได้รับการฟื้นฟู เรื่องอื่นยังพอจะรอกันได้ เมื่อบานประตูพังลงมนต์กำกับก็เสื่อมถอยตาม เฉกเช่นโซ่ที่เชื่อมต่อกันไว้อย่างเหนียวแน่น เมื่อมีสักข้อหลุดออกพลังแห่งการพันธนาการก็สิ้นฤทธิ์ ในบรรดาความยุ่งเหยิงทั้งหมดทั้งมวล มีสิ่งหนึ่งที่เอสันเห็นด้วยกับดันเต้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือ เป็นเอกควรเลิกกอดหมอนข้างแล้วทำท่าฟูมฟายเสียที นอกจากมันจะดูตลกในสถานการณ์คับขันแล้ว มันยังไม่ช่วยอะไรเลย ดวงตาแห่งเทพมองเห็นซึ่งความจริงตรงหน้า กลลวงเล็กน้อยจากปีศาจไม่อาจหลบเร้นจากการรู้แจ้งของเอสัน เขามองไปยังร่างของมนุษย์ใกล้ตัวด้วยความสมเพชเจือความขำขัน เพียงการกระดิกและตั้งจิตคิดเล็กน้อย ร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดของเป็นเอกก็คืนกลับไปเป็นหมอนข้างยาวๆ สีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มสลับอารมณ์แทบจะในทันที “ไปหาตัวจริงกันเถอะ” คำชักชวนเรียบง่ายจากเอสันดึงความสนใจของเป็นเอก
ตามทางเดินอับชื้นซับซ้อนไร้ซึ่งแสงจากธรรมชาติสาดส่อง สิ่งเดียวที่ทำลายความมืดได้มีเพียงหลอดไฟ มที่ถูกติดอย่างห่างๆ อยู่บนเพดาน ความวังเวงเกาะติดหนึบในทุกเสียงย่ำเท้า ไม่ใช่เพราะนี่เป็นเวลาเลิกงาน แต่เป็นเพราะเส้นทางเหล่านี้เป็นเขตหวงห้าม ผู้คนส่วนใหญ่จึงถูกห้ามไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามบริเวณนี้ หัวใจของดันเต้แน่วแน่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด แม้ความอึดอัดจะเริ่มคืบคลานไล่ตามหลังเขามาเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่ช่วยให้เขามองข้ามความประหวั่นพรั่นพรึงได้หลายได้ คือความมุ่งมั่นต่อภารกิจ ในทุกอย่างก้าวหนักแน่นด้วยการระมัดระวัง ปีศาจคิวบัสเปิดทุกโสตประสาทให้ตื่นรู้ ดวงตาเปล่งประกายสีทองยามถูกเงามืดปกคลุม สิ่งเดียวที่เป็นเอกมีเหนือกว่าคือมันสมองอันชาญฉลาด กระนั้นแค่มนุษย์ก็ไม่อาจทำร้ายปีศาจอย่างดันเต้ได้ ด้วยพละกำลังเหนือกว่าสิบเท่า และเวทมนตร์ลี้ลับในตัว ชายเบื้องหน้าของเขาจึงไม่ถือว่าเป็นตัวอันตราย นอกเสียจากได้รับการช่วยเหลือบางอย่างจากกามเทพ ทางเข้าลับถูกเปิดออก เผยให้เห็นบันไดวนแบบปราสาทยุคกลาง ทุกอย่างข้างล่างนี้ดูแตกต่างจากคุก ทว่ามันกลับถ
หลังจากการเฝ้ามองอมอร์ผ่านสายตามาหลายวันนับตั้งแต่ไม่พบใบหน้าของมิว ต้องตอนนี้และห้องนี้เท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับการลงมือที่สุด ดันเต้มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงรู้ว่าเขาเทียวไล้เที่ยวขื่ออยู่ละแวกนี้ เพราะอย่างไรเสียคิวปิดก็เป็นเทพระดับสูง อีกอย่างที่นี่ถือเป็นถิ่นลับสำหรับกบดาน เขาเองก็ไม่อยากผลีผลามจนเกินไป ร่างสูงใหญ่ห่อหุ้มด้วยความเงียบงันเฝ้ารอให้กลิ่นหวานน่าสะอิดสะเอียนจางหาย ดันเต้จึงพออนุมานได้ว่าเทพปฏิปักษ์ของเขาจากรังลับนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยชะล่าใจหรือเหตุผลฉ้อฉลอื่นใดก็ตาม ช่วงเวลานี่จึงเหมาะกับการลงมือที่สุด ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นห้องพักผ่อนของเหล่าแองเจิ้ล ก็เป็นเพราะดันเต้เคยสำรวจที่นี่มาแล้ว บริเวณนี้ไม่ลึกลับจนเกินไปทว่าก็มีความเป็นส่วนตัวสูง ปีศาจหนุ่มไม่อยากเสี่ยงเปิดเผยตัวตนต่อหน้าคนหมู่มาก หรือเผลอพลั้งมือใช้พลังจนเกินการควบคุมของตัวเอง ทุกอย่างถูกคิดมาอย่างดีเท่าที่สมองทึนทึกของดันเต้จะคิดออก รวมไปถึงการบุ่มบ่ามใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็นกับอาร์เต้ด้วย มันถูกคาดการณ์เอาไว้โดยคร่าวไว้แล้ว
ปีศาจส่วนใหญ่ก่อกำเนิดจากอารมณ์ของมนุษย์ นี่คือพลังที่แม้แต่ผู้สร้างอย่าง ‘มนุษย์’ เองก็ไม่รู้ นอกจากจะก่อกำเนิดอมนุษย์ต่างๆแล้ว มนุษย์ยังเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์วิเศษเหล่านี้อีกด้วย พวกมันมีชีวิตเกือบเรียกได้ว่าอมตะ และสามารถสร้างสิ่งวิเศษที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ ถึงแม้จะมีเวทมนตร์ทรงพลังแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในมือในเผ่าพันธุ์ด้อยปัญญา พลังเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งที่มีขีดจำกัด เนื่องจากไร้การสรรค์สร้างมากพอจะเอาไปใช้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการสนองความอยู่รอดของตัวเอง ทว่าก็นับว่าดีที่สิ่งทรงพลังอย่างเวทมนตร์นั้นไม่อาจถูกครอบครองด้วยมนุษย์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจใช้มันเพื่อทำลายล้างกันเอง และสร้างความโกลาหลยิ่งใหญ่เกินกว่าโลกทั้งใบจะรับได้ จวบจนทุกวันนี้ความัลบเหล่านั้นก็มีน้อยคนเท่านั้นที่จะรู้ เหล่าอมนุษย์ยังคงเร้นกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อชักจูงบรรดาอาหารบุฟเฟ่ต์เหล่านี้ ให้มอบพลังให้แก่ตนเองเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงนายเหนือหัวของพวกมันอีกที ในหมู่มวลปีศาจที่โด่งดังคงหนีไม่พ้นพวกคิวบัส ปีศาจที่เข้าไปยุ่มย่ามกับตั...
Komen