ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้
เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้
ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร
แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน
อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง
อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ
“ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย
“ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำเนิด”
“แล้วตรงนี้หมายความว่าอะไร?” อาร์ตี้ไล้นิ้วมือไปตามตัวอักษรภาษาอังกฤษสีดำทะมึน ที่ติดแน่นอยู่บริเวณหน้าอกข้างซ้ายของดันเต้
“เมื่อวานนายก็ถามฉันไปแล้ว ฉันเบื่อจะบรรยาย… โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้”
“อย่าหงุดหงิดไปเลยน่า” อาร์เต้ออดอ้อนพลางจับมือหนาใหญ่วางไว้บนเอว ส่วนสะโพกก็เด้งรับสัมผัสอันเร่าร้อน
“ฉันเปล่า! ฉันเข้าใจได้ที่นายลืมอะไรไปอย่างรวดเร็ว” ดันเต้ยักคิ้ว “บางทีมันก็ยากถ้าอยากมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ เพราะพวกเขามักลืมอะไรง่ายดาย แต่ก็ว่าไม่ได้… ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา”
“ฉันไม่ลืมนายหรอก”
“ปากดีเหลือเกินพ่อหนุ่มน้อย” มือหยาบกร้านเชยคางเชิดแหลมขึ้น
ดันเต้รับรู้ถึงความปราณาดีกับอาร์เต้พูดออกมา แต่เขาก็รับรู้เรื่องราวที่วนซ้ำมานับพันๆรอบเช่นกัน มันเริ่มต้นอย่างไรและจะจบอย่างไร ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้จนกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อ
ชายร่างยักษ์บรรจงมอบรอยจูบแห่งพิษเพื่อเป็นการปลอบประโลมเด็กหนุ่มผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เด็กหนุ่มเปิดโพรงปากดูดกลืนน้ำลายข้นเหนียวเจือกลิ่นหอมละมุนเอาไว้อย่างเต็มใจ โดยไม่รู้ว่าทุกสิ่งที่ถูกป้อนเข้าปากจะส่งผลต่อการร่างกายและจิตใจโดยตรง
“อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม?” มนุษย์ผู้คลั่งรักถอนรอยจูบ ยื่นข้อเสนอหมายจะยื้อสิ่งที่เกินเอื้อมเอาไว้ในมือ
“เพื่อนเหรอ… เราจะเป็นเพื่อนได้ยังไงถ้านายจ้องจะขย่มดุ้นของฉันทุกครั้งที่ลืมตาตื่น”
“เรามีเพื่อนไว้ใช้งานได้หลายรูปแบบนะ เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว หรือเพื่อน… เยส!”
“ฉันชอบความคิดนายนะ แต่ทุกคนที่ฉันอยากเป็นเพื่อนด้วยหวังจะมีอะไรกับฉันกันหมด” ดันเต้ตบเบาๆลงบนแก้มพองกลมของอาร์เต้ ก่อนจะจรดปลายนิ้วลงบนท้องน้อยของเด็กหนุ่ม “เรื่องไร้สาระพวกนั้นช่างมัน เรามาทำหน้าที่กันดีกว่า”
ประกายไฟอุ่นๆแล่นจากปลายนิ้วกลมใหญ่เข้าสู่ร่างขาวเนียนอย่างรวดเร็ว ลมหายใจของอาร์เต้หนักหน่วงโดยพลัน
ทุกอย่างในหัวเหมือนถูกรีเซตใหม่ทั้งหมด อาร์เต้แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดอะไรต่อ จุดประสงค์เดียวของเขาในตอนนี้กลายเป็นความต้องการของดันเต้ไปจนสิ้น
“นายว่าฉันเซ็กซี่ไหม?”
คำออดอ้อนแผ่วเบามาจากเด็กหนุ่มผู้เยาว์วัยกว่า เขาหวังเพียงคำตอบที่กำลังจะได้ยินช่วยเติมเต็มความสุขในใจให้พลุ่งพล่าน
“ไม่ใช่ว่านายกำลังเล่นกับคำตอบอยู่เหรอ”
รอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากชายร่างสูงใหญ่ โดยเฉพาะเวลาที่เขากำลังตื่นเต้นกับการเก็บเกี่ยวจากการเสพสังวาสกับมนุษย์ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม
อุ้งมืออ่อนโยนของอาร์เต้คว้าหมับแท่งเนื้อแข็งแกร่งดุดันของดันเต้เอาไว้ เขาสัมผัสถึงความลื่นเหนียวได้จากส่วนปลาย ความอบอุ่นและสัญญาณการกระตุกสั่นถูกส่งไปยังฝ่ามือของเด็กหนุ่ม
ประตูสวาทสีชมพูและอ่อนนุ่มของอาร์เต้เริ่มตอบสนอง มันเปียกชื้นเป็นประกายราวกับกำลังรอกลืนกินบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆ
หัวใจเริ่มเต้นระรัวผิดจังหวะ เลือดลมสูบฉีดไหลเวียนไปทั่วทั้งร่าง แก้มทั้งสองอุ่นร้อนคล้ายอาการเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
กลิ่นกายของชายตรงหน้ารุนแรงขึ้นมาก เป็นกลิ่นที่อาร์เต้ก็อธิบายไม่ถูกและไม่เคยรับรู้มันมาจากไหนมาก่อน สิ่งที่พอจะช่วยให้นึกถึงได้ คงเป็นยางไม้หรือเปลือกไม้หอมอะไรสักอย่าง มันให้สัมผัสที่อบอุ่นแต่ซ่อนแฝงความร้อนรุ่มเอาไว้บางจุด อีกทั้งยังมีความเยือกเย็นเจือจางอยู่อีกด้วย
“ถ้านายอยากให้ฉันหลงเสน่ห์ นายต้องทำมากกว่านี้” ดันเต้เห็นอาการของเด็กหนุ่มตรงหน้า เขารู้ได้ทันทีว่าการเก็บเกี่ยวกำลังเริ่มต้น
ไม่เพียงแต่เป็นปีศาจแห่งตัณหา ชายร่างยักษ์ยังเป็นจอมละโมบอีกด้วย เขาท้าทายเด็กหนุ่มผู้พร้อมยกทุกอย่างให้เป็นเครื่องสังเวยด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์
“มากกว่านี้เหรอ?” ความตื่นเต้นบีบรัดต้นขาของอาร์เต้จนสั่น เขายกตัวขึ้นเล็กน้อยจับส่วนหัวที่เกินตัวจ่อเข้ากับปากทางอันคับแคบ “ถ้าแบบนี้ล่ะ”
เด็กหนุ่มกดร่างตัวเองลงไปจนสุดในครั้งเดียว รูสวาทที่รัดแน่นดูดกลืนท่อนยักษ์ของดันเต้ มันห่อหุ้มแท่งนั้นอยู่ภายในอย่างอ่อนโยน
แรงดันอันหนักหน่วงและรวดเร็วทำให้ชายทั้งคู่ตัวสั่นกระตุก เมือกขาวใสเจือกลิ่นหอมอ่อนๆถูกบีบคั้นให้หลั่งอยู่ภายใน
“ซี้ด… อืม…” ดันเต้ครางกระเส่า ดวงตาเกือบปิดสนิทจากความเสียวซ่าน “นายเจ็บหรือเปล่า? นายไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”
“ไม่! มันรู้สึกดีมาก”
ปากทางที่โดนขยายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ละทิ้งความเจ็บปวด อาร์เต้เม้มปากนั่งแช่ตัวอยู่บนตักของดันเต้ ภายในพยายามทำความคุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกล้ำเข้ามาอีกครั้ง
“อย่าทำแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นนายจะทำตัวเองเจ็บตัว” ดันเต้พยายามทำหน้าขึงขัง แต่ก็ได้เพียงขบกัดฟันกรามอย่างอดทน
“นายเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ นายเองก็ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”
“ฉันบอกนายแล้ว ว่าฉันไม่ใช่ปีศาจอำมหิต”
“แต่สำหรับฉันนายอำมหิต… ของของนายมันอำมหิตและเลือดเย็น” อาร์เต้เริ่มขยับร่างกาย ลมหายใจถูกผ่อนเพื่อคลายแรงกดดันจากภายใน “ฟู่”
“ส่วนนายคงเป็นมนุษย์ที่อำมหิตที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอ… อึก”
“เหรอ?”
“รู้ไหมการทรมานปีศาจไม่ได้ทำกันง่ายๆ แต่กับนาย… เหลือเชื่อเลย”
เอวคอดบางของอาร์เต้โยกเป็นวงกลม ท่อนเนื้อน่ารักสีสว่างของเขาตีเข้ากับหน้าท้องแข็งแกร่งของดันเต้ เสียงกระทบกันของผิวหนังดังสลับกับเสียงกระเส่า
ถึงจะคุ้นชินมาสักพักแต่ขนาดที่ใหญ่ยักษ์ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของอาร์เต้มีข้อจำกัด ข้างในหดตัวบีบรัดเมื่อเจ้าแท่งเนื้อกระทุ้งโดนจุดอ่อนไหวโดยไม่ตั้งใจ
พื้นที่ที่คับแคบแน่นขนัดมากขึ้นไปอีก ขาอันแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มเริ่มอ่อนระทวย
“ฉันว่าเรามาเริ่มปิดฉากตอนนี้กันดีกว่า”
เสียงนุ่มทุ้มดังก้อง มันเหมือนเสียงกระซิบไหลเวียนมาจากทุกทิศทาง นัยน์ตาของชายร่างใหญ่เปล่งประกายอยู่ในเงามืด
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก ชายหนุ่
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
“ผมไม่ได้รับลูกค้าพร้อมพี่มิวมาสักพักใหญ่แล้วใช่ไหม ครั้งล่าสุดเดือนที่แล้วหรือเปล่า… ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว” เด็กหนุ่มน้ำเสียงสดใส ดวงตาเป็นประกายเปล่งปลั่งอิ่มเอม ใครจะไปเชื่อว่าเมื่อวานสภาพของเขายังแทบดูเหมือนผีดิบไร้ชีวิต ขอบตาสีคล้ำสว่างใสขึ้นมาก จนการปาดเครื่องสำอางเบาบางเพียงครั้งเดียวก็ปกปิดรอยคล้ำจนเกลี้ยง แก้มทั้งสองขาวใสอมชมพูด ริมฝีปากระเรื่อเจือความชุ่มฉ่ำไม่ลอกแตกเป็นขุน การฟื้นฟูแบบพลิกผันของอาร์เต้เกิดขึ้นรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบชั่วโมง สร้างความประหลาดใจให้มิวไม่น้อย ชายทั้งสองใช้เวลาก่อนเริ่มงานนั่งเอื่อยเฉื่อยบนโซฟากำมะหยี่ตัวยาว มิวค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรในแถบยุโรป ส่วนอาร์เต้ส่งข้อความคุบกับชายแปลกหน้าในแอปพลิเคชันหาคู่ “ผมไม่ค่อยชอบดูแลลูกค้าผู้หญิงเลย” อาร์เต้บ่นอุบอิบ เขารู้ว่าเป็นเรื่องแย่ที่พูดถึงลูกค้าในเชิงลบ แต่ก็ตามนิสัยเด็กหนุ่มผู้มุทะลุ การระบายให้คนที่ไว้ใจฟังมันง่ายกว่าการเก็บงำไว้คนเดียว “ผู้หญิงสงวนท่าทีเยอะกว่าผู้ชาย อ่านเกมก็ยากกว่าเยอะ ผมชอบลูกค้ารุกเร็วๆรุกแรงๆมากกว่า ไม่ชอบเสีย
“มันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ความตกอกตกใจของมิวยังไม่สร่าง เขาทบทวนทุกอย่างด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เพื่อให้แน่ใจว่าความมึนเมาไม่ได้หลอนประสาทหูของตัวเอง ดวงอาทิตย์รุ่งสางเริ่มทอประกายแสดจากภายนอกอาคาร ทว่าแสงสว่างนั้นก็ไม่อาจสาดส่องความอึมครึมแห่งความสับสนให้กระจ่าง ทุกอย่างไปไกลเกินการควบคุม ฉีกทุกกฎการเรียนรู้ของมิวที่สะสมมานานยี่สิบสี่ปี เขาหวนคิดถึงนักเดินเรือสมัยก่อนที่ค้นพบทวีปใหม่ มันทั้งตื่นและชวนให้รู้สึกอันตรายไปพร้อมกัน “ตอนนี้มนุษย์รอบตัวนายไม่มีใครเชื่อใจได้สักคน” ดันเต้เกลี้ยกล่อม “เป็นเอกเป็นคนพาอาร์เต้ไปสัก ผู้จัดการร้านของนายอาจเป็นผู้ช่วยของคิวปิดอยู่ก็ได้” มิวใส่คะแนนให้ดันเต้ไปอีกหนึ่งแต้มเมื่อฟังจบ ถึงไม่เห็นกับตาแต่ด้วยม่านควันบังตาทำให้ ความน่าเชื่อถือของคิวบัสนั้นมากกว่ารุ่นน้องคนสนิท “พวกนั้นอาจลงมือกับนายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากนายโดนจับไปทำอะไรแบบที่อาร์เต้โดน แล้วนายเกิดเกลียดฉันขึ้นมา ตอนนั้นฉันคงเข้าใกล้นายไม่ได้อีกต่อไป” มิวใส่คะแนนเพิ่มให้ดันเต้อีกสองคะแนน เพราะน้ำเสียงของ
ผ่านมาหลายต่อหลายคืนแล้วที่มิวเฝ้าภาวนาขอให้เจออมนุษย์ร่างกายล่ำบึ้ก ไม่ว่าจะเพราะอยากเคลียร์ใจหรือเพราะติดใจบรรยากาศซู่ซ่าในม่านหมอกก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังอยากเจอดันเต้อยู่ดี อากาศเย็นสบายในห้องแต่งตัวไม่อาจดับความรุ่มร้อนของชายหนุ่ม ตั้งแต่มิวตะคอกใส่ดันเต้แล้วหลบหนีออกจากความฝัน เขาก็ไม่พานพบคิวบัสตนนั้นอีกเลย จะเป็นที่ทำงานหรือในความฝัน จนดูเหมือนว่าการหายตัวคงเป็นสิ่งถนัดของดันเต้ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าปีศาจน้อยใจเป็นหรือไม่ ทว่าก็หวังเอาไว้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น หลายสิ่งยากเหนือจินตาการเกิดแบบฉับพลันในระยะเวลาอันรวดเร็ว แรกเริ่มก็ยากเกินความเข้าใจ กระนั้นเมื่อคุ้นเคยมันกลับกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นที่โหยหา แต่ตอนนี้เมื่อนั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มิวจำเป็นต้องสลัดเรื่องราวส่วนตัวทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาสามารถพกพาความเครียดหรือกังวลใจของตัวเองไปพบลูกค้าได้ ภาพรวมในอมอร์ทุกอย่างเป็นปกติ ในแต่ละวันมีเด็กเข้าออกกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ยากเกินควบคุมของเป็นเอก ฉะนั้นการขาดหรือมีดันเต้หนึ่งคน ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินได
ท่ามกลางความวุ่นวายของมหานคร ห้องสี่เหลี่ยมขนาดพอประมาณเป็นดั่งอีกโลกคู่ขนาน มันหลุดพ้นจากวังวนยุ่งเหยิงจากภายนอก ทิ้งไว้เพียงความเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ เบื้องบนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ประดับด้วยดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนแรงเฮือกสุดท้าย สีแดงฉานเหนือหมู่เมฆราวกับเลือดของใครสักคน แต่งแต้มท้องนภาจนเกิดสีสันชวนอ่อนไหว หน้าต่างกระจกสะท้อนเงาบางส่วนกลับมาเลือนราง บรรยากาศข้างในห้องมืดมิดไร้สีสัน อุปกรณ์เครื่องใช้ทุกชิ้นไม่ถูกเปิดใช้งาน มันแค่ตั้งนิ่งๆอยู่ตรงนั้นเฉกเช่นเดียวกันกับปีศาจ การประดับประดาในนี้ถือว่าคุมโทนได้ดี ทั้งเย็นชืดและหม่นหมอง มีเพียงสมุดบันทึกเก่าๆกองพะเนินซ้อนทับกันหลายชั้น มันถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ตามมุมห้อง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของเลิกสนใจไปตั้งนานแล้ว ตู้เสื้อผ้าเป็นอีกอย่างที่ว่างเปล่า ปีศาจส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่อาภรณ์ปกปิด แค่มนต์พรางตาก็เพียงพอสำหรับการลวงหลอกการมองเห็นของมนุษย์ ทว่าก็มีบ้างบางครั้งที่พวกเขาเลือกสวมใส่เสื้อผ้าจริงๆ หากไม่นั่งจ้องออกไปนอกตึก บางครั้งดันเต้ก็จะขังตัวเองในตู้ที่ไม่มีเสื้
นอกเหนือจากดินแดนเนรมิตแล้ว ดันเต้ยังมีสถานที่ใช้สำหรับพักอีกที่ มันตั้งอยู่ในโลกแห่งความจริง แฝงอยู่กับหมู่ตึกมากมายทั่วไป สิ่งปลูกสร้างสูงราวหกสิบชั้นตั้งตระหง่านเด่นอยู่เกือบใจกลางเมือง หากมองด้วยผิวเผินโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากโรงแรมหรูทั่วไปในมหานคร ทว่าความลับในนั้นทำให้มันพิเศษกว่าที่อื่น จำนวนหนึ่งเป็นที่หลบซ่อนของเหล่าอมนุษย์ ผสมปนเปไปอย่างแนบเนียนกับมนุษย์ทั่วไป พวกเขาอาศัยอยู่กันชั่วคราวร่วมกันโดยภายใต้การควบคุมเข้มงวด และกฎหมายพิเศษที่ไม่มีประเทศไหนประกาศใช้กับพลเรือนของตน แน่นอนว่าเพื่อการเท่าเทียมกันการใช้เวทมนตร์หรือทำร้ายกันภายในพื้นที่พิเศษนี้เป็นข้อห้ามสำคัญ หากเป็นมนุษย์จะถูกดำเนินตามกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นจะต้องรับโทษตามสังกัดของตัวเอง พื้นที่ที่มีการแหกกฎบ่อยคงเป็นบาร์ของโรงแรม…. ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นของโรงแรม รองรับผู้คนและกิจกรรมได้มากมาย เพดานสูงโปร่งดูหรูหราด้วยโคมระย้าทำจากคริสตัล ทุกเม็ดหยอกเย้ากับแสงไฟจนเกิดเป็นประกายหลากสี มองดูแล้วเหมือนบอลรูมของเหล่าเชื้อพระวงศ์
ท่อนบนเปลือยของชายทั้งคู่นอนซ้อนทับถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนบางเพื่อลดความอนาจาร คนที่อยู่ด้านบนเนื้อตัวอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ จนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอาจถูกทับบี้แบนจมลงไปกับเบาะ เสียงนกร้องขานรับดวงตะวันทอแสง ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ความวุ่นวายเซ็งแซ่จากทั่วทิศทางบ่งบอกถึงการเริ่มต้นชีวิตของผู้คน สำหรับอาร์เต้เขาไม่ค่อยชอบเซ็กซ์ในตอนเช้าเท่าไหร่นัก มันหวือหวาและโจ๋งครึ่มเกินไป ทว่าเวลาการทำงานก็มอบทางเลือกเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือพยายามหลับหูหลับตาเมินบรรยากาศไม่พึงประสงค์ไปเสีย ทั้งความสว่างที่เปิดเผยทุกอย่างเด่นชัดเกินไป หรือเสียงการเคลื่อนไหวจากสิ่งอื่น แม้กระทั่งตอนต้องไปปลดปล่อยอารมณ์นอกคอนโด อาร์เต้ก็พยายามหามุมที่ผู้คนคับคั่งน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาเป็นทุนเดิม เลยทำให้เขากลัวการถูกตัดสินด้วยสายตา ระหว่างการเล้าโลมอันเอื่อยเฉื่อย อาร์เต้ก็อดคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับผู้จัดการร้านไม่ได้ หนึ่งข่าวลือที่ฟุ้งกระจายเกี่ยวกับการทำงาน มันคอยรบ
“ตื่นได้แล้ว?” ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เสียงอบอุ่นดังมาคู่กับการสะกิดแสนนุ่มนวล คอยกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ข้างแก้ม เมื่อรู้สึกตัว… เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอย่างเชื่องช้า สงสัยครางในลำคอเหมือนแมวแสนขี้เกียจ ยืดเหยียดแขนไปสุดเท่าที่พอจะทำได้ เมื่อหันไปสบตากับชายอีกคนฝั่งคนขับ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในความคิดเลือนรางของอาร์เต้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แดดรำไรจากภายนอกที่ลอดเล็ดผ่านช่องกว้างของตัวอาคาร แยงจนดวงตาอาร์เต้จนแสบ เด็กหนุ่มพยายามกะพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะง้างเปิดตาได้จนสุด “ถึงคอนโดแล้วฯ เจ้าชายขี้เมา” “หือ!?”เด็กหนุ่มพยายามงัดตัวให้ลุกขึ้นนั่ง สำรวจรอบตัวด้วยความมึนงง “นี่ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่?” “ขับออกจากร้านมาได้ครึ่งทางก็โดนทิ้งให้พูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน” “อ้าวเหรอ!” อาร์เต้ส่ายหัวสลัดความเกียจคร้าน “สงสัยดื่มมากไปจริงๆ” “ไหวไหม?” เป็นเอกเอื้อมตัวปลดเข็มขัดนิรภัยของเด็กหนุ่ม “ให้พี่ขึ้นไปที่ห้องหรือเปล่า” “อือ… ครับ” อาร์เต้พยักหน้า
“เอานี่ไป” ชายหนุ่มในชุดสูทเบาสบายยื่นกาแฟหอมกรุ่นให้เด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าที่ดูหนุ่มกว่าวัยของเขามองทอดไปยังอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ไม่มีใครรู้อายุที่แน่ชัดของเป็นเอกเท่าไหร่นัก เขาเริ่มงานวันแรกตั้งแต่อมอร์ติดป้ายชื่อร้านตรงหน้าทางเข้า ทำให้ที่นี่ไม่มีใครเก่าแก่กว่าชายผู้นี้อีกแล้ว พนักงานในอมอร์ต่างพูดคุยกันว่าผู้จัดการร้านจอมขรึมน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ไม่น่าเกินสามสิบต้นๆ แต่หลายคนก็แย้งว่าน่าจะเยอะกว่านี้มาก เพราะเคยได้ยินพี่พนักงานบัญชีอายุห้าสิบหกเรียกเป็นเอกว่าพี่ แต่ท้ายที่สุดคำค้านนี้ก็ตกไปเนื่องจากพนักงานบัญชีผู้นั้นก็เรียกใครว่าพี่หมด ด้วยความอยากเป็นเด็กเทียบเท่าหนุ่มๆทุกคนในร้าน การถกเถียงอย่างลับๆนี้หาข้อสรุปไม่ได้ ไม่มีใครกล้าถามกับเจ้าตัวสักคน จึงทำได้เพียงคาดเดาจากผิวอ่อนเยาว์ไร้รอยตำหนิบนใบหน้า ควันและกลิ่นหอมกรุ่นลอยห้อมล้อมห้องแต่งตัว เครื่องดื่มแก้เมาหลากหลายชนิดในนี้ถูกแช่และจัดเรียงไว้เป็นอย่างดี ถือเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของเหล่าแองเจิ้ล มันถูกตั้งไว้ที่มุมห้องให้ทั้งสามเลือกดื่มได้ตามใจชอบ มีบ้างที่
แดนนิมิตเหมือนโลกรกร้างไร้สิ่งมีชีวิต ถึงจะสร้างได้สมจริงแค่ไหนทว่าก็ไร้ซึ่งความสมบูรณ์ มีเพียงความหนาวเย็นและหมอกขาวทึบบดบังความบิดเบี้ยว ชายหนุ่มหน้ามนนอนตะแคงข้างขดตัวเกร็งเนื่องด้วยทำอะไรไม่ถูก ความกล้าแก่นกะโหลกเจือจางเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของปีศาจตัวหนาใหญ่ จิตใจอันบอบบางทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นจากความแปลกใหม่ที่บังเกิด ขนาดคืออำนาจที่ส่งผลตรงโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา มิวยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ยำเกรงดันเต้เลยเมื่อร่างใหญ่ยักษ์นั้นอยู่ห่างออกไป ทว่าในระยะใกล้เช่นนี้มันต่างออกไป เขารู้สึกถึงอันตรายและความปลอดภัยไปพร้อมกัน การประชิดของปีศาจคิวบัสจากด้านหลังนั้นสร้างความกดดันทับเส้นประสาท ร่างแข็งแกร่งนั้นกอดประกบมิวแน่นจนไร้ช่องวาง ดันเต้เอียงใบหน้ากระเซ้าเย้าแหย่ติ่งหูและซอกคอขาวเนียน สูดดมกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยความเพลิดเพลิน ในขณะที่ด้านล่าง… แก่นเนื้อที่อิสระก็คอยกระตุ้นแก้มก้นทั้งสองข้างอันกลมเกลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่อนแขนอุดมด้วยกล้ามเนื้อสอดลอดซอกคอของมนุษย์หนุ่ม มิววางศีรษะทับลงไปอย่างช้าๆ พลันได้ยินเสียงชีพจร
ท่ามกลางความโกลาหลเชี่ยวกราก มีเพียงแขนใหญ่ยักษ์ของปีศาจคิวที่คอยฉุดรั้งมนุษย์หนุ่ม ไม่ให้โดนกระแสพิษสวาทพัดพาจนหลุดไกล ดันเต้โอบกอดยึดโยงมิวเอาไว้จากทางด้านหลัง ลมหายใจติดขัดจากอาการเหนื่อยหอบ ใบหน้าแดงฉานราวดวงตะวันใกล้ตกดิน ท่อนล่างชุ่มโชกไปด้วยของเหลวหลากหลายชนิด รวมไปถึงโซฟาเลอะเป็นคราบจนทั่ว คาดว่าการทำความสะอาดคงไม่ง่าย ร่างเล็กในวงแขนดิ้นกระสับกระส่ายด้วยจิตใจไม่มั่นคง ถึงภารกิจจะลุล่วงไปด้วยดี ทว่าก็ยังเหลือช่องว่างรอการเติมเต็ม นัยน์ตาของอมนุษย์ในร่างชายหนุ่มเรืองรองเป็นสีทอง แม้พลังจะกลับคืนมาไม่เต็มร้อย แต่ก็มากพอจะพาเขาและมนุษย์นอ้อมกอดหลบลี้หนีข้ามไปยังอีกดินแดน เพียงฝ่ามือหนาใหญ่กางออกทาบทับเข้ากับใบหน้าหื่นกระหาย มนุษย์หนุ่มก็ผล็อยหลับโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกทุกอย่างมลายหายพร้อมกับสติ ราวกับทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่… เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เปลวไฟแผดเผาตามร่างกายมอดดับลง มิวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก แม้จะมีเศษเสี้ยวบางอย่างคุกรุ่นอยู่ในช่องท้อง ทั้งห้องสาดส่องด้วยแสงจากธ