แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้
ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข
ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย
‘ใครวิ่งตามมาวะ?’
ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป
ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา
‘นก’
เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง
‘คน’
ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป
‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’
เงาตะคุ่มสูงทะมึนโผล่ขึ้นต่อหน้าท่ามกลางหมอกหนา มิวหรี่ตาให้ลีบเล็กเพื่อเฝ้าดูอากัปกิริยาของบางสิ่งที่ตามรังควานเขามาหลายคืน
ขาทั้งสองตั้งยืนหยัดอย่างเข้มแข็งอยู่บนพื้น ครั้งนี้มิวจะไม่วิ่งหนีอีกต่อไป ไม่ว่าตัวอะไรซ่อนอยู่ในนั้น เขารู้แล้วว่าการหนีไม่ใช่ทางออกสู่สันติ
“ไอ้ตัวสมองกลวง ไม่มีปัญญาสร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่แล้วเหรอ ทุกอย่างเหมือนเดิมแบบนี้โคตรน่าเบื่อเลยว่ะ ไอ้กาก!”
ความกักขฬะถูกปลดเปลื้องออกจากกมลสันดาน ตามปกติเด็กหนุ่มไม่ใช่คนหยาบโลนหรือสุภาพ เขาก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก ทว่าอาชีพการงานกดทับให้เขาต้องเป็นคนพูดจาหวานหอมน่าฟัง
แต่ตอนนี้มิวรู้สึกหงุดหงิดที่โดนก่อกวน แล้วอีกอย่างนี่คือในฝันของตัวเอง เขาจะทำอะไรหรือพูดอะไรก็ได้
“โผล่หัวออกมาดิ เจอหน้าจะต่อยแม่งให้ยับ!”
เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังรอบทิศทาง มิวไม่สามารถจับได้ว่าต้นตอมาจากไหนหรือเจ้าสิ่งนั้นรู้สึกอย่างไร ทุกอย่างคลุมเครือปั่นประสาท
หมอกขาวโอบล้อมพื้นที่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ ครั้งนี้เขาไม่แสดงออกถึงความกลัว คิ้วดกหนาขมวดอย่างตั้งมั่น สองขาแยกออกตั้งท่าสำหรับอะไรก็ตามที่อยากเข้ามา
“ฉันรู้หรอกน่าว่านี่แค่ความฝัน… ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใครแล้วทำได้ยังไง แต่ฉันไม่ใช่เหยื่อของแกอีกต่อไป!”
“กลิ่นของนายเหมือนลูกพีชต้องห้ามในสวนบาบิโลน”
“ช่างหัวแกสิ! จะบาบิโลน บาบิก้อนอะไรก็เรื่องของแก” มิวตะโกนท้าทาย “เลิกทำอะไรซ้ำซากเดาทางง่ายสักทีสิโว้ย!”
“หน็อย!”
อีกฝ่ายคำรามก่อนกัดฟันเสียงดังสะท้อนไปทั่ว แม้ไม่เห็นหน้าก็รู้ได้เลยว่าเจ้าสิ่งนั้นน่าจะกำลังหงุดหงิดไม่ใช่น้อย
ชั่วครู่สายลมเย็นเฉียบพุ่งมายังด้านหลัง พร้อมร่างใหญ่ที่จะหมายยึดร่างของมิวเอาไว้ในอ้อมอก ทว่าเด็กหนุ่มเอี้ยวตัวหลบไปได้อย่างหวุดหวิด
“ไอ้กระจอก! แกจะต้องสำนึกที่ทำให้ฉันโมโห ไอ้เวรตะ-!!!”
ร่างเดิมทะยานพุ่งมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม เล่นเอาความสะใจชั่วครู่ของมิวดับวูบไป
เด็กหนุ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เจ้าสิ่งนั้นกอดเขาไว้แน่นจนแก้มเนียนใสแนบชิดติดกับหน้าอกหนาแกร่ง
สิ่งที่ทำให้มิวตกใจไม่ใช่พละกำลังที่มหาศาลหรือปีกค้างคาวยักษ์ที่กระพืออยู่ด้านหลัง แต่เป็นเสียงหัวใจที่แนบกับหู มันชัดเจนจนเสัมผัสถึงชีวิตที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทรวงอกเปลือยเปล่าของเจ้าตัวโตนี้ได้
“ปล่อยนะโว้ย” มิวตีอกชกลม พยายามแข็งขืน
คำสบประมาทที่พ่นออกไปก่อนหน้านี้ค้ำคอเด็กหนุ่มไว้ไม่ยอมเสียหน้า เขาจะพลาดท่าแล้วปล่อยให้ไอ้พี่เบิ้มนี้เยาะเย้ยไม่ได้เป็นอันขาด
“อยู่เฉยๆเถอะน่า เผลอตกลงไปเจ็บตัวไม่รู้ด้วย”
“ยังไงฉันก็ต้องตื่นอยู่ดี”
“เชื่อฉันเถอะ! ความฝันนี้มันไม่เหมือนความฝันอื่นๆที่นายเคยเจอ มันจะส่งผลโดยตรงต่อกายหยาบของนาย”
“ไร้สาระ ความฝันก็คือความฝัน!” มิวโหวกเหวกโวยวายพลางคว้าหมับเข้ากับส่วนหนึ่งของปีกด้านหลัง เขาไม่ลังเลที่จะหักมัน
“อ้ากกกกกก!!!”
เสียงร้องดังสนั่นกึกก้องไปทั่วม่านหมอก มือหนาแกร่งที่โอบล็อกร่างของเด็กหนุ่มคลายออก ร่างใหญ่โตมีเขาสีดำทมิฬหมุนเคว้งด้วยความเจ็บปวด
อิสระของมิวในตอนนี้ไม่ใช่การโบยบินแต่เป็นการร่วงหล่น ตัวของเขาลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ทิศทางเดียวที่นำพาเขาไปคือเบื้องล่าง
ม่านหมอกเริ่มแหวกทางให้ร่างของเด็กหนุ่มแทรกผ่าน สายลมเย็นยะเยือกตีปะทะใบหน้ากัดกินผิวหนังจนแสบร้อน มิวไม่ได้รู้สึกทุกข์กับเหตุการณ์ตรงหน้า เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเมื่อสัมผัสกับพื้นข้างล่างนั่น เขาก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่าเจ้าของฝันก็ไม่อาจรู้ดีไปกว่าคนสร้างฝัน เจ้าปีศาจตัวโตรู้ดีว่าจะเกิดขึ้นอะไรหากชายหนุ่มแลนด์ดิ้งสู่พื้นถนน และจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด
ร่างใหญ่ยักษ์บินเถลาลงมาด้วยปีกที่บาดเจ็บข้างหนึ่ง
ปีกที่หักงอนั้นทำให้การควบคุมทิศทางเป็นไปได้ยาก มันเลือกซ่อนปีกที่เกะกะนั้นกลับเข้าไปใต้ผิวหนังและพุ่งความสนใจไปยังร่างเล็กๆตรงหน้า
‘ไม่ว่าอย่างไรต้องคว้าไว้ให้ได้’
ความตั้งใจแน่วแน่ของปีศาจใกล้สำเร็จเมื่อร่างตรงหน้าใหญ่ขึ้นตามระยะที่กระชั้น ในขณะเดียวกันพื้นเบื้องล่างก็เริ่มเป็นเส้นทางชัดเจนเช่นเดียวกัน
“ไอ้บ้าเอ๊ย! อยากนอนเป็นเจ้าชายนิทราหรือไง”
ปีศาจร้องตะโกนอย่างหงุดหงิด ทว่ามิวที่ได้ยินก็ไม่ใส่ใจ เขาเอาแต่ยิ้มร่าเมื่อจินตนาการว่าข้างหน้าเป็นเตียงนอนแสนนุ่มของตัวเอง
ในอีกไม่กี่เมตรก่อนที่ใบหน้าของมิวจะกระแทกเข้ากับพื้นแข็งกระด้าง ในที่สุด… แขนอันหนาแกร่งสีเข้มก็คว้าเด็กหนุ่มเข้ามากอดจนสำเร็จ
ร่างของทั้งคู่พันธการจนแน่นอีกครั้ง ปีศาจพลิกตัวของมิวให้อยู่เหนือกว่า
เพียงการกระดิกนิ้วในวินาทีสุดท้ายก่อนกระทบกับพื้นคอนกรีต ด้านหลังก็กลายเป็นเตียงหนานุ่มผุดขึ้นมารองรับด้วยการสรรค์สร้างจากเวทมนตร์
แผ่นหลังหนากว้างของปีศาจจมลงไปบนเบาะก่อนจะกระเด้งขึ้นมาอยู่หลายครั้ง ตามมาด้วยเสียงโครมครามสนั่นหวั่นไหว
“โอ๊ยยยยยย!” ปีศาจร่างใหญ่ร้องลั่นเมื่อความเจ็บปวดร้าวไปไปถึงสมอง
อาการบาดเจ็บทำให้ท่อนแขนอ่อนแรงมากพอที่จะทำให้มิวดิ้นหลุด เด็กหนุ่มหนุ่มผุดตัวขึ้นนั่งพร้อมกันกับสิ่งอมนุษย์ตรงหน้า
“นี่ฉันตื่นแล้วหรือยัง?” มิวหยิกต้นแขนของตัวเองจนแดง ความเจ็บดิ้นพล่านไปตามต้นแขน“โอ๊ย!!!”
“นายยังไม่ตื่น” ปีศาจร่างใหญ่ประคองร่างให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความเหน็ดเหนื่อย “แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความฝันธรรมดา ฉันบอกนายไปหลายครั้งแล้ว”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไม่รู้ว่าควรตกใจหรือสงสัยอะไรดี
ในช่วงขณะมึนงงอยู่นั้นมิวก็นึกขึ้นได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญซึ่งหน้ากับเจ้าตัวปัญหา เจ้านั่นดูเหมือนคนและไม่เหมือนคนไปพร้อมกัน
ใบหน้าคมเข้มสันกรามคมกริบภายใต้เรือนผมสีดำเข้ม เข้ากันได้ดีกับสันจมูกสูงโด่ง ปลายเชิดเล็กน้อยตอบรับกระจับปากได้อย่างสมส่วน
ที่ไม่เหมือนคนคงเพราะเขาโค้งงอกลางศีรษะ กับนัยน์ตาที่ทอประกายสีทอง แต่โดยรวมแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน
กลิ่นหอมอ่อนเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่เพียงกระตุ้นจังหวะหัวใจของมิวให้เร็วขึ้น ทว่าบางอย่างภายใต้ชุดกีฬาบางเบาก็เริ่มรู้สึกรุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
ปีศาจส่วนใหญ่ก่อกำเนิดจากอารมณ์ของมนุษย์ นี่คือพลังที่แม้แต่ผู้สร้างอย่าง ‘มนุษย์’ เองก็ไม่รู้ นอกจากจะก่อกำเนิดอมนุษย์ต่างๆแล้ว มนุษย์ยังเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์วิเศษเหล่านี้อีกด้วย พวกมันมีชีวิตเกือบเรียกได้ว่าอมตะ และสามารถสร้างสิ่งวิเศษที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ ถึงแม้จะมีเวทมนตร์ทรงพลังแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในมือในเผ่าพันธุ์ด้อยปัญญา พลังเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งที่มีขีดจำกัด เนื่องจากไร้การสรรค์สร้างมากพอจะเอาไปใช้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการสนองความอยู่รอดของตัวเอง ทว่าก็นับว่าดีที่สิ่งทรงพลังอย่างเวทมนตร์นั้นไม่อาจถูกครอบครองด้วยมนุษย์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจใช้มันเพื่อทำลายล้างกันเอง และสร้างความโกลาหลยิ่งใหญ่เกินกว่าโลกทั้งใบจะรับได้ จวบจนทุกวันนี้ความัลบเหล่านั้นก็มีน้อยคนเท่านั้นที่จะรู้ เหล่าอมนุษย์ยังคงเร้นกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อชักจูงบรรดาอาหารบุฟเฟ่ต์เหล่านี้ ให้มอบพลังให้แก่ตนเองเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงนายเหนือหัวของพวกมันอีกที ในหมู่มวลปีศาจที่โด่งดังคงหนีไม่พ้นพวกคิวบัส ปีศาจที่เข้าไปยุ่มย่ามกับตั
เสายักษ์ปักตระหง่านท้าทายผู้กล้า สีของมันเข้มเช่นเดียวกันกับผิวส่วนอื่นไม่ผิดเพี้ยน ส่วนปลายโค้งงอเข้าหาสะดือจนเกือบจรดกัน ทุกการเต้นเร่าของชีพจรในดุ้นแท่งเขื่องไหลผ่านเข้าไปยังแก้มเต่งตึงของเด็กหนุ่ม หลอดเลือดทุกเส้นสูบฉีดอย่างดุเดือดจนได้ยินเสียง เรื่องน่าประหลาดชวนหลงใหลนี้ถูกหลอมรวมเข้ากับความจริงจนเป็นเนื้อเดียวกัน ลมหายใจระอุลูบไล้อย่างแผ่วเบากับท่อนเอ็นยักษ์ ที่ผงกหัวอยู่ระหว่างขาของชายร่างสูงใหญ่ กลิ่นหอมประหลาดลอยอบอวลเต็มห้องอันคับแคบ เจ้าท่อนนั้นสั่นเทาเมื่ออาร์เต้เอามันถูไถเบาๆด้วยแก้มนุ่มนิ่ม ลมหายใจของทั้งไต่ระดับความรุนแรงขึ้นตามการแนบชิด อาร์เต้เงยหน้าขึ้นมองเพื่อดูปฏิกิริยา สายตาของผู้นั่งอยู่เบื้องบนจ้องกลับมาด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รับความสนใจ “นายรู้วิธีเล่นกับมันนี่” เสียงทุ้มลอดผ่านรอยยิ้ม “ฉันเรียนรู้วิธีพวกนี้มาจากลูกค้า” อาร์เต้ตอบพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “เสียดายที่ร้านห้ามมีอะไรกับลูกค้า ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ต้องมาที่นี่เพื่อหาที่ปลดปล่อยหรอก” “ที่ทำงานของนายงี่
“อ่อก… อึก…” ใบหน้าของอาร์เต้แดงก่ำ การควบคุมลมหายใจยากลำบากมากขึ้นเมื่อในลำคอของเขายังถูกเติมเต็มไม่หยุด “อือออ…” “อ้า… !!! ฉัน… เกือบแล้ว” จังหวะเร่งเร้าขยับเส้นทางสู่จุดสูงสุดให้เข้าใกล้ ถึงแม้มือใหญ่หนาไม่ได้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ศีรษะของอาร์เต้ยังคงโขกสับไม่ลดละ สัญญาณเตือนบวมใกล้ระเบิดจนเต็มปาก เด็กหนุ่มไม่แสดงท่าทีถอดถอนริมฝีปากแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังรัวชักบีบคั้นท่อนเนื้ออย่างเมามัน “ฮะ… ฮึก… ฮ่า…” ทั้งขบเม้มกรามและริมฝีปาก ใบหน้าสีเข้มบิดเบี้ยวเมื่อเผชิญกับช่วงเวลาอึดอัดสุดท้ายก่อนระเบิด ลมหายใจหนักแน่นเป่าให้ลอยสูงขึ้นไปบนผนังไม้เทียม เสียงครางกระเส่าดันเป็นจังหวะพร้อมหน้าอกกระเพื่อมแรง “อ้า… !!!” ช่วงคอที่ถูกเสียดสีจนเกือบเผาไหม้ถูกเติมเต็มไปด้วยของเหลวขาวขุ่น ส่วนปลายสั่นหงึกและกระตุกเร่าทุกครั้งที่ปลดปล่อยน้ำไร้เชื้อออกมา กลิ่นคาวผมมหวานคละคลุ้งทั่วปากจนถึงจมูก มันหอมและชวนพะอืดพะอมในคราวเดียวกัน ใบหน้าขาวนวลเนียนแดงก่ำจากการสำลัก แท่งเนื้อยังคงค้างคาอยู่ภายในช่องปาก พ่นความสุขสมออกมาอยู่อีกหลายระลอก
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท