ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง
อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน
“นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ
ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด
ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น
การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน
ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล
“แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปีศาจเขาโค้งงอก็ถอนรอยจูบ “ถึงลิ้นของฉันมันจะงอกใหม่ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากเจ็บตัวเพราะนายเป็นครั้งที่สามหรอกนะ”
มิวกระโดดเด้งออกจากจากเตียง เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นพรมโดยไม่สนใจอีกต่อไปว่า นี่จะใช่ห้องนอนของเขาจริงไหม “อย่ามาฉวยโอกาสกันง่ายๆแบบนี้นะเว้ย”
“แต่ถ้าจ่ายเงินก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม” พูดจบธนบัตรเป็นพันใบก็ร่วงหล่นมาจากอากาศราวกับเสกได้ “เอาไปสิ ค่าตัวของนาย หรือจะเอาเป็นเหรียญทองหล่นใส่หัว… จะได้แก้แค้นที่หักปีกฉัน”
“อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้ ฉันไม่ตลกด้วย”
ชายหนุ่มเหลืออดกับเรื่องเกินคาดเดาตรงหน้า มิวอยากหนีไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีไอ้ตัวป่วนประสาทแบบนี้ เขาบึ่งตรงไปยังประตูห้องนอน โดยหวังว่าหลังประตูบานนี้จะพาเขาไปโผล่ที่อื่น
ทว่าหลังบานประตูกลับกลายเป็นห้องนอนของเขาที่มีเจ้าปีศาจเจ้าเล่ห์นั่งยิ้มเยาะอยู่อีกห้องแทน
มิวเร่งฝีเท้าด้วยความหงุดหงิดไล่เปิดประตูตรงหน้า แต่ทุกบานก็นำเขากลับมายังจุดเริ่มต้นเสมอ
บานแล้วบานเล่าก็ลงเอยแบบเดิม คือห้องนอนของตัวเองพร้อมตัวประหลาดแก้ผ้าอยู่บนเตียง จนในที่สุดมิวก็ยอมพ่ายแพ้ต่อปริศนาอสงไขย เขายืนชิดผนังเหนื่อยหอบ หน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง
“ฉันชอบที่นายดูดิ้นรนนะ ฮ่าๆ ไม่เหมือนคนอื่นที่ฉันเคยเจอ” ปีศาจร่างยักษ์หัวเราะ “วิ่งไปอีกสิ! พิษจะได้ระเหยซึมเข้าไปในตัวนายได้ง่ายขึ้น”
“พิษ? นายทำอะไรฉัน”
“โธ่! กลัวเป็นแล้วเหรอ… พ่อคนห้าวตีนไปอยู่ไหนเสียแล้วล่ะ”
มิวนิ่งเงียบเพราะเริ่มรู้สึกถึงความกลัวขึ้นมาตามคำของปีศาจ
“น้ำลายของฉันมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นหรอก พวกมนุษย์ชอบเรียกว่ามันเป็นพิษ แต่ฉันว่ามันเหมือนยาปลุกกำหนัดมากกว่า”
แม้จะไม่สามารถปะติดปะต่อทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่มิวก็พอเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร โดยเฉพาะเมื่อคำพูดนั้นค่อยๆกลายเป็นจริง บางสิ่งบางอย่างกระตุ้นแรงปรารถนาของเขาให้ตื่นขึ้น
เหงื่อที่แห้งซึมไปกับเนื้อผ้าเริ่มออกมาตามไรผมอีกครั้ง ชีพจรเต้นตุบๆ ตามข้อพับ
“กลิ่นของนายเริ่มหอมแล้ว” ปีศาจแสยะยิ้มเขาลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เยื้องย่างเข้าใกล้ร่างเด็กหนุ่ม ท่อนเนื้อที่ยังไม่แข็งตัวแกว่งไกวตามแรงกระเทือน “คุ้นๆเหมือนกลิ่นของใครสักคนที่ฉันเคยเจอ เหมือนจะนานมาแล้ว แต่ช่างมันเถอะ… ป่านนี้เจ้าหมอนั่นคงกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว”
“ทำไมถึงชอบพล่ามอะไรที่คนอื่นเขาไม่เข้าใจด้วย”
“แล้วทำไมพออยู่ในฝันนายถึงเอาแต่หงุดหงิดนักนะ”
“ก็เพราะมันเป็นพื้นที่เดียวที่ฉันจะได้เป็นตัวเอง แต่คน…” มิวหยุดนึกครู่หนึ่ง เมื่อพินิจร่างตรงหน้าแล้วดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่มนุษย์ ถึงจะคล้ายอยู่ก็ตาม “ไอ้ตัวประหลาดอย่างนายก็ดันมายุ่มย่าม”
“ก็ได้! ถ้าอย่างนั้นฉันจะพูดให้น้อยลง แล้วเน้นการกระทำให้มากขึ้นก็แล้วกัน”
ร่างสูงชะลูดเดินผ่านความพร่าเบลอเข้าใกล้ความชัดเจน แววตาอันคุ้นเคยปรากฏฉายอยู่ในใบหน้านั้น “เดี๋ยวนะ! เหมือนฉันเคยเห็นนายจากที่ไหนสักที่”
ปีศาจเปลือยเปล่าตัวสูงใหญ่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาไม่เปล่งเสียงแม้เพียงนิดเดียวตามคำกล่าวอ้าง แต่ใช้การกระดิกนิ้วเบาบางเพื่อสื่อสารทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา
หลังของมิวที่ติดกับผนังร้อนวูบไหว ท้องน้อยเสียวซ่านจนต้องเอามือกุม เส้นเลือดเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังเนียนนุ่ม การหายใจเริ่มติดขัดมากขึ้นทุกที
บางอย่างภายใต้กางเกงออกกำลังกายกำลังตั้งตระหง่าน ส่วนปลายเสียดสีกับเนื้อผ้าลื่นมันจนจักจี้ มิวกัดฟันไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้เสียงในลำคอเล็ดลอด
ปีศาจหน้าคมเข้มเข้าประชิดตัวของมิว พร้อมกระดิกนิ้วอีกครั้ง ปากของเด็กหนุ่มก็อ้าออก
“อือ… ไอ้… เอี้ย” ความสามารถของมิวทำได้แค่สื่อสารไม่เป็นภาษา
นิ้วโป้งอวบใหญ่สีน้ำตาลทองกดเบาๆลงบนริมฝีปากล่างของชายหนุ่ม มันค่อยๆละเลียดไปตามแนวยาวอย่างช้าๆ ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปยังโพรงเบิกกว้างนั้นได้อย่างง่ายดาย
ลิ้นของมิงพยายามขัดขืนไม่ให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาได้ ทว่ามันกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่ายเสียมากกว่า เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มสื่อสารออกมาได้ไม่ดีนัก
“อือ…” มิวพยายามไล่ปีศาจร้ายให้ถอย แต่เสียงนั้นเหมือนเขาครางเสียมากกว่า
เรี่ยวแรงทั้งหมดมอดไหม้ในชั่วพริบตา เพียงแค่ปีศาจร่างเปลือยวาดลิ้นเป็นวงกวาดต้อนรสชาติในช่องปากของมิว เด็กหนุ่มก็ไม่อาจยกมือขึ้นต่อสู้ได้อีกต่อไป
อันที่จริงมิวเริ่มโหยหาอารมณ์นี้ อารมณ์ที่ขาดหายไปนานนับปีจากชีวิต เขาคิดถึงความร้อนวูบวาบในช่องท้อง และสมองที่ตื้อตึงจากการสัมผัส
มิวลดเปลือกตาลงเฉกเช่นการป้องกันที่พังทลาย ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่กี่มิลลิเมตร
ปีศาจเขาใหญ่สอดมือเข้าไปใต้ร่มผ้าของมิว ขยับวนไปรอบๆก้นที่กลมแน่นเพื่อหยอกล้อกับร่างกายของเหยื่อในอ้อมแขน
การกดเพียงแผ่วเบาก็ดันสะโพกของมิวให้เอนเข้าหาตัว อาจด้วยความสูงที่ต่างกันพอประมาณ ลอนท้องบอบบางของมิวจึงแนบชิดท่อนเนื้อที่เริ่มขยายตัว
ช่องว่างของทั้งสองร่างปิดทับสนิทจนแม้แต่หมอกทึบสีขาวก็ไม่อาจแทรกผ่านได้ ในขณะที่ริมฝีปากเผยออ้าแลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกัน เจ้าปีศาจราคะใช้มือปลดกางเกงเนื้อผ้าเบาสบายด้วยมือของตัวเอง จนมันหล่นกองลงไปกับพื้น ก่อนจะโหมแรงบีบเคล้นพีชแห่งบาบิโลนจนเป็นรอยฝ่ามือ
“ดะ… เดี๋ยว” มิวเบิกตากว้างถอนริมฝีปากที่เปียกชุ่มออก ดูเหมือนมนต์สะกดจะถูกทอดถอนเหมือนกางเกงกีฬา “แม่งเอ๊ย!”
จู่ๆมิวก็สบถออกมา ไม่ใช่เพราะความหงุดหงิด แต่เพราะความรู้สึกชอบพอที่ดันอย่างแรงกล้าอยู่ภายใน
“นาย… อยาก… แล้วสินะ” ปีศาจแสยะยิ้มอวดเขี้ยวซี่งาม ใบหน้าสูบฉีดด้วยเลือดจนเต็มสองแก้ม
เด็กหนุ่มก้มหลบสายตาด้วยความเขินอาย มันไม่ใช่เพียงเพราะปีศาจตรงหน้าปลุกอารมณ์หื่นกระหายในตัวของเขาได้ แต่ยังทำให้น้องชายที่ใช้งานไม่ได้มานานลุกชูชันได้อย่างน่าประหลาด
“ยอมรับมาเถอะน่า ว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นายต้องการ”
ถึงแม้จะเจอลูกค้ามามากมาย แต่ไม่รู้ทำไมมิวถึงรู้สึกอ่อนไหวมากเมื่ออยู่ในวงแขนแข็งแกร่งของปีศาจตนนี้ เขาได้แต่กัดริมฝีปากให้เป็นคำตอบที่ไม่อยากพูด
“ให้ฉันดูแลนายเอง” ปีศาจหนุ่มล่อลวงด้วยถ้อยคำหวานซึ้ง
“เพราะนายเลย… บ้าชิบ!” มิวพยายามปกป้องตัวเองด้วยการปฏิเสธ แต่เสียงกระหืดกระหอบนั้นฟังแล้วดูสวนทางกัน “เอาไงก็เอาวะ”
มิวไม่สามารถควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มทำได้ในตอนนี้เพื่อไม่ให้ปีศาจตรงหน้าเห็นความเขินอายของเขาจนได้ใจ คือกดหน้าลงบนหัวไหล่อันกว้างหนาเป็นการหลบสายตา
ทว่าการสื่อสารนี้ก็ผิดพลาดตามเคย ปีศาจหนุ่มครางอย่างพึงพอใจในลำคอ “ฉันจะรับผิดชอบความผิดที่ฉันก่อให้เอง แล้ว… ฉันควรจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไงดี”
“ยังจะมามัวล้อเล่นหาพระแสงอะไรอีกเจ้าบ้า อย่างทำอะไรก็รีบทำสักทีสิ”
“ก็ได้… ถ้านายพร้อม”
ปีศาจในร่างกายหยาบรู้สึกถึงแรงสั่นที่หัวไหล่ เขาตีความเอาว่าชายหนุ่มคงพยักหน้าเพื่อเป็นการยินยอมให้เริ่มขั้นต่อไป “งั้นเรากลับไปทำกันที่เตียงดีไหม ความสูงของฉันจะได้ไม่เป็นปัญหา”
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก ชายหนุ่
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
“ผมไม่ได้รับลูกค้าพร้อมพี่มิวมาสักพักใหญ่แล้วใช่ไหม ครั้งล่าสุดเดือนที่แล้วหรือเปล่า… ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว” เด็กหนุ่มน้ำเสียงสดใส ดวงตาเป็นประกายเปล่งปลั่งอิ่มเอม ใครจะไปเชื่อว่าเมื่อวานสภาพของเขายังแทบดูเหมือนผีดิบไร้ชีวิต ขอบตาสีคล้ำสว่างใสขึ้นมาก จนการปาดเครื่องสำอางเบาบางเพียงครั้งเดียวก็ปกปิดรอยคล้ำจนเกลี้ยง แก้มทั้งสองขาวใสอมชมพูด ริมฝีปากระเรื่อเจือความชุ่มฉ่ำไม่ลอกแตกเป็นขุน การฟื้นฟูแบบพลิกผันของอาร์เต้เกิดขึ้นรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบชั่วโมง สร้างความประหลาดใจให้มิวไม่น้อย ชายทั้งสองใช้เวลาก่อนเริ่มงานนั่งเอื่อยเฉื่อยบนโซฟากำมะหยี่ตัวยาว มิวค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรในแถบยุโรป ส่วนอาร์เต้ส่งข้อความคุบกับชายแปลกหน้าในแอปพลิเคชันหาคู่ “ผมไม่ค่อยชอบดูแลลูกค้าผู้หญิงเลย” อาร์เต้บ่นอุบอิบ เขารู้ว่าเป็นเรื่องแย่ที่พูดถึงลูกค้าในเชิงลบ แต่ก็ตามนิสัยเด็กหนุ่มผู้มุทะลุ การระบายให้คนที่ไว้ใจฟังมันง่ายกว่าการเก็บงำไว้คนเดียว “ผู้หญิงสงวนท่าทีเยอะกว่าผู้ชาย อ่านเกมก็ยากกว่าเยอะ ผมชอบลูกค้ารุกเร็วๆรุกแรงๆมากกว่า ไม่ชอบเสีย
ทุกอารมณ์และการเคลื่อนไหวถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ ความสนใจพุ่งตรงไปยังชายหน้าใหม่ผู้ซ่อนตัวไม่มิดอยู่หลังเป็นเอก นอกจากจะสูงเด่นเกือบสองเมตรแล้ว ผิวสีน้ำตาลทองที่เนียนละเอียดยังขับให้ทั่วทั้งร่างดูโดดเด่นเมื่อต้องกับแสงไฟ ขนาดเทวดาทั้งสามผู้เป็นตัวท็อปของอมอร์ยังไม่อาจละสายตาทิ้ง ชายผู้มีใบหน้ามาดมั่นยืนอวดรอยยิ้มอยู่ด้านหลังของผู้จัดการร้าน เขี้ยวซี่ขาวยาวทะลุริมฝีปาก ชวนให้นึกถึงใครสักคนที่กำลังอยากทำเรื่องไม่ชอบมาพากล ดวงตากลมโตของมิวพินิจพิจารณาพนักงานใหม่ตั้งศีรษะจรดเท้า เขารู้สึกคุ้นเคยอยากบอกไม่ถูก ทั้งส่วนสูงและสีผิวทำให้ทรวงอกร้อนรุ่ม ถึงจะพอสร้างข้อมูลกระจัดกระจายเอาไว้ในหัวได้ ทว่ามิวก็ไม่กล้าประติดต่อปะต่อเรื่องราวทุกอย่างรวมกัน ด้วยสิ่งที่เขาคิดนั้นมันเหนือความเป็นจริงไปมาก ชายหนุ่มจึงทำได้แค่จ้องมอง “ปกติเด็กใหม่มาไม่เห็นจะต้องพามาแนะนำให้พวกเรารู้จัก” เจษยิงคำถามในขณะที่เริ่มแต่งหน้า หางตาแอบเหล่มองพนักงานตัวสูงใหญ่อย่างระแวดระวัง “ทำไมจู่ๆพี่เป็นเอกถึงพาคนนี้มา” “ก็พามาให้เด็กมันเห็นว่าพวกพี่ๆตัวท็อปของร้านเขา
ใครก็ตามที่รู้จักกับดันเต้มาได้สักระยะหนึ่ง จะรู้ได้ว่าพฤติกรรมรวมถึงคำพูดไม่เหมือนคนทั่วไปของเขานั้น เกิดจากการที่เขาไม่ใช่มนุษย์ และหากความทรงจำไม่เลอะเลือนไปเสียก่อนจะจำได้ว่าชายร่างสูง้กือบสองเมตรคนนี้เป็น ‘*ปีศาจคิวบัส’ งานหลักของอมนุษย์พวกนี้คือการปลุกปั่นอารมณ์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงาน ทำให้การดำรงอยู่ของนายเหนือหัวของพวกมันเป็นนิจนิรันดร์ ยิ่งทำให้มนุษย์เกิดอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของตัวเองได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้นายเหนือหัวของพวกมันเข้มแข็งมากขึ้นตามไปด้วย และจะตามมาด้วยการก่อเกิดปีศาจได้อย่างไม่รู้จบ เป็นวัฏจักรในโลกลี้ลับที่หมุนเวียนแบบนี้มาช้านาน ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือจุดประสงค์หลักจุดประสงค์เดียวที่ทำให้ดันเต้มีตัวตน การทำงานมานับร้อยหรือนับพันปีเช่นนี้ จะพูดว่าเบื่อก็คงบอกได้ไม่เต็มปาก เพราะอสูรเสพกามอย่างเขาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองเจตจำนงอย่างอื่น การอยู่เพื่อทำหน้าที่ของตนจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกึ่งอมตะ เมื่อก่อนดันเต้มักสิงสู่อยู่แต่ในความฝัน โดยเฉพาะช่วงยุคกลาง… เมื่อมีชายบ้าอำนาจคนหนึ่งองดอ้างว่าตนวิเศษ
ถึงจะเป็นห้องวีไอพีขนาดเล็กสุด แต่ความบันเทิงก็มีให้อย่างครบครันไม่ต่างจากห้องใหญ่ ความสนุกถูกย่อให้เล็กลง ทว่ามันก็ยังตื่นตาตื่นใจอยู่ดี เครื่องอำนวยความบันเทิงครบครันในทุกพื้นที่ของห้อง ทั้งโทรทัศน์พร้อมโหมดคาราโอเกะ โซฟาหนังตัวยาว ไฟดิสโก้เปลี่ยนสีทุกวินาทีเพิ่มความมึนเมา และอุปกรณ์เอนเตอร์เทนมากมาย ทว่าทั้งหมดที่จัดแจงเอาไว้กลับแทบไม่ถูกใช้งาน พวกมันถูกตั้งเอาไว้นิ่งๆ และเป็นฝ่ายเฝ้าดูกิจกรรมสันทนาการในห้องแทน ไฟถูกเปิดไม่ให้สว่างเกินไป หน้าจอโทรทัศน์ดับมืดทำหน้าที่สะท้อนภาพสยิวแทนกระจก มีเพียงโซฟาเท่านั้นที่ถูกใช้งาน ชายร่างใหญ่ปลดกระดุมออกจนหมดเพื่อระบายความอัดอั้น กางเกงเข้ารูปสีนาวีถูกปลดกองไว้ที่หน้าแข้ง มือทั้งสองวางพาดบนพนักพิงด้วยท่าทีสบายๆ หว่างขามีชายใส่แว่นง่วนอยู่กับการพยายามจับดุ้นยักษ์เข้าปาก แต่การกระแทกอย่างไม่หยุดยั้งจากด้านหลัง ทำให้เรื่องง่ายๆยากขึ้น “อึก… ” น้ำลายเจิ่งนองถูกลอบกลืนลงคอยามดุ้นยักษ์หลุดออกจากโพรงปาก และตามมาด้วยเสียงสำลักยามมันถูกกลืนกลับไปจนเกือบทะลุคอหอย “อ๊อก… อ่อก…”
ในห้องสี่เหลี่ยมทึบทั้งสี่ด้านไม่มีอะไรให้สังเกตสังกา โดยเฉพาะในช่วงเวลาอันเหนื่อยอ่อนเช่นนี้ เด็กหนุ่มลอบมองไปยังใบหน้าขาวผุดผ่องภายใต้เรือนผมสีทอง เขาไม่อาจคาดเดาได้ว่าข้างในจิตใจของคิวปิดตรงหน้าอยู่นั้น มีความเป็นปีศาจหรือเทวดามากกว่ากัน “เลอะเทอะกว่าที่คิดไว้สักหน่อย” เอสันใช้แรงมหาศาลที่ขัดกับรูปลักษณ์ของตัวเอง ยกเก้าอี้ขึ้นมาตั้งเพื่อให้มิวนั่ง หลังมองเห็นขาเรียวบางของมนุษย์หนุ่มสั่นงันงกแทบยืนไม่ไหว “แต่ก็หวังว่านายจะไม่ได้รับพลังของฉันจนมากเกินไปนะ” “หมายความว่าไง?” มิวถามห้วนๆ หลังพักสะโพกลงบนเก้าอี้บุหนัง จิตใจของเด็กหนุ่มสงบลงหลังเสร็จกิจกามฉบับเร่งด่วน เขามีเวลาได้พักผ่อนร่างนิดหน่อย ถึงกุญแจมือจะเริ่มบาดข้อมือมากขึ้นก็ตาม “ก็ตอนนี้ในตัวนายมีอะไรต่อมิอะไรผสมกันยุ่งเหยิงไปหมด ขืนนายรับเวทมนตร์เล่นงานมั่วซั่วเข้าไปจนเกินพอดี มีหวังนายอาจจะเสียตัวตนไปตลอดกาลก็ได้” เมื่อเห็นแววตาช่างสงสัยของมิว เอสันจึงขยายความต่อสั้นๆ “หมายถึงวิกลจริต” มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย สีหน้าของมิวซีดเผือด หางคิ้วและดวงตาลู่ต่ำ ในหัวพยายามจับคู่ใบหน้ากับ
นิ้วมือทั้งสิบของเอสันถูกปกคลุมด้วยเมือกเหลวโดยสมบูรณ์ เมื่อการกระตุกครั้งสุดท้ายสงบนิ่ง กามเทพผู้กระหายก็ปลดปล่อยอีกร่างให้เป็นอิสระ นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด… ทว่ากลับเป็นการเริ่มสู่บทใหม่ที่เร้าใจยิ่งกว่า ท่าทีกระเสือกกระสนด้วยความเสียวซ่านของมิว ปลุกชีพเทวดาน้อยตัวใหญ่ที่สิงสถิตอยู่ระหว่างขาของเอสัน ให้ชูชันพร้อมสำหรับบรรเลงท่วงทำนองการโหมโรง “ฉันถลำลึกเกินไปแล้ว” เอสันบ่นกับตัวเอง เขาทั้งรู้ตัวเองดีและขลาดเขลาไปพร้อมกัน ทุกอย่างในความนึกคิดถูกไฟแห่งความคลุมเครือแผดเผาจนเหลือแต่ตอตะโก “ฉันควรแค่นี้หรือเปล่า” “แล้วมีอะไรให้นายทำอีกหรือยังไง” มิวถามด้วยดวงตาใสซื่อ “ถ้าฉันอยากทำมากกว่านี้ล่ะ” คิวปิดฉายแววเจ้าเล่ห์ผ่านทางคำพูด พลางกดหลังของมิวให้แอ่นโค้ง และยกสะโพกให้เด้งสูง “ยังไงซะ! ก็หวังว่านายจะชอบของขวัญที่ฉันกำลังจะมอบให้นะ” สำหรับมิวของขวัญจากเทพไม่เคยเป็นเรื่องดี รวมถึงในสถานการณ์แสนหมิ่นเหม่ในครั้งนี้เช่นกัน ถึงอยากจะปฏิเสธหรือแข็งขืน แต่ผลลัพธ์คงออกมาไม่ต่างกัน ศาสตราแห่งเทพชูชันแข็งโด่อย่างเต
เมื่อโดนทักท้วงถึงความรู้สึกที่ถูกละเลย มิวรู้จึงเริ่มรู้ตัวถึงของเหลวที่ไหลซึมผ่านรอยแยกจากด้านหลัง มันพรั่งพรูออกมาไม่ต่างจากด้านหน้า เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าเขาควรวิตกกังวลกับเหตุการณ์นี้แล้วหรือยัง “เมล็ดพันธุ์คงกำลังกระตุ้นนายอยู่” เอสันพูดพลาง แสยะยิ้มที่ไม่อาจอ่านความหมาย ใบหน้าเคลือบแฝงความบริสุทธิ์และความร้ายกาจไปพร้อมกัน “ไม่ใช่เลือดหรืออะไรที่เลวร้ายใช่ไหม?” มิวลดคิ้วลงต่ำ พยายามก้มมองลงไปยังหว่างขาที่เปียกโชก แต่ก็ติดโซ่เย็นยะเยือกตรึงร่างเอาไว้ “มันก็แค่น้ำใสๆ เผื่อนายอยากรู้” หมอกจางๆสีสวยยังคงครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบให้โอบล้อมด้วยเสน่หา คิวปิดผู้ร่วมชะตากรรมลุกขึ้นยืน สาวเท้าก้าวเล็กๆ เข้าไปในวงเวทย์รูปดาว ดวงตาดุจดวงดาราในห้วงอวกาศจับจ้องไปยังใบหน้าขวยเขินของเด็กหนุ่ม “นายเป็นผู้โอบอุ้ม… น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าเมล็ดพันธุ์ต้องการอะไร” พูดพลางเอสันก็ยื่นมือจับไปยังแท่งไฟที่ยังแข็งอยู่กลางลำตัวของมิว “เกสรไม้ย่อมมีน้ำหวานเพื่อล่อหลอกให้แมลงเข้ามาเชยชม ถึงจะได้ดอกผลอันงดงาม” “ฮะ… อึก…” มิวย่นคิ้วใบหน้าเหยเก
นอกเหนือจากรสสัมผัสทางการมองเห็นจะน่าหลงใหล กลิ่นแก่นร่างกายของเอสันยังชวนให้มิวเคลิบเคลิ้ม จนเขาอดคิดถึงขนมเพิ่งอบใหม่ๆไปเสียไม่ได้ กลิ่นวานิลลาหอมอ่อนๆผสมกับกลิ่นละมุนของเด็กหนุ่มคละเคล้ากัน สร้างความรู้สึกอันหาสิ่งใดเปรียบเปรยไม่ได้ กามเทพหนุ่มมีรูปร่างสมส่วนราวกับปั้นแต่งโดยช่างศิลป์มือทอง ใบหน้าทั้งสองข้างสมมาตรกันพอดิบพอดีไร้ที่ติ ดวงตากลมโตแต้มสีฟ้าทอเป็นประกายงดงาม เส้นผมหยักศกเป็นลอนใหญ่ราวแสงอรุณสีเหลืองทอง ผิวพรรณก็เนียนลออเรียบลื่นไม่ต่างจากหินอ่อน กล้ามเนื้อมัดเล็กช่วยเสริมให้ร่างกายที่ไม่สูงมากนักดูแข็งแรง หากประเมินผ่านๆด้วยสายตา มิวคิดว่าเอสันน่าจะสูงสักร้อยเจ็ดสิบนิดๆ ซึ่งน่าจะเตี้ยกว่าเขาไม่เกินแปดเซนติเมตรโดยประมาณ เมื่อประกอบรวมกับใบหน้าอันอ่อนเยาว์ ทำให้ชายหนุ่มนึกสงสัยว่ากามเทพตรงหน้านั้นอายุถึงวัยทำเรื่องอย่างว่าจริงๆแล้วแน่ใช่ไหม “นายคงไม่สบายตัวแน่ถ้ายังขืนใส่กางเกงเอาไว้แบบนี้” เอสันพูดพลางเคล้นคลึงกลางเป้าที่เปียกแฉะ ยิ่งเขาสัมผัสและบีบแท่งเนื้อในร่มผ้านั้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแสดงอาการอึดอัดมากตามเท่านั้น “ให้ฉันถอ
สถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมผันเปลี่ยนเร็ว จนหัวของเด็กหนุ่มตาใสอย่างมิวหมุนตามไม่ทัน สติของเด็กหนุ่มอายุยี่สิบสี่ตั้งรับกับการผันผวนยิ่งกว่าดัชนีตลาดหุ้นไม่ไหว ไม่กี่อาทิตย์ก่อนมิวยังหงุดหงิดเรื่องไอ้จ้อนของตัวเองไม่ยอมกระดิกทำหน้าที่มานานหลายปี พอมาช่วงนี้เขากลับมีเรื่องอย่างว่ารุมล้อมไม่เว้นวัน เหมือนได้ช่วงชีวิตวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่ขาดหายคืนมาแบบทบต้นทบดอก อากาศนห้องถึงจะถูกเติมเข้ามาจนหายใจสะดวก ทว่ามิวกลับรู้สึกอึดอัด อาการคันยุบยิบปรากฏแถวท้องน้อย ที่สำคัญเด็กหนุ่มครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นพิเศษ อาการเหล่านี้เป็นแบบเดียวกับตอนดันเต้พยายามครอบครองร่างกายของเขา ยิ่งมองสบเข้าไปยังดวงตาสีฟ้าประกายแวววาว มิวยิ่งตกอยู่ในวังวนแห่งเสน่หา จิตวิญญาณบอบบางเหมือนลอยคว้างอยู่กลางอวกาศท่ามกลางหมู่ดาว เหงื่อเม็ดใสแตกซิกๆตามกรอบหน้า รูม่านตาขยายออกจากความตื่นเต้น หัวใจเต้นระริกอยู่ในโพรงอันอบอุ่น หมดทั้งสมองทึ่มทื่อมะลื่อของมิวไม่เหลือพื้นที่ให้สงสัยกามเทพหนุ่มตรงหน้า เมื่อเอสันบอกว่าการกลั่นแกล้งสารพัดเป็นฝีมือของน้องชาย มิวก็ยินยอมเชื่อว่าเป็นฝีมือขอ
หลังจากเดินจนครบหนึ่งรอบถ้วนทั่วพื้นที่ห้องสี่เหลี่ยม คิวปิดร่างเล็กก็ทิ้งตัวลงหน้ากรงขัง อันที่จริงเอสันรู้อยู่แล้วว่าทางออกเดียวของที่นี่คือประตูเหล็กบานใหญ่ที่ถูกปิดล็อกจากด้านนอก แต่เขาแค่เพียงอยากหาเรื่องอื่นให้สนใจนอกเหนือจากความปวดแสบกลางลำตัว เวทมนตร์แบบเดียวกับที่ดันเต้โดนเมื่อคราวก่อน มันส่งผลแสลงอย่างร้ายแรงเมื่อผู้รับเป็นปีศาจ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันไม่มีผลอะไรกับคิวปิดผู้เป็นเจ้าของ ความแสบร้อนรวมกระจุกกันอยู่ในช่องท้อง มันไม่ได้ถูกทำให้หาย เพียงแค่กักเก็บเอวไว้เพื่อรอเวลาปลดปล่อยที่เหมาะสม ‘เอสัน’ และ ‘เจสัน’ เป็นคู่พี่น้องฝาแฝดที่ทั้งรักและเกลียด ทว่าความเกลียดส่วนใหญ่จะอยู่กับเจสันผู้เป็นน้องเสียมากกว่า แม่ของทั้งสองเทพเป็นเทพีผู้เรืองนามเรื่องความงามและความรัก จึงทำให้บุตรชายของนางนั้นเป็นที่รักไปด้วย กระนั้นทั้งหมดกลับไปสามารถส่งถึงน้องชายผู้มาทีหลัง จริงๆแล้วอุปนิสัยของเจสันค่อนข้างผิดแผกจากการเป็นเทพทั่วไป ที่มักมีเป้าหมายอย่างชัดเจน แม้จะมีคิวปิดคนอื่นอีกมากมายก็ไม่มีใครเป็นเหมือนเจสันผู้นี้ เขาจึงถูกมองว่าเป
‘เอสันสองคน’ หากยังมีแรงมากพอมิวคงหัวเราะให้กับความตลกร้ายตรงหน้า ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้… สมองเพี้ยนๆ ของเขายังสามารถสร้างภาพลวงตาโป้ปดเพื่อลดทอนความรุนแรง ไอ้อาการแบบนี้มิวเคยเจออยู่บ้างนานๆครั้ง ความรู้สึกเหมือนผีอำทำให้ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ มองเห็นอะไรแปลกๆ กึ่งหลับกึ่งตื่นแยกแยะหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก มันต่างจากตอนเมาจนแฮงค์ ถึงกุญแจมือจะถูกหุ้มด้วยขนสัตว์เทียมอ่อนนุ่ม แต่ภายในยังคงเป็นเหล็ก มันถึงทิ้งรอยบาดเล็กๆ สีแดงช้ำๆ รอบข้อมือของมิว หากความชาถูกนับเป็นความรู้สึกก็ถือว่ามิวมีความก้าวหน้า เขาเริ่มซ่าๆแถวบริเวณที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมานาน และเหมือนว่าจะเริ่มเป็นตะคริวบ้างแล้ว เด็กหนุ่มพยายามกระชากข้อมือให้หลุดจากพันธนาการ เขามั่นใจว่าใช้แรงทั้งหมดที่รวบรวมได้ส่งไปยังท่อนแขนที่ชูเหนือหัว ผลลัพธ์ที่ได้มันเหมือนการกระตุกของกล้ามเนื้อมัดเล็กเสียมากกว่า การเคลื่อนไหวแผ่วเบาไม่อาจสร้างความสนใจได้มากพอ เป็นอีกครั้งที่มิวลองเปล่งเสียงจนสุดกะบังลม เช่นกัน… ผลลัพธ์ที่ได้มีเพียงลมอุ่นๆเล็ดลอดผ่านโพรงปากเพียงเท่านั้น
เสียงอึกทึกครึกโครมครอบคลุมพื้นที่ส่วนบน ยิ่งในวันหยุดด้วยแล้ว… ความโกลาหลและบาปเจ็ดประการรวมกระจุกกันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แสงไฟระยิบระยับสว่างไสวจนแสงดาวยังยอมแพ้ ทุกคนจับต้องไปยังเวทีที่จัดแสดงดาวบนดินมากหน้าหลายตา ไม่มีใครอยากแหงนหน้าขึ้นมองหมู่ดวงดาราด้านบนแม้แต่น้อย ลึกลงไปใต้ผืนดินในพื้นที่เดียวกันทุกอย่างกลับเงียบสงบ เขตหวงห้ามนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ ทางเดินของชั้นใต้ดินลับนั้นทอดยาวเป็นเส้นตรง ไม่ได้มีความซับซ้อนเหมือนด้านบน แต่ละห้องถูกแบ่งแยกตามแต่ละประเภทของการใช้งานเป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นมีห้องสี่เหลี่ยมสีชมพูอ่อนหวาน แต่กลับมีชื่อแสนน่ากลัว กามเทพหนุ่มเรียกมันว่า ‘ห้องสังเกตการณ์’ ห้องสังเกตการณ์ถูกสร้างเพื่อเฝ้าดูปฏิกิริยาตอบโต้ของตัวทดลอง เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่หรือแม้แต่เวทมนตร์คาถาแบบใหม่ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ผิดกฎพันธสัญญาสองโลก กามเทพหนุ่มจอมเพี้ยนจึงปกปิดมัน โดยจำกัดวงของผู้ที่รับรู้ความลับให้อยู่แค่คนที่ไว้ใจได้เท่านั้น ความสดใสของห้อ
หลังจากการพยายามมานักต่อนัก อย่างน้อยก็มีสักเรื่องที่ดันเต้พูดถูก คำสารภาพจากชายร่างเล็กเหมือนเด็กวัยรุ่นตรงหน้า เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่ปีศาจคิวบัสพร่ำโน้มน้าวมานานนับสัปดาห์ ความทุกข์ใจอันสะสมมานานนับปีแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธผสมความสับสน ปั่นรวมราวน้ำวนเชี่ยวกรากในจิตใจ ลึกสุดของหลุมดำข้างใต้กระแสธารานั้นคือสิ่งที่มิวไม่เข้าใจอยู่อีกเพียบ “นายทำแบบนั้นไปทำไม?” “ง่ายๆ… มันเป็นหน้าที่” แสงไฟอ่อนนุ่มไม่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าขาวผ่องอ่อนโยนตาม ความหยาบกระด้างเผยอยู่ในเนื้อเสียง ขัดกับดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ “คงคิดว่าเทพแห่งความรักส่วนใหญ่จะเป็นผู้นำพาความรักมาให้อย่างเดียวสินะ อันที่จริงพวกเรามีหน้าที่ลงทัณฑ์ด้วย” “แล้วฉันทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องโดนนายลงโทษด้วย” “นายดูถูกความรักของคนคนหนึ่งจนสร้างบาดแผลที่ไม่อาจลบล้างได้ มนุษย์ผู้น่าสงสารคนนั้นไร้ซึ่งทางออก จึงทำได้เพียงสวดอ้อนวอนให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นส่งคืนแก่ผู้ที่กระทำ” ชายร่างเล็กยักไหล่ เล่าอย่างเรียบง่ายราวกับเป็นเพียงตำนานที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง “มันก็ง่ายๆแค่นั้น”