ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง
อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน
“นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ
ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด
ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น
การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน
ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล
“แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปีศาจเขาโค้งงอก็ถอนรอยจูบ “ถึงลิ้นของฉันมันจะงอกใหม่ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากเจ็บตัวเพราะนายเป็นครั้งที่สามหรอกนะ”
มิวกระโดดเด้งออกจากจากเตียง เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้นพรมโดยไม่สนใจอีกต่อไปว่า นี่จะใช่ห้องนอนของเขาจริงไหม “อย่ามาฉวยโอกาสกันง่ายๆแบบนี้นะเว้ย”
“แต่ถ้าจ่ายเงินก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม” พูดจบธนบัตรเป็นพันใบก็ร่วงหล่นมาจากอากาศราวกับเสกได้ “เอาไปสิ ค่าตัวของนาย หรือจะเอาเป็นเหรียญทองหล่นใส่หัว… จะได้แก้แค้นที่หักปีกฉัน”
“อย่ามาล้อเล่นกันแบบนี้ ฉันไม่ตลกด้วย”
ชายหนุ่มเหลืออดกับเรื่องเกินคาดเดาตรงหน้า มิวอยากหนีไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีไอ้ตัวป่วนประสาทแบบนี้ เขาบึ่งตรงไปยังประตูห้องนอน โดยหวังว่าหลังประตูบานนี้จะพาเขาไปโผล่ที่อื่น
ทว่าหลังบานประตูกลับกลายเป็นห้องนอนของเขาที่มีเจ้าปีศาจเจ้าเล่ห์นั่งยิ้มเยาะอยู่อีกห้องแทน
มิวเร่งฝีเท้าด้วยความหงุดหงิดไล่เปิดประตูตรงหน้า แต่ทุกบานก็นำเขากลับมายังจุดเริ่มต้นเสมอ
บานแล้วบานเล่าก็ลงเอยแบบเดิม คือห้องนอนของตัวเองพร้อมตัวประหลาดแก้ผ้าอยู่บนเตียง จนในที่สุดมิวก็ยอมพ่ายแพ้ต่อปริศนาอสงไขย เขายืนชิดผนังเหนื่อยหอบ หน้าอกกระเพื่อมอย่างรุนแรง
“ฉันชอบที่นายดูดิ้นรนนะ ฮ่าๆ ไม่เหมือนคนอื่นที่ฉันเคยเจอ” ปีศาจร่างยักษ์หัวเราะ “วิ่งไปอีกสิ! พิษจะได้ระเหยซึมเข้าไปในตัวนายได้ง่ายขึ้น”
“พิษ? นายทำอะไรฉัน”
“โธ่! กลัวเป็นแล้วเหรอ… พ่อคนห้าวตีนไปอยู่ไหนเสียแล้วล่ะ”
มิวนิ่งเงียบเพราะเริ่มรู้สึกถึงความกลัวขึ้นมาตามคำของปีศาจ
“น้ำลายของฉันมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นหรอก พวกมนุษย์ชอบเรียกว่ามันเป็นพิษ แต่ฉันว่ามันเหมือนยาปลุกกำหนัดมากกว่า”
แม้จะไม่สามารถปะติดปะต่อทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่มิวก็พอเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร โดยเฉพาะเมื่อคำพูดนั้นค่อยๆกลายเป็นจริง บางสิ่งบางอย่างกระตุ้นแรงปรารถนาของเขาให้ตื่นขึ้น
เหงื่อที่แห้งซึมไปกับเนื้อผ้าเริ่มออกมาตามไรผมอีกครั้ง ชีพจรเต้นตุบๆ ตามข้อพับ
“กลิ่นของนายเริ่มหอมแล้ว” ปีศาจแสยะยิ้มเขาลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เยื้องย่างเข้าใกล้ร่างเด็กหนุ่ม ท่อนเนื้อที่ยังไม่แข็งตัวแกว่งไกวตามแรงกระเทือน “คุ้นๆเหมือนกลิ่นของใครสักคนที่ฉันเคยเจอ เหมือนจะนานมาแล้ว แต่ช่างมันเถอะ… ป่านนี้เจ้าหมอนั่นคงกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว”
“ทำไมถึงชอบพล่ามอะไรที่คนอื่นเขาไม่เข้าใจด้วย”
“แล้วทำไมพออยู่ในฝันนายถึงเอาแต่หงุดหงิดนักนะ”
“ก็เพราะมันเป็นพื้นที่เดียวที่ฉันจะได้เป็นตัวเอง แต่คน…” มิวหยุดนึกครู่หนึ่ง เมื่อพินิจร่างตรงหน้าแล้วดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่มนุษย์ ถึงจะคล้ายอยู่ก็ตาม “ไอ้ตัวประหลาดอย่างนายก็ดันมายุ่มย่าม”
“ก็ได้! ถ้าอย่างนั้นฉันจะพูดให้น้อยลง แล้วเน้นการกระทำให้มากขึ้นก็แล้วกัน”
ร่างสูงชะลูดเดินผ่านความพร่าเบลอเข้าใกล้ความชัดเจน แววตาอันคุ้นเคยปรากฏฉายอยู่ในใบหน้านั้น “เดี๋ยวนะ! เหมือนฉันเคยเห็นนายจากที่ไหนสักที่”
ปีศาจเปลือยเปล่าตัวสูงใหญ่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาไม่เปล่งเสียงแม้เพียงนิดเดียวตามคำกล่าวอ้าง แต่ใช้การกระดิกนิ้วเบาบางเพื่อสื่อสารทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา
หลังของมิวที่ติดกับผนังร้อนวูบไหว ท้องน้อยเสียวซ่านจนต้องเอามือกุม เส้นเลือดเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังเนียนนุ่ม การหายใจเริ่มติดขัดมากขึ้นทุกที
บางอย่างภายใต้กางเกงออกกำลังกายกำลังตั้งตระหง่าน ส่วนปลายเสียดสีกับเนื้อผ้าลื่นมันจนจักจี้ มิวกัดฟันไว้แน่นไม่ยอมปล่อยให้เสียงในลำคอเล็ดลอด
ปีศาจหน้าคมเข้มเข้าประชิดตัวของมิว พร้อมกระดิกนิ้วอีกครั้ง ปากของเด็กหนุ่มก็อ้าออก
“อือ… ไอ้… เอี้ย” ความสามารถของมิวทำได้แค่สื่อสารไม่เป็นภาษา
นิ้วโป้งอวบใหญ่สีน้ำตาลทองกดเบาๆลงบนริมฝีปากล่างของชายหนุ่ม มันค่อยๆละเลียดไปตามแนวยาวอย่างช้าๆ ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปยังโพรงเบิกกว้างนั้นได้อย่างง่ายดาย
ลิ้นของมิงพยายามขัดขืนไม่ให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้ามาได้ ทว่ามันกลายเป็นการกระตุ้นอารมณ์ของอีกฝ่ายเสียมากกว่า เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มสื่อสารออกมาได้ไม่ดีนัก
“อือ…” มิวพยายามไล่ปีศาจร้ายให้ถอย แต่เสียงนั้นเหมือนเขาครางเสียมากกว่า
เรี่ยวแรงทั้งหมดมอดไหม้ในชั่วพริบตา เพียงแค่ปีศาจร่างเปลือยวาดลิ้นเป็นวงกวาดต้อนรสชาติในช่องปากของมิว เด็กหนุ่มก็ไม่อาจยกมือขึ้นต่อสู้ได้อีกต่อไป
อันที่จริงมิวเริ่มโหยหาอารมณ์นี้ อารมณ์ที่ขาดหายไปนานนับปีจากชีวิต เขาคิดถึงความร้อนวูบวาบในช่องท้อง และสมองที่ตื้อตึงจากการสัมผัส
มิวลดเปลือกตาลงเฉกเช่นการป้องกันที่พังทลาย ใบหน้าของทั้งคู่ห่างกันไม่กี่มิลลิเมตร
ปีศาจเขาใหญ่สอดมือเข้าไปใต้ร่มผ้าของมิว ขยับวนไปรอบๆก้นที่กลมแน่นเพื่อหยอกล้อกับร่างกายของเหยื่อในอ้อมแขน
การกดเพียงแผ่วเบาก็ดันสะโพกของมิวให้เอนเข้าหาตัว อาจด้วยความสูงที่ต่างกันพอประมาณ ลอนท้องบอบบางของมิวจึงแนบชิดท่อนเนื้อที่เริ่มขยายตัว
ช่องว่างของทั้งสองร่างปิดทับสนิทจนแม้แต่หมอกทึบสีขาวก็ไม่อาจแทรกผ่านได้ ในขณะที่ริมฝีปากเผยออ้าแลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกัน เจ้าปีศาจราคะใช้มือปลดกางเกงเนื้อผ้าเบาสบายด้วยมือของตัวเอง จนมันหล่นกองลงไปกับพื้น ก่อนจะโหมแรงบีบเคล้นพีชแห่งบาบิโลนจนเป็นรอยฝ่ามือ
“ดะ… เดี๋ยว” มิวเบิกตากว้างถอนริมฝีปากที่เปียกชุ่มออก ดูเหมือนมนต์สะกดจะถูกทอดถอนเหมือนกางเกงกีฬา “แม่งเอ๊ย!”
จู่ๆมิวก็สบถออกมา ไม่ใช่เพราะความหงุดหงิด แต่เพราะความรู้สึกชอบพอที่ดันอย่างแรงกล้าอยู่ภายใน
“นาย… อยาก… แล้วสินะ” ปีศาจแสยะยิ้มอวดเขี้ยวซี่งาม ใบหน้าสูบฉีดด้วยเลือดจนเต็มสองแก้ม
เด็กหนุ่มก้มหลบสายตาด้วยความเขินอาย มันไม่ใช่เพียงเพราะปีศาจตรงหน้าปลุกอารมณ์หื่นกระหายในตัวของเขาได้ แต่ยังทำให้น้องชายที่ใช้งานไม่ได้มานานลุกชูชันได้อย่างน่าประหลาด
“ยอมรับมาเถอะน่า ว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่นายต้องการ”
ถึงแม้จะเจอลูกค้ามามากมาย แต่ไม่รู้ทำไมมิวถึงรู้สึกอ่อนไหวมากเมื่ออยู่ในวงแขนแข็งแกร่งของปีศาจตนนี้ เขาได้แต่กัดริมฝีปากให้เป็นคำตอบที่ไม่อยากพูด
“ให้ฉันดูแลนายเอง” ปีศาจหนุ่มล่อลวงด้วยถ้อยคำหวานซึ้ง
“เพราะนายเลย… บ้าชิบ!” มิวพยายามปกป้องตัวเองด้วยการปฏิเสธ แต่เสียงกระหืดกระหอบนั้นฟังแล้วดูสวนทางกัน “เอาไงก็เอาวะ”
มิวไม่สามารถควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มทำได้ในตอนนี้เพื่อไม่ให้ปีศาจตรงหน้าเห็นความเขินอายของเขาจนได้ใจ คือกดหน้าลงบนหัวไหล่อันกว้างหนาเป็นการหลบสายตา
ทว่าการสื่อสารนี้ก็ผิดพลาดตามเคย ปีศาจหนุ่มครางอย่างพึงพอใจในลำคอ “ฉันจะรับผิดชอบความผิดที่ฉันก่อให้เอง แล้ว… ฉันควรจะแก้ไขเรื่องนี้ยังไงดี”
“ยังจะมามัวล้อเล่นหาพระแสงอะไรอีกเจ้าบ้า อย่างทำอะไรก็รีบทำสักทีสิ”
“ก็ได้… ถ้านายพร้อม”
ปีศาจในร่างกายหยาบรู้สึกถึงแรงสั่นที่หัวไหล่ เขาตีความเอาว่าชายหนุ่มคงพยักหน้าเพื่อเป็นการยินยอมให้เริ่มขั้นต่อไป “งั้นเรากลับไปทำกันที่เตียงดีไหม ความสูงของฉันจะได้ไม่เป็นปัญหา”
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
ปีศาจส่วนใหญ่ก่อกำเนิดจากอารมณ์ของมนุษย์ นี่คือพลังที่แม้แต่ผู้สร้างอย่าง ‘มนุษย์’ เองก็ไม่รู้ นอกจากจะก่อกำเนิดอมนุษย์ต่างๆแล้ว มนุษย์ยังเป็นพลังงานหล่อเลี้ยงเผ่าพันธุ์วิเศษเหล่านี้อีกด้วย พวกมันมีชีวิตเกือบเรียกได้ว่าอมตะ และสามารถสร้างสิ่งวิเศษที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ ถึงแม้จะมีเวทมนตร์ทรงพลังแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ในมือในเผ่าพันธุ์ด้อยปัญญา พลังเหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งที่มีขีดจำกัด เนื่องจากไร้การสรรค์สร้างมากพอจะเอาไปใช้ทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการสนองความอยู่รอดของตัวเอง ทว่าก็นับว่าดีที่สิ่งทรงพลังอย่างเวทมนตร์นั้นไม่อาจถูกครอบครองด้วยมนุษย์ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจใช้มันเพื่อทำลายล้างกันเอง และสร้างความโกลาหลยิ่งใหญ่เกินกว่าโลกทั้งใบจะรับได้ จวบจนทุกวันนี้ความัลบเหล่านั้นก็มีน้อยคนเท่านั้นที่จะรู้ เหล่าอมนุษย์ยังคงเร้นกายอยู่ท่ามกลางฝูงชน จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อชักจูงบรรดาอาหารบุฟเฟ่ต์เหล่านี้ ให้มอบพลังให้แก่ตนเองเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงนายเหนือหัวของพวกมันอีกที ในหมู่มวลปีศาจที่โด่งดังคงหนีไม่พ้นพวกคิวบัส ปีศาจที่เข้าไปยุ่มย่ามกับตั
เสายักษ์ปักตระหง่านท้าทายผู้กล้า สีของมันเข้มเช่นเดียวกันกับผิวส่วนอื่นไม่ผิดเพี้ยน ส่วนปลายโค้งงอเข้าหาสะดือจนเกือบจรดกัน ทุกการเต้นเร่าของชีพจรในดุ้นแท่งเขื่องไหลผ่านเข้าไปยังแก้มเต่งตึงของเด็กหนุ่ม หลอดเลือดทุกเส้นสูบฉีดอย่างดุเดือดจนได้ยินเสียง เรื่องน่าประหลาดชวนหลงใหลนี้ถูกหลอมรวมเข้ากับความจริงจนเป็นเนื้อเดียวกัน ลมหายใจระอุลูบไล้อย่างแผ่วเบากับท่อนเอ็นยักษ์ ที่ผงกหัวอยู่ระหว่างขาของชายร่างสูงใหญ่ กลิ่นหอมประหลาดลอยอบอวลเต็มห้องอันคับแคบ เจ้าท่อนนั้นสั่นเทาเมื่ออาร์เต้เอามันถูไถเบาๆด้วยแก้มนุ่มนิ่ม ลมหายใจของทั้งไต่ระดับความรุนแรงขึ้นตามการแนบชิด อาร์เต้เงยหน้าขึ้นมองเพื่อดูปฏิกิริยา สายตาของผู้นั่งอยู่เบื้องบนจ้องกลับมาด้วยความพึงพอใจ ในที่สุดชายหนุ่มก็ได้รับความสนใจ “นายรู้วิธีเล่นกับมันนี่” เสียงทุ้มลอดผ่านรอยยิ้ม “ฉันเรียนรู้วิธีพวกนี้มาจากลูกค้า” อาร์เต้ตอบพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก “เสียดายที่ร้านห้ามมีอะไรกับลูกค้า ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ต้องมาที่นี่เพื่อหาที่ปลดปล่อยหรอก” “ที่ทำงานของนายงี่
“อ่อก… อึก…” ใบหน้าของอาร์เต้แดงก่ำ การควบคุมลมหายใจยากลำบากมากขึ้นเมื่อในลำคอของเขายังถูกเติมเต็มไม่หยุด “อือออ…” “อ้า… !!! ฉัน… เกือบแล้ว” จังหวะเร่งเร้าขยับเส้นทางสู่จุดสูงสุดให้เข้าใกล้ ถึงแม้มือใหญ่หนาไม่ได้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ศีรษะของอาร์เต้ยังคงโขกสับไม่ลดละ สัญญาณเตือนบวมใกล้ระเบิดจนเต็มปาก เด็กหนุ่มไม่แสดงท่าทีถอดถอนริมฝีปากแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังรัวชักบีบคั้นท่อนเนื้ออย่างเมามัน “ฮะ… ฮึก… ฮ่า…” ทั้งขบเม้มกรามและริมฝีปาก ใบหน้าสีเข้มบิดเบี้ยวเมื่อเผชิญกับช่วงเวลาอึดอัดสุดท้ายก่อนระเบิด ลมหายใจหนักแน่นเป่าให้ลอยสูงขึ้นไปบนผนังไม้เทียม เสียงครางกระเส่าดันเป็นจังหวะพร้อมหน้าอกกระเพื่อมแรง “อ้า… !!!” ช่วงคอที่ถูกเสียดสีจนเกือบเผาไหม้ถูกเติมเต็มไปด้วยของเหลวขาวขุ่น ส่วนปลายสั่นหงึกและกระตุกเร่าทุกครั้งที่ปลดปล่อยน้ำไร้เชื้อออกมา กลิ่นคาวผมมหวานคละคลุ้งทั่วปากจนถึงจมูก มันหอมและชวนพะอืดพะอมในคราวเดียวกัน ใบหน้าขาวนวลเนียนแดงก่ำจากการสำลัก แท่งเนื้อยังคงค้างคาอยู่ภายในช่องปาก พ่นความสุขสมออกมาอยู่อีกหลายระลอก
‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ‘มิว’ ชอบวิ่งออกกำลังกายยามเย็นไม่ใช่แค่เพราะบรรยากาศร่มรื่น แต่เพราะงานที่เขาทำเหมาะกับการใช้ชีวิตช่วงกลางคืน ดังนั้นตอนเย็นโพล้เพล้เช่นนี้ของเขา ก็เปรียบเสมือนเช้าตรู่ของใครหลายคน แน่นอนว่าการถูกคนสะกดรอยตามเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเป็นอุปสรรคเช่นกัน มิวสามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้อยู่ อาจเพราะรูปร่างสันทัดอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ ถึงเขาจะไม่ได้สูงใหญ่มากเกินมาตรฐาน ทว่าก็ช่วยให้ดูน่าเกรงขามเวลาเลียนแบบท่าหมัดมวย เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับเขาตรงๆเท่าไหร่นัก อีกทั้งเสน่ห์ดึงดูดเป็นทักษะติดตัวมาตั้งแต่เกิด ช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้ในยามคับขันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นี่เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ผู้เป็นพ่อและแม่ทิ้งเอาไว้ให้มิว หลังการระแวดระวังไปได้สักพักชายหนุ่มก็ทิ้งเรื่องราวอึดอัดเอาไว้ข้างหลัง โอบรับสายลมเย็นสบายเข้ามาเติมเต็มแทนความ
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท