ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง
ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ
ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข
แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน
“มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว”
“นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง”
“ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามีเรื่องอื่นสำคัญกว่าให้สนใจ”
จากม้าพยศกลับเป็นเชื่องได้อย่างง่ายดาย ไม่รู้ด้วยมนตร์วิเศษหรือเพราะแรงปรารถนาอันแท้จริง ที่ดลบันดาลให้บรรยากาศเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แผ่นหลังของมิวเอนสบายลงบนหน้าอกกำยำสีน้ำผึ้ง เขาเอียงคอกดหน้าลงต่ำย่างเขินอาย อาจเพราะตัวเองไม่ค่อยคุ้นชินกับการสวมบทบาทเป็นผู้ตามในห้วงบรรยากาศเช่นนี้
ทว่าปีศาจเจนจัดสามารถรับมือกับเรื่องพรรค์นี้ได้ทุกรูปแบบ เขาเชยคางโค้งมนขึ้นมาก่อนประทับรอยจูบเติมเชื้อเพลิงลงคอเพิ่มอีก
ท่อนแขนหน้าใหญ่พลางโอบกอดร่างมนุษย์ขาวละเอียดอยู่ด้านหลัง ริมฝีปากก็บดเบียดอย่างเร่าร้อน แท่งไฟด้านหลังกระตุกเร่ากระทบแผ่นหลังเบื้องล่างของมิวเป็นจังหวะ
ความปรารถนาของมิวเติบโตผ่านท่อนสีเนียนสว่างที่ถูกมือใหญ่ยักษ์เกาะเกี่ยวเอาไว้ เด็กหนุ่มคิดถึงความรู้สึกวูบวาบแบบนี้จนต้องการมันมากขึ้นอีก
ปีศาจเจ้าเสน่ห์ชักจูงมิวให้ทำตามในขณะที่ริมฝีปากไม่ว่างจำนรรจา เขากุมมือน้อยๆของมิวให้ถกปลายเสื้อขึ้น ส่วนอีกข้างก็วางบนส่วนอ่อนไหว
แผ่นอกแน่นหนัก ลอนท้องลีนบาง และต้นขาเนียนใสของมิวขาวนวลละอองทุกส่วนสัด รูปร่างงดงามแม้จะอยู่ในฝันที่พร่าเบลอ
มือของปีศาจโอบรัดรอบลำตัวของมิว ในขณะที่มือของมิววางกุมบนแท่งเนื้อของตัวเองที่เต้นตุบๆ
เรียวขาขาวใสแยกออกเล็กน้อย เปิดเผยบางอย่างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ส่วนปลายเปิดออกครึ่งหนึ่งเพื่อรอคอยการปลุกเร้า
“นี่ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่” มิวบิดหน้าหนี ลมหายใจหนักหน่วงพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ
“ต้องสนด้วยเหรอ… ทำต่อไปสิ” ปีศาจจอมหื่นกระหายไล้หยอกล้อกับเรือนร่างของมิว “นายคงชอบมากสินะ ขนาดฉันยังไม่ได้แตะต้อง น้ำของนายยังไหลออกมาไม่หยุด”
ภายใต้การเพ่งพิศของปีศาจหนุ่ม หยาดน้ำค้างที่กลั่นมาจากกามอารมณ์ก็หยดจากปลายกระบอกของมิว เป็นการพิสูจน์ให้อีกฝ่ายรับรู้ว่า สิ่งที่พูดนั้นเป็นความจริง
“เห็นนายมีอารมณ์แบบนี้แล้ว ฉันก็เริ่มจะแย่แล้วเหมือนกัน”
คำว่าแย่คงเป็นคำที่มิวควรพูดเมื่อรับรู้ถึงแรงกระทุ้งทางด้านหลัง “ถ้าอยากจะทำอะไรมากกว่านี้ หยุดคิดไปได้เลย ฉันไม่ยอมให้นายยุ่งกับตรงนั้นเด็ดขาด”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันพรากความบริสุทธิ์ของนายในรอบนี้ นายก็คงต้องหาอะไรสนุกๆมาโชว์ฉันแล้วล่ะ”
“โชว์… โชว์อะไร?”
“ตอนฉันไม่อยู่ นายเล่นสนุกกับตัวเองยังไงล่ะ?”
ฝ่ามือหนาใหญ่ของปีศาจเคล้นคลึงหน้าอกของมิว มันเปลี่ยนเป็นสีแดงได้ง่ายเนื่องจากผิวอันอ่อนนุ่มนั้นแสนบอบบาง
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเมื่อจุดอ่อนไหวโดนกระตุ้น “อื้อ…”
“จับเจ้าหนูด้านล่างของนาย แล้วชักจนกว่าจะแตก”
“แต่ฉันทำไม่ได้” เมื่อนึกถึงความพยายามที่ล้มเหลวในการช่วยตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วนในระยะเวลาปีกว่าๆ มิวก็รู้สึกประหม่า “ฉะ… ฉัน ไม่…”
“นายทำมันได้” ปีศาจแลบลิ้นเลียใบหูที่แดงระเรื่อของมิว นิ้วมือทั้งสองข้างสะกิดลงบนหัวนมที่เริ่มบวมตึง “นายจะทรมานตัวเองแบบนี้ต่อไปไม่ได้”
“อ๊าาาา” มิวลากเสียงครางยาวผ่านช่องคอ ก่อนจะยอมใช้มือรูดชักหว่างขาของตัวเองตามคำสั่ง “อือออ!!!”
ปีศาจร่างยักษ์จับมือของมิวขึ้นมาเลียจนชุ่มโชก ก่อนจะวางมือขาวเนียนนั้นลงบนแท่งเนื้อที่กำลังชูชัน
“นายก็แค่ถือมันเอาไว้ให้แน่น บีบมันเล็กน้อย แล้วเลื่อนมือของนายจากโคนไปตามแนวเส้นเลือดจนถึงเอ็นร้อยหวาย แล้วถูที่ปลาย…”
“ฉันทำเป็นหรอกน่า”
“ฮ่าๆ งั้นเหรอ? ฉันเห็นนายทำหน้าตาไร้เดียงสาอย่างกับเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา”
“ฉันเปล่า” มิวทำแก้มป่อง ใบหน้าระเรื่อด้วยสีของเลือดที่สูบฉีด
น้ำลายที่ชื้นแฉะนั้นช่วยให้การรูดชักลื่นไหล ความเสียวซ่านพุ่งเป็นประกายไปตามเส้นเลือดปูดโปน เด็กหนุ่มเริ่มเคลิบเคลิ้มกับช่วงเวลาที่เฝ้าถวิลหา
มิวเปิดดวงตาเพียงครึ่งเดียวในขณะที่ลมหายใจเริ่มขาดห้วง ทิ้งแผ่นหลังให้หลอมละลายไปกับหน้าอกกำยำ
“กลิ่นของนายหอม มันหวานและร้อนแรง” ปีศาจค่อยๆเป่าคำเล้าโลม ความเย้ายวนแฝงเร้นอยู่ในลมหายใจเข้าไปในหูของมิว ค่อยๆกัดเซาะความประหม่าของเด็กหนุ่มแบบคำต่อคำ “การได้เห็นนายหอบถี่อยู่ในอ้อมกอดมันทำให้ใจของฉันแทบจะระเบิด”
“อ๊ะ… อา” เด็กหนุ่มโดนรุมล้อมจากทุกโสตประสาท
ใบหูถูกโลมเลียด้วยคำพูดและปลายลิ้น หน้าอกถูกฝ่ามือเคล้นคลึง หัวนมถูกปลายนิ้วกระตุ้น ลมหายใจพัดกลิ่นหอมอ่อนๆเป็นการมอมเมา
ความรุ่มร้อนพุ่งเข้าสู่สมองของมิวทันที เหตุผลและความเขินอายเล็กน้อยที่เขาเหลืออยู่ถูกสั่นคลอนเหลือเพียงซาก
ความปรารถนาของมิวกลายเป็นสิ่งเดียวกันกับปีศาจตนนั้น อุ้งมือของเด็กหนุ่มขับเคลื่อนเร็วขึ้นตามความหื่นกระหาย ทว่ามันก็ยังไม่เพียงพอ
“นายมีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ… ฉันละสายตาจากนายไม่ได้จริงๆ”
การล่อลวงซ้ำไปซ้ำมาของปีศาจแห่งราคะทำให้ตัณหาของมิวพุ่งสูงขึ้น ต้นขาของเขาสั่นเทา เม็ดเหงื่อซ่านกระเซ็นกระจายไปโดยรอบ
‘มากขึ้นอีก ฉันอยากได้มากกว่านี้’ มิวหลับตาพริ้มรับฟังเสียงของปีศาจ ‘ถ้าเจ้านั่นจะสัมผัสฉัน… อื้อ… คงดี ฉันอยากโดนสัมผัสมากกว่านี้’
เสียงในใจดังก้องอยู่ภายในใจ ทว่าปีศาจตนนี้ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน เขายิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะเริ่มทำตามคำขอ
“นายอยากทำมันให้เร็วกว่านี้ไหม” ปีศาจวางฝ่ามือของตัวเองซ้อนทับกับหลังมือของมิวที่กำลังชักรูด ส่วนมืออีกข้างก็เกาะกุมท่อนเอวคอดบาง
“อือ…” ตัวของมิวสั่นเทา
มือของทั้งคู่ร่วมสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกัน ท่อนเนื้อสีขาวใสเพิ่มความเสียวซ่านเป็นสองเท่า ส่วนปลายบวมเป่งราวกับอดกลั้นเอาไว้มานาน
ความรู้สึกอุ่นแผ่ซ่านจากทั่วร่าง มิวยังรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่หัวนมตอนถูกบีบดึง แม้ว่าจะไม่โดนสัมผัสแล้วก็ตาม
“ฉัน… อืมมมม… เสียว” น้ำหล่อลื่นไหลออกมาจากปลายแท่งเนื้อของมิวมากขึ้น มันทำให้มือของทั้งคู่เปียกลื่นมากขึ้นไปอีก
‘แย่แล้ว… ฉันทำจะไม่มีมีแรงทำต่อ… อีกนิดเดียวเท่านั้น… ฉันอยาก… ให้มือของเขา… อืมมมม’ เด็กหนุ่มร้องขอความต้องการอยู่ในใจ
“แค่บอกกับฉัน… อะไรก็ตามที่นายต้องการ”
“ฉัน… อึก… อยากจะเสร็จ!!!”
ลอนท้องเนียนเรียบกับหน้าอกขาวใสของมิวกระเพื่อมแรง เขาคล้องมือข้างหนึ่งไว้กับคอของปีศาจ ส่วนอีกข้างโอบหลังอีกฝ่ายเอาไว้
การควบคุมเป็นหน้าที่ของปีศาจโดยสมบูรณ์ ท่อนเนื้อสีหวานของมนุษย์อยู่ในอุ้งมือหนาใหญ่ ตอนนี้มิวพร้อมจะฝากความไว้ใจให้กับอีกฝ่าย
“อื้อ… ช้า ลงหน่อย” อาการชากระจายลุกลามขึ้นไปยังศีรษะของมิว ต้นคอและหัวไหล่ตึง รูเล็กๆด้านล่างขมิบตอดโดยไม่ตั้งใจ “มัน… เสียว อึก… อื้อ… เกินไปแล้ว”
ปีศาจยักษ์ทำตรงกันข้าม เขาเร่งความเร็วของการรูดชัก ทุกครั้งที่ปลายนิ้วสัมผัสโดนส่วนหัว มันก็จะขยายขนาดและอุ่นขึ้น
ความเพลิดเพลินที่ไต่ระดับทำให้มิวโยกสะโพกเพื่อพยายามหลบหนี ความแสบร้อนเรียกเสียงครวญครางยั่วยวนจากเขามากเท่าทวีคูณ
“ฉัน… ไม่ไหวแล้ว ฉัน… อืมมมม” เอวของมิวเด้งจนสุด “แตกแล้ว!!!”
ของเหลวขาวขุ่นทะยานจนเลยหัวก่อนจะตกกระเซ็นไปทั่วห้อง มันพุ่งสูงอยู่หลายระลอกจนชุ่มโชกกายขาวเนียน
ดวงตาของมิวพร่าเบลอจนจับจุดไม่ได้ ก่อนที่น้ำเชื้อระลอกสุดท้ายจะถูกกระตุ้นออกจนหมด ชายหนุ่มก็ถีบตัวขึ้นจากที่นอนพร้อมหน้าอกที่กระหืดกระหอบ
ภาพตรงหน้าชัดเจน มิวยกมือกุมหน้าอกพบว่าตัวเองยังอยู่ในชุดนอน อาการเหนื่อยอ่อนนั้นรุนแรงเสียจนเกินกว่าฝันไปมาก
ใบหน้าของเขาร้อนและแดงจนรู้สึกได้โดยไม่ต้องมอง มิวรีบเปิดผ้าห่มด้วยความร้อนใจ เขามองหาร่องรอยอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์ความคิดของตน
มิวล้วงมือลงไปใต้กางเกงขาสั้น ตรงหว่างขาร้อนและชื้นแฉะอย่างน่าประหลาด เมือกที่สัมผัสกับนิ้วนั้นเปียกท่วมทั่วใต้ร่มผ้า เขาแน่ใจว่าน้ำนี้ไม่ใช่ฉี่อย่างแน่นอน
ฉับพลันมิวก็นึกเสียดาย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝัน ฝันที่เขาอยากให้เกิดขึ้นจริงเสียที
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงนอนอีกครั้ง หลับตาคิดถึงฝันสุดเสียวที่พึ่งจบไป พลางคิดว่าอยากทำอีก
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก ชายหนุ่
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
“ผมไม่ได้รับลูกค้าพร้อมพี่มิวมาสักพักใหญ่แล้วใช่ไหม ครั้งล่าสุดเดือนที่แล้วหรือเปล่า… ผมจำไม่ค่อยได้แล้ว” เด็กหนุ่มน้ำเสียงสดใส ดวงตาเป็นประกายเปล่งปลั่งอิ่มเอม ใครจะไปเชื่อว่าเมื่อวานสภาพของเขายังแทบดูเหมือนผีดิบไร้ชีวิต ขอบตาสีคล้ำสว่างใสขึ้นมาก จนการปาดเครื่องสำอางเบาบางเพียงครั้งเดียวก็ปกปิดรอยคล้ำจนเกลี้ยง แก้มทั้งสองขาวใสอมชมพูด ริมฝีปากระเรื่อเจือความชุ่มฉ่ำไม่ลอกแตกเป็นขุน การฟื้นฟูแบบพลิกผันของอาร์เต้เกิดขึ้นรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงยี่สิบชั่วโมง สร้างความประหลาดใจให้มิวไม่น้อย ชายทั้งสองใช้เวลาก่อนเริ่มงานนั่งเอื่อยเฉื่อยบนโซฟากำมะหยี่ตัวยาว มิวค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรในแถบยุโรป ส่วนอาร์เต้ส่งข้อความคุบกับชายแปลกหน้าในแอปพลิเคชันหาคู่ “ผมไม่ค่อยชอบดูแลลูกค้าผู้หญิงเลย” อาร์เต้บ่นอุบอิบ เขารู้ว่าเป็นเรื่องแย่ที่พูดถึงลูกค้าในเชิงลบ แต่ก็ตามนิสัยเด็กหนุ่มผู้มุทะลุ การระบายให้คนที่ไว้ใจฟังมันง่ายกว่าการเก็บงำไว้คนเดียว “ผู้หญิงสงวนท่าทีเยอะกว่าผู้ชาย อ่านเกมก็ยากกว่าเยอะ ผมชอบลูกค้ารุกเร็วๆรุกแรงๆมากกว่า ไม่ชอบเสีย
ทุกอารมณ์และการเคลื่อนไหวถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ ความสนใจพุ่งตรงไปยังชายหน้าใหม่ผู้ซ่อนตัวไม่มิดอยู่หลังเป็นเอก นอกจากจะสูงเด่นเกือบสองเมตรแล้ว ผิวสีน้ำตาลทองที่เนียนละเอียดยังขับให้ทั่วทั้งร่างดูโดดเด่นเมื่อต้องกับแสงไฟ ขนาดเทวดาทั้งสามผู้เป็นตัวท็อปของอมอร์ยังไม่อาจละสายตาทิ้ง ชายผู้มีใบหน้ามาดมั่นยืนอวดรอยยิ้มอยู่ด้านหลังของผู้จัดการร้าน เขี้ยวซี่ขาวยาวทะลุริมฝีปาก ชวนให้นึกถึงใครสักคนที่กำลังอยากทำเรื่องไม่ชอบมาพากล ดวงตากลมโตของมิวพินิจพิจารณาพนักงานใหม่ตั้งศีรษะจรดเท้า เขารู้สึกคุ้นเคยอยากบอกไม่ถูก ทั้งส่วนสูงและสีผิวทำให้ทรวงอกร้อนรุ่ม ถึงจะพอสร้างข้อมูลกระจัดกระจายเอาไว้ในหัวได้ ทว่ามิวก็ไม่กล้าประติดต่อปะต่อเรื่องราวทุกอย่างรวมกัน ด้วยสิ่งที่เขาคิดนั้นมันเหนือความเป็นจริงไปมาก ชายหนุ่มจึงทำได้แค่จ้องมอง “ปกติเด็กใหม่มาไม่เห็นจะต้องพามาแนะนำให้พวกเรารู้จัก” เจษยิงคำถามในขณะที่เริ่มแต่งหน้า หางตาแอบเหล่มองพนักงานตัวสูงใหญ่อย่างระแวดระวัง “ทำไมจู่ๆพี่เป็นเอกถึงพาคนนี้มา” “ก็พามาให้เด็กมันเห็นว่าพวกพี่ๆตัวท็อปของร้านเขา
ใครก็ตามที่รู้จักกับดันเต้มาได้สักระยะหนึ่ง จะรู้ได้ว่าพฤติกรรมรวมถึงคำพูดไม่เหมือนคนทั่วไปของเขานั้น เกิดจากการที่เขาไม่ใช่มนุษย์ และหากความทรงจำไม่เลอะเลือนไปเสียก่อนจะจำได้ว่าชายร่างสูง้กือบสองเมตรคนนี้เป็น ‘*ปีศาจคิวบัส’ งานหลักของอมนุษย์พวกนี้คือการปลุกปั่นอารมณ์เพื่อเก็บเกี่ยวพลังงาน ทำให้การดำรงอยู่ของนายเหนือหัวของพวกมันเป็นนิจนิรันดร์ ยิ่งทำให้มนุษย์เกิดอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถของตัวเองได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้นายเหนือหัวของพวกมันเข้มแข็งมากขึ้นตามไปด้วย และจะตามมาด้วยการก่อเกิดปีศาจได้อย่างไม่รู้จบ เป็นวัฏจักรในโลกลี้ลับที่หมุนเวียนแบบนี้มาช้านาน ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือจุดประสงค์หลักจุดประสงค์เดียวที่ทำให้ดันเต้มีตัวตน การทำงานมานับร้อยหรือนับพันปีเช่นนี้ จะพูดว่าเบื่อก็คงบอกได้ไม่เต็มปาก เพราะอสูรเสพกามอย่างเขาไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองเจตจำนงอย่างอื่น การอยู่เพื่อทำหน้าที่ของตนจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกึ่งอมตะ เมื่อก่อนดันเต้มักสิงสู่อยู่แต่ในความฝัน โดยเฉพาะช่วงยุคกลาง… เมื่อมีชายบ้าอำนาจคนหนึ่งองดอ้างว่าตนวิเศษ
ถึงจะเป็นห้องวีไอพีขนาดเล็กสุด แต่ความบันเทิงก็มีให้อย่างครบครันไม่ต่างจากห้องใหญ่ ความสนุกถูกย่อให้เล็กลง ทว่ามันก็ยังตื่นตาตื่นใจอยู่ดี เครื่องอำนวยความบันเทิงครบครันในทุกพื้นที่ของห้อง ทั้งโทรทัศน์พร้อมโหมดคาราโอเกะ โซฟาหนังตัวยาว ไฟดิสโก้เปลี่ยนสีทุกวินาทีเพิ่มความมึนเมา และอุปกรณ์เอนเตอร์เทนมากมาย ทว่าทั้งหมดที่จัดแจงเอาไว้กลับแทบไม่ถูกใช้งาน พวกมันถูกตั้งเอาไว้นิ่งๆ และเป็นฝ่ายเฝ้าดูกิจกรรมสันทนาการในห้องแทน ไฟถูกเปิดไม่ให้สว่างเกินไป หน้าจอโทรทัศน์ดับมืดทำหน้าที่สะท้อนภาพสยิวแทนกระจก มีเพียงโซฟาเท่านั้นที่ถูกใช้งาน ชายร่างใหญ่ปลดกระดุมออกจนหมดเพื่อระบายความอัดอั้น กางเกงเข้ารูปสีนาวีถูกปลดกองไว้ที่หน้าแข้ง มือทั้งสองวางพาดบนพนักพิงด้วยท่าทีสบายๆ หว่างขามีชายใส่แว่นง่วนอยู่กับการพยายามจับดุ้นยักษ์เข้าปาก แต่การกระแทกอย่างไม่หยุดยั้งจากด้านหลัง ทำให้เรื่องง่ายๆยากขึ้น “อึก… ” น้ำลายเจิ่งนองถูกลอบกลืนลงคอยามดุ้นยักษ์หลุดออกจากโพรงปาก และตามมาด้วยเสียงสำลักยามมันถูกกลืนกลับไปจนเกือบทะลุคอหอย “อ๊อก… อ่อก…”
รอยยับยู่และคราบเปียกชื้นบนเสื้อผ้าไม่ได้ทำให้ดันเต้หงุดหงิดเท่าสายตาผู้คนในร้าน เขารู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์ชวนหลงใหล แต่สายตาทุกคู่มากมายขนาดนี้ บางครั้งปีศาจผู้บ้าน้ำกามก็เกินจะรับมือไหว ทว่าก็ช่วยไม่ได้… ดันเต้ถือเป็นเด็กใหม่ที่เปิดตัวได้อย่างร้อนแรงและหวือหวาจนทุกคนต่างฮือฮา แม้แต่เป็นเอกเองก็ยังไม่วายต้องจับตามองด้วยความสนใจ อันที่จริงสีผิวที่คล้ำกว่าเพื่อนพนักงานทุกคนในร้าน ทำให้หลายคนมองว่าดันเต้คงไม่อาจเปิดบิลได้ด้วยซ้ำ แต่แค่คืนก็สามารถลบล้างข้อกังขาบนใบหน้าของชายหนุ่มหน้าหยิ่งได้จนสิ้น แต่ก็นั่นแหละ… ดันเต้เป็นปีศาจ ถึงจะต้องพยายามสักหน่อย แต่เขาก็มีเวทมนตร์ พนักงานในร้านบางคนถึงกับพูดว่าดันเต้นี่แหละคือผู้ที่จะเข้ามาเขย่ากลุ่มแองเจิ้ลให้แตก หลังจากที่ไม่มีใครสั่นบัลลังก์ของทั้งสามตัวท็อปได้มานาน ทว่านี่ก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่เขามายังอมิร์ จะเงินทองหรือชื่อเสียงก็เหมือนกระดาษเปล่าเปียกน้ำใบเดียว ไม่ค่อยมีคุณค่าให้ใช้งานได้เท่าไหร่ ดันเต้นั่งเขย่าตัวอย่างตื่นเต้นบนโซฟากำมะหยี่ ของบนโลกจริงสร้างความตื่นเต้นให้กับเขาทุกครั้งที่ได้
“ทวดของผม” โพรงปากของเด็กหนุ่มอ้าค้างจนมองเห็นลิ้นไก่ข้างในลึกสุด “นี่พี่เกิดสมัยอยุธยาเป็นเมืองหลวงเลยไหมเนี่ย?” “ไม่นานขนาดนั้น” เสียงหัวเราะร่วนของเป็นเอกดัง “พี่เกิดหลังทวดของนายไม่กี่ปี ปี พ.ศ. สองพันสี่ร้อยกว่าเห็นจะได้” “แล้วพี่เป็นใครกันแน่?… ผีบรรพบุรุษส่งให้พี่มาดูแลตระกูลของผมหรือยังไง?” “ฉันว่าเรื่องของนายเหลือเชื่อกว่าเรื่องของฉันอีก” ยังไม่ทันจะต่อความยาวสาวความยืด เสียงฝีเท้าตึงตังก็ดังมาจากบันไดไม้ หญิงสาวแรกรุ่นพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนที่ชายทั้งคู่อยู่ เธอกระโจนเข้าหาเป็นเอกและสวมกอดรอบคอจนแน่น “คิดถึงคุณลุงจัง” น้ำเสียงของหญิงสาวสดใสพอกันกับหน้าตา ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกาย ผิวหนังเนียนหนุ่มอ่อนเยาว์สมกับการเป็นสาวแรกรุ่น “คิดถึงลุงหรือคิดถึงของฝากกันแน่” มือของชายผู้แก่กว่ามากลูบศีรษะอย่างเอ็นดู “ก็ต้องคิดถึงคุณลุงอยู่แล้วสิคะ” “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลุงไม่มีของฝาก นิดหน่อยก็จะยังคิดถึงลุงอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวตัวเล็กยืดตัวขึ้นทำแก้มป่อง “ไม่มีจริงเหรอ?”
ไม่ได้มีโอกาสบ่อยนักที่อาร์เต้จะได้อ้าแขนกอดรับดวงอาทิตย์ยามสาย ถึงมันออกจะร้อนสักหน่อยก็เถอะแต่สำหรับชายหนุ่มที่ไม่ค่อยชอบชีวิตช่วงกลางคืนเท่าไหร่นัก นี่ก็นับว่าเป็นคุ้มค่าที่จะแลก หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันไกลเกินขอบเขตของความเชื่อมาแล้ว แววตาของอาร์เต้ตอนมองเป็นเอกกลับไม่ได้ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หากไม่ใช่เพราะยังไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์แบบบ ก็คงเป็นเพราะอคติบางอย่างที่สร้างความเอนเอียง ความรู้สึกในใจของชายทั้งสองไม่อาจถูกคั่นกลางด้วยสิ่งแปลกปลอม ระยะห่างระหว่างกันยังคงเส้นคงวา ไม่อาจใกล้มากกว่านี้หรือถอยห่างจากที่เป็น ถึงหมุดหมายของทริปนี้เป็นเอกจะบอกไว้ว่าเป็นการออกตามหาความจริง ทว่าอาร์เต้มองแตกต่างออกไป เขาคิดเงียบๆ อยู่คนเดียวว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นเสมือนการออกเดตนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเขา นั่นเลยช่วยทำให้รู้สึกดีมากกว่ากังวล อาร์เต้ไม่เอ่ยถามถึงจุดหมายปลายทาง เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมพูดอะไรแน่นอน ซึ่งเป็นเอกก็คิดเช่นนั้น ชายแก่ในร่างหนุ่มคิดไว้ว่าการอธิบายกลางอากาศอย่างเดียว คงไม่หนักแน่นพอจะยืนยันทุกอย่าง ท้องฟ้าปลอ
เมื่อความสุขสุดขีดพุ่งสูงจนทะลุหลอด ความเหนื่อยล้าก็เข้ามาห่อหุ้มร่างกึ่งเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม หน้าอกภายใต้เสื้อตัวบางกระเพื่อมหนักหน่วง ริมฝีปากเผยออ้าเติมอากาศเข้าไปทดแทนกับที่ขาดหาย ใบหน้าฝาดก่ำด้วยสีเลือดสดๆ และเข้มมากขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงความดังของเสียงที่เพิ่งเปล่งออกไป ท่อนล่างโล่งโจ้งเลอะเทอะด้วยคราบของเหลวจากร่างกาย ในใจของมิวร้องตะโกนกู่ก้องเมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นถูกระบายออกมาได้เสียที นั่นเป็นสิ่งประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า ร่างกายและความเป็นชายได้กลับเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ทว่าก็ยังรู้สึกติดค้างบางอย่างแถวก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก รอยยิ้มกางกว้างบนใบหน้าเรียวงาม เด็กหนุ่มรีบจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยกลัวจะมีใครเปิดประตูเข้ามา การโดนมองเห็นไม่น่าหนักใจเท่ากับการโดนล้อ มิวนึกออกว่าดันเต้จะพูดอะไรบ้างหากเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ ‘ไม่คิดจะชวนกันสักหน่อยเหรอ?’ ‘ทำไมนายถึงหนีมาสนุกคนเดียวล่ะ!’ ‘อีกรอบไหม?’ ‘คิดถึงดุ้นยักษ์ของฉันล่ะสิ!’ น้ำเสียงทะลึ่งตึงตังรวมกับสีหน้าหื่นกระหายของดันเต้ ผุดขึ้นมาใน
ความเงียบบรรเลงดนตรีกระซิบข้างใบหู ความเหนื่อยล้าขับกล่อมท่วงทำนองยืดยานจนชายหนุ่มหลับใหลไปอย่างง่ายดาย พื้นที่แสนปลอดภับโอบกอดมิวเอาไว้แน่นไปถึงความฝัน ชายหนุ่มทิ้งความหวาดระแวงเอาไว้ข้างเตียง และปล่อยความอิสระให้คืนสู่จิตใจ เวลาในกำมือหมดไปอย่างรวดเร็ว จนแอบนึกเสียไม่ได้ว่าสิ่งล้ำค่านี้ไม่เคยเพียงพอในหนึ่งชีวิต… ร่างกายของมิวนั้นฟื้นฟูได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งความเหนื่อยล้าหรือบาดแผลบนร่างกาย อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนเลยด้วยซ้ำหากในตัวมีเมล็ดพันธุ์ปีศาจอยู่ ความรู้สึกเบาสบายจากห้วงนิทราถูกความร้อนตรงท้องทำลาย เด็กหนุ่มกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ ลำตัวบิดงองุ่นง่าน การข่มตาให้หลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที การโดนร่างกายของตัวเองรังควานสร้างความหงุดหงิดนิดๆ มิวลืมตาตื่นนั่งพิงหัวเตียง ดวงตาแจ่มใสทั้งที่เพิ่งนอนไปได้แค่สองชั่วโมง ด้านล่างของลำตัวร้อนรุ่มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ปลายเท้าบิดงอเข้าหากัน ต้นขาหนีบแน่นจนสะโพกเกร็ง อาการวูบวาบแผ่ซ่านจากศูนย์รวมความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ดวงตาของมิวหั
เบื้องบนโปรยแสงรำไรออกมาจากมาจากรูโหว่อันดำมืดของท้องฟ้า เช้าวันใหม่นี้แสนอึมครึมไม่สดใส ส่งผลโดยตรงต่อจิตใจให้ขมุกขมัว หัวงมหรรณพแห่งเวลาสงบเสงี่ยมเฉกเช่นหนุ่มน้อยหน้าตาใสซื่อ ปกติท่าทีของอาร์เต้จะกระโดกกระเดกไม่เรียบร้อย บัดนี้กลับสงวนกิริยาขัดจากนิสัยปกติราวกับเป็นอีกคน อาจเพราะเขาถนัดการซ่อนมุมจริงจังเอาไว้เพื่อบดบังตัวตน จึงมีน้อยคนจะเคยได้เห็นอีกด้าน “ที่จริงแล้วพี่เลือกจะโกหกต่อไปก็ได้ แต่พี่ไม่อยากทำ” ชายวัยกลางคนนั่งบนโซฟาที่คุ้นเคย สายตาจับจ้องร่างเด็กกว่าตรงกันข้ามด้วยความสับสน หลังจากพยายามเลี่ยงการเปิดปากตอนอยู่ในรถอยู่นาน เขาก็มาถึงสถานที่เหมาะแก่การคายทุกอย่างออกมา “พี่รู้ว่ามันอาจจะฟังแล้วเหลือเชื่อไปหน่อย แต่พี่ก็อยากให้อาร์ตเปิดใจ” หนุ่มน้อยเอียงคอสงสัย ปกติเป็นเอกเป็นคนขึงขังอยู่แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้จัดการร้านคนนี้หัวเสียได้มากกว่าเดิมอีกเหรอ “ผมเปิดใจให้พี่อยู่แล้ว… พี่รู้ใช่ไหม?” “แต่เรื่องที่พี่จะเล่ามันจะเปลี่ยนความคิดของนายที่มีต่อพี่ไปเลย” นี่คือสิ่งที่อาร์เต้ไม่ชอบ
การโดนสปอยด์ตอนจบไม่น่าอภิรมย์ของพิธีกรรมปีศาจที่ได้ยินจากปากของกามเทพ เป็นสิ่งที่มิวพกติดตัวออกจากห้องคุมขังมาด้วย หากเป็นก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคงดวงตาเบิกโพลง จิตใจแช่มชื่นเมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนพัวพันกับเรื่องราวลี้ลับที่น้อยคนจะได้พบเจอ ตอนนี้ทุกอย่างตาลปัตรกลับด้านชวนใจหาย เขาเริ่มหวาดกลัวในสิ่งเหนือธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ และโทษที่ตัวเองคิดน้อยเกินไป บนถนนที่แออัดไปด้วยรถยนต์อุ่นหนาฝาคั่ง ในห้องโดยสารนั้นกลับอึดอัดมากกว่าข้างนอกนั่นหลายเท่า การหายใจไม่อาจทั่วท้องเมื่อต้องนั่งชิดติดอยู่กับความหงุดหงิด บรรยากาศธรรมดาที่สามารถพบเจอได้ทุกวัน ท้องฟ้าขมุกขมัวสาดไปด้วยแสงของดวงดาว เสียงบีบแตรและไฟท้ายของรถที่สะท้อนเข้าดวงตา ทุกอย่างในการมองเห็นตอนนี้กลับพิเศษเมื่อเด็กหนุ่มขาดหายไปหลายวัน ปกติมิวไม่ค่อยชอบคนขับรถที่ซอกแซกชีวิตส่วนตัวของผู้โดยสาร ยกเว้นวันนี้… เขารู้สึกอยากกดทิปให้หลายร้อยบาทเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยให้สมองวุ่นวายได้คิดเรื่องอื่นบ้าง คำพูดยาวเหยียดก่นด่าไปทั่ว ตั้งแต่ลม ฟ้า อากาศ รวมไปถึงปัญหาค่าครองชีพถูกยัด
ฝุ่นผงแห่งความอลหม่านถูกพัดปลิวให้จางหาย ถึงต่างฝ่ายจะยังค้างคาต่อกันไม่ว่าจะเป็นฝั่งปีศาจ เทพ หรือมนุษย์ ทว่าการยอมปล่อยให้เชือกที่ถืออยู่หลุดออกจากมือไปก่อน และรอให้คนของตัวเองได้รับการฟื้นฟู เรื่องอื่นยังพอจะรอกันได้ เมื่อบานประตูพังลงมนต์กำกับก็เสื่อมถอยตาม เฉกเช่นโซ่ที่เชื่อมต่อกันไว้อย่างเหนียวแน่น เมื่อมีสักข้อหลุดออกพลังแห่งการพันธนาการก็สิ้นฤทธิ์ ในบรรดาความยุ่งเหยิงทั้งหมดทั้งมวล มีสิ่งหนึ่งที่เอสันเห็นด้วยกับดันเต้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือ เป็นเอกควรเลิกกอดหมอนข้างแล้วทำท่าฟูมฟายเสียที นอกจากมันจะดูตลกในสถานการณ์คับขันแล้ว มันยังไม่ช่วยอะไรเลย ดวงตาแห่งเทพมองเห็นซึ่งความจริงตรงหน้า กลลวงเล็กน้อยจากปีศาจไม่อาจหลบเร้นจากการรู้แจ้งของเอสัน เขามองไปยังร่างของมนุษย์ใกล้ตัวด้วยความสมเพชเจือความขำขัน เพียงการกระดิกและตั้งจิตคิดเล็กน้อย ร่างอ่อนปวกเปียกในอ้อมกอดของเป็นเอกก็คืนกลับไปเป็นหมอนข้างยาวๆ สีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มสลับอารมณ์แทบจะในทันที “ไปหาตัวจริงกันเถอะ” คำชักชวนเรียบง่ายจากเอสันดึงความสนใจของเป็นเอก
ตามทางเดินอับชื้นซับซ้อนไร้ซึ่งแสงจากธรรมชาติสาดส่อง สิ่งเดียวที่ทำลายความมืดได้มีเพียงหลอดไฟ มที่ถูกติดอย่างห่างๆ อยู่บนเพดาน ความวังเวงเกาะติดหนึบในทุกเสียงย่ำเท้า ไม่ใช่เพราะนี่เป็นเวลาเลิกงาน แต่เป็นเพราะเส้นทางเหล่านี้เป็นเขตหวงห้าม ผู้คนส่วนใหญ่จึงถูกห้ามไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามบริเวณนี้ หัวใจของดันเต้แน่วแน่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด แม้ความอึดอัดจะเริ่มคืบคลานไล่ตามหลังเขามาเรื่อยๆ สิ่งเดียวที่ช่วยให้เขามองข้ามความประหวั่นพรั่นพรึงได้หลายได้ คือความมุ่งมั่นต่อภารกิจ ในทุกอย่างก้าวหนักแน่นด้วยการระมัดระวัง ปีศาจคิวบัสเปิดทุกโสตประสาทให้ตื่นรู้ ดวงตาเปล่งประกายสีทองยามถูกเงามืดปกคลุม สิ่งเดียวที่เป็นเอกมีเหนือกว่าคือมันสมองอันชาญฉลาด กระนั้นแค่มนุษย์ก็ไม่อาจทำร้ายปีศาจอย่างดันเต้ได้ ด้วยพละกำลังเหนือกว่าสิบเท่า และเวทมนตร์ลี้ลับในตัว ชายเบื้องหน้าของเขาจึงไม่ถือว่าเป็นตัวอันตราย นอกเสียจากได้รับการช่วยเหลือบางอย่างจากกามเทพ ทางเข้าลับถูกเปิดออก เผยให้เห็นบันไดวนแบบปราสาทยุคกลาง ทุกอย่างข้างล่างนี้ดูแตกต่างจากคุก ทว่ามันกลับถ
หลังจากการเฝ้ามองอมอร์ผ่านสายตามาหลายวันนับตั้งแต่ไม่พบใบหน้าของมิว ต้องตอนนี้และห้องนี้เท่านั้นจึงจะเหมาะสมกับการลงมือที่สุด ดันเต้มั่นใจว่าอีกฝ่ายคงรู้ว่าเขาเทียวไล้เที่ยวขื่ออยู่ละแวกนี้ เพราะอย่างไรเสียคิวปิดก็เป็นเทพระดับสูง อีกอย่างที่นี่ถือเป็นถิ่นลับสำหรับกบดาน เขาเองก็ไม่อยากผลีผลามจนเกินไป ร่างสูงใหญ่ห่อหุ้มด้วยความเงียบงันเฝ้ารอให้กลิ่นหวานน่าสะอิดสะเอียนจางหาย ดันเต้จึงพออนุมานได้ว่าเทพปฏิปักษ์ของเขาจากรังลับนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยชะล่าใจหรือเหตุผลฉ้อฉลอื่นใดก็ตาม ช่วงเวลานี่จึงเหมาะกับการลงมือที่สุด ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นห้องพักผ่อนของเหล่าแองเจิ้ล ก็เป็นเพราะดันเต้เคยสำรวจที่นี่มาแล้ว บริเวณนี้ไม่ลึกลับจนเกินไปทว่าก็มีความเป็นส่วนตัวสูง ปีศาจหนุ่มไม่อยากเสี่ยงเปิดเผยตัวตนต่อหน้าคนหมู่มาก หรือเผลอพลั้งมือใช้พลังจนเกินการควบคุมของตัวเอง ทุกอย่างถูกคิดมาอย่างดีเท่าที่สมองทึนทึกของดันเต้จะคิดออก รวมไปถึงการบุ่มบ่ามใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็นกับอาร์เต้ด้วย มันถูกคาดการณ์เอาไว้โดยคร่าวไว้แล้ว