ดวงจันทร์เริ่มคล้อยตกอย่างอ่อนแรงราวกับคนที่ทำงานหนักมาทั้งคืน ขอบฟ้าเริ่มทอแสงส้มสว่างอยู่ไกลตา สัญญาณของวันใหม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
พนักงานของอมอร์ก็เริ่มแยกย้ายกันจะเกือบหมด บางคนไม่ได้ลูกค้าก็หน้าตาเหี่ยวแห้งไป เพราะเงินเดือนที่นี่ไม่ได้มากนัก หากอยากอยู่รอดให้ได้ต้องอาศัยทิปจากลูกค้าเท่านั้น
ส่วนพวกที่ได้ลูกค้ามีบ้างที่นอนเมาแอ๋กลับไปไหวอยู่ที่ห้องพัก บางคนก็แอบนัดแนะไปต่อกับลูกค้า แม้กฎของบริษัทจะระบุเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตามว่า การค้าประเวณีเป็นเรื่องต้องห้าม พนักงานทุกคนควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
แต่แน่นอนว่าพนักงานหนุ่มแน่นทุกคนของที่นี่รู้ดีว่าใต้กฎมักมีดอกจันที่มองไม่เห็นแอบซ่อนอยู่เสมอ
คืนนี้มิวโดนไปหลายดื่ม ชายหนุ่มจำเป็นต้องใช้ร่างกายเพื่อต่อรองกับเงินซึ่งเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประสบการณ์และการฉอเลาะเท่านั้นที่ทำให้เขาเอาตัวรอดได้คืนต่อคืน โดยไม่ภาพตัดไปเสียก่อน
รถยนต์จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่มิวยังไม่คิดจะครอบครอง ด้วยอาชีพที่ต้องมึนเมาเป็นอาจิณ การซื้อยานพาหนะก็คงไม่ต่างซื้อเหล็กมาตั้งไว้ให้ผุพัง มิหนำซ้ำยังก่อเกิดรายจ่ายที่ไม่เป็นสำหรับตัวเขาอีกด้วย
หากไม่ใช่บริการรถสาธารณะก็อาศัยติดรถกลับไปกับเพื่อนพนักงาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยินดีจะเป็นสารถีให้กับมิว อาจเพราะตำแหน่งสูงสุดที่ติดอยู่ข้างหลังเขา ดึงดูดผู้คนเข้าหาโดยตั้งใจ
ด้วยสติที่ยังพอเหลืออยู่มิวตั้งใจจะแวะไปหาอาร์เต้ รุ่นน้องร่วมกลุ่มทรินิตี้แองเจิ้ลที่ไม่เจอหน้ากันเกือบอาทิตย์เห็นจะได้
บรรดาสามตัวท็อปของพนักงานทุกคนในอมอร์ อาร์เต้คือคนที่อายุน้อยที่สุด เขาเข้ามาทำงานจากการชักชวนเป็นเอกพนักงานของร้าน
หลังจากเสร็จพิธีรับปริญญาสามวัน อาร์เต้ก็เดินเข้ามาสมัครงานที่ร้านทันที จากนั้นไม่นานเขาก็ไต่ระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจด้วยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก บวกกับความอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม เลยทำให้ต้องตาต้องใจเหล่าลูกค้ากระเป๋าหนัก
เกือบปีต่อมาอาร์เต้ก็เข้าสู่กลุ่มทรินิตี้แองเจิ้ลได้ โดยคนก่อนหน้านี้ลาออกไปเนื่องด้วยอาการเจ็บป่วย พนักงานบางคนเมาท์มอยกันว่าเขาติดโรคจากลูกค้า บางคนก็บอกว่าเขาแค่เหนื่อยจากการทำงาน เพราะวันสุดท้ายที่มาลาออกสภาพดูอิดโรย ขอบตาลึกโบ๋ จนจำความสวยงามก่อนหน้านั้นแทบไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดอาร์เต้ก็กลายเป็นน้องที่ทั้งมิวและเจษเอ็นดู
ระหว่างนั่งแท็กซี่มิวก็คอยส่งข้อความหาอาร์เต้อยู่เรื่อยๆ เขาได้แต่หวังว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มคนนั้น
หลังลงจากรถมิวก็บึ่งขึ้นห้องของอาร์เต้ในทันที โชคดีที่พวกเขาสนิทกันมากพอจะมีคีย์การ์ดของกันและกัน
ไม่นานนักมิวก็หยุดอยู่หน้าประตูไม้บานใหญ่ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดออดเรียกเจ้าของห้อง
ชั่วลมหายใจเพียงขณะหนึ่งบานประตูก็แง้มออก ข้างในนั้นสลัวเสียจนเหมือนหลุดออกมากหนังสยองขวัญ กลิ่นอับเจือจางพวกพุ่งออกมาพร้อมกับสายลมที่พยายามหลบหนี
แสงไฟจากโถงทางเดินเป็นเพียงแสงสว่างเดียวที่ทอดยาวเข้าไปในห้อง มิวพยายามเพ่งสายตาสู้กับความมืด
ชายผู้หลบเร้นกายอยู่ในเงานั้นร่างสูงใหญ่จนมิวมั่นใจได้อย่างชัดเจนว่านั่นไม่ใช่อาร์เต้แน่นอน เด็กหนุ่มคนนั้เตี้ยกว่ามิวที่สูง 178 เซนติเมตรเพียงเล็กน้อย แต่คนตรงหน้านั้นสูงใหญ่กว่าเขาไปมาก
“อาร์เต้อยู่ไหม?” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูด มิวเลยถือคติเปิดก่อนได้เปรียบ
“นอนอยู่” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ถึงจะรู้ว่าอาร์เต้เป็นเด็กหนุ่มรักสนุกหอบหิ้วทั้งสาวสวยและหนุ่มหล่อมากหน้าหลายตาขึ้นห้องนอนอยู่บ่อย แต่ครั้งนี้มิวกลับรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก
“ผมขอเข้าไปดูน้องมันหน่อยได้ไหม?”
ชายในเงาสลัวพยักหน้าพลางอ้าบานประตูให้กว้างออกพอจะให้มิวแทรกตัวผ่านเข้าไปได้
ชั่วขณะที่มิวแทรกตัวผ่านชายร่างสูงใหญ่ เขาเหลือบเห็นรอยช้ำที่บริเวณจมูกสูงโด่ง จู่ๆเขาก็นึกสงสัยถึงที่มาของรอยนั้น ท้ายทอยของเขาก็ปวดตุบขึ้นมา
ทันทีที่ขาก้าวเข้าสู่ห้องกลิ่นแปลกประหลาดก็ลอยเตะจมูกของมิวเข้าอย่างจัง จะว่าหอมก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะว่าเหม็นก็เชิง มันคล้ายกลิ่นยางจากไม้เข้มข้น หรือสารหอมระเหยอะไรสักอย่างที่ฉุน
“ฉันดันเต้” ชายร่างโตแนะนำชื่ออย่างเป็นมิตร
“ฉันมิว”
การแจ้งชื่อทำให้ความตึงเครียดลดลงและเพิ่มความเป็นมิตร ถึงมิวจะไม่อยากรู้เรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่นัก ด้วยคิดว่าอีกเดี๋ยวชายตรงหน้าก็คงหายไปจากชีวิตอยู่ดี
“ให้ฉันไปปลุกเขาให้ไหม?”
“ไม่เป็นไร! ฉันเป็นเพื่อนร่วมงานของเขา เขาไม่ได้แวะไปทำงานหลายวันแล้ว ก็เลยอยากแวะมาดูว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เขาแค่เพลีย ไม่นานก็คงไปทำงานได้”
“นายเป็นหมอหรือยังไง?”
“เปล่า? แต่ผมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้” ดันเต้หัวเราะราวกับพอใจ “เขาไม่เป็นอะไรหรอก นายจะไปดูด้วยตาก็ได้”
การต้องคอยฉอเลาะใส่ลูกค้าทำให้มิวต้องคอยพูดตาชวนทะลึ่งตึงตังอยู่บ่อยครั้ง แต่การโดนพูดสองแง่สองง่ามใส่ตัวเองนั้น กลับทำให้มิวหงุดหงิดเล็กน้อย อันที่จริงเขารู้สึกไม่ค่อยชอบขี้หน้าของชายที่ชื่อดันเต้สักเท่าไหร่ ถึงแม้จะม่ได้เห็นหน้าอย่างชัดเจนก็ตาม
มิวย่างเท้าอย่างระมัดระวังในความมืดตรงไปยังห้องนอนของอาร์เต้ เงาตะคุ่มข้างหลังทำให้เขานึกถึงฝันประหลาด ทั่วทั้งสันหลังเย็นวูบวาบ
ถึงจะไม่ได้หันไปดูแต่มิวก็รู้ว่าคนข้างหลังจ้องเขาไม่วางตา เขาได้แต่เดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆไม่กล้ากลับไปมอง
“อาร์เต้” มิวร้องเรียกเด็กหนุ่มผิวซีดเผือด “ไอ้เต้โว้ย!”
มือเนียนละเอียดตบเบาๆลงใบหน้าที่หลับพริ้ม พลางขานชื่อไม่หยุดหย่อน แก้มที่ยังอุ่นและผิวหนังที่ยังยืดหยุ่นเป็นสัญญาณดีที่บ่งบอกว่าเจ้าของร่างยังมีชีวิต
“หือ?”เด็กหนุ่มเปิดเปลือกตาครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงหนักอึ้งเสียจนฟังเกือบไม่ได้ศัพท์
“ทำไมไม่ไปทำงาน?”
ใบหน้าในเงามืดนั้นพร่าเบลอ แต่อาร์เต้ก็จำเสียงนี้ได้ “ผมง่วงๆเพลียๆครับ ไปทำงานไม่ไหว”
“ไม่สบายหรือเปล่า?” มิวถามพลางยื่นหลังมือแตะหน้าผากของเด็กหนุ่ม
“ไม่ครับ แค่ง่วง”
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร” เพื่อความแน่ใจมิวใช้หลังมือแตะเข้าซอกคอของเด็กหนุ่มอีกรอบ
ผิวหนังขาวสว่างของอาร์เต้ขับรอยช้ำให้เด่นชัด มิวเพ่งสายตามองรอยเหล่านั้นตามเนื้อตัวของเด็กหนุ่ม เขาพอเข้าใจความหมายของร่องรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้นี้ดี เลยไม่อยากซักไซ้อะไรให้มากความ
“โอเค! งั้นนอนพักต่อก็แล้วกัน” มิวรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆของเด็กหนุ่ม “ถ้าไหวแล้วไปทำงานด้วยล่ะ พี่เป็นเอกรอเด็ดปีกอยู่ถ้าไม่ไปทำงาน”
“ครับๆ ผมไปวันนี้นี่แหละ”
พูดจบอาร์เต้ก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วราวกับความฝันใหม่เรียกตัวเขาไป
ธุระเร่งด่วนของมิวจบลงในเวลาอันสั้น เขามองหน้าเด็กหนุ่มท่าทางเหนื่อยหนักอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องนอน
ชายร่างสูงใหญ่ยังคงยืนคอยอยู่หน้าประตูไม่ขยับ ชั่วครู่เขารู้สึกว่าดวงตาดำขลับนั้นเรืองรองเป็นสีทองในเงามืด ทว่าเมื่อกะพริบตาอยู่สองหรือสามครั้ง แสงสว่างนั้นก็เลือนหายไป
“ฝากดูแลอาร์เต้หน่อยนะ”
จู่ๆมิวก็รู้สึกไม่ถูกชะตาดันเต้แทนที่ควรจะกลัว อาจเพราะท่าทางหยิ่งยโส ไม่ก็เพราะกลิ่นแปลกๆที่เหมือนจะลอยออกมาจากตัวของเขา
“ฉันก็บอกนายแล้วว่าเขาแค่เหนื่อย
ชายทั้งสองกันโดยไร้ซึ่งคำล่ำลา อาจเพราะไม่ได้รู้สึกสนิทกันและไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก การยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อยก็พอเพียงแล้ว
คล้อยหลังมิวไม่ทันไรบานประตูก็กลับไปปิดแนบสนิทอีกครั้ง ชายร่างยักษ์เดินตรงเข้าห้องนอนด้วยท่าทางสบายใจ ดวงตาสีเข้มเรืองรองเป็นประกายในความมืดจับจ้องยังร่างเด็กหนุ่มที่นอนไม่ไหวติง
“จริงๆฉันก็ชอบนายนะ” เสียนุ่มทุ้มดังก้องกังวาน “แต่ฉันว่าฉันคงชอบเพื่อนของนายมากกว่า”
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท