ราตรีเริ่มคลุมท้องฟ้าเป็นเวทียิ่งใหญ่ให้ดวงจันทร์เปิดตัว เหล่าดวงดาวกะพริบแสงอ่อนแรงรอยลโฉมไฟกลมใหญ่ ช่วงเวลาน่าอิดโรยเช่นนี้ถือเป็นการจบวันของใครหลายคน ในขณะที่บางคนกลับเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการดำเนินชีวิต
‘Amor’ เป็นบารโฮสต์มีสไตล์เด่นชัดตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง ที่นี่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเท่าไหร่นัก แต่ลูกค้าส่วนใหญ่กระเป๋าหนักและมีอิทธิพลพอสมควร
แม้พนักงานทั้งหมดจะเป็นผู้ชายแต่ก็สามารถรับลูกค้าได้ไม่จำกัดเพศ ขอแค่มีเงินมาโยนทิ้ง… หว่างขาของพวกเขาจะมีอะไรติดอยู่ เด็กที่นี่ก็ไม่มีเกี่ยง
เรื่องชนชั้นในองค์กรเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้หากอยากเหยียบเข้ามาทำงานที่อมอร์ ทุกคนที่อยากเป็นดาวรุ่งต้องทำยอดให้สูงเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับ และมีสิทธิพิเศษกว่าพนักงานคนอื่น
ต่ำสุดถูกจัดให้เป็น ‘ดักแด้’ บางคนก็สามารถออกมาโบยบินได้ ส่วนบางคนก็นอนเน่าอยู่ในรังเหม็นอับ พวกนี้อาจเป็นเด็กหน้าใหม่ที่พึ่งอยากเข้าวงการ ไม่ก็เป็นพวกหน้าเก่าที่ไม่ค่อยได้ลูกค้า น้ำเปล่าถือเป็นสวัสดิการดีที่สุดแล้วสำหรับพวกดักแด้
ต่อมาก็ ‘ผีเสื้อ’ พวกนี้จะมีลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ทำยอดเข้าร้านได้ทุกวัน ถึงจะไม่ได้เป็นที่รักของผู้จัดการร้าน แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะได้โดนกระแนะกระแหน
ส่วนระดับสูงนั้นจะถูกเรียกว่า ‘ทรินิตี้แองเจิ้ล’ มีทั้งหมดสามคน และในสามคนนี้ก็แบ่งอันดับแยกย่อยอีกที โดยการจัดอันดับนั้นจะถูกคำนวณใหม่ทุกๆสามเดือน
เพชรยอดมงกุฎของที่นี่จะได้รับฉายา ‘มิดไนท์วิง’ หรือ ‘ปีกแห่งค่ำคืน’ เป็นผู้ที่โบยบินเหนือท้องฟ้ายามราตรี แม้จะไม่ได้มีปีกไว้กระพือได้จริง แต่มันก็เอาไว้อีโก้ตอนเดินเฉิดฉายในร้าน
นอกจากจะเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในร้านแล้ว เหล่าเทพบุตรทั้งสามจะได้อภิสิทธิ์อื่นอีก เช่นสามารถเลือกลูกค้าเองได้ ซึ่งหากไม่กลัวยอดตก สามารถปฏิเสธลูกค้าที่จ่ายเยอะกว่าเพื่อความสบายใจของตัวเองได้ หรือมีห้องส่วนตัวเพื่อความสะดวกสบาย แต่ก็ยังต้องใช้ร่วมกันสามคนอยู่ดี
และผู้ที่ครอบครองตำแหน่งสูงสุดในดินแดนเล็กๆนี้ก็คือมิว เขายึดมันเอาไว้หลายสมัยแล้ว และหากการจัดอันดับในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างไม่มีอะไรผิดพลาด ชายหนุ่มก็จะกลายเป็นพนักงานคนที่เป็นมิดไนท์วิงครบปี ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่นานที่สุดตั้งแต่ร้านเปิด
ถึงจะกดดันแต่มิวก็ภูมิใจกับงานและผลตอบแทนที่อมอร์มาก มิวได้รู้จักแขกระดับสูงหลายคนที่ยินดีจะรับเขาไปดูแลโดยไม่ต้องทำงาน แต่ชายหนุ่มเลือกจะปฏิเสธ เขาไม่ชอบการผูกมัดและอีกอย่างมิวมีปัญหาใหญ่ที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้
เกือบสองปีก่อนมิวพบว่าอยู่ดีๆอาวุธสังหารกลางลำตัวของเขาก็หยคดทำงานเสียดื้อๆ จากกล้ามเนื้อทรงพลัง กลายเป็นชิ้นเนื้อด้านชาไร้ความรู้สึก ไม่ว่าจะกระตุ้นด้วยวิธีไหนก็ไม่มีท่าที่จะฟื้นคืนชีพ
หมอไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ยาหลายขนานจากการแพทย์แผนปัจจุบันหรือแผนโบราณก็สามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือได้ ขนาดจะกระดิกด้วยตัวเองก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
แน่นอนว่าปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นใจในความเป็นชายแบบนี้ มิวไม่สามารถเล่าให้ใครฟัง แม้กระทั่งเจษรุ่นพี่ที่ทำงานคนสนิทผู้ครอบครองอันดับสอง ‘ซันเซ็ตวิง’ ก็ไม่รู้ถึงปัญหาหนักอกนี้
ทั้งสองมักแลกเปลี่ยนทุกเรื่องในห้องแต่งตัว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้าเพื่อใช้ในการรับมือ หรือเรื่องส่วนตัวทั่วไป ถึงขั้นแก้ผ้าต่อหน้ากันเพื่อตรวจสอบความสวยงามก็เคยมาแล้ว
อาจเพราะว่าการเป็นโฮสต์นั้นใช้ทั้งพลังงานและเวลา การสานสัมพันธ์กับบุคคลอื่นจากโลกภายนอกจึงกลายเป็นเรื่องลำบาก
“เมื่อคืนผมฝันแปลกอีกแล้วว่ะพี่” มิวเอนหลังบนโซฟากำมะหยี่ เฝ้ามองด้านหลังของรุ่นพี่ที่แต่งหน้าอยู่ตรงโต๊ะเครื่องสำอาง
“ไอ้ที่วิ่งในสวนสาธารณะอะไรนั่นเหรอ?” เจษเหลือบมองผ่านกระจกบานใหญ่
“ใช่! คืนที่สามแล้ว” มิวบุ้ยปากไม่สบอารมณ์ “แต่วันนี้แปลก… เหมือนจริงมาก ในฝันผมเอาหัวโขกกับตัวอะไรสักอย่าง สะดุ้งตื่นมาหัวยังโนอยู่เลย”
ว่าพลางมิวก็ลูบท้ายทอยของตัวเอง เขาพบว่าที่บวมอยู่ลดขนาดไปเยอะแล้ว แต่พอลองกดไปก็ยังเจ็บแปลบอยู่นิดหน่อย
“นอนดิ้นแล้วหัวไปโขกกับเตียงหรือเปล่า?”
มิวเอะใจเมื่อได้ยินคำทักท้วงจากผู้เป็นพี่ชายร่วมอาชีพ “พี่เคยฝันเรื่องเดิมๆติดๆกันไหม?”
“เคยนะ ฝันว่าได้เอากับลูกค้าคนเดิมๆ ในฝันเจ้แกเขียนเช็คมาให้สิบล้าน เสียดายตอนตื่นน่าจะเอาเช็คติดมือมาด้วย”
“ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมกับพี่ใครฝันแปลกกว่ากัน”
“ฝันมันก็คือฝันหรือเปล่าไอ้มิว คนเราพอหมกมุ่นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากๆก็เก็บเอาไปฝันแบบนี้แหละ”
“วิ่งเนี้ยนะ ผมก็ไปวิ่งเป็นประจำอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นจะฝันเลย”
“อาจจะเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึก อะไรพวกนั้นหรือเปล่า” เจษเอี้ยวตัวหันมามองมิว “พี่มีลูกค้าที่เป็นจิตแพทย์อยู่ ติดต่อให้เอาไหม? แต่ห้ามแย่งลูกค้าพี่นะ… คนนี้กระเป๋าหนัก”
“ลูกค้าที่เป็นหมอผมก็เยอะ หมอทำคลอดยังมีเลย พี่จะไปใช้บริการไหมล่ะ… ผมไม่หวง”
“ไว้หาเมียได้ก่อนแล้วค่อยเอาแล้วกันนะ ตอนนี้แค่คนคุยด้วยยังแทบไม่มีเลย” เจษตัดพ้อ
“เอ้อ! แต่ในฝันรอบนี้ผมเจอกับไอ้คนที่สะกดรอยตามผมแล้วด้วยนะ มันเหมือนคนหรือปีศาจอะไรสักอย่าง”
“งั้นพี่ว่าเปลี่ยนไปเป็นหมอผีดีกว่า”
มิวทำหน้ามุ่ย
เจษพูดต่อ “เอาจริงๆนะมิว พี่ว่าความฝันมันก็คือความฝันว่ะ ปีศาจในความฝันอะไรนั่นมันเพ้อเจ้อ”
“เพ้อเจ้อเหรอ?”
มิวขึ้นเสียงสูงพลางเหลือบตามองไปยังเครื่องรางของขลังที่วางเต็มโต๊ะของเจษ ครึ่งหนึ่งเป็นรูปปั้นจากสารพัดวัดหลากหลายศาสนา เหลือส่วนน้อยเป็นเครื่องสำอาง
“หยุดเลย! รู้นะว่าจะพูดว่าอะไร” เจษเอี้ยวตัวหันหลังกลับมาจ้องเด็กหนุ่มหน้าตาทะเล้น “มันไม่เหมือนกัน พวกนี้เขาเรียกว่าที่พึ่งทางจิตใจ เจอลูกค้าเขาจะได้รักจะได้เมตตา อาชีพอย่างเราแค่รูปร่างหน้าตาดีมันไม่พอหรือเปล่าวะ มันก็ต้องพึ่งดวงด้วย”
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“พี่รู้แล้วกันว่ามิวจะพูดอะไร”
“พี่เจษนี่… อวดฉลาดอีกเนอะ”
“ไอ้มิว! อย่างน้อยพี่ก็มีความฉลาดให้อวด ไม่ได้อวดโง่เหมือนแกก็แล้วกัน”
“ผมไม่โง่นะ ไอ้อาร์เต้โน่น!” เมื่อพูดถึงชื่อน้องเล็กที่สุดในห้องมิวก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ว่าแต่วันนี้อาร์เต้ไม่มาทำงานอีกแล้วเหรอ จะครบอาทิตย์แล้วนะ”
“นั่นสิ! อีกไม่นานจะตัดยอดแล้ว”
“เมื่อวานผมลองโทรไปหาก็ไม่รับสาย กะว่าเลิกงานจะลองแวะไปดูมันหน่อย”
“ยังไงก็ฝากดูมันหน่อยแล้วกัน เมื่อวานพี่พึ่งคุยกับพี่เป็นเอกมา ขืนมันยังหยุดจนทำยอดรอบนี้ไม่ได้ เดือนหน้าปีกหลุดแล้วต้องไปยืนเต้นรูดเสากับพวกผีเสื้อไม่รู้ด้วย”
ดวงจันทร์เริ่มคล้อยตกอย่างอ่อนแรงราวกับคนที่ทำงานหนักมาทั้งคืน ขอบฟ้าเริ่มทอแสงส้มสว่างอยู่ไกลตา สัญญาณของวันใหม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ พนักงานของอมอร์ก็เริ่มแยกย้ายกันจะเกือบหมด บางคนไม่ได้ลูกค้าก็หน้าตาเหี่ยวแห้งไป เพราะเงินเดือนที่นี่ไม่ได้มากนัก หากอยากอยู่รอดให้ได้ต้องอาศัยทิปจากลูกค้าเท่านั้น ส่วนพวกที่ได้ลูกค้ามีบ้างที่นอนเมาแอ๋กลับไปไหวอยู่ที่ห้องพัก บางคนก็แอบนัดแนะไปต่อกับลูกค้า แม้กฎของบริษัทจะระบุเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตามว่า การค้าประเวณีเป็นเรื่องต้องห้าม พนักงานทุกคนควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่แน่นอนว่าพนักงานหนุ่มแน่นทุกคนของที่นี่รู้ดีว่าใต้กฎมักมีดอกจันที่มองไม่เห็นแอบซ่อนอยู่เสมอ คืนนี้มิวโดนไปหลายดื่ม ชายหนุ่มจำเป็นต้องใช้ร่างกายเพื่อต่อรองกับเงินซึ่งเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประสบการณ์และการฉอเลาะเท่านั้นที่ทำให้เขาเอาตัวรอดได้คืนต่อคืน โดยไม่ภาพตัดไปเสียก่อน รถยนต์จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่มิวยังไม่คิดจะครอบครอง ด้วยอาชีพที่ต้องมึนเมาเป็นอาจิณ การซื้อยานพาหนะก็คงไม่ต่างซื้อเหล็กมาตั้งไว้ให้ผุพัง มิหนำซ
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก ชายหนุ่
การคุมโทนให้อยู่ในสีขาวกับทอง ทำให้ห้องทำงานของเป็นเอกหรูหราเกินความคิดของมิวไปมากโข ยิ่งดูจากลักษณะนิสัยการทำงานของผู้จัดการจอมยุ่งด้วยแล้ว ดูยังไงก็ควรจะเละเทะกว่านี้ ภาพของมิวที่มีต่อห้องทำงานของเป็นเอกอัปลักษณ์กว่านี้มาก เขาคิดถึงห้องเก็นแฟ้มคดีในสถานีตำรวจ ทั่วทั้งพื้นที่สี่เหลี่ยมคับแคบต้องอัดแน่นด้วยกองเอกสาร แผ่นกระดาษเกือบเปื่อยยุ่ยสีเหลืองต้องปลิวว่อนไปทั่ว และต้องมีชั้นหนังสือทำจากไม้เก่าๆ เอียงกระเท่เร่พร้อมถล่มแค่เพียงขนนกบางเบาปลิวหล่นบนยอด อย่างไรก็ตาม… ทุกอย่างกลับตาลปัตร ผนังทึบทั้งสี่ด้านตีโอบล้อมไร้หน้าต่าง ภายในเปิดโล่งไม่มีสิ่งกีดขวางให้ระคายตา หากนั่งจากโต๊ะทำงานด้านในจะสามารถมองเห็นทุกพื้นที่ของห้องได้ทั้งหมด ทุกพื้นที่ถูกจัดสรรปันส่วนให้ใช้งานเป็นสัดส่วน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนสูงใกล้เพดานยกเว้นชั้นหนังสือเรียงชิดกันตรงมุมห้อง และโคมระย้าขนาดย่อมที่ห้อยลงมา นี่คงทำให้ห้องที่ควรอึดอัดดูผ่อนคลายมากกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งการจัดแสงไฟช่วยทำให้รู้สึกโล่งสบายและกว้างขวาง โต๊ะทำงานถูกจัดไว้กึ่งกลางของห
มันไม่ได้จบแค่ครั้งเดียว! ในความฝันไร้จุดสิ้นสุดทุกอย่างดำเนินไปโดยไร้เส้นแบ่งของเวลา บนเตียง ริมระเบียงหรือดาดฟ้าล้วนไม่ต่ำกว่าสถานที่ละสองรอบ ทุกบรรยากาศเสกสรรได้ดั่งใจไม่ว่าจะกลางค่ำกลางคืน หรือกลางแสงแดดพร้อมสายลมพัดโชยอ่อน ดวงตาใสซื่อของเด็กหนุ่มเหลือกขึ้นตอนสติใกล้หลุดลอย เรี่ยวแรงโรยราตามพละกำลังที่ถูกใช้ มิวคงสลบเหมือดไปแล้วหากไม่ได้พลังในกายคอยช่วยเสริมอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่เด็กหนุ่มเหมือนจะขาดหายใจกลับบ้านเก่าไปจริงๆ เขาจึงร้องขอครึ่งอสูรให้ปลดปล่อยจิตวิญญาณคืนสู่ความเป็นจริง ความเหนื่อยล้ารุมเร้ามายังร่างกายจริง มิวแทบไม่เหลือแรงจะทำอะไรนอกจากกิน กิน และก็กิน แม้ว่าจะรู้ตัวว่าขาดงานไปแล้วสองวัน ชายหนุ่มก็เลือกจะกินมันทั้งวันทั้งคืน ไซคีสีดำตรงท้องน้อยขาวเนียนจางลง กระนั้นตราปีศาจที่ดันเต้ทำพิธีไปนั้นก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น ความร้อนใจของมิวไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าปีศาจผู้ทำพิธี เขาคอยพะเน้าพะนอเด็กหนุ่มอย่างใกล้ชิด และหาเศษหาเลยทุกครั้งที่มีโอกาส “คืนนี้ฉันให้นายแค่รอบเดียว เพราะช่ว
ดวงตาและริมฝีปากถูกผนึกในเวลาไล่เลี่ยกัน เหลือเพียงด้านล่างที่ยังเปิดค้างพร้อมของเหลวที่รั่วไหล ของเหลวหนืดยืดไหลเป็นสายจากช่องน้อยลากยาวไปถึงต้นขา แสงสีส้มอมม่วงย้อมบรรยากาศให้เร้นลับ กลิ่นอายทะเลเค็มๆก็ไม่อาจสะกดใจได้เท่ากลิ่นหอมหวานของเครื่องเทศและยางไม้ ที่ลอยออกมาจากตัวของครึ่งอสูร มันเป็นกลิ่นซับซ้อนที่หลอมละลายพฤติกรรม เมื่อห้อมล้อมด้วยนฤมิตจากเวทมนตร์ ก็ชวนให้สับสนถึงความจริง การรับรู้เพี้ยนของมิวผิดเพี้ยน เขาไม่รู้ว่าเขาใช้เวลากับดันเต้ไปนานเท่าไหร่แล้ว และไม่รู้ว่าขีดจำกัดของร่างกายตัวเองอยู่ตรงไหน ทั้งที่เพิ่งหลั่งไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน อารมณ์ทางเพศของเด็กหนุ่มกลับไม่ดิ่งลงตามที่ควรจะเป็น ทั้งด้านหน้าและด้านหลังยังอุ่นร้อนพร้อมเสิร์ฟให้กรรมการชิมทุกเมื่อ ยิ่งได้มองแววตาดุดันรุ่งโรจน์ด้วยแสงสีทองแล้ว ทรวงอกก็พองออกเหมือนจะระเบิด ท้องน้อยบิดมวนด้วยความโกลาหล ถึงความอายยังไม่สลายหายไป แต่มิวก็พร้อมยอมพลีแลกทุกอย่าง เพื่อให้ได้มองใบหน้าคมเข้มของดันเต้เหยเกด้วยความหื่นกระหาย อีกฝ่ายก็คิดไม่ต่างกัน… กลิ่นพีชในสวนบนยอ
หมอกขาวทึบอบอวลไปด้วยกลิ่นความใคร่ที่ไหลพรั่งพรูผ่านทุกต่อมในร่างกาย มันทะลักล้นไม่หยุดหลังการไต่ระดับถึงจุดสุดยอด กราฟแห่งความสุขสมยังค้างเติ่งสูงอยู่ด้านบน ไม่ตกร่วงเหมือนความรู้สึกของคนทั่วไป เหงื่อเม็ดใสเกาะเป็นหยดกลมตามลอนท้องและแผงอก มันรวมตัวเป็นก้อนกลมและไหลหล่นบนผ้าปูยามหน้าท้องกระเพื่อม เสียงหอบหนักดังมาจากมนุษย์หนุ่มเป็นหลัก ริมฝีปากกระจับสวยแดงระเรื่อจากการขบเม้ม ผิวขาวสะอาดโดนแต่งแต้มด้วยความสดใส สีแดงชาดเป็นริ้วจากพวงแก้มลามถึงใบหู ดวงตาสีเข้มถูกความเหนื่อยล้ากดทับจนหรี่เล็ก สะโพกกลมแน่พลิ้วไหวเล็กน้อยอยู่ท่ามกลางสมรภูมิน้ำกามที่เจิ่งนอง อาจเพราะสมองเลือนรางเป็นจุดเบลอ เขาโค้งใหญ่บนศีรษะของดันเต้จึงดูไม่แย่นักในสายตาของมิว มิหนำซ้ำยังทำให้ปีศาจดูดุดันอย่างที่ควรจะเป็นเสียด้วยซ้ำ ถึงจะจะบอกได้ไม่เต็มอกว่าคุ้นชินแล้วก็ตาม ตั้งแต่ดันเต้ย่างเท้าเข้ามาในชีวิตแบบไม่เต็มใจ ชายหนุ่มก็พบเจอเรื่องพิลึกกึกกือมากมาย และมีแนวโน้มจะแปลกใหม่มากขึ้นด้วยซ้ำ มิวชอบ… อย่างน้อยมันก็โหดร้ายน้อยกว่าความเหงา การมีที่อยู่แต่ไร้ซึ่งความรู้สึกถึงบ
รยางค์จากด้านหลังตรงกลางก้นกบเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มันเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังยาวลงมา และมีความรู้สึกไม่ต่างจากนิ้วมือ ส่วนปลายทู่มนมีรูที่ยืดขยายได้กว้าง สามารถลำเลียงของเหลวประหลาดได้ไม่ต่างจากท่อทางเดินในร่างกาย มันส่ายไปมาใกล้รูสวาทสีชมพูเข้มด้วยหมายมุ่งจะจู่โจม หางของดันเต้นั้นเรียวยาวคล้ายปลาไหล หากยืดออกจนสุดจะมีความยาวประมาณครึ่งหนึ่งของส่วนสูง กระนั้นมันก็ยังขยายเพิ่มได้อีกนิดหน่อย เพราะกล้ามเนื้อจุดนี้มีความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งข้อต่อเล็กๆนับสิบที่เรียงกันอยู่ภายใน ก็ทำให้มันโค้งงอและเลื้อยได้เหมือนงู สีของหางเป็นสีเดียวกับผิวหนังของดันเต้ สัมผัสยามจับต้องนั้นลื่นไหลไม่มีจุดสะดุด นอกจากจะเป็นเครื่องเอาไว้เล่นสนุกแล้วบางครั้งดันเต้ก็ใช้มันเป็นอาวุธ แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่นักเพราะเจ้านี่ควบคุมได้ยาก “ข้างล่างนั่น… มันอะไร?” ด้วยการรับรู้อันแตกต่างที่ไม่มีอะไรเหมือนเจ้าสิ่งซุกซนด้านล่าง ทำให้ความคิดของชายหนุ่มภายใต้ผ้าปิดตาสีดำ ไม่สามารถชี้นำไปยังทางดีๆได้เลย ปลายหัวโค้งมนอันเขื่องพยายามกระทุ้งเย
ความคิดในหัวน้อยๆของมิวฟุ้งซ่าน ในขณะที่ด้านล่างล่อนจ้อนกำลังโดนเย้าแหย่ ที่ผ่านมาเด็กหนุ่มมักสวมบทเป็นผู้กระทำในการร่วมรัก แต่เมื่อตำแหน่งบนเตียงถูกเปลี่ยนด้วยความจำเป็น มิวค่อนข้างตื่นเต้นด้วยและกังวล ถึงจะลองดูคลิปและอ่านข้อมูลมาบ้างแล้วก็ตาม ทว่าการปฏิบัติจริงนั้นยังดูเทอะทะเก้กังอยู่มาก เอาเข้าจริงการเป็นผู้ตามยังถือว่าใหม่มากสำหรับมิว การปล่อยให้ช่วงล่างโดนกระเซ้าหยอกล้อ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันรู้สึกดีใช่เล่น แต่ก็ยังไม่อยากยอมรับว่าชอบเสียทีเดียว คงต้องรอให้ไปถึงยังจุดสุดท้ายของเหตุการณ์ มิวอาจรีวิวและให้ดาวดันเต้ได้ถูกต้อง ขณะมือของดันเต้ถูรู่ไปตามทุกตารางนิ้วของท่อนเนื้อขาวเนียนละเอียด กลิ่นกายจากของทั้งคู่ก็ฟุ้งกระจายออกมาในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความหวานซ่อนเปรี้ยวตีผสมกับความหวานซ่อนเผ็ด คลุกเคล้าจนเป็นกลิ่นที่ซึ่งมิอาจระบุได้ชัดเจน สำหรับอมนุษย์การมีกลิ่นกายซับซ้อนเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา ทว่ากับมนุษย์นี่ถือเป็นเรื่องพิเศษ เพราะตามปกติสิ่งมีชีวิตอย่างมิว หากไม่ปรุงแต่งจะมีกลิ่นเรียบง่าย “จะง่ายกว่านี้ถ้า
เงาที่ทอดยาวภายใต้ปีกสีดำสยายใหญ่ราวกับอีกโลกที่เหลื่อมกัน อาทิตย์มิอาจทอแสงลอดความทะมึนนี้เข้ามาได้ เมื่อบานประตูเผยตัวออกมา มันจะไม่ปิดหากไม่ถูกใช้งาน แสงเรืองรองสีทองแววโรจน์ในดวงตาดุดัน เพียงแค่มือหนาใหญ่ทาบทับบนศีรษะอย่างอ่อนโยน มนุษย์หนุ่มก็ถึงแก่วิสัญญีสลบลงในอ้อมกอดคิวบัส อึดใจเดียวที่ลมหายใจรวยรินถูกปล่อยออกมาผ่านริมฝีปากระเรื่อ ดวงตาคู่หวานกะพริบถี่เพียงช่วงสั้นๆ การมองเห็นก็ค่อยๆถูกปรับให้ทำงานได้ตามปกติ หมอกหนาทึบกลายเป็นพนักงานต้อนรับของดินแดนแห่งฝัน มันเข้ามาทักทายอย่างอ่อนโยนตามเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม พัดโบกความเย็นสบายขานตอบการมาเยือน มนุษย์หนุ่มเริ่มคุ้นเคยไม่ต่างจากการแวะไปร้านสะดวกซื้อแถวบ้าน เพียงแต่การมาที่นี่ต้องมีคนนำเข้ามา… อาจเพราะมีอีกมือโอบอุ้มอย่างแผ่วเบา ความขลาดเขลาจึงไม่อาจแทรกเข้ามาในจินตภาพ ความอุ่นภายใต้ผิวหนังนุ่มลื่นของปีศาจนั้นไม่ต่างจากมนุษย์เดินดิน หากดันเต้ไม่เฉลยความลับออกมาเสียก่อน มิวก็แทบไม่รู้สึกเลยว่าชายหนุ่มด้านหลังนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากเขา “นายห้ามหนีฉัน
“มันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ความตกอกตกใจของมิวยังไม่สร่าง เขาทบทวนทุกอย่างด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เพื่อให้แน่ใจว่าความมึนเมาไม่ได้หลอนประสาทหูของตัวเอง ดวงอาทิตย์รุ่งสางเริ่มทอประกายแสดจากภายนอกอาคาร ทว่าแสงสว่างนั้นก็ไม่อาจสาดส่องความอึมครึมแห่งความสับสนให้กระจ่าง ทุกอย่างไปไกลเกินการควบคุม ฉีกทุกกฎการเรียนรู้ของมิวที่สะสมมานานยี่สิบสี่ปี เขาหวนคิดถึงนักเดินเรือสมัยก่อนที่ค้นพบทวีปใหม่ มันทั้งตื่นและชวนให้รู้สึกอันตรายไปพร้อมกัน “ตอนนี้มนุษย์รอบตัวนายไม่มีใครเชื่อใจได้สักคน” ดันเต้เกลี้ยกล่อม “เป็นเอกเป็นคนพาอาร์เต้ไปสัก ผู้จัดการร้านของนายอาจเป็นผู้ช่วยของคิวปิดอยู่ก็ได้” มิวใส่คะแนนให้ดันเต้ไปอีกหนึ่งแต้มเมื่อฟังจบ ถึงไม่เห็นกับตาแต่ด้วยม่านควันบังตาทำให้ ความน่าเชื่อถือของคิวบัสนั้นมากกว่ารุ่นน้องคนสนิท “พวกนั้นอาจลงมือกับนายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากนายโดนจับไปทำอะไรแบบที่อาร์เต้โดน แล้วนายเกิดเกลียดฉันขึ้นมา ตอนนั้นฉันคงเข้าใกล้นายไม่ได้อีกต่อไป” มิวใส่คะแนนเพิ่มให้ดันเต้อีกสองคะแนน เพราะน้ำเสียงของ
ผ่านมาหลายต่อหลายคืนแล้วที่มิวเฝ้าภาวนาขอให้เจออมนุษย์ร่างกายล่ำบึ้ก ไม่ว่าจะเพราะอยากเคลียร์ใจหรือเพราะติดใจบรรยากาศซู่ซ่าในม่านหมอกก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังอยากเจอดันเต้อยู่ดี อากาศเย็นสบายในห้องแต่งตัวไม่อาจดับความรุ่มร้อนของชายหนุ่ม ตั้งแต่มิวตะคอกใส่ดันเต้แล้วหลบหนีออกจากความฝัน เขาก็ไม่พานพบคิวบัสตนนั้นอีกเลย จะเป็นที่ทำงานหรือในความฝัน จนดูเหมือนว่าการหายตัวคงเป็นสิ่งถนัดของดันเต้ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าปีศาจน้อยใจเป็นหรือไม่ ทว่าก็หวังเอาไว้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น หลายสิ่งยากเหนือจินตาการเกิดแบบฉับพลันในระยะเวลาอันรวดเร็ว แรกเริ่มก็ยากเกินความเข้าใจ กระนั้นเมื่อคุ้นเคยมันกลับกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นที่โหยหา แต่ตอนนี้เมื่อนั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มิวจำเป็นต้องสลัดเรื่องราวส่วนตัวทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาสามารถพกพาความเครียดหรือกังวลใจของตัวเองไปพบลูกค้าได้ ภาพรวมในอมอร์ทุกอย่างเป็นปกติ ในแต่ละวันมีเด็กเข้าออกกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ยากเกินควบคุมของเป็นเอก ฉะนั้นการขาดหรือมีดันเต้หนึ่งคน ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินได