‘ใครวิ่งตามมาวะ?’
ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป
‘มิว’ ชอบวิ่งออกกำลังกายยามเย็นไม่ใช่แค่เพราะบรรยากาศร่มรื่น แต่เพราะงานที่เขาทำเหมาะกับการใช้ชีวิตช่วงกลางคืน ดังนั้นตอนเย็นโพล้เพล้เช่นนี้ของเขา ก็เปรียบเสมือนเช้าตรู่ของใครหลายคน
แน่นอนว่าการถูกคนสะกดรอยตามเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเป็นอุปสรรคเช่นกัน มิวสามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้อยู่ อาจเพราะรูปร่างสันทัดอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ ถึงเขาจะไม่ได้สูงใหญ่มากเกินมาตรฐาน ทว่าก็ช่วยให้ดูน่าเกรงขามเวลาเลียนแบบท่าหมัดมวย เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับเขาตรงๆเท่าไหร่นัก
อีกทั้งเสน่ห์ดึงดูดเป็นทักษะติดตัวมาตั้งแต่เกิด ช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้ในยามคับขันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นี่เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ผู้เป็นพ่อและแม่ทิ้งเอาไว้ให้มิว
หลังการระแวดระวังไปได้สักพักชายหนุ่มก็ทิ้งเรื่องราวอึดอัดเอาไว้ข้างหลัง โอบรับสายลมเย็นสบายเข้ามาเติมเต็มแทนความกังวล
แสงสีทองอ่อนทอประกายสะท้อนกับพื้นถนนที่ทอดยาว มิวผ่อนแรงลงจากการซอยฝีเท้ามายาวนาน ลมหายใจทอดถอนอย่างหนักหน่วง
นัยน์ตาดำขลับมองกวาดไปยังผู้คนรอบข้างทาง หันไปทางไหนก็เจอรอยยิ้มเจืออยู่ในมวลบรรยากาศ ความมีชีวิตชีวาเหล่านี้ช่วยสร้างพลังกายได้เป็นอย่างดี
ถึงจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาเต็มสองข้างทาง แต่กลับไร้เงาของสิ่งมีชีวิตร่วมทางวิ่งไปกับเขา แม้คนวิ่งสวนกลับมาสักคนก็ยังไม่มี
เสียงนกรายล้อมดังอยู่เหนือท้องฟ้า น่าแปลกที่มันไม่ได้บินกลับรังตามที่ควรจะเป็น หากแต่ลนลานหนีจากอะไรบางอย่างให้พ้นอย่างเร่งด่วน
เมื่อหันหลังกลับไปยังจุดที่จากมา มิวก็สังเกตเห็นหมอกจางสีขาวไล่ตามจากข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ความเย็นยะเยือกค่อยๆครอบคลุมทุกตารางนิ้วของพื้นที่
ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าเพื่อตรวจหาความผิดปกติโดยรอบ
ผู้คนต่างค่อยๆอันตรธานหายไปจนบางตา เสียงเซ็งแซ่ถูกหมอกสีขาวดูดกลืนเหลือเพียงความเงียบงัน และในที่สุดก็เหมือนจะเหลือเพียงแค่เขาคนเดียวในสวนสาธารณะแห่งนี้
ควันสีขาวตีโอบร่างของชายนักวิ่งจากทุกทิศทาง ห้อมล้อมไปจนถึงเหนือหัว
“อีกแล้วเหรอ” มิวอุทานอย่างหงุดหงิดเมื่อภาพสวยงามก่อนหน้าถูกบดบังไปอย่างน่าเสียดาย
เงาตะคุ่มสูงใหญ่อยู่ในหมอกควันขาวโพลนค่อยๆเคลื่อนเข้าหา ทุกครั้งที่ชายหนุ่มถอยหลังหนึ่งก้าว เงานั้นก็จะขยับเข้าใกล้อีกหนึ่งก้าวเพื่อรักษาระยะห่าง
“แกเป็นใคร?” มิวร้องถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ทว่าเสียงนั้นกลับก้องสะท้อนอยู่รอบตัว ราวกับคำถามนั้นย้อนกลับเข้าสู่ตัว “ไม่สิ… แกเป็นตัวอะไร!!!”
แม้จะรู้สึกเหมือนว่าเคยเจอเหตุการณ์เหล่านี้มาแล้ว แต่เงานั้นเป็นครั้งแรกที่มิวได้เผชิญหน้าอย่างจัง ที่ผ่านมาเขาแค่รู้สึกได้เพียงด้านหลัง
เจ้าของร่างสูงใหญ่นั้นไม่เอื้อนเอ่ยคำปราศรัยแต่กลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น ดวงตาสีเหลืองทองส่องแสงทะลุม่านหมอก
“กลิ่นของนายเหมือนลูกพีชต้องห้ามในสวนบาบิโลน”
เสียงกังวานใกล้หู ทว่าเมื่อชายหนุ่มหันไปกลับไม่เจอต้นตอของเสียง
“อยากลิ้มลอง”
เสียงนี้ก้องไปทั่วทิศทาง แม้จะพยายามมองหา แต่เสียงทุ้มลึกนี้ก็วิ่งหนีไปทุกที
“ไม่ได้เจอคนแบบนายมานานเท่าไหร่แล้วนะ หึ!หึ!”
“พลังงานอัดแน่นอยู่ในกาย”
“อืม… น่าสนใจ”
การตามหาแหล่งที่มาของเสียงท่ามกลางหมอกหนาทึบเหมือนจะเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ ไม่ว่าจะหันไปทิศทางใดเสียงนั้นก็จะวิ่งไปยังตรงกันข้ามเสมอ
สายตากลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ ความหนาวยะเยือกก่อกวนตั้งแต่เท้าขึ้นมา แต่เหงื่อกลับแตกพลั่กเต็มหน้าผาก
ชั่วครู่สายลมเย็นเฉียบพุ่งมายังด้านหลัง พร้อมร่างใหญ่โตยึดจับทั้งลำตัวของมิวไว้ ชายหนุ่มรีบสะบัดดิ้นหนีอันตราย แต่เหมือนอีกฝ่ายจะมีพละกำลังมหาศาลกว่ามาก
“เชี่ยไรวะ! แกเป็นใคร?” มิวกรีดร้องพลางดันตัวเองให้หลุดรอด
“ฉันชอบเล็งเหยื่อจากบนฟ้านะ” อีกฝ่ายหูทวนลม ซึ่งไม่ใช่คำเปรียบเปรย “อ้อ!... หวังว่านายจะไม่กลัวความสูง”
คำถามประหลาดเรียกสติของให้กลับคืนร่าง มิวก้มตาลงต่ำ เขาพึ่งรู้ตัวว่าเท้าของตัวเองลอยห่างจากพื้นมากขึ้นเรื่อยๆ “แกเป็นตัวอะไร?”
การตอบคำถามคงไม่ใช่สิ่งที่ตัวปริศนานี้โปรดปราน มันเอาแต่หัวเราะในลำคอขณะที่กำลังพาร่างเล็กกว่าลอยขึ้นสูง ปีกใหญ่กางกว้างสะบัดหอบลมรอบกายกระพือเป็นพายุขนาดเล็กจิ๋ว
ตอนนี้ถนนหายวับเหลือเพียงหมอกสีขาวอยู่ใต้เท้า ถึงจะน่าหวาดกลัวแต่มิวก็ต้องทำอะไรสักอย่าง
เด็กหนุ่มสูดลมเย็นเข้าไปในปอดจนสุด เมื่อการพูดคุยไม่ได้ผล กำลังคงเป็นสันติสุขเดียวที่หยิบยื่นให้ได้ มิวรวบรวมพลังในกายทั้งหมดส่งไปยังท้ายทอย จากนั้นก็กระแทกมันไปยังด้านหลัง
“เจ็บๆ” มิวพร่ำโอดครวญในขณะที่น้ำตาของไหลพราก ในใจนึกเสียดายที่ทำอะไรโง่ๆลงไป
ทว่ามันได้ผล! ความเจ็บปวดสาหัสถูกส่งมอบไปยังบางอย่างที่อยู่ด้านหลัง มันมีเนื้อหนังพอให้มีความรู้สึก “อ้ากกกก!”
วงแขนแข็งหนาแกร่งคลายขดออกในทันที ร่างเด็กหนุ่มร่วงหลุดจากการยึดโยง มีเพียงอากาศอันว่างเปล่าเท่านั้นที่เขาสามารถไขว่คว้าเอาไว้ได้
เด็กหนุ่มกรีดร้องเมื่อแรงโน้มถ่วงฉุดเขาเข้าหา ในขณะที่เสียงสบถด่าดังอยู่เหนือหัว
“เจ้าบ้านี่! ถึงจะเป็นในความฝันฉันก็มีความรู้สึกนะเว้ย!”
ท้องน้อยของมิววูบโหวงเหมือนเฉกเช่นคนกำลังตกจากที่สูง ดวงตาปิดแน่นทิ้งการมองเห็นไว้เบื้องหลัง มือทั้งสองขยับไหวไปตามแรงลมที่พุ่งปะทะ
“อ๊าาาาาา!”
มิวลากเสียงยาวจากความตกใจ เขาไม่หยุดจนกระทั่งรู้สึกว่าลมเย็นบนใบหน้านั้นจางหายไปแล้ว
เด็กหนุ่มค่อยๆลืมตา หมอกควันสีขาวทึบได้จางหายไป มิวยกมือเช็ดเหงื่อที่แตกพร่าเต็มใบหน้า จากนั้นก็ยกมันกุมหัวใจที่กำลังเต้นรัว
ลำคอแหบแห้งจนต้องรีบกลืนน้ำลายลงไป มิวหันไปโดยรอบก็พบว่าที่นี่คือห้องนอนของตัวเอง
“อีกแล้วเหรอวะเนี่ย”
มิวหายใจทางปากเพื่อลดอาการเหนื่อยหอบ พลันนึกถึงความฝันที่เหมือนความจริงยิ่งกว่าทุกครั้ง เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยที่รู้สึกปวดหน่วงนิดหน่อย
“บ้าอะไรวะ!”
สองคิ้วขมวดชนกันด้วยความพิศวง มิวสบถซ้ำไปซ้ำมาด้วยความหงุดหงิด ทั้งกลัวและหงุดหงิดปนเปผสมกันไป
ราตรีเริ่มคลุมท้องฟ้าเป็นเวทียิ่งใหญ่ให้ดวงจันทร์เปิดตัว เหล่าดวงดาวกะพริบแสงอ่อนแรงรอยลโฉมไฟกลมใหญ่ ช่วงเวลาน่าอิดโรยเช่นนี้ถือเป็นการจบวันของใครหลายคน ในขณะที่บางคนกลับเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการดำเนินชีวิต ‘Amor’ เป็นบารโฮสต์มีสไตล์เด่นชัดตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง ที่นี่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเท่าไหร่นัก แต่ลูกค้าส่วนใหญ่กระเป๋าหนักและมีอิทธิพลพอสมควร แม้พนักงานทั้งหมดจะเป็นผู้ชายแต่ก็สามารถรับลูกค้าได้ไม่จำกัดเพศ ขอแค่มีเงินมาโยนทิ้ง… หว่างขาของพวกเขาจะมีอะไรติดอยู่ เด็กที่นี่ก็ไม่มีเกี่ยง เรื่องชนชั้นในองค์กรเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้หากอยากเหยียบเข้ามาทำงานที่อมอร์ ทุกคนที่อยากเป็นดาวรุ่งต้องทำยอดให้สูงเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับ และมีสิทธิพิเศษกว่าพนักงานคนอื่น ต่ำสุดถูกจัดให้เป็น ‘ดักแด้’ บางคนก็สามารถออกมาโบยบินได้ ส่วนบางคนก็นอนเน่าอยู่ในรังเหม็นอับ พวกนี้อาจเป็นเด็กหน้าใหม่ที่พึ่งอยากเข้าวงการ ไม่ก็เป็นพวกหน้าเก่าที่ไม่ค่อยได้ลูกค้า น้ำเปล่าถือเป็นสวัสดิการดีที่สุดแล้วสำหรับพวกดักแด้ ต่อมาก็ ‘ผีเสื้อ’ พวกนี
ดวงจันทร์เริ่มคล้อยตกอย่างอ่อนแรงราวกับคนที่ทำงานหนักมาทั้งคืน ขอบฟ้าเริ่มทอแสงส้มสว่างอยู่ไกลตา สัญญาณของวันใหม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ พนักงานของอมอร์ก็เริ่มแยกย้ายกันจะเกือบหมด บางคนไม่ได้ลูกค้าก็หน้าตาเหี่ยวแห้งไป เพราะเงินเดือนที่นี่ไม่ได้มากนัก หากอยากอยู่รอดให้ได้ต้องอาศัยทิปจากลูกค้าเท่านั้น ส่วนพวกที่ได้ลูกค้ามีบ้างที่นอนเมาแอ๋กลับไปไหวอยู่ที่ห้องพัก บางคนก็แอบนัดแนะไปต่อกับลูกค้า แม้กฎของบริษัทจะระบุเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตามว่า การค้าประเวณีเป็นเรื่องต้องห้าม พนักงานทุกคนควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่แน่นอนว่าพนักงานหนุ่มแน่นทุกคนของที่นี่รู้ดีว่าใต้กฎมักมีดอกจันที่มองไม่เห็นแอบซ่อนอยู่เสมอ คืนนี้มิวโดนไปหลายดื่ม ชายหนุ่มจำเป็นต้องใช้ร่างกายเพื่อต่อรองกับเงินซึ่งเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประสบการณ์และการฉอเลาะเท่านั้นที่ทำให้เขาเอาตัวรอดได้คืนต่อคืน โดยไม่ภาพตัดไปเสียก่อน รถยนต์จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่มิวยังไม่คิดจะครอบครอง ด้วยอาชีพที่ต้องมึนเมาเป็นอาจิณ การซื้อยานพาหนะก็คงไม่ต่างซื้อเหล็กมาตั้งไว้ให้ผุพัง มิหนำซ
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
พื้นที่ใช้สอยของห้องในโรงแรมนี้มีไม่มากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงตกแต่งอย่างดีให้ได้รับความรู้สึกหรูหรา ไฟสีนวลจากโคมไฟสาดส่องทั่วทั้งบริเวณให้ดูอบอุ่น ในความเรียบง่ายของชุดเตียงนอนแฝงความปรานีตเอาไว้ในทุกฝีตะเข็บของการถักทอ พื้นพรมก็นำเข้าอย่างดีจากต่างประเทศ ความอ่อนนุ่มยามสัมผัสด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า โอบกอดอย่างอ่อนโยนจนรับรู้ความแตกต่างหากเทียบกับของราคาถูก ชายวัยกลางคนใบหน้าแดงก่ำนอนเอกเขนก แขนและขากางเหยียดออกจนสุด หน้าท้องกลมบวมจากการสะสมของไขมันกระเพื่อมรุนแรง รอยยับย่นเห็นได้ชัดเมื่อต้องกับแสงสว่าง ผมสั้นเกือบเกรียนแซมด้วยสีดอกเลา บ่งบอกถึงการผ่านประสบการณ์บนโลกนี้มานานกว่าใครทุกคนในห้อง ความแข็งกร้านเคลือบแฝงอยู่ในประกายของแววตา “ทำไมน้องมิวเขาถึงไม่ยอมรับงานนอก” ชายร่างท้วมถามอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงเป้าหมายสำคัญที่หลุดลอยไป “พี่ไม่อยากใช้วิธีรุนแรงแบบสมัยก่อนหรอกนะ แต่ถ้ามันได้ยากก็คงต้องคิดดูสักหน่อย” “พี่อย่าไปทำน้องมันเลยครับ เด็กคนอื่นเต็มใจอีกตั้งเยอะแยะ พี่อย่าเสียแรงกับเรื่องพวกนี้เลย” เจษรู้ว่าอีกฝ่ายทำอะ
หมู่เมฆรวมตัวกันหนาจนเต็มท้องฟ้า ปิดบังแสงจันทร์นวลไม่ให้เฉิดฉาย ลมโชยอ่อนนำพาความอุ่นโอบอุ้มร่างกายยามสัมผัส แม้จะใกล้ยามรุ่งสางแล้วทว่าสุดขอบยังมืดมิดไร้ความเคลื่อนไหว ดูเหมือนวันนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างเชื่องช้ามากกว่าวันอื่น มิวหอบสัมภาระชิ้นเล็กติดตัวยืนรออาร์เต้อยู่หน้าร้าน พวกเขานัดว่าจะหาอะไรกินนิดหน่อย แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นติดพันอยู่กับลูกค้าจนเลยเวลาเลิกงานมาสักพักใหญ่ ส่วนตัวของมิวแม้จะเสร็จก่อนแต่ก็ยังถือว่าช้ากว่าตอนปกติอยู่ดี การออกมาสูดอากาศนอกร้านเป็นสิ่งที่ทำให้มิวรู้สึกปลอดโปร่ง อย่างน้อยได้แหงนมองขึ้นมองแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ก็ช่วยให้เขาสร่างจากอาการมึนเมาได้บ้าง ดีกว่านั่งอยู่ในห้องแคบๆ มองผนังทั้งสี่ด้านส่ายไปส่ายมาจนเวียนหัว หน้าร้านค่อนข้างเงียบเชียบ เพราะเลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว พวกพนักงานที่ไม่มีลูกค้าส่วนใหญ่จะขอกลับก่อน ส่วนที่เหลือพอร้านปิดก็ทยอยกลับพร้อมลูกค้า ไม่ก็แยกย้ายทางใครทางมัน ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่เลยเวลาปิด เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกคะยั้นคะยอให้เปิดห้องวีไอพี หลายคนจึงไม่อยาก
ถึงจะพยายามหลับต่อแต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความมืดไร้จุดสิ้นสุด ไม่มีอะไรแปลกประหลาดจนมิวคิดว่าความฝันนั้นมันอาจเป็นเพียงแค่ฝันธรรมดา ที่ผ่านการปรุงแต่งจากจิตใต้สำนึก อันที่จริง ‘*Lucid Dream’ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับมิว การรู้ตัวว่ากำลังฝันทำให้มิวสามารถสร้างสนามเด็กเล่นในจินตนาการได้อย่างเพลิดเพลิน แต่นั่นก็ทำให้เขาจำสลับความฝันกับความจริงอยู่บ้าง หลังจากตัดใจเลิกนอนต่อ มิวใช้เวลาที่ควรวิ่งในสวนสาธารณะเปลี่ยนเป็นจดจ่ออยู่หน้าแล็ปท็อป เลือกหนังผู้ใหญ่ที่ถูกใจเพื่อทำสิ่งที่ค้างคาให้จบ ทว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไร้การเคลื่อนไหวอื่นใดจากช่วงล่าง นอกจากฝ่ามือที่พยายามขยับอย่างรวดเร็ว นั่นสร้างความหงุดหงิดให้ชายหนุ่มผู้เปี่ยมล้นด้วยความหวัง ความตะขิดตะขวงใจเหล่านี้อึดอัดอยู่ในหัวของมิวตามไปจนถึงที่ทำงาน ชายหนุ่มไม่อาจสลัดความตื่นเต้นที่พบเจอได้เลย ส่วนล่างแม้จะนิ่งสงบ ทว่ามิวยังรู้สึกเต้นตุบๆอยู่ภายใต้ผิวหนังขาวสะอาด ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยถ่านไฟที่คุกรุ่นตามติดไปทุกที่ มันค่อนข้างแปลกแต่เขาก็อยากสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้อีก
ด้วยกลิ่นผสมรวมกับความร้อน มิวยอมรับแต่โดยดีว่าเขาเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ทว่ามันแลกกับการที่เด็กหนุ่มได้รับการเยียวยารักษาจากอาการผิดปกติของร่างกาย เขาก็พร้อมจะยอมเสี่ยง ไม่ว่าจะกี่หมอหรือยากี่ขนานก็ไม่ทำให้เจ้าหนูของมิวฟื้นตื่นขึ้นจากการหลับใหล แม้กระทั่งกระดิกตัวในตอนเช้าก็ไม่ได้ มันเป็นแบบนี้มานานเกือบสองปีแล้วที่เขาต้องเก็บงำความทุกข์เอาไว้เงียบเชียบ ความภูมิใจในความเป็นชายเริ่มลดน้อยถอยลง ในตอนนี้แม้ต้องเซ็นชื่อลงในสัญญาปีศาจเพื่อแลกกับเจ้าหนูที่แข็งแรงดังเดิม มิวก็คงกรีดเลือดเทลงไปโดยไม่อ่านเงื่อนไข แม้จะเริ่มต้นด้วยความหงุดหงิด แต่หากมันจมลงด้วยความสุขสม ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เพราะท้ายที่สุดเมื่อมิวตื่นจากฝัน เขาก็จะพบโลกจริงและแยกแยะเรื่องบ้าบอพวกนี้ไว้เป็นเรื่องของความฝัน “มานั่งนี่สิ” ปีศาจร่างใหญ่จับปลายนิ้วของเด็กหนุ่มอย่างทะนุถนอม “มิว” “นะ… นายรู้จักชื่อฉัน… ได้ไง” “ไม่ต้องรีบหาคำตอบหรอก” ปีศาจหนุ่มนั่งลงบนขอบเตียง ขาแน่นหนักทั้งสองฉีกกว้าง ก่อนจะฉุดรั้งร่างเล็กกว่าให้แทรกกายผ่านช่องแยกนั้น “เรามี
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท