“อ่อก… อึก…” ใบหน้าของอาร์เต้แดงก่ำ การควบคุมลมหายใจยากลำบากมากขึ้นเมื่อในลำคอของเขายังถูกเติมเต็มไม่หยุด “อือออ…”
“อ้า… !!! ฉัน… เกือบแล้ว”
จังหวะเร่งเร้าขยับเส้นทางสู่จุดสูงสุดให้เข้าใกล้ ถึงแม้มือใหญ่หนาไม่ได้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ศีรษะของอาร์เต้ยังคงโขกสับไม่ลดละ
สัญญาณเตือนบวมใกล้ระเบิดจนเต็มปาก เด็กหนุ่มไม่แสดงท่าทีถอดถอนริมฝีปากแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังรัวชักบีบคั้นท่อนเนื้ออย่างเมามัน
“ฮะ… ฮึก… ฮ่า…” ทั้งขบเม้มกรามและริมฝีปาก ใบหน้าสีเข้มบิดเบี้ยวเมื่อเผชิญกับช่วงเวลาอึดอัดสุดท้ายก่อนระเบิด ลมหายใจหนักแน่นเป่าให้ลอยสูงขึ้นไปบนผนังไม้เทียม เสียงครางกระเส่าดันเป็นจังหวะพร้อมหน้าอกกระเพื่อมแรง “อ้า… !!!”
ช่วงคอที่ถูกเสียดสีจนเกือบเผาไหม้ถูกเติมเต็มไปด้วยของเหลวขาวขุ่น ส่วนปลายสั่นหงึกและกระตุกเร่าทุกครั้งที่ปลดปล่อยน้ำไร้เชื้อออกมา กลิ่นคาวผมมหวานคละคลุ้งทั่วปากจนถึงจมูก มันหอมและชวนพะอืดพะอมในคราวเดียวกัน
ใบหน้าขาวนวลเนียนแดงก่ำจากการสำลัก แท่งเนื้อยังคงค้างคาอยู่ภายในช่องปาก พ่นความสุขสมออกมาอยู่อีกหลายระลอก
จนเมื่อไม่อาจทานทนได้ต่อไป อาร์เต้ก็ต้องยอมถอนตัวออกปล่อยให้น้ำที่เหลือหลั่งออกมาข้างนอก “แคกๆ”
เด็กหนุ่มจับคอของตัวเองขณะที่พยายามกลืนน้ำเมือกเหนียวลงคอ หน้าอกกระเพื่อมจากการเหนื่อยหอบ
“นี่ฉันกลายเป็นเครื่องมือสร้างความสุขของนายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ว่าเราทั้งคู่… ใช้กันหรอกเหรอ” อาร์เต้ยิ้มกรุ้มกริ่ม
“นายยังไม่เสร็จเลยนี่”
“ความต้องการของนายมาก่อน”
เท่าที่จำได้พวกเขาพึ่งเคยเจอกันครั้งแรก อีกทั้งยังเป็นสถานที่เรียกได้ว่าอโคจรอีกด้วย ทว่าในใจของอาร์เต้กลับเต้นเร่าราวกับรู้สึกถึงบางอย่างที่มากกว่าตัณหา
“ฟู่” ชายร่างใหญ่เหนื่อยหอบ พ่นลมออกจากปากจนควันลอยคลุ้ง “ฉันมาเพื่อเก็บเกี่ยวน่ะสิ นี่แหละความต้องการของฉัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำเลยสิ”
“มานี่สิ” ชายร่างใหญ่ตบหน้าตกตัวเองเบาๆ
แววตาดุดันเบื้องหน้าตีกรอบทางเลือกของเด็กหนุ่มให้เหลือเพียงทางเดียวคือการเชื่อฟัง อาร์เต้ลุกยืนก่อนจะค่อยๆคร่อมขาทีละข้างขึ้นเหนือตักของอีกฝ่าย
ความสูงที่ต่างกันทำให้ใบหน้าของพวกเขาสอดประสานกันได้อย่างพอดี
มือหยาบกร้านแต่มีสัมผัสอันอ่อนโยนวางทาบทับแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม การพันธนาการอย่างหลวมนี้ถึงง่ายต่อการพาร่างกายหลบหนี แต่กลับพันผูกจิตใจจนแน่นหนา
“มอบมันให้ฉัน”
ปลายนิ้วจิ้มกดลงบนหน้าท้องเนียนนุ่ม ความอุ่นวูบวาบแผ่ขยายจากตรงนั้นแล่นไปยังทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มบิดเบี้ยว คิ้วขมวดชิดอย่างสงสัย ดวงตาหรี่เล็กเพื่อรอรับประสบการณ์ที่กำลังเพิ่มเข้ามา
“ฉันให้นายได้ทุกอย่าง”
“ไม่จำเป็น ฉันต้องการจากนายเพียงแค่อย่างเดียว”
ฝ่ามือใหญ่ยักษ์โอบอุ้มแท่งเนื้อชมพูระเรื่อเอาไว้ในมือ บีบแค่เพียงเล็กน้อยอาร์เต้ก็แทบหลอมละลายไปในอากาศ
“อือ…” อาร์เต้ครางแผ่วเบาอย่างเขินอาย มือคล้องคออีกฝ่ายเอาไว้แน่น
สัมผัสยืดหยุ่นนี้มันเสียวซ่านเกินกว่ามือของใครจะทำได้ ผิวหนังที่เสียดสีผ่านการรูดชักปลุกเร้าเส้นประสาทโดยรอบให้ตื่นตัว
คราบน้ำที่กลืนลงไม่หมดไหลออกมาเป็นทางยาว มันเปื้อนหยดลงจากปลายคางของเด็กหนุ่ม พร้อมเสียงกระเส่าไม่เป็นจังหวะ
ความเร็วเผาไหม้ความแข็งแกร่งจากภายใน อาร์เต้วางริมฝีปากพาดลงบนคอของอีกฝ่าย นิ้วมือพลางจิกลงบนท้ายทอยโดยไม่รู้ตัว
“กัดได้นะ ถ้านายทรมาน”
“อืม”
อาร์เต้เปลี่ยนจากการกัดริมฝีปากตัวเองย้ายไประบายกับต้นคอหนาแกร่งแทน นัยน์ตาสีเข้มของเขาถูกม่านหมอกปกคลุม
“ซี้ด! อย่างนั้นแหละ! อ้า…” เหมือนแรงกัดจะกระตุ้นอารมณ์บางอย่างของชายร่างยักษ์ เขาอ้าปากยิ้มอย่างสุขสม
ลำตัวของเด็กหนุ่มโค้งงอและบิดไปมา น้ำลายผสมปนเปกับน้ำกามไหลยืดยาว ก้นกลมกลึงวางทับต้นขาของอีกฝ่ายไว้แน่น เอวคอดโยกย้ายรับจังหวะการชักรูด
หน้าท้องอาร์เต้วูบวาบราวประกายของดอกไม้ไฟ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าด้านล่างของเขาชื้นแฉะไปมากเพียงได้
ความหื่นกระหายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เข้ายึดครองร่างขาวเนียนละเอียด การกระทำไหลไปตามทิศทางของสัญชาตญาณดิบเถื่อน
เสียงครางกระเส่าเขย่าทั้งห้องให้ยวบไหว แท้จะมีสายตาจากภายนอกสอดส่องเข้ามาก็ไม่ทำให้อาร์เต้เขินอายอีกต่อไป
“ฉัน… อื้อ… นาย” อาร์เต้กระซิบข้างหูอีกฝ่ายอย่างสั่นเครือ “โอ๊ย…”
ความอดทนไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้ น้ำเชื้อแทรกความอดกลั้นผ่านปลายท่อที่แยกออก ของเหลวขาวขุ่นพุ่งไร้ทิศทางกระจายไปโดยรอบ
“อ้า… !!!” อาร์เต้สั่นเทาชักกระตุก
“นายควรบอกฉันล่วงหน้านะถ้าจะแตก” ชายร่างใหญ่โลมเลียมือของตัวเองจนสะอาด “รู้ไหมว่ามันน่าเสียดายที่ทิ้งของดีขนาดนี้ให้หล่นหาย”
“ฉะ… ฉันขอโทษ” อาร์เต้กระหืดกระหอบ
ชายร่างยักษ์ยิ้มพลางยกร่างอาร์เต้ให้นอนลงบนพื้นอุ่น “นายน่ารัก… ฉันให้อภัย”
“ฉันจะได้เจอนายอีกไหม?”
“แน่นอน” ชายสูงใหญ่เคลื่อนตัวลงต่ำ ซุกใบหน้าสีคาราเมลลงไปยังหน้าท้องของอาร์เต้ บรรจงเก็บกวาดคราบน้ำที่เลอะเทอะ
“จะเจอนายได้ที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่นี่?”
“อาจจะในฝัน” น้ำเสียงทุ้มใหญ่ฉายแววกึ่งจริงกึ่งเล่น
ชายหนุ่มปริศนาโลมเลียร่างบางเล็กจนทั่ว เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจานโปรดของเขาจะไม่เหลือทิ้งแม้เพียงสักหยด
‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ‘มิว’ ชอบวิ่งออกกำลังกายยามเย็นไม่ใช่แค่เพราะบรรยากาศร่มรื่น แต่เพราะงานที่เขาทำเหมาะกับการใช้ชีวิตช่วงกลางคืน ดังนั้นตอนเย็นโพล้เพล้เช่นนี้ของเขา ก็เปรียบเสมือนเช้าตรู่ของใครหลายคน แน่นอนว่าการถูกคนสะกดรอยตามเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเป็นอุปสรรคเช่นกัน มิวสามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้อยู่ อาจเพราะรูปร่างสันทัดอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ ถึงเขาจะไม่ได้สูงใหญ่มากเกินมาตรฐาน ทว่าก็ช่วยให้ดูน่าเกรงขามเวลาเลียนแบบท่าหมัดมวย เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเผชิญหน้ากับเขาตรงๆเท่าไหร่นัก อีกทั้งเสน่ห์ดึงดูดเป็นทักษะติดตัวมาตั้งแต่เกิด ช่วยให้เขาเอาตัวรอดได้ในยามคับขันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นี่เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ผู้เป็นพ่อและแม่ทิ้งเอาไว้ให้มิว หลังการระแวดระวังไปได้สักพักชายหนุ่มก็ทิ้งเรื่องราวอึดอัดเอาไว้ข้างหลัง โอบรับสายลมเย็นสบายเข้ามาเติมเต็มแทนความ
ราตรีเริ่มคลุมท้องฟ้าเป็นเวทียิ่งใหญ่ให้ดวงจันทร์เปิดตัว เหล่าดวงดาวกะพริบแสงอ่อนแรงรอยลโฉมไฟกลมใหญ่ ช่วงเวลาน่าอิดโรยเช่นนี้ถือเป็นการจบวันของใครหลายคน ในขณะที่บางคนกลับเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นการดำเนินชีวิต ‘Amor’ เป็นบารโฮสต์มีสไตล์เด่นชัดตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมือง ที่นี่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางเท่าไหร่นัก แต่ลูกค้าส่วนใหญ่กระเป๋าหนักและมีอิทธิพลพอสมควร แม้พนักงานทั้งหมดจะเป็นผู้ชายแต่ก็สามารถรับลูกค้าได้ไม่จำกัดเพศ ขอแค่มีเงินมาโยนทิ้ง… หว่างขาของพวกเขาจะมีอะไรติดอยู่ เด็กที่นี่ก็ไม่มีเกี่ยง เรื่องชนชั้นในองค์กรเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้หากอยากเหยียบเข้ามาทำงานที่อมอร์ ทุกคนที่อยากเป็นดาวรุ่งต้องทำยอดให้สูงเพื่อจะได้เป็นที่ยอมรับ และมีสิทธิพิเศษกว่าพนักงานคนอื่น ต่ำสุดถูกจัดให้เป็น ‘ดักแด้’ บางคนก็สามารถออกมาโบยบินได้ ส่วนบางคนก็นอนเน่าอยู่ในรังเหม็นอับ พวกนี้อาจเป็นเด็กหน้าใหม่ที่พึ่งอยากเข้าวงการ ไม่ก็เป็นพวกหน้าเก่าที่ไม่ค่อยได้ลูกค้า น้ำเปล่าถือเป็นสวัสดิการดีที่สุดแล้วสำหรับพวกดักแด้ ต่อมาก็ ‘ผีเสื้อ’ พวกนี
ดวงจันทร์เริ่มคล้อยตกอย่างอ่อนแรงราวกับคนที่ทำงานหนักมาทั้งคืน ขอบฟ้าเริ่มทอแสงส้มสว่างอยู่ไกลตา สัญญาณของวันใหม่ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ พนักงานของอมอร์ก็เริ่มแยกย้ายกันจะเกือบหมด บางคนไม่ได้ลูกค้าก็หน้าตาเหี่ยวแห้งไป เพราะเงินเดือนที่นี่ไม่ได้มากนัก หากอยากอยู่รอดให้ได้ต้องอาศัยทิปจากลูกค้าเท่านั้น ส่วนพวกที่ได้ลูกค้ามีบ้างที่นอนเมาแอ๋กลับไปไหวอยู่ที่ห้องพัก บางคนก็แอบนัดแนะไปต่อกับลูกค้า แม้กฎของบริษัทจะระบุเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วก็ตามว่า การค้าประเวณีเป็นเรื่องต้องห้าม พนักงานทุกคนควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่แน่นอนว่าพนักงานหนุ่มแน่นทุกคนของที่นี่รู้ดีว่าใต้กฎมักมีดอกจันที่มองไม่เห็นแอบซ่อนอยู่เสมอ คืนนี้มิวโดนไปหลายดื่ม ชายหนุ่มจำเป็นต้องใช้ร่างกายเพื่อต่อรองกับเงินซึ่งเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประสบการณ์และการฉอเลาะเท่านั้นที่ทำให้เขาเอาตัวรอดได้คืนต่อคืน โดยไม่ภาพตัดไปเสียก่อน รถยนต์จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่มิวยังไม่คิดจะครอบครอง ด้วยอาชีพที่ต้องมึนเมาเป็นอาจิณ การซื้อยานพาหนะก็คงไม่ต่างซื้อเหล็กมาตั้งไว้ให้ผุพัง มิหนำซ
แสงตะวันสีเหลืองทองค่อยๆไต่ไล่แต่ละยอดตึกอย่างเชื่องช้า สีของมันทอเป็นประกายเฉกเช่นเดียวกับความดวงตาของชายร่างใหญ่ ทว่าในห้องนอนสี่เหลี่ยมเล็กนั้นปิดทึบนั้นต่างจากภายนอกราวกับคนละโลก เด็กหนุ่มใบหน้าอิดโรยพยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างยากลำบาก ชายอีกคนยืนอยู่ปลายเตียงไม่มีทีท่าจะเข้าช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังมองเหยียดต่ำลงไปราวกับจ้องมองขยะที่ไร้ประโยชน์ “ฉันชอบนาย” น้ำเสียงของอาร์เต้แหบพร่า “นายไม่ได้ชอบฉันจริงๆหรอกหนุ่มน้อย อีกไม่นานนายก็จะจำฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” “งั้นก็อยู่กับฉันต่อเรื่อยๆ ฉันจะได้จำนายได้” “ก็อยากอยู่นะ… แต่คงไม่ได้ นายอ่อนแอเกินไป” “จูบฉันสิ ฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าฉันเข้มแข็งพอจะอยู่กับนาย” “น้ำลายของฉันมันก็ได้ผลแต่ชั่วคราว แต่พอหมดฤทธิ์แล้วนายจะแย่เอา “ใครสน!” อาร์เต้ปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันก็แค่อยากมีอะไรกับนาย ต่อให้ร่างกายนี้จะเป็นยังไงก็ช่าง” ดันเต้ได้แต่สั่นหัวเบาๆภายใต้เงามืด ในใจก็นึกโทษตัวเองที่น่าจะทิ้งอาร์เต้ไปให้เร็วกว่านี้ ท
ราตรีถูกทำลายโดยสมบูรณ์เมื่อดวงจันทร์ลาลับจนไร้ซึ่งร่องรอย แสงแห่งชีวิตสาดส่องไปจนทั่วพื้นภิภพ ยกเว้นก็แต่ห้องนอนห้องเล็กนี้ เงามืดยังปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ แม้อาทิตย์จะพยายามลอดเล็ดเข้ามา แต่ม่านหนาทึบก็ยังสกัดกั้นเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ร่างเล็กกว่าขึ้นคร่อมตักของอีกฝ่ายอย่างมั่นคง ใบหน้าทั้งสองเกือบจะตั้งในระนาบเดียวกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะสูงกว่ามากแต่กลับไม่เป็นปัญหาในท่าทางนี้ ดวงตากลมโตสอดประสานเป็นชิ้นเดียวกัน ทั้งคู่จ้องมองกันอย่างท้าทาย ไม่มีใครยอมโอนอ่อนให้ใคร แก้มของชายทั้งคู่ระเรื่อเจือด้วยสีของเลือดสดๆ บ่งบอกได้ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจต่างก็อารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างกัน อำนาจของบางสิ่งอยู่เหนือการควบคุม ม่านหมอกสีขาวบดบังนัยน์ตาสุกใสจนขุ่นมัว สัญชาตญาณดิบหลั่งไหลผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนัง อาร์เต้นั่งคร่อมวางก้นกลมกลึงทับท่อนเนื้อขนาดไม่ธรรมดา เอวร่อนร่ายส่ายไปมาราวกับกำลังทรมานชายตรงหน้าให้ขาดใจ “ฉันชอบรอยสักของนาย” เด็กหนุ่มอมยิ้มไปด้วย “ทุกอันล้วนมีความหมาย ถ้าไม่ใช่เครื่องตีตรา ก็เป็นรอยแต่กำ
กล้ามเนื้อขาของอาร์เต้ยกก้นของตัวเองขึ้นก่อนจะลดลงมาอีกครั้ง ท่อนยักษ์ไถลลื่นเมุดเข้าไปในปากทางสีสดใสนั้นในครั้งเดียว ส่วนปลายบวมเป่งดันกลับเข้าไปยังส่วนลึกที่สุดของช่องภายใน และกระแทกเข้ากับจุดบอบบางแสนอ่อนไหว ประกายไฟฟ้าปะทุขึ้นเล็กตามปลายประสาท ช่องท้องถูกเติมจนเต็มแต่กลับรู้สึกเบาโหวง ความเสียวแปลบกระจายออกจากสะดือไปตามเส้นเลือดปูดโปน “อืม… อึก…” อาร์เต้ร้องโอดครวญแม้จะเป็นฝ่ายกระทำแต่กลับรู้สึกถูกกระทำเสียเอง “รู้สึกดีชะมัด” “โคตรดีต่างหาก… นะ… นาย แน่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าเราทำกันแบบนี้แทบไม่หยุดมาหลายวันแล้ว” คำชมปลุกเร้าอารมณ์ของมนุษย์ผู้อ่อนไหว อาร์เต้กดสะโพกขึ้นลงจนสุด แม้ว่าจะรู้สึกว่าข้างในกำลังถูกท่อนเนื้อฉีกให้แยกออกจากกันก็ตาม “ถึงจะตัวเล็กแต่นายแรงเยอะ… เหลือเชื่อเลยแฮะ” “นายชอบแค่แรงของฉันเหรอ” อาร์เต้โอบรัดรอบคอของดันเต้ด้วยวงแขนอ่อนนุ่ม “ส่วนที่เหลือล่ะ?” “นายมีอย่างอื่นที่ดีกว่าไหมล่ะ?” ดันเต้กำรอบท่อนเนื้อที่เล็กกว่า “พิสูจน์สิ!” เด็กหนุ่มเด้งเอวที่นุ่มนวลและค
แดดร่มลมตกเป็นเวลาอันตื่นตัวสำหรับมิว เขาชอบวิ่งออกกำลังกายยามแสงขอบฟ้าทอเป็นสีเข้ม มันให้เขารู้สึกสงบเงียบแบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ลู่วิ่งคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ชายหนุ่มปล่อยให้สายลมเย็นลูบไล้ใบหน้าและเรือนผม สายตาเหลือบมองผู้คนรอบข้างที่ยิ้มร่าทักทายเขาอย่างมีความสุข ชายทางขวามือ ผู้หญิงที่พึ่งวิ่งผ่าน และเด็กข้างหน้า เหมือนเคยเจอกันมาก่อนจากสักที่ มิววิ่งพร้อมลากความสงสัยติดสอยห้อยตามไปด้วย ‘ใครวิ่งตามมาวะ?’ ชายหนุ่มร่างสันทัดผมสีน้ำตาลเป็นประกายเอะใจ เมื่อเหลือบตาเห็นเงาตะคุ่มวิ่งไล่หลังมา ทว่าเขาก็ไม่กล้าหันไปมอง ทำได้เพียงเร่งฝีเท้าจนเงานั้นเลือนหายไป ไม่นานม่านหมอกทึบสีขาวก็ไล่ตามหลังเด็กหนุ่ม เหตุการณ์เหล่านี้ปลุกการตื่นรู้ของมิว เขาหยุดเรียงลำดับเหตุการณ์ในสมองอย่างเงียบเชียบ ใบหน้าครุ่นคิดแสดงออกมา ‘นก’ เพียงแค่คิดฝูงนกก็บินทะยานขึ้นท้องฟ้าราวกับกำหนีอะไรสักอย่าง ‘คน’ ฉับพลันผู้คนรอบกายก็ค่อยๆเลือนหายราวกับมีใครลบทิ้งไป ‘แล้วก็ไอ้เวรนั่น!’ เงา
ชายหนุ่มกวาดต้อนสายตาไปทั่วทุกมุมห้อง สิ่งของในนี้เหมือนห้องนอนของตัวเองไม่ผิดเพี้ยน สีเย็นสบายของผนัง ผ้าปูสะอาดตา เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง อารมณ์รวมถึงความคิดของมิวกระจัดกระจายกลายเป็นสายหมอก หลอมรวมกับประกายแสงที่รายล้อมรอบตัว เขาไม่มั่นใจอีกต่อไปแล้วว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน “นายนี่โคตรดื้อด้านเลย ฉันไม่เคยเจอใครทำตัวงี่เง่าเท่านายมาก่อน” ปีศาจไร้นามเปล่งเสียงดึงดูดความสนใจ ดวงตากลมโตหรี่เล็ก คิ้วขมวดชนเข้าหากัน หากนับรวมทุกเหตุการณ์ทั้งหมด ดูเหมือนว่าชายผิวเข้มที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้าของมิวในตอนนี้ ดูประหลาดมากที่สุด ก่อนจะทันรู้ตัวหรือคิดอะไรเพิ่มเติม ร่างตรงหน้าก็พุ่งขึ้นคร่อมมิวประทับรอยจูบอย่างรวดเร็ว ของเหลวอุ่นร้อนถูกสอดลอดไปกับลิ้น การขัดขืนกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่มิวอยากทำ เขาเปิดโพรงปากรับรสสัมผัสที่โหยหามาช้านาน ในใจขุ่นมัวถูกตีโอบด้วยหมอกทึบหนา มิวพยายามดึงสติเพื่อไม่ให้เตลิดจนเกินควบคุม เขากำหมัดจนแน่นพยายามดันอีกฝ่ายให้หลุดออก… แต่ก็ไร้ผล “แค่นี้ก็คงพอ” เมื่อทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ปี
“มันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ความตกอกตกใจของมิวยังไม่สร่าง เขาทบทวนทุกอย่างด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย เพื่อให้แน่ใจว่าความมึนเมาไม่ได้หลอนประสาทหูของตัวเอง ดวงอาทิตย์รุ่งสางเริ่มทอประกายแสดจากภายนอกอาคาร ทว่าแสงสว่างนั้นก็ไม่อาจสาดส่องความอึมครึมแห่งความสับสนให้กระจ่าง ทุกอย่างไปไกลเกินการควบคุม ฉีกทุกกฎการเรียนรู้ของมิวที่สะสมมานานยี่สิบสี่ปี เขาหวนคิดถึงนักเดินเรือสมัยก่อนที่ค้นพบทวีปใหม่ มันทั้งตื่นและชวนให้รู้สึกอันตรายไปพร้อมกัน “ตอนนี้มนุษย์รอบตัวนายไม่มีใครเชื่อใจได้สักคน” ดันเต้เกลี้ยกล่อม “เป็นเอกเป็นคนพาอาร์เต้ไปสัก ผู้จัดการร้านของนายอาจเป็นผู้ช่วยของคิวปิดอยู่ก็ได้” มิวใส่คะแนนให้ดันเต้ไปอีกหนึ่งแต้มเมื่อฟังจบ ถึงไม่เห็นกับตาแต่ด้วยม่านควันบังตาทำให้ ความน่าเชื่อถือของคิวบัสนั้นมากกว่ารุ่นน้องคนสนิท “พวกนั้นอาจลงมือกับนายอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหากนายโดนจับไปทำอะไรแบบที่อาร์เต้โดน แล้วนายเกิดเกลียดฉันขึ้นมา ตอนนั้นฉันคงเข้าใกล้นายไม่ได้อีกต่อไป” มิวใส่คะแนนเพิ่มให้ดันเต้อีกสองคะแนน เพราะน้ำเสียงของ
ผ่านมาหลายต่อหลายคืนแล้วที่มิวเฝ้าภาวนาขอให้เจออมนุษย์ร่างกายล่ำบึ้ก ไม่ว่าจะเพราะอยากเคลียร์ใจหรือเพราะติดใจบรรยากาศซู่ซ่าในม่านหมอกก็ตาม ชายหนุ่มก็ยังอยากเจอดันเต้อยู่ดี อากาศเย็นสบายในห้องแต่งตัวไม่อาจดับความรุ่มร้อนของชายหนุ่ม ตั้งแต่มิวตะคอกใส่ดันเต้แล้วหลบหนีออกจากความฝัน เขาก็ไม่พานพบคิวบัสตนนั้นอีกเลย จะเป็นที่ทำงานหรือในความฝัน จนดูเหมือนว่าการหายตัวคงเป็นสิ่งถนัดของดันเต้ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าปีศาจน้อยใจเป็นหรือไม่ ทว่าก็หวังเอาไว้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น หลายสิ่งยากเหนือจินตาการเกิดแบบฉับพลันในระยะเวลาอันรวดเร็ว แรกเริ่มก็ยากเกินความเข้าใจ กระนั้นเมื่อคุ้นเคยมันกลับกลายเป็นเรื่องตื่นเต้นที่โหยหา แต่ตอนนี้เมื่อนั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มิวจำเป็นต้องสลัดเรื่องราวส่วนตัวทิ้งไว้เบื้องหลัง เขาสามารถพกพาความเครียดหรือกังวลใจของตัวเองไปพบลูกค้าได้ ภาพรวมในอมอร์ทุกอย่างเป็นปกติ ในแต่ละวันมีเด็กเข้าออกกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นสถานการณ์ยากเกินควบคุมของเป็นเอก ฉะนั้นการขาดหรือมีดันเต้หนึ่งคน ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินได
ท่ามกลางความวุ่นวายของมหานคร ห้องสี่เหลี่ยมขนาดพอประมาณเป็นดั่งอีกโลกคู่ขนาน มันหลุดพ้นจากวังวนยุ่งเหยิงจากภายนอก ทิ้งไว้เพียงความเงียบเชียบไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ เบื้องบนที่อยู่สูงเกินเอื้อม ประดับด้วยดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนแรงเฮือกสุดท้าย สีแดงฉานเหนือหมู่เมฆราวกับเลือดของใครสักคน แต่งแต้มท้องนภาจนเกิดสีสันชวนอ่อนไหว หน้าต่างกระจกสะท้อนเงาบางส่วนกลับมาเลือนราง บรรยากาศข้างในห้องมืดมิดไร้สีสัน อุปกรณ์เครื่องใช้ทุกชิ้นไม่ถูกเปิดใช้งาน มันแค่ตั้งนิ่งๆอยู่ตรงนั้นเฉกเช่นเดียวกันกับปีศาจ การประดับประดาในนี้ถือว่าคุมโทนได้ดี ทั้งเย็นชืดและหม่นหมอง มีเพียงสมุดบันทึกเก่าๆกองพะเนินซ้อนทับกันหลายชั้น มันถูกทิ้งระเกะระกะอยู่ตามมุมห้อง บ่งบอกได้ว่าเจ้าของเลิกสนใจไปตั้งนานแล้ว ตู้เสื้อผ้าเป็นอีกอย่างที่ว่างเปล่า ปีศาจส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องสวมใส่อาภรณ์ปกปิด แค่มนต์พรางตาก็เพียงพอสำหรับการลวงหลอกการมองเห็นของมนุษย์ ทว่าก็มีบ้างบางครั้งที่พวกเขาเลือกสวมใส่เสื้อผ้าจริงๆ หากไม่นั่งจ้องออกไปนอกตึก บางครั้งดันเต้ก็จะขังตัวเองในตู้ที่ไม่มีเสื้
นอกเหนือจากดินแดนเนรมิตแล้ว ดันเต้ยังมีสถานที่ใช้สำหรับพักอีกที่ มันตั้งอยู่ในโลกแห่งความจริง แฝงอยู่กับหมู่ตึกมากมายทั่วไป สิ่งปลูกสร้างสูงราวหกสิบชั้นตั้งตระหง่านเด่นอยู่เกือบใจกลางเมือง หากมองด้วยผิวเผินโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากโรงแรมหรูทั่วไปในมหานคร ทว่าความลับในนั้นทำให้มันพิเศษกว่าที่อื่น จำนวนหนึ่งเป็นที่หลบซ่อนของเหล่าอมนุษย์ ผสมปนเปไปอย่างแนบเนียนกับมนุษย์ทั่วไป พวกเขาอาศัยอยู่กันชั่วคราวร่วมกันโดยภายใต้การควบคุมเข้มงวด และกฎหมายพิเศษที่ไม่มีประเทศไหนประกาศใช้กับพลเรือนของตน แน่นอนว่าเพื่อการเท่าเทียมกันการใช้เวทมนตร์หรือทำร้ายกันภายในพื้นที่พิเศษนี้เป็นข้อห้ามสำคัญ หากเป็นมนุษย์จะถูกดำเนินตามกฎหมาย นอกเหนือจากนั้นจะต้องรับโทษตามสังกัดของตัวเอง พื้นที่ที่มีการแหกกฎบ่อยคงเป็นบาร์ของโรงแรม…. ห้องที่โอ่อ่ากว้างขวางกินพื้นที่เกือบทั้งชั้นของโรงแรม รองรับผู้คนและกิจกรรมได้มากมาย เพดานสูงโปร่งดูหรูหราด้วยโคมระย้าทำจากคริสตัล ทุกเม็ดหยอกเย้ากับแสงไฟจนเกิดเป็นประกายหลากสี มองดูแล้วเหมือนบอลรูมของเหล่าเชื้อพระวงศ์
ท่อนบนเปลือยของชายทั้งคู่นอนซ้อนทับถูกห่อหุ้มด้วยผ้าผืนบางเพื่อลดความอนาจาร คนที่อยู่ด้านบนเนื้อตัวอัดแน่นด้วยมวลกล้ามเนื้อ จนน่ากลัวว่าอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่างอาจถูกทับบี้แบนจมลงไปกับเบาะ เสียงนกร้องขานรับดวงตะวันทอแสง ความสงบเงียบถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ความวุ่นวายเซ็งแซ่จากทั่วทิศทางบ่งบอกถึงการเริ่มต้นชีวิตของผู้คน สำหรับอาร์เต้เขาไม่ค่อยชอบเซ็กซ์ในตอนเช้าเท่าไหร่นัก มันหวือหวาและโจ๋งครึ่มเกินไป ทว่าเวลาการทำงานก็มอบทางเลือกเดียวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือพยายามหลับหูหลับตาเมินบรรยากาศไม่พึงประสงค์ไปเสีย ทั้งความสว่างที่เปิดเผยทุกอย่างเด่นชัดเกินไป หรือเสียงการเคลื่อนไหวจากสิ่งอื่น แม้กระทั่งตอนต้องไปปลดปล่อยอารมณ์นอกคอนโด อาร์เต้ก็พยายามหามุมที่ผู้คนคับคั่งน้อยที่สุด อาจเป็นเพราะความไม่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาเป็นทุนเดิม เลยทำให้เขากลัวการถูกตัดสินด้วยสายตา ระหว่างการเล้าโลมอันเอื่อยเฉื่อย อาร์เต้ก็อดคิดทบทวนเรื่องความสัมพันธ์ของตัวเองกับผู้จัดการร้านไม่ได้ หนึ่งข่าวลือที่ฟุ้งกระจายเกี่ยวกับการทำงาน มันคอยรบ
“ตื่นได้แล้ว?” ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เสียงอบอุ่นดังมาคู่กับการสะกิดแสนนุ่มนวล คอยกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ข้างแก้ม เมื่อรู้สึกตัว… เด็กหนุ่มค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งอย่างเชื่องช้า สงสัยครางในลำคอเหมือนแมวแสนขี้เกียจ ยืดเหยียดแขนไปสุดเท่าที่พอจะทำได้ เมื่อหันไปสบตากับชายอีกคนฝั่งคนขับ ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในความคิดเลือนรางของอาร์เต้ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แดดรำไรจากภายนอกที่ลอดเล็ดผ่านช่องกว้างของตัวอาคาร แยงจนดวงตาอาร์เต้จนแสบ เด็กหนุ่มพยายามกะพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะง้างเปิดตาได้จนสุด “ถึงคอนโดแล้วฯ เจ้าชายขี้เมา” “หือ!?”เด็กหนุ่มพยายามงัดตัวให้ลุกขึ้นนั่ง สำรวจรอบตัวด้วยความมึนงง “นี่ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่?” “ขับออกจากร้านมาได้ครึ่งทางก็โดนทิ้งให้พูดคนเดียวอยู่ตั้งนาน” “อ้าวเหรอ!” อาร์เต้ส่ายหัวสลัดความเกียจคร้าน “สงสัยดื่มมากไปจริงๆ” “ไหวไหม?” เป็นเอกเอื้อมตัวปลดเข็มขัดนิรภัยของเด็กหนุ่ม “ให้พี่ขึ้นไปที่ห้องหรือเปล่า” “อือ… ครับ” อาร์เต้พยักหน้า
“เอานี่ไป” ชายหนุ่มในชุดสูทเบาสบายยื่นกาแฟหอมกรุ่นให้เด็กหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าที่ดูหนุ่มกว่าวัยของเขามองทอดไปยังอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ไม่มีใครรู้อายุที่แน่ชัดของเป็นเอกเท่าไหร่นัก เขาเริ่มงานวันแรกตั้งแต่อมอร์ติดป้ายชื่อร้านตรงหน้าทางเข้า ทำให้ที่นี่ไม่มีใครเก่าแก่กว่าชายผู้นี้อีกแล้ว พนักงานในอมอร์ต่างพูดคุยกันว่าผู้จัดการร้านจอมขรึมน่าจะอายุยี่สิบปลายๆ ไม่น่าเกินสามสิบต้นๆ แต่หลายคนก็แย้งว่าน่าจะเยอะกว่านี้มาก เพราะเคยได้ยินพี่พนักงานบัญชีอายุห้าสิบหกเรียกเป็นเอกว่าพี่ แต่ท้ายที่สุดคำค้านนี้ก็ตกไปเนื่องจากพนักงานบัญชีผู้นั้นก็เรียกใครว่าพี่หมด ด้วยความอยากเป็นเด็กเทียบเท่าหนุ่มๆทุกคนในร้าน การถกเถียงอย่างลับๆนี้หาข้อสรุปไม่ได้ ไม่มีใครกล้าถามกับเจ้าตัวสักคน จึงทำได้เพียงคาดเดาจากผิวอ่อนเยาว์ไร้รอยตำหนิบนใบหน้า ควันและกลิ่นหอมกรุ่นลอยห้อมล้อมห้องแต่งตัว เครื่องดื่มแก้เมาหลากหลายชนิดในนี้ถูกแช่และจัดเรียงไว้เป็นอย่างดี ถือเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของเหล่าแองเจิ้ล มันถูกตั้งไว้ที่มุมห้องให้ทั้งสามเลือกดื่มได้ตามใจชอบ มีบ้างที่
แดนนิมิตเหมือนโลกรกร้างไร้สิ่งมีชีวิต ถึงจะสร้างได้สมจริงแค่ไหนทว่าก็ไร้ซึ่งความสมบูรณ์ มีเพียงความหนาวเย็นและหมอกขาวทึบบดบังความบิดเบี้ยว ชายหนุ่มหน้ามนนอนตะแคงข้างขดตัวเกร็งเนื่องด้วยทำอะไรไม่ถูก ความกล้าแก่นกะโหลกเจือจางเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของปีศาจตัวหนาใหญ่ จิตใจอันบอบบางทั้งหวาดกลัวและตื่นเต้นจากความแปลกใหม่ที่บังเกิด ขนาดคืออำนาจที่ส่งผลตรงโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวาจา มิวยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ยำเกรงดันเต้เลยเมื่อร่างใหญ่ยักษ์นั้นอยู่ห่างออกไป ทว่าในระยะใกล้เช่นนี้มันต่างออกไป เขารู้สึกถึงอันตรายและความปลอดภัยไปพร้อมกัน การประชิดของปีศาจคิวบัสจากด้านหลังนั้นสร้างความกดดันทับเส้นประสาท ร่างแข็งแกร่งนั้นกอดประกบมิวแน่นจนไร้ช่องวาง ดันเต้เอียงใบหน้ากระเซ้าเย้าแหย่ติ่งหูและซอกคอขาวเนียน สูดดมกลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยความเพลิดเพลิน ในขณะที่ด้านล่าง… แก่นเนื้อที่อิสระก็คอยกระตุ้นแก้มก้นทั้งสองข้างอันกลมเกลี้ยงอย่างสนุกสนาน ท่อนแขนอุดมด้วยกล้ามเนื้อสอดลอดซอกคอของมนุษย์หนุ่ม มิววางศีรษะทับลงไปอย่างช้าๆ พลันได้ยินเสียงชีพจร
ท่ามกลางความโกลาหลเชี่ยวกราก มีเพียงแขนใหญ่ยักษ์ของปีศาจคิวที่คอยฉุดรั้งมนุษย์หนุ่ม ไม่ให้โดนกระแสพิษสวาทพัดพาจนหลุดไกล ดันเต้โอบกอดยึดโยงมิวเอาไว้จากทางด้านหลัง ลมหายใจติดขัดจากอาการเหนื่อยหอบ ใบหน้าแดงฉานราวดวงตะวันใกล้ตกดิน ท่อนล่างชุ่มโชกไปด้วยของเหลวหลากหลายชนิด รวมไปถึงโซฟาเลอะเป็นคราบจนทั่ว คาดว่าการทำความสะอาดคงไม่ง่าย ร่างเล็กในวงแขนดิ้นกระสับกระส่ายด้วยจิตใจไม่มั่นคง ถึงภารกิจจะลุล่วงไปด้วยดี ทว่าก็ยังเหลือช่องว่างรอการเติมเต็ม นัยน์ตาของอมนุษย์ในร่างชายหนุ่มเรืองรองเป็นสีทอง แม้พลังจะกลับคืนมาไม่เต็มร้อย แต่ก็มากพอจะพาเขาและมนุษย์นอ้อมกอดหลบลี้หนีข้ามไปยังอีกดินแดน เพียงฝ่ามือหนาใหญ่กางออกทาบทับเข้ากับใบหน้าหื่นกระหาย มนุษย์หนุ่มก็ผล็อยหลับโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกทุกอย่างมลายหายพร้อมกับสติ ราวกับทุกอย่างกำลังเริ่มต้นใหม่… เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เปลวไฟแผดเผาตามร่างกายมอดดับลง มิวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก แม้จะมีเศษเสี้ยวบางอย่างคุกรุ่นอยู่ในช่องท้อง ทั้งห้องสาดส่องด้วยแสงจากธ