ฉันตื่นมาอย่างสดใส ทั้งๆ ที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ส่วนคนข้างๆ ก็หน้าระรื่นไม่แพ้ฉันสักเท่าไหร่ เห็นแล้วก็หมั่นไส้จนต้องมองค้อนให้อยู่หลายครั้งเช้านี้ตรัยอาสาเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะบ่อยครั้งที่เขามานอนค้างที่บ้านแล้วตื่นเช้ามา ฉันก็จะได้กินกับข้าวฝีมือเขา ระหว่างรอฉันก็ชะเง้อชะแง้มองหาพี่ชายไปด้วย แต่น่าแปลกที่ไม่เห็นพี่ชายฉันแม้แต่เงา สงสัยพอสร่างเมาแล้วจะรีบไปหากรดาที่บ้านเป็นแน่ อยากรู้ผลนักว่าป่านนี้จะเป็นยังไง“คิดอะไรอยู่ครับ”“คิดว่า ป่านนี้พี่นิกจะทำอะไรอยู่”“นั่นน่ะสิ” คนในครัวเอ่ยเห็นด้วย สีหน้าดูครุ่นคิดจนคิ้วขมวด “จะสารภาพรักกับยัยดาเลยไหมนะ” ฉันสันนิษฐานไปตามเรื่องตามราว “อาจมีสิทธิ์ เพราะดาไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งสองปี ถ้าไม่สารภาพตอนนี้มันอาจกินแห้วได้” เพราะคิดไปก็คงมีแต่จะฟุ้งซ่าน ฉันจึงรอให้พี่ชายกลับมาค่อยถามน่าจะดีกว่า ก่อนจะหันมาให้ความสนใจผู้ชายตัวโต ที่ตอนนี้กำลังใส่ผ้ากันเปื้อนและยืนทำอะไรอยู่หน้าเตานานสองนาน “ว่าแต่พี่ตรัยทำอะไรอยู่คะ กลิ่นหอมเชียว” กลิ่นหอมๆ ที่ลอยมาเตะจมูก ทำเอาท้องฉันร้องเพราะความหิวเสียแล้วสิ
“เพิ่งรู้ว่าสรเองก็ทะลึ่ง”“ก็ใช่ว่าสรจะเป็นแบบนี้กับทุกคนนะคะ” ฉันสบตาเขาไปตรงๆ พยายามไม่เขิน แต่สงสัยสีหน้ามันจะออกอาการแน่ๆ “เป็นกับพี่คนเดียวก็พอ...รู้ไหม” เขายื่นมือมาบีบจมูกฉันเบาๆ ก่อนจะถามขึ้น “วันนี้สรว่างไหม”“ว่างค่ะ”“งั้นกินข้าวเสร็จ ไปช่วยพี่ซื้อของหน่อยได้ไหมครับ”“ได้สิคะ” ฉันรับปาก นั่นเพราะวันนี้ฉันเองก็ไม่ได้มีแผนไปที่ไหน ออกไปซื้อของกับตรัยก็คงเพลินไปอีกแบบ เมื่อเรากินข้าวเช้าอิ่มก็พากันออกไปข้างนอก เขาขับรถพาฉันไปห้างสรรพสินค้าที่เน้นแต่ของตกแต่งบ้าน นั่นทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยชวนฉันไปบ้านที่ฉันเดาเอาว่าเขาเพิ่งซื้อ เพราะเมื่อก่อนเขาอยู่คอนโดมิเนียม แต่ฉันปฏิเสธเขาจึงขับรถพาฉันไปนั่งคุยที่สโมสรในหมู่บ้านแทน แต่ความที่รอบข้างมันมืด ฉันจึงมองไม่เห็นบรรยากาศอะไรมากสักเท่าไหร่“พี่ตรัยอยากแต่งบ้านเหรอคะ”“ครับ…ซื้อของเสร็จ เดี๋ยวเราไปบ้านพี่กัน” “ค่ะ” ฉันรับปากแล้วเดินตามเขาไปยังแผนกเครื่องนอน จังหวะหนึ่งตรัยเดินเข้ามากุมมือฉันไว้ขณะที่พนักงานในแผนกก็เดินเข้ามาแนะนำนั่นนี่ตามหน้าที่“พี่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ได้ราวๆ เดือนกว่า ยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก โดยเฉพาะห้องนอน
“ก็พี่คิดถึงเมียนี่ครับ”“ไว้มีโครงการเรียนต่อหรือไปเที่ยว สรจะบอกพี่ตรัยนะคะ” “ครับผม” เสียงทุ้มเอ่ยรับ จากนั้นเราก็ลงไปชั้นล่าง เดินเล่นที่สวนด้วยกัน ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของฉันจะดังขึ้น และคนที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่ชายของฉันนั่นเองอยู่ไหน กับใคร ทำอะไรอยู่ กลับมาบ้านตอนนี้ได้ไหม นี่คือประโยคคำถามและคำสั่งกลายๆ จากพี่ชายคนเดียวของฉัน พอบอกตรัยไปเขาก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ “พี่ว่าคืนนี้น่าจะได้มอมเหล้าไอ้นิกมันอีกคืน”“บ้า!” ฉันแยกเขี้ยวใส่คนทะลึ่ง ก่อนที่เราสองคนจะกลับไปบ้านของฉันกัน แต่พอมาถึงฉันก็ตาโตเป็นไข่ห่าน เมื่อเห็นยัยดานั่งยิ้มเขินอยู่ในห้องรับแขก ถามไปถามมา ถึงได้รู้ว่าเมื่อเช้าพี่ชายฉันไปหากรดาที่บ้าน บุกไปบอกว่าชอบและขอคบต่อหน้าพ่อกับแม่ของกรดา แถมยังไปเล่าประวัติส่วนตัว หน้าที่การงานให้ผู้ใหญ่ฟังจนละเอียดยิบ ฟังแล้วฉันก็ได้แต่หัวเราะให้พี่ชายตัวเอง ที่บทจะเอาจริงก็เอาจริงเสียจนอึ้งกันไปถ้วนหน้า“แล้วแกตอบว่าไงดา”“ก็คบสิ” กรดานั่งก้มหน้าก้มตาตอบ ส่วนฉันก็หัวเราะชอบใจ คู่นี้เป็นคู่รักสายฟ้าแลบกว่าคู่ของฉันเสียอีก แอบชอบกันอยู่เงียบๆ แต่บทจะสารภาพรักก็เล่นเอาตูมเดีย
“เอ็งมีอะไรกับสรแล้วใช่ไหม” คำถามของนิก ทำเอาผมสำลักเหล้าที่กำลังดื่มดังพรวด หน้าแดงก่ำ หันมามองมันอย่างสำนึกผิด “มีแล้วว่ะ”“ไอ้เพื่อนเลว” ไม่พูดเปล่า เนติธรยังยกเท้ามาถีบผมอีก ดีที่ผมอาศัยความไวหลบบาทาของมันได้ทัน ไม่อย่างนั้น อาจลงไปนั่งพับเพียบที่พื้นแล้วก็ได้“ข้าขอโทษ แต่ข้ารักของข้า นี่ก็กะจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอน้องเอ็งอย่างเป็นทางการอยู่”“อดเปรี้ยวไว้กินหวานหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!”“ไม่ได้” ผมตอบไปตามตรง นั่นเพราะผมอดเปรี้ยวมาพอแล้ว ถึงขนาดทำตามคำขอของว่าที่พี่เขยไปเสียทุกอย่างแบบนั้น“ข้าจะทำให้เอ็งดูเป็นตัวอย่าง รับรองว่าข้าจะไม่แตะต้องน้องดาจนถึง วันส่งตัวเข้าหอ”“ให้มันจริง”“มาพนันกันไหมล่ะ ว่าไง” เนติธรยักคิ้วท้าทายผม “เอาสิ เอ็งจะเอาอะไรมาพนันกับข้า”“เงินสดแสนนึงเป็นไง”“โอเค” ผมรับปากอย่างไม่ลังเล ซึ่งมั่นใจว่าผมต้องได้เงินสดหนึ่งแสนบาทนี้แน่นอน จากนั้นเราก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องธุรกิจของเราที่กำลังไปได้สวยบ้าง คุยไปคุยมา คนข้างๆ ก็ชิ่งหลับไปก่อนผมเสียอีก ผมจึงนั่งกินเหล้าคนเดียวต่ออีกหน่อย พร้อมๆ กับคิดถึงเรื่องของผมกับอัปสรไปด้วย ตั้งแต่รู้ว่าชอบเธอ ผมก็มีเธอเป็น
เสียงเพลงในผับดังกึกก้อง จนต้องตะโกนคุยกันคอแทบแตก ปกติฉันไม่ชอบสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่นักหรอก แต่วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ก็เลยนัดเพื่อนให้ออกมาปาร์ตี้แก้เซ็ง และนี่คือการมาเที่ยวผับครั้งแรกในวัยยี่สิบเอ็ดปีของนางสาวอัปสรก็ว่าได้ เรียนอีกแค่เทอมเดียว ฉันก็จะเรียนจบปริญญาตรีแล้วด้วย พอจบไปก็ตั้งใจจะใช้วิชาความรู้ที่ได้มา ไปทำงานช่วยงานพี่ชายที่เปิดบริษัท ขายส่งสินค้าจากเมืองจีน เห็นแบบนี้กำไรปีหนึ่งเป็นล้านๆ นะบอกเลย“เป็นอะไรของแกสร หน้ามุ่ยเป็นตูดหมึก ทะเลาะกับแมนมาเหรอ” คนที่เพื่อนฉันเอ่ยชื่อขึ้นมาก็คือแฟนของฉันเอง เราคบกันมาได้สามถึงสี่เดือนแล้ว แต่ยิ่งคบมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ใช่ จนตัดสินใจจะบอกเลิกวันพรุ่งนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด “อื้อ...เบื่อว่ะ” ฉันพูดเซ็งๆ ก่อนจะหยิบแก้วที่ผสมเหล้ากับเป๊บซี่ขึ้นมาดื่ม ฉันไม่ใช่พวกคอแข็งจึงผสมเป๊บซี่มากหน่อย จนเพื่อนแซวว่าถ้าฉันจะกินแบบนี้ก็กินเป๊บซี่มันอย่างเดียวไปเลยเหตุผลของความเบื่อ คือ ฉันถูกวศินหรือแมนตามเช้าตามเย็น ไปไหนก็ต้องรายงาน แถมเขาก็เป็นพวกขี้หึงบ้าๆ บอๆ หึงแบบไร้เหตุผล นี่ฉันยังคิดว่ามีแฟนหรือมีลูกกันแน่ ขี้หึงไม่พอ เขายังเสื
“อย่าเมาแล้วคึกไปไล่ปล้ำใครเขานะยะ”“บ้า! ใครจะไปทำ แต่ถ้าพี่ตรัยมา…ก็ว่าไปอย่าง” พูดแล้วฉันก็หัวเราะออกมา นั่นเพราะสภาพของฉันตอนนี้จะไปไล่ปล้ำใครเขาได้“แหม…มีเลือก”“แกขับรถดีๆ นะ” ฉันโบกไม้โบกมือให้กรดา “อื้อ…งั้นฉันกลับก่อนนะ” กรดาโบกไม้โบกมือลาฉันด้วยเหมือนกัน พอเพื่อนกลับออกไปแล้วฉันก็ทิ้งตัวนอนยาวไปกับขนาดของโซฟามันเสียเลยอาการคนเมามันทำให้ฉันปั่นป่วน พะอืดพะอมบอกไม่ถูก โลกมันหมุนๆ ในตัวก็ร้อนแปลกๆ ฉันพยายามตั้งสติ สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ “ฉันไม่เมา...ไม่เมา...ไม่เมา” ฉันพูดกับตัวเองแบบนี้ เพื่อเอาชนะความเมา แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผล กระทั่งรู้สึกเหมือนมีใครมายืนกอดอกมองฉันที่นอนหมดสภาพอยู่บนโซฟา“พะ…พี่ตรัยเหรอคะ”“ครับ” เสียงทุ้มที่แสนจะคุ้นดังขึ้น ฉันส่งยิ้มให้เขา พยายามลืมตามองหน้าเขาให้ชัดๆ แต่ภาพมันก็ซ้อนทับกันจนรู้สึกเหมือนเขามีฝาแฝดแถมตอนนี้เขายืนกอดอกมองเธอด้วยสายตาดุๆ จนฉันต้องเด้งตัวขึ้นมานั่งตรงแหน่ว แต่สงสัยจะรีบลุกมากไป ถึงได้มึนๆ หัวหนักเข้าไปอีก“ฉลองอะไรมา ถึงเมาได้ขนาดนี้”“ก็แค่ปาร์ตี้สนุกๆ ตามประสาเพื่อนแค่นั้นเอง ว่าแต่พี่ตรัยมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ฉันพยา
“โหย…ผู้ชายโลเล” “ก็คนมันหล่อเลือกได้” เขายิ้มมุมปากให้ฉัน ส่วนฉันเองก็ยิ้มหวานๆ ตาเยิ้มๆ ตามสไตล์คนเมากลับไปให้“งั้นถ้าให้เลือกอีกที พี่ตรัยจะชอบสรอยู่ไหม” เพราะเมาฉันถึงกล้าถามแบบนี้ออกไป จะว่าไป เวลาเมานี่ก็ดีแฮะ เพราะมันทำให้ฉันกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป พอสร่างก็มีข้ออ้างว่าเมา คนเมาพูดอะไรย่อมไม่ผิด...ฮ่าๆ ไม่งั้นเขาจะพูดกันเหรอว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา “นี่เมาใช่ไหม ถึงถามอะไรแบบนี้”“เปล่าเมา สรแค่อยากรู้” อันที่จริงฉันเมานั่นแหละ แต่ไม่ยอมรับ “ไว้สร่างเมาก่อน พี่ค่อยตอบ คืนนี้ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้ว”“สรนอนไม่หลับ” ฉันเริ่มงอแงเป็นเด็กๆ “ไม่หลับก็นอนเล่นๆ ไป เดี๋ยวก็หลับเอง” เขาดุฉันเหมือนฉันยังเป็นแค่เด็กอนุบาล ทั้งๆ ที่เขาอายุห่างจากฉันแค่ห้าปีเท่านั้นเอง “ผู้หญิงคนนั้นโชคดีจังที่ได้พี่ตรัยเป็นแฟน” ลึกๆ ฉันอิจฉาผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่ฉันไม่เคยเห็นหน้าสักครั้ง แต่ก็มั่นใจว่าเธอต้องสวยและนิสัยดีมากแน่ๆ “ทำไม แฟนสรทำตัวไม่ดีเหรอ” “อื้อ…เขาขี้หึงแบบไม่ลืมหูลืมตา ทำตัวเป็นเด็ก ง้องแง้งไม่เข้าท่า ปากหวานก้นเปรี้ยว เกลียดผู้หญิงเจ้าชู้ แต่ตัวเองเสือกเจ้าชู้ไก่แจ้ แถมยัง
ก่อนจะฝัน...ในฝันฉันกำลังนอนอยู่และมีเจ้าชายกำลังโน้มใบหน้าลงหมายจะมาจูบฉัน ฉันพยายามเพ่งสายตามองหน้าของเจ้าชายคนนั้น แต่กลับมองไม่เห็น กระทั่งริมฝีปากของเราสัมผัสกัน นั่นทำให้ฉันสะดุ้งและตื่นขึ้นจากความฝัน แต่ทว่าฝันกลับกลายเป็นจริง เพราะเมื่อครู่พี่ตรัยจูบฉัน“พี่ขอโทษ” ฉันนั่งนิ่ง ฟังคำขอโทษจากเขา แต่ทำไมใจถึงไม่รู้สึกโกรธอะไรเลย หรือฉันจะเมาจนความรู้สึกตายด้าน ไหนขอลองจูบเขาอีกสักครั้งซิ ความคิดของฉันมันไวเท่ากับการกระทำ เมื่ออยู่ๆ ฉันก็ล็อกคอเขาไว้แล้วเป็นฝ่ายจูบก่อน แม้จะจูบไม่เป็นแต่ฉันก็รู้ว่ามันคงไม่ยากมั้ง เพราะเห็นพระเอกนางเอกในซีรีส์จูบกันออกบ่อยนี่นา จากที่เขานิ่งจนฉันใจเสีย เกือบจะถอดใจถอนจูบออก ตรัยก็เริ่มจูบตอบฉันกลับมา จูบของเขามันทำเอาฉันสั่นไปทั้งตัว เพราะมันวาบหวามเร่าร้อนชนิดที่ว่าปลุกไฟในตัวของฉันให้ลุกพรึบได้ในชั่วพริบตา ฉันไม่รู้ว่าเราจูบกันมานานเท่าไหร่ รู้เพียงแค่ว่าฉันไม่อยากให้เขาหยุดที่จะจูบฉันเลยจริงๆ นี่ฉันกำลังเมาอยู่ใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ “พี่ตรัย” ฉันเอ่ยเรียกเขาทันทีที่เราถอนจูบออก และสีหน้าของเขาดูรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ จนเด้งตัวลุกขึ้น