“แป่ว…งั้นถือเสียว่าสรไม่ได้พูดอะไรนะคะ” “ไม่ได้คิดเสียเมื่อไหร่” นั่นไง ผมว่าแล้วไม่มีผิดว่าไอ้นิกมันต้องคิดไม่ซื่อกับเพื่อนน้องสาวเป็นแน่ สุดท้ายก็จริงอย่างที่สงสัย เพราะถ้าไม่คิดอะไร เวลาไปดูงานที่ต่างประเทศ มันไม่สรรหาของฝากแบบเฉพาะเจาะจง เข้าป่า เข้าซอยมาฝากกรดาหรอก เพราะขนาดผมมันยังไม่สรรหาถึงขนาดนั้นเลย“ห๊ะ!…ว่าไงนะคะ พี่นิกชอบดาเหมือนกันเหรอ”“อื้อ...ชอบ” นี่คือครั้งแรกที่ผมเห็นเนติธรเขิน เขินจนหน้าแดง หูแดง เขินชนิดที่ว่าสามารถดื่มเหล้าเพียวๆ ได้สบาย “แหม…ทำมาเป็นเก๊ก สรไม่บอกดาหรอกว่าพี่นิกชอบ พี่นิกต้องบอกเพื่อนสรเอง อ้อ…เร็วๆ ด้วยนะคะ เห็นว่าอีกไม่กี่วัน ดาจะบินไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้ว”“งั้นเดี๋ยวพี่มา”“พี่นิกจะไปไหน” เสียงของอัปสรดังขึ้น พร้อมกับเข้าไปห้ามพี่ชายของเธอไว้ “ไปบ้านดา”“แต่นี่มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้มั้งคะ อีกอย่างพี่ก็เมาแล้วด้วย ขับรถตอนเมามันอันตราย”“งั้นพี่กลับไปกินเหล้าต่อก็ได้ มาเลยไอ้ตรัย ไม่ต้องไปอยู่ใกล้น้องข้า”“เอ้า! ยังจะมาหวงอะไรตอนนี้” ผมเอ่ยขึ้นทันที ก่อนจะมองหน้าอัปสรอย่างขอความเห็นใจ กระทั่งถูกขัดจากเนติธรอีกยก “ก็ข้าชิน สรกลับห้
“อืมม์…” เสียงครางของเธอช่างน่าฟัง สีหน้าเหยเกทรมานของเธอตอนนี้ก็แสนจะเซ็กซี่ชวนมอง ผมจูบหนักๆ ลงไปบนเนินหน้าอก จูบซับต่ำลงไปกระทั่งรับเม็ดยอดสีสวยเข้าไปในปาก ตวัดหยอกเย้าด้วยลิ้นสลับการดูดดุนจนเธอบิดเกร็ง ครางจนฟังไม่ได้ศัพท์“สรของพี่หวานเหลือเกิน” ผมเอ่ยชม นั่นเพราะอัปสรหอมหวานไปทั้งตัวจริงๆ ผมกลืนกินหน้าอกทั้งสองข้างของเธอจนพอใจ ก่อนจะไซ้ใบหน้า ฝากรอยจูบหนักๆ ต่ำลงไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงหน้าท้องแบนราบ รับรู้ได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอบิดเกร็ง เสียงหอบหายใจดังต่อเนื่อง“พี่ตรัยขา” เธอเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า บ่งบอกว่าอารมณ์ของเธอเวลานี้ก็คงกำลังโลดแล่นไม่แพ้ผมแน่นอนผมจูบหนักๆ ตรงท้องน้อยนั่น แล้วลากผ่านริมฝีปากร้อนๆ ลงไปบนเนินเนื้อซึ่งถ้าต่ำลงไปอีกนิดมันคือจุดที่อัปสรหวงมากที่สุด และผมก็ได้ครอบครองมันเป็นคนแรกแต่ผมกลับเปลี่ยนใจไม่สัมผัสตรงนั้นในเวลานี้ โดยเลือกฝังใบหน้าลงไปจูบหน้าขาที่บิดเกร็งจนสั่นเล็กๆ นั่นของเธอ จากนั้นก็ไล้จูบต่ำลงไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงปลายเท้าขวา ก่อนจะจูบไซ้ขึ้นมาเรื่อยๆ จากปลายเท้าซ้ายที่ผมยังไม่ได้สัมผัส ซึ่งผมใช้จังหวะนี้แทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้า
ฉันตื่นมาอย่างสดใส ทั้งๆ ที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ส่วนคนข้างๆ ก็หน้าระรื่นไม่แพ้ฉันสักเท่าไหร่ เห็นแล้วก็หมั่นไส้จนต้องมองค้อนให้อยู่หลายครั้งเช้านี้ตรัยอาสาเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะบ่อยครั้งที่เขามานอนค้างที่บ้านแล้วตื่นเช้ามา ฉันก็จะได้กินกับข้าวฝีมือเขา ระหว่างรอฉันก็ชะเง้อชะแง้มองหาพี่ชายไปด้วย แต่น่าแปลกที่ไม่เห็นพี่ชายฉันแม้แต่เงา สงสัยพอสร่างเมาแล้วจะรีบไปหากรดาที่บ้านเป็นแน่ อยากรู้ผลนักว่าป่านนี้จะเป็นยังไง“คิดอะไรอยู่ครับ”“คิดว่า ป่านนี้พี่นิกจะทำอะไรอยู่”“นั่นน่ะสิ” คนในครัวเอ่ยเห็นด้วย สีหน้าดูครุ่นคิดจนคิ้วขมวด “จะสารภาพรักกับยัยดาเลยไหมนะ” ฉันสันนิษฐานไปตามเรื่องตามราว “อาจมีสิทธิ์ เพราะดาไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งสองปี ถ้าไม่สารภาพตอนนี้มันอาจกินแห้วได้” เพราะคิดไปก็คงมีแต่จะฟุ้งซ่าน ฉันจึงรอให้พี่ชายกลับมาค่อยถามน่าจะดีกว่า ก่อนจะหันมาให้ความสนใจผู้ชายตัวโต ที่ตอนนี้กำลังใส่ผ้ากันเปื้อนและยืนทำอะไรอยู่หน้าเตานานสองนาน “ว่าแต่พี่ตรัยทำอะไรอยู่คะ กลิ่นหอมเชียว” กลิ่นหอมๆ ที่ลอยมาเตะจมูก ทำเอาท้องฉันร้องเพราะความหิวเสียแล้วสิ
“เพิ่งรู้ว่าสรเองก็ทะลึ่ง”“ก็ใช่ว่าสรจะเป็นแบบนี้กับทุกคนนะคะ” ฉันสบตาเขาไปตรงๆ พยายามไม่เขิน แต่สงสัยสีหน้ามันจะออกอาการแน่ๆ “เป็นกับพี่คนเดียวก็พอ...รู้ไหม” เขายื่นมือมาบีบจมูกฉันเบาๆ ก่อนจะถามขึ้น “วันนี้สรว่างไหม”“ว่างค่ะ”“งั้นกินข้าวเสร็จ ไปช่วยพี่ซื้อของหน่อยได้ไหมครับ”“ได้สิคะ” ฉันรับปาก นั่นเพราะวันนี้ฉันเองก็ไม่ได้มีแผนไปที่ไหน ออกไปซื้อของกับตรัยก็คงเพลินไปอีกแบบ เมื่อเรากินข้าวเช้าอิ่มก็พากันออกไปข้างนอก เขาขับรถพาฉันไปห้างสรรพสินค้าที่เน้นแต่ของตกแต่งบ้าน นั่นทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยชวนฉันไปบ้านที่ฉันเดาเอาว่าเขาเพิ่งซื้อ เพราะเมื่อก่อนเขาอยู่คอนโดมิเนียม แต่ฉันปฏิเสธเขาจึงขับรถพาฉันไปนั่งคุยที่สโมสรในหมู่บ้านแทน แต่ความที่รอบข้างมันมืด ฉันจึงมองไม่เห็นบรรยากาศอะไรมากสักเท่าไหร่“พี่ตรัยอยากแต่งบ้านเหรอคะ”“ครับ…ซื้อของเสร็จ เดี๋ยวเราไปบ้านพี่กัน” “ค่ะ” ฉันรับปากแล้วเดินตามเขาไปยังแผนกเครื่องนอน จังหวะหนึ่งตรัยเดินเข้ามากุมมือฉันไว้ขณะที่พนักงานในแผนกก็เดินเข้ามาแนะนำนั่นนี่ตามหน้าที่“พี่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ได้ราวๆ เดือนกว่า ยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก โดยเฉพาะห้องนอน
“ก็พี่คิดถึงเมียนี่ครับ”“ไว้มีโครงการเรียนต่อหรือไปเที่ยว สรจะบอกพี่ตรัยนะคะ” “ครับผม” เสียงทุ้มเอ่ยรับ จากนั้นเราก็ลงไปชั้นล่าง เดินเล่นที่สวนด้วยกัน ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของฉันจะดังขึ้น และคนที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่ชายของฉันนั่นเองอยู่ไหน กับใคร ทำอะไรอยู่ กลับมาบ้านตอนนี้ได้ไหม นี่คือประโยคคำถามและคำสั่งกลายๆ จากพี่ชายคนเดียวของฉัน พอบอกตรัยไปเขาก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ “พี่ว่าคืนนี้น่าจะได้มอมเหล้าไอ้นิกมันอีกคืน”“บ้า!” ฉันแยกเขี้ยวใส่คนทะลึ่ง ก่อนที่เราสองคนจะกลับไปบ้านของฉันกัน แต่พอมาถึงฉันก็ตาโตเป็นไข่ห่าน เมื่อเห็นยัยดานั่งยิ้มเขินอยู่ในห้องรับแขก ถามไปถามมา ถึงได้รู้ว่าเมื่อเช้าพี่ชายฉันไปหากรดาที่บ้าน บุกไปบอกว่าชอบและขอคบต่อหน้าพ่อกับแม่ของกรดา แถมยังไปเล่าประวัติส่วนตัว หน้าที่การงานให้ผู้ใหญ่ฟังจนละเอียดยิบ ฟังแล้วฉันก็ได้แต่หัวเราะให้พี่ชายตัวเอง ที่บทจะเอาจริงก็เอาจริงเสียจนอึ้งกันไปถ้วนหน้า“แล้วแกตอบว่าไงดา”“ก็คบสิ” กรดานั่งก้มหน้าก้มตาตอบ ส่วนฉันก็หัวเราะชอบใจ คู่นี้เป็นคู่รักสายฟ้าแลบกว่าคู่ของฉันเสียอีก แอบชอบกันอยู่เงียบๆ แต่บทจะสารภาพรักก็เล่นเอาตูมเดีย
“เอ็งมีอะไรกับสรแล้วใช่ไหม” คำถามของนิก ทำเอาผมสำลักเหล้าที่กำลังดื่มดังพรวด หน้าแดงก่ำ หันมามองมันอย่างสำนึกผิด “มีแล้วว่ะ”“ไอ้เพื่อนเลว” ไม่พูดเปล่า เนติธรยังยกเท้ามาถีบผมอีก ดีที่ผมอาศัยความไวหลบบาทาของมันได้ทัน ไม่อย่างนั้น อาจลงไปนั่งพับเพียบที่พื้นแล้วก็ได้“ข้าขอโทษ แต่ข้ารักของข้า นี่ก็กะจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอน้องเอ็งอย่างเป็นทางการอยู่”“อดเปรี้ยวไว้กินหวานหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!”“ไม่ได้” ผมตอบไปตามตรง นั่นเพราะผมอดเปรี้ยวมาพอแล้ว ถึงขนาดทำตามคำขอของว่าที่พี่เขยไปเสียทุกอย่างแบบนั้น“ข้าจะทำให้เอ็งดูเป็นตัวอย่าง รับรองว่าข้าจะไม่แตะต้องน้องดาจนถึง วันส่งตัวเข้าหอ”“ให้มันจริง”“มาพนันกันไหมล่ะ ว่าไง” เนติธรยักคิ้วท้าทายผม “เอาสิ เอ็งจะเอาอะไรมาพนันกับข้า”“เงินสดแสนนึงเป็นไง”“โอเค” ผมรับปากอย่างไม่ลังเล ซึ่งมั่นใจว่าผมต้องได้เงินสดหนึ่งแสนบาทนี้แน่นอน จากนั้นเราก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องธุรกิจของเราที่กำลังไปได้สวยบ้าง คุยไปคุยมา คนข้างๆ ก็ชิ่งหลับไปก่อนผมเสียอีก ผมจึงนั่งกินเหล้าคนเดียวต่ออีกหน่อย พร้อมๆ กับคิดถึงเรื่องของผมกับอัปสรไปด้วย ตั้งแต่รู้ว่าชอบเธอ ผมก็มีเธอเป็น
เสียงเพลงในผับดังกึกก้อง จนต้องตะโกนคุยกันคอแทบแตก ปกติฉันไม่ชอบสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่นักหรอก แต่วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ก็เลยนัดเพื่อนให้ออกมาปาร์ตี้แก้เซ็ง และนี่คือการมาเที่ยวผับครั้งแรกในวัยยี่สิบเอ็ดปีของนางสาวอัปสรก็ว่าได้ เรียนอีกแค่เทอมเดียว ฉันก็จะเรียนจบปริญญาตรีแล้วด้วย พอจบไปก็ตั้งใจจะใช้วิชาความรู้ที่ได้มา ไปทำงานช่วยงานพี่ชายที่เปิดบริษัท ขายส่งสินค้าจากเมืองจีน เห็นแบบนี้กำไรปีหนึ่งเป็นล้านๆ นะบอกเลย“เป็นอะไรของแกสร หน้ามุ่ยเป็นตูดหมึก ทะเลาะกับแมนมาเหรอ” คนที่เพื่อนฉันเอ่ยชื่อขึ้นมาก็คือแฟนของฉันเอง เราคบกันมาได้สามถึงสี่เดือนแล้ว แต่ยิ่งคบมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ใช่ จนตัดสินใจจะบอกเลิกวันพรุ่งนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด “อื้อ...เบื่อว่ะ” ฉันพูดเซ็งๆ ก่อนจะหยิบแก้วที่ผสมเหล้ากับเป๊บซี่ขึ้นมาดื่ม ฉันไม่ใช่พวกคอแข็งจึงผสมเป๊บซี่มากหน่อย จนเพื่อนแซวว่าถ้าฉันจะกินแบบนี้ก็กินเป๊บซี่มันอย่างเดียวไปเลยเหตุผลของความเบื่อ คือ ฉันถูกวศินหรือแมนตามเช้าตามเย็น ไปไหนก็ต้องรายงาน แถมเขาก็เป็นพวกขี้หึงบ้าๆ บอๆ หึงแบบไร้เหตุผล นี่ฉันยังคิดว่ามีแฟนหรือมีลูกกันแน่ ขี้หึงไม่พอ เขายังเสื
“อย่าเมาแล้วคึกไปไล่ปล้ำใครเขานะยะ”“บ้า! ใครจะไปทำ แต่ถ้าพี่ตรัยมา…ก็ว่าไปอย่าง” พูดแล้วฉันก็หัวเราะออกมา นั่นเพราะสภาพของฉันตอนนี้จะไปไล่ปล้ำใครเขาได้“แหม…มีเลือก”“แกขับรถดีๆ นะ” ฉันโบกไม้โบกมือให้กรดา “อื้อ…งั้นฉันกลับก่อนนะ” กรดาโบกไม้โบกมือลาฉันด้วยเหมือนกัน พอเพื่อนกลับออกไปแล้วฉันก็ทิ้งตัวนอนยาวไปกับขนาดของโซฟามันเสียเลยอาการคนเมามันทำให้ฉันปั่นป่วน พะอืดพะอมบอกไม่ถูก โลกมันหมุนๆ ในตัวก็ร้อนแปลกๆ ฉันพยายามตั้งสติ สูดอากาศเข้าปอดลึกๆ “ฉันไม่เมา...ไม่เมา...ไม่เมา” ฉันพูดกับตัวเองแบบนี้ เพื่อเอาชนะความเมา แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผล กระทั่งรู้สึกเหมือนมีใครมายืนกอดอกมองฉันที่นอนหมดสภาพอยู่บนโซฟา“พะ…พี่ตรัยเหรอคะ”“ครับ” เสียงทุ้มที่แสนจะคุ้นดังขึ้น ฉันส่งยิ้มให้เขา พยายามลืมตามองหน้าเขาให้ชัดๆ แต่ภาพมันก็ซ้อนทับกันจนรู้สึกเหมือนเขามีฝาแฝดแถมตอนนี้เขายืนกอดอกมองเธอด้วยสายตาดุๆ จนฉันต้องเด้งตัวขึ้นมานั่งตรงแหน่ว แต่สงสัยจะรีบลุกมากไป ถึงได้มึนๆ หัวหนักเข้าไปอีก“ฉลองอะไรมา ถึงเมาได้ขนาดนี้”“ก็แค่ปาร์ตี้สนุกๆ ตามประสาเพื่อนแค่นั้นเอง ว่าแต่พี่ตรัยมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ฉันพยา