เมื่อเดินเข้ามาด้านหลังร้าน ก็เห็นมิรินกำลังวุ่นวายกับการจัดของใส่กล่องลังใบใหญ่ สงสัยจะเป็นของที่จะเอาไปบริจาค มีทั้งเสื้อผ้า อาหารแห้งและอื่นๆ อีกมากมาย
“พี่มิริน เรซหาผู้ช่วยมาให้ล่ะ” ราเรซเดินเข้าไปบอกลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง มิรินหันมามองหน้าผม พร้อมรอยยิ้ม แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแหละ รอยยิ้มแสนสวยนั้นก็หายวับไปในทันตา สงสัยจะยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่แฮะ ชกแค่หมัดเดียวเอง มันจะเจ็บสักแค่ไหนกันเชียว มิริน ตอนนี้ฉันกับบัวตองกำลังนั่งอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับพี่เฟยอยู่ที่บ้านของเขา ฉันลากบัวตองมางานด้วยเพราะไม่อยากมาคนเดียว ถึงแม่กับคุณตาจะมาด้วยก็เถอะ สักพักพวกท่านก็ต้องไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ ร่วมธุรกิจของตัวเองกัน “จะลากฉันมา เพื่อ!!” บัวตองหันมาบ่นฉันด้วยใบหน้าที่เซ็งสุดๆ “ก็ถ้ามาคนเดียวฉันก็จะเซ็งแบบแกนี่ไง” ฉันหันไปตอบบัวตองด้วยความรู้สึกเหมือนกัน “มิรินมานี่หน่อย” แม่เฌอรีนโบกมือเรียกให้ฉันเดินไปหา ซึ่งแม่กำลังคุยกับพ่อแม่ของพี่เฟยและตัวพี่เฟยด้วย ไม่อยากเดินไปหาแม่เลยแฮะ ฉันหันไปมองเพื่อนอย่างขอความช่วยเหลือ บัวตองก็ส่ายหน้ากับมาอย่างปลงๆ เพราะเพื่อนก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ฉันจำต้องเดินไปหาแม่ด้วยใบหน้าที่แสนจะเบื่อหน่ายสุดๆ “ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย” พอฉันเดินไปถึง แม่ก็กระซิบบอกด้วยน้ำเสียงที่แอบดุมานิดๆ ฉันจำต้องปั้นหน้ายิ้มส่งไปให้พ่อแม่ของพี่เฟยอย่างเลี่ยงไม่ได้ “หนูมิรินยิ่งโตยิ่งสวยนะเนี้ย” แม่พี่เฟยชม “มิน่าล่ะ เฟยถึงได้พูดแต่เรื่องของเราไม่หยุด” พ่อพี่เฟยบอก “เรื่องอะไรเหรอคะ” แม่เฌอรีนถาม “เหมือนว่าตาเฟยจะชอบน้องเข้าให้แล้วล่ะค่ะ” แม่พี่เฟยตอบพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับลูกชาย ซึ่งพี่เฟยก็ยิ้มให้อย่างเขินอาย นี่เล่นเองแล้วเขินเองเหรอ เป็นกันทั้งบ้านเลยหรือไง ฉันสิ...ที่ต้องเป็นคนรู้สึกเขิน แม่เฌอรีนหันมายิ้มให้ฉันอย่างพอใจ ก็แง่ล่ะ ได้ใจแม่ฉันเต็มๆ “เดี๋ยวขอตัวไปดูแขกทางด้านโน้นก่อนนะคะ” แม่พี่เฟยบอกกับแม่เฌอรีน แล้วพ่อแม่ของพี่เฟยก็เดินไปดูแขกอีกทาง แต่ว่าพี่เฟยกลับไม่เดินตามพ่อแม่ของตัวเองไป เขาเอาแต่ยืนส่งยิ้มมาให้ฉันไม่หยุด “คุยกันไปก่อนนะ” แล้วแม่ของฉันก็รีบหลบฉากไปทันที ฉันรู้นะ..ว่าแม่จงใจเดินหนี เพราะอยากให้ฉันได้คุยกับพี่เฟยสองคน “น้องมิรินครับ อาทิตย์หน้าว่างหรือเปล่า พี่อยากจะชวนไปเที่ยวทะเล พี่อยากจะไปพักผ่อนสักหน่อย ก่อนที่จะเข้าไปรับช่วงต่อจากคุณพ่อที่บริษัท เพราะถ้าพี่ได้ทำงานแล้ว กลัวว่าจะไม่มีเวลาให้น้องมิรินนะครับ” นี่เขากะจะพูดอยู่คนเดียวเลยหรือไง ไม่เหลือช่องว่างให้ฉันได้พูดเลย “อาทิตย์ มิรินไม่ว่างค่ะ ที่มหาลัยมีกิจกรรม” รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกชะมัดที่ลงชื่อไปค่ายครั้งนี้ “งั้น รอน้องมิรินกลับมาก่อนก็แล้วกัน” พี่เฟยบอก ยังจะมารอฉันอีกเหรอ ไม่มีฉัน ไปไม่ได้หรือไง แบบนี้มันน่ารำคาญนะ... หลังจากกลับจากงานเลี้ยงต้อนรับพี่เฟย ฉันเตรียมจะเดินขึ้นห้องทันทีที่ลงรถได้ แต่ก็เดินไปได้ไม่กี่ก้าว แม่เฌอรีนก็เรียกฉันไว้ก่อน “มิริน มาคุยกับแม่หน่อย” แม่เดินนำฉันมายังห้องนั่งเล่น ซึ่งฉันก็เดินตามแม่ไปอย่าง งงๆ ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร “มีอะไรคะ” ฉันเดินไปนั่งที่โซฟาตรงกันข้ามกับแม่ “อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ ว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เกิ่นมาขนาดนี้ฉันก็พอจะรู้แล้วล่ะ ว่าแม่จะพูดเรื่องอะไร “ใครบอกแม่ค่ะ” ใครกัน ชั่งคาบข่าวมาฟ้อมแม่ฉันได้ “พี่เฟยเล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว ว่าโดนราเรซแกล้ง” “สองคนนี้ก็ไม่ถูกกันแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ค่ะ แม่ก็น่าจะรู้” ไม่รู้แม่จะมาบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ราเรซกับพี่เฟยไม่กินเส้นกันตั้งแต่เด็กๆ แล้วนิ ยังจะสงสัยอะไรอีก “คนที่ต่อยพี่เฟย ชื่อโต้งใช่ไหม” “แม่ค่ะ พี่เฟยไปพูดไม่ดีกับเขาก่อนนะ” ฉันพยายามอธิบายให้แม่ฟัง “แล้วจำเป็นต้องชกต่อยกันด้วยเหรอ มันแสดงถึงความเป็นอันธตพาลนะ ราเรซก็อีกคน ทำไมถึงได้คบเพื่อนแบบนี้ก็ไม่รู้ ตอนเรียนมัธยมราเรซก็ไปมีเรื่องกับเด็กต่างโรงเรียนเพราะเพื่อนคนนี้ไม่ใช่เหรอ ยังจะคบต่ออยู่ได้ ถ้าแม่เป็นไลลานะ แม่จะสั่งห้ามไม่ให้ราเรซคบเพื่อนแบบนี้เลย” “งั้นก็โชคดีของราเรซล่ะคะ ที่เขาไม่ใช่ลูกแม่” “มิริน!!” แม่ตะโกนเรียกชื่อฉันเสียงดังลั่นด้วยความไม่พอใจที่ฉันแอบประชด “มิรินไปนอนบ้านพ่อนะคะ” พูดจบฉันก็เดินออกมาจากบ้านทันที เสียงแม่ตะโกนไล่หลังมาซึ่งฉันได้ยินไม่ถนัดหรอก เพราะเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ฉันขับรถออกจากบ้านทันที ฉันกับแม่มักจะทะเลาะกันแบบนี้เป็นประจำ แม่ไม่เคยฟังเหตุผลของฉันเลย ไม่เคยเข้าใจฉันด้วยซ้ำ วันนี้คงต้องไปนอนบ้านพ่อก่อน เอาไว้แม่อารมณ์ดีแล้วค่อยกลับบ้านก็แล้วกัน เช้าวันรุ่งขึ้น..... “อร่อยไหมลูก” เสียงผู้ชายวัยสามสิบกว่าๆ ถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี “อร่อยที่สุดเลยค่ะ” ฉันยิ้มให้กับผู้เป็นพ่อ ซึ่งท่านเป็นคนทำอาหารเช้ามื้อนี้ให้ฉันทาน “กินเยอะๆ เลยนะ มิรินดูผอมไปนะลูก” พ่อบอก “อาหารที่บ้านคุณตาไม่อร่อยเท่าฝีมือพ่อนิค่ะ” “ไม่ต้องมาพูดเอาใจพ่อเลย รีบๆ กินเข้า พ่อจะเข้าบริษัทล่ะ” “ค่ะ” เมื่อทานอาหารเช้ากับพ่อเสร็จ ฉันก็ขับรถออกมายังห้างสรรพสินค้า เพื่อมาดูร้านเสื้อผ้าของตัวเอง ฉันกะว่าจะนำเสื้อผ้าในร้านไปบริจาค ต้องหาตัวช่วยสักหน่อย ทำคนเดียวคงไม่เสร็จแน่ๆ ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งไลน์ไปหาน้องชาย มิริน : เรซ ราเรซ : ว่า มิริน : วันนี้ว่างไหม ราเรซ : มีไร ก็บอกมาเลย มิริน : มาช่วยพี่แพคของไปบริจาคหน่อย ราเรซ : ก็แค่เนี้ย เมื่อหาตัวช่วยได้แล้ว ฉันก็เดินลงจากรถไปยังร้านเสื้อผ้าของตัวเองทันที ฉันเดินเข้ามาในร้านพนักงานต่างก็หันมาทักทายให้ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้มาแต่เช้าเลยนะคะ” พี่แอนทักทาย “ค่ะ พอดีว่า มานอนที่บ้านพ่อนะคะ ก็เลยย่นระยะทางได้เยอะเลย” เพราะบ้านของคุณตาอยู่ไกลจากห้างแห่งนี้มาก บ้านของพ่อมิโน่อยู่ใกล้กว่า ขับรถไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงห้างสรรพสินค้าแล้ว “ไหน จะให้ช่วยอะไร” ราเรซเดินเข้ามาถาม มาเร็วทันใจดีจัง สงสัยซิ่งมาเลยมั้งนั่น “ยกอันนี้ไปไว้หน้าร้านให้หน่อย” ฉันบอกน้องให้ยกลังที่แพคเสร็จแล้วไปไว้หน้าร้าน เพื่อรอขนไปใส่รถอีกที เมื่อบอกน้องเสร็จฉันก็หันกลับมาแพคของต่อ “พี่มิริน เรซหาผู้ช่วยมาให้ล่ะ” ฉันหันไปมองผู้มาเยือนใหม่ ทันทีที่เห็นหน้าของโต้ง ฉันก็เผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว แต่พอมองไปที่ข้างกายของร่างสูง รอยยิ้มของฉันก็เหี่ยวเฉาลงทันที ข้างกายของโต้งมีสาวน้อยน่ารักยืนอยู่ด้วย แถมโต้งยังโอบไหล่เธออีก ใจที่กำลังฟองโตทีแรกที่ได้เห็นหน้าเขาก็พลันแฟบลงทันทีที่เห็นว่าเขาไม่ได้มาคนเดียวเหมือนอย่างเคย แล้วคำพูดที่เขาพูดเมื่อวานก็แล่นเข้าหัวของฉันโดยอัตโนมัติ จะทำอย่างที่พูดจริงๆ เหรอ “พี่มิริน กำลังหาพนักงานเพิ่มไม่ใช่เหรอ นี่เลย น้องแก้มใส เพื่อนน้องสาวไอ้โต้งมัน น้องเขากำลังหารายได้พิเศษ” ราเรซบอก ออ... มาหางานพิเศษทำนี่เอง ความจริงร้านของฉันคนก็เยอะแล้วล่ะ แต่ฉันคิดว่า เรื่องที่จะฝากสาวน้อยคนนี้เข้าทำงานที่นี่ คงไม่ใช้ความคิดของราเรซหรอก เพราะสาวน้อยน่ารักคนนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับราเรซ . . .“ชื่อแก้มใสเหรอ พี่ชื่อมิรินนะ” ฉันหันไปคุยกับสาวน้อยที่ยังยืนอยู่ข้างโต้งอยู่ พยายามส่งยิ้มให้เธออย่างใจดี เธอก็ดูน่ารักและใสซื่อดีนะ“ค่ะ พี่มิรินใช้แก้มได้เต็มที่เลยนะคะ งานหนักงานเบาแก้มทำได้หมดค่ะ แก้มไม่เกี่ยงงาน” แก้มใสตอบอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับโต้ง ซึ่งเขาก็ยิ้มกลับมาให้แก้มใสอย่างอบอุ่น แถมยังเอื้อมมือขึ้นมาลูบผมเธออย่างเอ็นดูอีก ผู้หญิงคนนี้คงจะมีความสำคัญกับเขามากสินะ ถึงได้ให้ราเรซมาคุยเรื่องฝากงานกับฉัน“โอเครจ๊ะ งั้นมาเริ่มงานพรุ่งนี้นะ เดี๋ยวไปวัดตัวกับพี่แอนได้เลย พี่แอนจะได้หาชุดให้เราถูกไซร์”ถ้าฉันปฏิเสธก็คงจะดูเป็นคนที่แย่ในสายตาของเขาอีกล่ะ ฉันจึงตัดสินใจรับแก้มใสเข้าทำงาน ไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกเสียหน้าที่อุตส่าห์พามาฝากด้วยตัวเอง ถึงจะให้ราเรซพูดแทนก็เถอะ“กำลังทำอะไรอยู่เหรอคะ” แก้มใสเดินเข้ามาถามหลังจากที่ไปวัดตัวกับพี่แอนเสร็จแล้ว เธอส่งยิ้มสดใสมาให้ เพราะความสดใสของเธอนี่เอง ถึงทำให้ผู้ชายอย่างเขายิ้มได้“กำลังแพ็คของใส่กล่องเอาไปบริจาคนะ” ฉันก็พลอยยิ้มตามเธอไปด้วย“ให้แก้มช่วยนะคะ แก้มอยากช่
“ก็กินที่ชอบสิ” ฉันตอบน้องชายไป“ทั้งที่มันไม่อร่อย พี่ก็จะกินใช่ไหม” ราเรซถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งมันทำให้ฉันเริ่มระแวงน้องชายอยู่หน่อยๆ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันตอบไป มันจะมีผลอะไรตามมาหรือเปล่า“ถ้าให้เลือกจริงๆ ก็อยากจะกินของที่ชอบและอร่อยด้วยนั่นแหละ”“ของที่พี่ไม่ชอบ ใช่ว่ามันจะไม่ดีหรือไม่อร่อย พี่ต้องลองกินดูสักครั้งถึงจะรู้ว่าเป็นยังไง มันอาจจะอร่อยกว่าของที่พี่ชอบก็ได้นะ เราแค่ยอมเปิดใจรับมันดู” ราเรซขยิบตาให้ฉันหนึ่งที เมื่อพูดจบ“ต้องการจะบอกอะไรพี่” ฉันถามออกไปอย่างรู้ทัน“พี่ลองมองไปตรงนั้น ใช้ใจมอง อย่าใช้สมองมอง เพราะมันจะเกิดการต่อต้าน แค่เปิดใจแล้วทำตามความรู้สึกซะ ก่อนที่มันจะสายไป” ฉันหันไปมองตามสายตาของราเรซ ซึ่งสิ่งที่น้องชายของฉันอยากให้มองก็คือแก้มใสกับโต้ง ที่แสดงความสนิทสนมจนใจของฉันมันเริ่มสั่นด้วยความหวั่นไหวกับภาพตรงหน้าที่ได้เห็น ใจฉันมันบอกว่า ฉันไม่อยากเห็นภาพแบบนี้...“โต้ง..” แล้วริมฝีปากของฉันก็เอ่ยเรียกเขาเองโดยอัตโนมัติ จนตัวฉันเองก็ยังตกใจ โต้งหันมามองฉันอย่าง งงๆ“มีอะไร” โต้งเดินมายืนอยู่ตรงห
“แกะเข็มขัดให้หน่อยสิ” โต้งกระซิบบอกเสียงแผ่วเบา ฉันเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแกะเข็มขัดออกให้เขาอย่างระมัดระวัง เมื่อแกะเสร็จฉันก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว“ไปรอด้านนอกนะ” ฉันหันหลังให้เตรียมจะเดินออกไป ก็โดนแขนหนารวบตัวไว้ก่อน“ไม่ให้ไป”“ไหนจะไม่ทำไง” ฉันรีบท้วงทันที“บอกตอนไหน” โต้งตอบกลับมา“ก็...” เขายังไม่ได้พูดจริงๆ แหละ ฉันคิดไปเองต่างหากมือหนาเอื้อมมือมาจับปอยผมของฉันไปทัดที่หลังหู ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะกดลงมาจูบเม้มเบาๆ ที่ซอกคออย่างหยอกล้อ เพียงแค่เขาสัมผัสเบาๆ มันก็ทำให้ขนลุกชันไปทั่วร่าง“อือออ โต้ง” ฉันพยายามควบคุมและประคองสติตัวเองให้ได้ แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน“ครับ...” โต้งขานรับเสียงหวาน มันทำให้ร่างฉันถึงกับอ่อนระทวยโรยแรงไปเลยทีเดียวมือหนาเลื่อนผ่านใต้รักแร้เอื้อมมายังด้านหน้ากอบกุมเอาก้อนเนื้อนิ่มบีบเคล้นผ่านเสื้อผ้าตัวบาง ความอุ่นร้อนจากมือหนาแทบจะแผดเผาเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ล่ะ รู้สึกเหมือนโดนเขาสัมผัสโดนผิวเนื้อไปแล้วทั้งที่ร่างกายของฉันยังมีเสื้อผ้าอยู่“ยะ หยุดเถอะ...” เสียงฉันขาดห่วงไป เมื่อชุดเดรสที่สวมใส่อยู่ร่วงลงสู่พื้นโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยโต้งจับไหล่มนของฉัน
สามสิบนาทีต่อมา.... เขาให้ฉันเดินออกมาจากห้องก่อน เพื่อไม่ให้ใครจับพิรุธเราได้ เมื่อฉันเดินออกมาก็เห็นลูกค้ากำลังเข้าร้านเต็มเลย ซึ่งแก้มใสก็ช่วยต้อนรับอย่างแข็งขัน เด็กคนนี้ขยันจริงๆ “นานจัง ถ่ายได้กี่ยก เฮ้ย! กี่ชุดล่ะ” ราเรซเดินเข้ามากระซิบถามฉัน เป็นจังหวะเดียวกันกับร่างสูงเดินมาหยุดยืนอยู่หลังฉันพอดี “ยกเดียว” โต้งตอบราเรซ “เฮ้ย! จริงเหรอเนี้ย” ราเรซแสดงสีหน้าอย่างตื่นเต้นพร้อมกับเดินเข้าไปกระซิบถามเพื่อนรัก แต่ฉันนี้สิ หน้าแดงจนไม่รู้จะเอาไปซุกไว้ที่ไหนแล้วเนี้ย เพราะฉันเป็นคนพาเขาเข้าไปเอง แล้วก็.... ฉันยืนสลัดหัวแรงๆ เมื่อภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ฉายขึ้นมาในหัว “เป็นอะไร ทำไมหน้าแดงแบบนั้น นี่คงไม่ได้คิด...อะไรอยู่ใช่ไหม” โต้งเอื้อมมือหนามาวางไว้บนหัวของฉัน พร้อมกับโน้มหน้าลงมาถามในระยะห่างไม่ถึงเซ็น สายตาของเขามีแววล้อเลียนฉันอยู่ในนั้น “ถะ ถอยออกไปเลย” ฉันย่นหน้าให้เขาอย่างโกรธเคือง แต่โต้งกลับยืนขำฉันอย่างน่ารัก ^o^ ใช่...ฉันยอมรับ โต้งน่ารักจริงๆ “ว่าแต่ จะสวีสกันอีก
โต้ง ผมชำเลืองไปมองใบหน้ารูปไข่แสนสวยของมิรินที่ตอนนี้กำลังหลับใหลซบอยู่กับไหล่ของผม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอซึ่งบ่งบอกว่าเธอหลับไปแล้วจริงๆ ไม่ได้แกล้งหลับเหมือนทีแรก เธอน่าจะดื้ออีกสักหน่อยนะ ไม่น่ายอมง่ายๆ เลย มันทำให้ผมอดทำโทษเธอ ถ้าดื้ออีกสักหน่อยละก็... หึๆ ต้องขอบคุณไอ้เลโอมากๆ ที่ขอเปลี่ยนที่นั่งให้กับผม จุดประสงค์ของมันจริงๆ ก็อยากจะนั่งใกล้สาวล่ะครับ ส่วนผมนั้นคือผลพลอยได้ ความจริงผมไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอก ที่ยอมไปลงชื่อก็เพราะเธอคนนี้แหละ ผมไม่ชอบใจที่ไอ้รุ่นพี่คนนั้นเล่นหูเล่นตาใส่มิริน ผมดูออก..ว่ามันชอบมิริน ทีแรกผมคิดไว้ว่า เมื่อถึงวันเดินทางผมจะแกล้งมาสายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไป แต่ว่า... สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานมันทำให้ผมไม่สามารถปล่อยเธอไปได้จริงๆ ผมต้องตามมาดูแลของของผม ไม่อย่างนั้น โดนไอ้พวกรุ่นพี่คาบไปแดกแน่ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเกินเลยหรอกนะ แต่พอมิรินเปิดโอกาสให้แล้ว ผมก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้เลย มิรินเปรียบเสมือนแม่เหล็ก ที่คอยดึงดูดผมทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้เธอ “ตื่นครั
โต้ง : นอนยัง มิริน : ... (อ่านแล้ว) ... โต้ง : มิริน มิริน :... (อ่านแล้ว) ... โต้ง : ตอบผัวหน่อยสิครับ มิริน : โต้ง!! โต้ง : เนะ จำได้ด้วย น่ารักจัง มิริน : ไปเอาเบอร์มาจากไหน โต้ง : น้องเรซให้มา มิริน : บังคับเรซล่ะสิ โต้ง : รู้ใจผัวซะจริง มิริน : โต้ง!! โต้ง : ครับ มิริน : ง่วงแล้ว โต้ง : ฝันดีครับ มิริน : อืม โต้ง : แค่เนี้ย! มิริน : ฝันดีค่ะ เพียงแค่นี้ก็ทำให้ผมนอนหลับฝันหวานทั้งคืนแล้วล่ะ ผมหันไปคว้าเอาแขนของราเรซมากอดพลางนึกไปว่ามันคือมิริน พร้อมกับพรมจูบเบาที่ต้นแขนของราเรซ “หนักล่ะ มึง” ราเรซบ่น พร้อมกับดันหน้าผมให้ออกห่างจากแขนของมัน ตุบ!! “โอ๊ย!! ไอ้เชี้ยโต้ง” เมื่อมันไม่ให้ผมกอดแขน ผมก็เลยถีบมันหนีซะเลย ก่อนจะหันมาอีกฝั่งแล้วนึกถึงใบหน้าของมิรินต่อ...
มิริน ฉันยืนดูอยู่นานล่ะ จะแสดงความรักต่อกันอีกนานไหม ฉันเริ่มจะไม่ไหวแล้วนะ ไอ้ผู้ชายมักมาก ไหนบอกว่ารอฉันคนเดียวไง โกหกทั้งเพ “น้ำค่ะ พี่ยู” ฉันถือขวดน้ำไปให้พี่ยูเมื่อเห็นว่าพี่เขายังไม่ได้ดื่มน้ำเลย “โทดทีครับ พอดีมือพี่เปื้อน เดี๋ยววางไว้ก่อนนะ” พี่ยูตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวมิรินป้อนให้” ได้โอกาสเอาคืนบ้างล่ะ ฉันเปิดขวดน้ำแล้วเอาไปจ่อที่ปากของพี่ยู เพื่อให้พี่เขาดื่มได้ถนัด ฉันชำเลืองไปมองผู้ชายมักมากคนนั้น เขาส่งสายตาดุดันมาให้ฉัน ใครสนกันล่ะ ทีตัวเองยังทำได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกันแหละ “ขอบคุณครับ” พี่ยูส่งยิ้มหวานมาให้ “แหม่ๆ เบาๆ หน่อยสิ คู่นั้นน่ะ อิจฉานะ” น้ำหวานพูดแซว ฉันหันไปมองน้ำหวานและก็ได้เห็นสีหน้าของโต้งเริ่มเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่ง แต่แววตากลับดุดัน ฉันไม่ชอบที่เขาทำหน้าแบบนี้เลย เพราะมันทำให้ฉันเดาใจเขาไม่ออก มันน่ากลัวมาก.. สู้ให้เขาแสดงออกเหมือนก่อนหน้านี้ยังจะดีกว่า “ไปกันเถอะ บัวตอง” ฉันรีบคว้ามือบัวตองให้เดินหนีจากตรงนี้ทันที ทั้งที
“ไหนบอกไม่ชอบไง” ฉันหันไปมองตามน้ำเสียงที่ไม่พอใจนั้น “น้ำหวาน” ฉันเอ่ยชื่อเธอ “เธอนี่ ก็ตอแหลเป็นเหมือนกันเนอะ มิริน” น้ำเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าฉันพร้อมกับใช้สายตาจิกกัดอย่างไม่ปิดบัง “อย่ามาพาลแถวนี้ น้ำหวาน ผู้ชายไม่มองแค่นี้ ก็เดือดซะแล้วเหรอ” ฉันกอดอกจ้องหน้าน้ำหวานกลับอย่างไม่เกรงกลัว “หึ รู้ได้ไง ว่าเขาไม่มอง เขากับฉันที่เอสที่ผับวันนั้น..” “มีแค่เรื่องเดียวสินะ ที่เธอเอามาเล่าไม่จบสักที” ฉันพูดสวนทันทีเมื่อน้ำหวานเริ่มพูดเรื่องนั้นขึ้นมาอีก ฉันต้องเชื่อใจโต้ง เพราะเขาบอกฉันแล้ว ว่ามันไม่มีอะไร ฉันต้องไม่คิดตามยัยน้ำหวาน ฉันต้องเชื่อใจเขา “เธอไม่อยากรู้เหรอ ว่าเราทำอะไรกันบ้าง” น้ำหวานยังพยายามพูดขึ้นมาอีก “งั้นเธอบอกฉันหน่อยสิ น้ำหวาน ว่าโต้งเขาจูบเก่งหรือเปล่า” ฉันจ้องหน้าน้ำหวานด้วยสายตาราบเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดใด เพราะฉันรู้จุดประสงค์ของยัยนี่ หล่อนต้องการให้ฉันโมโห เธอไม่มีวันสมหวังหรอก “นะ..แน่นอน เขาจูบเก่งที่สุด” น้ำหวานถึงกลับพูดตะกุกตะกัก แค่นี้
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ โต้งก็พาฉันมาที่คอนโดของเขาไม่ยอมไปส่งฉันที่บ้าน ซึ่งที่บ้านของฉันเองก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรแล้วตอนนี้ ยิ่งทำให้เขาได้ใจเข้าไปใหญ่“ทำไมไม่ไปส่งมิรินที่บ้าน” ฉันเอ่ยถามขึ้นเมื่อโต้งเดินมาเปิดประตูให้ฉัน“กินข้าวเสร็จใหม่ๆ ก็ต้องออกกำลังกายให้อาหารมันย่อยก่อนสิ” โต้งส่งยิ้มแพรวพราวมาให้“ไม่อยากออกกำลังอ่ะ อยากนอนมากกว่า มิรินง่วง”“ได้นะ ทุกทีก็ให้นอนอยู่แล้วนิ” โต้งยกยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลสนัย ทำให้ฉันต้องก้าวขาออกจากตัวรถแล้วฟาดลงที่ต้นแขนเขาอย่างหมั่นเคี้ยว คนอะไรก็ไม่รู้ ทะลึ่งได้ตลอดเวลาจริงๆ โต้งยืนหัวเราะชอบใจที่ยั่วอารมณ์ทำให้ฉันโมโหได้ในจังหวะที่กำลังจะเดินไปที่ลิฟต์ ฉันก็เห็นน้องชายของตัวเองกำลังอุ้มสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งเข้าไปในลิฟต์ก่อนโดยที่เขาไม่ทันเห็นฉันกับโต้งเลยสักนิด“ไอ้เรซ!!!” จู่ๆ โต้งก็ตะโกนเรียกราเรซเสียงดังลั่น แต่ว่าราเรซไม่ทันได้ยินเพราะประตูลิฟต์ปิดตัวลงก่อนโต้งรีบเดินไปกดปุ่มหน้าลิฟต์อย่างรวดเร็วจนฉันตกใจว่าเขาเป็นอะไรไปทำไมถึงได้ดูอารมณ์ร้อนขนาดนี้ แล้วสาวน้อยน่ารักที่ร
รถยนต์หรูจอดสนิทที่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นตึกคูหาสามชั้น ข้างๆ ตึกนั้นมีสนามฟุตบอลหญ้าเทียมอยู่หลายสนามซึ่งก็ใหญ่โตพอสมควร ฉันลงมายืนอยู่ข้างรถแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาบ้านของโต้ง รู้สึกประหม่าจังแฮะ พ่อแม่ของเขาจะชอบฉันหรือเปล่านะ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นอยู่ในใจ“ป่ะ เข้าบ้านกัน” โต้งเดินมาจับมือฉันแล้วเดินนำเข้าไปยังร้านกาแฟที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึกคูหา“ม๊า” โต้งเอ่ยเรียกหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเช็ดตู้กระจกอยู่“อ้าว โต้ง กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” โต้งเดินเข้าไปสวมกอดแม่ของเขาพร้อมกับหอมแก้มเสียงดังฟอด เวลาอยู่กับแม่นี่ เป็นหมาน้อยเชียวนะ“สาวสวยคนนี้ คือมิรินใช่ไหม” แม่ของโต้งหันมามองฉัน“สวัสดีค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้ท่านทันที“สวยจังเลย มิน่าล่ะ ตาโต้งถึงได้ตามหวงนักหวงหนา ถึงขนาดโทรไปขู่ต้นหลิวให้ส่งบอดี้การ์ดไปค่อยดูแลให้เนะ!” แม่ของโต้งพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย นี่แม่เขารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ ฉันแอบส่งสายตาดุไปให้โต้ง แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านอะไรหรอกแถมยังยิ้มหวานกลับมาให้อีก โต้งยิ้มหวานเหมือนแ
“สวัสดีครับ ผมธนาธร บรรณาลักษณ์ หรือจะเรียกว่า โต้ง ก็ได้ครับ”“คุณธนาธร ยังเด็กอยู่เลยนะครับเนี้ย” มีเสียงหนึ่งจากผู้ร่วมประชุมเอ่ยขึ้น“จะไม่เด็กได้ไง มันยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ” พี่เฟยพูดแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์“จริงเหรอครับ แล้วแบบนี้ คุณจะทำงานได้เหรอ”“ผมยังเรียนไม่จบก็จริงครับ แต่ผมก็สามารถทำงานร่วมกับทุกคนได้ ซึ่งผมก็พิสูจน์ให้ได้เห็นแล้ว ในช่วงสามปีที่ผ่านมา” โต้งหันไปตอบคำถามจากผู้ร่วมประชุม“ยังไงก็...ช่วยเป็นคุณครูสอนวิชาให้ผมเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้ผมเรียนจบ ผมก็ยังต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกเยอะ เพราะในตำรากับชีวิตจริงมันต่างกัน จริงไหมครับ ท่านรองประธาน” โต้งพูดกับผู้ร่วมประชุมด้วยท่าทีสุภาพ และท้ายประโยคนั้นได้หันมาพูดกับแม่เฌอรีน พร้อมรอยยิ้มแม่เฌอรีนถึงกลับพูดไม่ออก ก่อนจะหันมามองหน้าฉันเชิงเป็นคำถามว่า ฉันรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ฉันจึงส่ายหน้าตอบกลับแม่ไปตามความจริง“นี่มันอะไรกันค่ะ คุณพ่อ!!”เมื่อการประชุมจบลง แม่เฌอรีนรีบเดินมาหาคุณตาที่ห้
“ถ้าคิดว่าทำให้ถอยได้ก็ลองดูสิ”“โต้ง อือออ”ใบหน้าคมโน้มลงมาซุกไซร์ซอกคอฉันทันทีพร้อมกับที่มือบางถูกมือหนาตรึงไว้กับเตียงนอนที่ข้างหัว ทำให้ฉันไม่สามารถขัดขืนเขาได้ ใจอยากจะต่อต้านเขาเหลือเกินแต่เรี่ยวแรงกลับมีไม่พอที่จะผลักไสเขาออกไป ร่างกายของฉันถูกมือหนาถอดเสื้อผ้าออกไปทีล่ะชิ้นจนไม่เหลือสิ่งใดปกปิด ทุกส่วนบนร่างกายถูกริมฝีปากหนาครอบครองและทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของไว้ทุกที่ที่ริมฝีปากสัมผัส“คิดถึงโต้งหรือเปล่า หื้อ..” ริมฝีปากหนากระซิบถามพร้อมกับงับเข้ากับติ่งหูอย่างหยอกล้อ“คิดถึง..อืออออ” ฉันถึงกลับครางเสียงแผ่ว เมื่อช่วงล่างถูกนิ้วร้ายล่วงล้ำเข้าไปสร้างความปั่นป่วนอย่างวาบหวิว“อยากกลับมาหาโต้งไหม..อ่า..” ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารินรดอยู่บริเวณดอกบัวคู่งาม ชวนให้ขนกายรุกชันไปทั่วร่าง“อยากสิ... อ๊ะ!!” ช่วงล่างบิดเร่าตามจังหวะจากมือหนา“ยังรักโต้งอยู่ไหม..” ฉันเลือนสายตาขึ้นมาสบเข้ากับตาคมอย่างแน่วแน่“มิรินรักโต้ง...” โต้งยกยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบที่ได้รับ“ขอกินหน่อยนะ” โต้งถอดนิ้วเรียวออกจากส่วนนั้นแล
“จริง ถ้าเธอไม่เชื่อ ถามไลลาดูก็ได้ เพราะตอนที่มิรินบอกกับฉันไลลาก็อยู่ด้วย”ผมหันไปมองหน้าแม่ไลลาที่ผมรักและเคารพท่านเหมือนแม่แท้ๆ ซึ่งเมื่อผมหันหน้าไปหาแม่ไลลา ท่านก็พยักหน้าให้เพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่แม่เฌอรีนพูด ว่ามันคือเรื่องจริง“ทำไมครับ ทำไมมิรินถึงอยากไป” ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี และยังต้องการคำตอบที่มากกว่านี้ ผมยังไม่ปักใจเชื่อ“ฉันขอโทษนะ ที่ผิดคำพูดกับเธอ แต่มันคือความต้องการของมิริน ซึ่งฉันเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ มิรินก็ดื้อดึงไม่ว่าจะทำอย่างไร มิรินก็ไม่ยอมไป แต่ครั้งนี้ มิรินเป็นคนขอไปเอง”“มันเป็นความต้องการของคุณน้าอยู่แล้วนี่ครับ คงจะสมใจแล้วล่ะซิ” ผมจ้องหน้าแม่เฌอรีนตาเขม็งด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“ไอ้โต้ง ใจเย็น” ราเรซเดินเข้ามาจับไหล่ผมไว้ เมื่อผมเผลอก้าวเดินเข้าหาแม่เฌอรีนอย่างลืมตัว“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูดอีกต่อไป”“นั้นก็แล้วแต่เธอ” แม่เฌอรีนตอบกลับมาด้วยใบหน้าและท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านอะไร ท่านคงคิดว่า การที่ส่งมิรินไปไกลผมแบบนั้น คิดว่าผมจะตามไปไม่ได้ล่ะสิ“ผมขอบอก
“แม่ค่ะ”“มิริน”ฉันเดินเข้าไปหาแม่ทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ กับแม่เฌอรีน พร้อมกับสวมกอดแม่อย่างแนบแน่น ฉันเข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจในสิ่งที่แม่พยายามจะบอกฉันแล้ว“เป็นอะไรไปล่ะ หื้อออ” แม่ลูบผมฉันอย่างอ่อนโยน“มิรินขอโทษนะคะ ที่มิรินดื้อกับแม่” ฉันเงยหน้ามองผู้เป็นแม่พร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้ว่า...ลึกๆ แล้วฉันจะเจ็บปวดอยู่ก็ตาม แต่ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้“ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่ไม่เคยโกรธลูกเลย”“มิรินตัดสินใจแล้วค่ะ”“อะไรลูก”“มิรินจะไปเรียนต่อที่ลอนดอน”“จริงเหรอลูก” แม่สวมกอดฉันกลับอย่างดีใจฉันไม่อาจทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขาก็มีคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรออีกต่อไป เรื่องของฉันกับโต้ง มันคงจบแล้วจริงๆ ฉันไม่อาจทนเห็นเขาไปไหนมาไหนกับผู้หญิงคนอื่นได้ เพราะฉันทำใจไม่ได้จริงๆหนึ่งอาทิตย์ต่อมา.... ณ สนามบิน“ทำไมมันเร็วแบบนี้อ่ะแก แล้วฉันจะอยู่ยังไง...” เสียงบัวตองพูดด้วยร้องไห้ไปด้วย ซึ่งด้านหลังของเธอก็มีพี่ยูคอยดูแลไม่ห่าง“
“นี่เธอ...”ผมถึงกลับชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเจอกับแม่เฌอรีนพร้อมทั้งแม่ไลลา ราเรซและมิริน ผมจึงยกมือไหว้แม่ๆ ทั้งสองซึ่งแม่ไลลาเองก็ส่งยิ้มมาให้อย่างใจดีเหมือนอย่างเคย ส่วนแม่เฌอรีนนั้น ไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ มองจิกผมอย่างเอาเรื่องเลยล่ะ ผมนึกว่าพากันกลับไปแล้วซะอีก ซวยแล้วไหมล่ะ ท่านต้องเดาออกแน่ๆ ว่าเมื่อคืนนี้มิรินอยู่กับผมไม่ใช่ราเรซ“เธอพักอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” แม่เฌอรีนมองหน้าผมด้วยสายตาดุร้าว ก่อนจะหันมองหน้ามิรินอย่างจับผิด“ครับ” ผมพยายามซ่อนความตื่นกลัวเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ใครๆ ก็มองว่าหยิ่งนี้“แสดงว่า....”“รอด้วยสิ โต้ง!!” ท่านกำลังจะถามอะไรผมต่อ ก็มีเสียงของต้นหลิวตะโกนขึ้นมาขัดซะก่อน“อุ๊ย!! ขอโทษค่ะ มีแขกอยู่เหรอ” ต้นหลิวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะหันมาถามผมอย่างสงสัย“เปล่าหรอก ไปกันเถอะ” ผมคว้ามือต้นหลิวกำลังจะพาเธอเดินออกจากตรงนี้ แต่ว่า.. ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น ผมก็ต้องชะงักกับคำพูดของแม่เฌอรีน“อยู่กับแฟนนี่เอง”“อ้อ ไม่ชะ....” ต้นหลิวกำลังจะปฏิเสธ ผมจึงพูดขัดขึ้นทันที เพราะถ้าห
โต้ง“จำไว้นะ ไม่มีใครแทนที่มิรินได้”ผมเอ่ยพูดกับร่างบางที่กำลังค่อยๆ หลับตาลงอย่างหมดแรง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี้มิรินจะได้ยินหรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่า ผมได้ทำให้เธอสลบคาอกไปแล้วความจริงยาที่ผมกินเข้าไปไม่ได้รุนแรงอะไรมากหรอก ผมพอจะควบคุมมันได้อยู่ แต่ยัยตัวเล็กนี้สิ ดันมายั่วผมสะงั้น แล้วใครมันจะไปทนได้ล่ะครับ บอกให้กลับบ้านก็ไม่ยอมกลับอีก ก็เลยโดนจัดหนักเข้าให้จริงๆ แล้วคงเป็นเพราะผมคิดถึงมิรินมากกว่า ผมหยุดไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกไหม ไหนๆ ไอ้เพื่อนตัวดีทั้งสามของผมมันก็อุตส่าห์ช่วยขนาดนี้แล้วจะทำให้พวกมันผิดหวังได้ไงผมรู้ทันพวกมันสามตัวดี โดยฉะเพราะบิ๊กไบค์มันรู้ว่าในแก้วเหล้านั้นมียาปลุกเซ็กส์อยู่และที่มันไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกเพราะมันอยากให้ผมกับมิรินได้มีช่วงเวลานี้ด้วยกันบิ๊กไบค์ถึงได้ยุยงให้ผมดื่มแทน เพราะถ้าหากมิรินดื่มเข้าไป เธออาจจะเป็นอันตรายได้ ก็อ่อนแอซะขนาดนั้นน่ะนะ แต่จะอย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณในความฉลาดของไอ้บิ๊กไบค์ เพราะมันผมถึงได้อยู่กับมิรินในคืนนี้ ถ้าหากผมไม่ดื่มสิ่งนั้
“เครื่องดื่มสำหรับสาวสวยครับ” จู่ๆ ก็มีบริกรถือถาดเครื่องดื่มที่มีสีสันน่าทานเอามาเสิร์ฟให้ฉัน“ให้มิรินเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างงงๆ“ใช่ครับ มีโน๊ตมาให้ด้วยครับ” บริกรวางถาดลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปทันที ฉันก้มหน้าลงไปอ่านแผ่นกระดาษโน๊ตที่แปะมาบนถาด“สำหรับคนสวย ถ้าอยากจะขอบคุณ ขอเป็นเบอร์โทรแทนนะครับ” ฉันอ่านออกเสียง ก่อนจะหันหน้าไปหาราเรซด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม“ฝีมือพวกมึงใช่ไหม” โต้งเอ่ยถามราเรซและเลโอ“จะบ้าเหรอ พวกกูก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด” เลโอตอบ“งั้น ไอ้ไบค์สินะ” โต้งพูด“อะไรมึง” แล้วบิ๊กไบค์ก็เดินเข้ามาพอดี“มึงใช่ไหม” โต้งหันไปถามบิ๊กไบค์ บิ๊กไบค์เดินเข้ามาที่โต๊ะก่อนจะโน้มหน้ามามองที่ถาดตรงหน้าฉัน“ไม่ใช่กู” บิ๊กไบค์ตอบพร้อมกับนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม“พวกกูไม่ได้แกล้งมึงหรอกนะ ไอ้โต้ง” ราเรซพูดขึ้นบ้าง“แล้วพี่ควรทำไงเรซ ต้องดื่มมันไหม” ฉันหันไปถามน้องชาย“ไม่ต้องดื่ม” แต่โต้งกลับตอบแทนซะงั้น“เหล้าแก้วนี้แพงอยู่นะ แสดงว่าคนที่สั่งมาให้ ม