ที่ร้านอาหารตามสั่งของเจ๊แตงอีฟและแนนซี่ได้ทยอยขนของลงมาไว้บ้างแล้วเพื่อรอครอบครัวของแนนซี่จะมารับในไม่ช้า
บนโต๊ะอาหารทุกคนนั่งรับประทานอาหารพร้อมสนทนากันไปพลางๆพลันสายตาหลายคู่ต้องหันมองไปทางเดียวกันเพราะรถเบนซ์คันหรูที่ดูคุ้นตาและนานๆจะมีเข้ามาที่อะพาร์ตเมนต์ราคาประหยัดเช่นนี้ซึ่งดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นน่าจะเป็นคันเดียวกันที่เคลื่อนเข้าเมื่ออีฟและแนนซี่จ้องมองไปยังแผ่นป้ายทะเบียนนั้นแล้วก็ตรงเป๊ะและคิดว่า “ต้องใช่!หล่อนแน่ๆ”แต่วันนี้กลับมีสาวสวยสวมแว่นดำเดินออกมาจากรถมันเงาเพียงลำพังไร้เงาชายหนุ่มข้างกาย ลิซซี่ยืนบนรองรองเท้าส้นแหลม คอหันซ้ายหันขวาแล้วสายตาสะดุดเห็นอีฟและแนนซี่นั่งอยู่ที่ร้านอาหารข้างๆหอหล่อนจึงรีบเดินดุ่มๆมาแล้วเอ่ยถาม “อีฟเจอไอวาไหมฉันตามหาเขาอยู่เขาพยายามหลบหน้าหลบตาฉัน”เธอพูดด้วยเสียงที่กระซิกๆคล้ายกับจะร้องไห้ใต้แว่นดำแต่ไร้ซึ่งหยดน้ำตาต่อให้ลิซซี่จะสวยเพอร์เฟกต์แค่ไหนแต่หล่อนก็เป็นคนเอาแต่ใจให้ได้มาซึ่งทุกอย่างตามประสาลูกคนรวยที่ถูกสปอยล์แต่ตอนนี้เสียงของหล่อนที่พูดกับอีฟได้อ่อนปวกเปียกต่างจากเมื่อก่อนเพียงเพื่อต้องการให้ได้สิ่งที่หล่อนต้องการ “ อีฟถ้าไอวามาหาเธอช่วยบอกเขาทีนะว่าฉันรออยู่”หล่อนพูดพลางถอดแว่นดำเพื่อเผยดวงตาที่น่าสงสารให้อีฟเห็นใจแล้วช่วยเธอ “ได้ ลิซซี่ เธอไม่ต้องกังวลหรอกถ้าฉันเจอเขาเดี๋ยวจะบอกให้นะ”เมื่อหล่อนได้ฟังคำตอบที่พอมีหวังก็ใจชื้นรีบพยักหน้ารับคำพูดของอีฟด้วยความพอใจแล้วจึงหันหลังกลับ “โธ่! นึกว่าเรื่องอะไรที่แท้ก็มาตามหาผัวนี่เอง ผัวหล่อนหาย”แนนซี่พูดจบก็เบะปากมองบนตามหลังลิซซี่ที่เดินออกไป หลังจากลิซซี่ออกไปไม่ทันไร เจ๊แตงก็เดินวุ่นไปมาขายของทำอาหารไม่ทันไรรถแวนสีดำก็เลี้ยวเข้ามา “มาแล้วพ่อแม่ฉันมาแล้ว” แนนซี่พูดด้วยความดีใจเมื่อเห็นรถครอบครัวมารับ อีฟมองด้วยนัยน์ตาเศร้าแอบน้อยใจเล็กน้อยในโชคชะตาที่เธอตอนนี้เธอไม่เหลือใครมารับเช่นเมื่อก่อน แต่ก็ยินดีกับแนนซี่ที่มีพร้อม ทุกคนต่างสวัสดีทักทายกับครอบครัวของแนนซี่แล้วช่วยกันขนย้ายข้าวของขึ้นรถจนเสร็จ แล้วช่วงเวลาร่ำลาก็มาถึงอีฟสวมกอดสาวร่างอวบที่ใกล้ชิดมาสี่ปีแต่ตอนนี้ได้เวลาแยกย้าย “อย่าลืมโทรมานะเพื่อน”แนนซี่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เดี๋ยวเราก็เจอกันอีก โทรหาได้ทุกเมื่อ อย่าร้องไห้เป็นเด็กเลย”อีฟต้องแข็งใจ ไม่ให้น้ำตาไหลเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องดีที่ได้ก้าวไปอีกขั้นตามแผนที่แนนซี่ได้วางไว้ แต่ข้างในหัวใจของเธอแล้วเธอกลับเศร้ายิ่งนัก “มาๆ แนนซี่โชคดีนะเจ๊ก็คิดถึงแต่อย่างไรมา กทม.เมื่อไหร่แวะมาหาเจ๊ด้วยนะ” แล้วเจ๊แตงก็เข้ามากอดลาแนนซี่ ทั้งสองยืนโบกมือให้แนนซี่ในรถแวนดำที่ได้เลื่อนกระจกรถลงแล้วยกมือโบกลาในขณะที่ล้อค่อยหมุนออกไป “อีฟ ไปทำงานไหมช่วงบ่าย” เจ๊แตงเอ่ยถามเมื่อเห็นดูอีฟก้มหน้ามือนวดต้นคอ “ไปค่ะ เจ๊แตง” เจ๊แตงเข้ามากอดอีฟเพราะเธอเข้าใจความรู้อีฟดีโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยถามแต่อย่างน้อยการกอดก็คือการได้ปลอบโยนเธอ บนรถไฟฟ้าผู้คนแน่นแต่เธอเหมือนรู้สึกโดดเดี่ยวในเมืองกรุงที่ดิ้นรน บางทีเธอก็รู้สึกเหนื่อยสมองคิดหลายเรื่องระหว่างทางไปทำงานเรื่องงานที่ยื่นข้อเสนอให้กับเธอและนับวันเวลายิ่งกดดันเพราะเธอต้องตัดสินใจด่วนในเวลาที่กำหนด มือถือที่เงียบไร้การตอบกลับของแซม แล้วเธอจะตัดสินใจไปหาเขาอีกครั้งเพื่อคุยถึงเรื่องนี้ “เรื่องงานของเธอ” งานพาร์ตไทม์ที่ทำเสร็จใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงของวันนี้เธอยืนอยู่หน้าร้านขนมหวานอีฟหยิบมือถือพิมพ์ข้อความหาแซมเธอบอกก่อนไปทุกครั้งเลื่อนตาเห็นไอวานั่งอยู่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามทำให้เธอนึกถึง ลิซซี่ ที่ฝากข้อความแต่เธอก็คงไม่เดินเข้าไปหาอย่างแน่นอนและเธอก็ตั้งคำถามในใจว่า “เขามาทำอะไร” อีฟได้มาถึงตามเวลาที่บอกไว้แซมได้เปิดประตูห้องให้อีฟเข้ามาแต่สถานการณ์ระหว่างเขาทั้งสองที่ตึงเครียดทุกอย่างกลับไม่ดีขึ้นเลยเขาอยู่ใกล้กลับยิ่งห่างออกไปความเฉยชาที่สมควรต้องเว้นระยะห่างซึ่งกันและกัน "Could you please leave me alone for a while? I need some concentration."(เธอปล่อย ให้ฉันอยู่ ลำพังก่อนได้ไหมฉันต้องการสมาธิ) "Is this money enough for you?"(เงินนี้พอสำหรับคุณไหม) อีฟมองเงินที่แซมยื่นให้นัยน์ตามีน้ำใสคลอพลางส่ายหัวแล้วน้ำเสียงสั่นเครือก็พูดมันออกมาด้วยอารมณ์และหัวใจทั้งหมดที่รู้สึกได้ ณ ตอนนั้น"Is this how it is, Sam? Fine.”(เอาแบบนี้เลย ใช่ไหมแซม? ได้เลย) เธอจ้องแซมด้วยอารมณ์จริงจังและไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้น้ำใสที่คลอนัยน์ตาก็ไหลหยด “Keep your money. Let what we had remain only a memory. Sometimes, money is necessary when we need it, but not all feelings can be bought. Keep those feelings and remember always that money can't buy everything. And remember me just like this, now and forever.”(เก็บเงินของคุณซะเรื่องระหว่างเราเก็บมันไว้เพียงความทรงจำ บางครั้งเงินก็จำเป็นเมื่อเราต้องการ แต่บางความรู้สึกทั้งหมดของเราให้เก็บมันไว้และจดจำไว้ตลอดนะ ว่า เงินซื้อไม่ได้ และให้จำฉันเอาไว้แบบนี้และตลอดไป) แซมยืนอึ้งในคำพูดทั้งหมด ใน ความคิดที่รู้สึกผิดว่าเขาทำอะไรลงไป มองอีฟหุนหันพลันแล่นเดินออกไปจากห้อง ที่มืดมน อีฟเสียใจแม้ว่าเธอกับเขาจะเจอกันในสถานที่ไม่ควรจะเจอ แล้วไง เธอก็คือคนที่มีหัวใจ ไม่มีใครเพอร์เฟกต์ไปทุกอย่างบางช่วงชีวิตที่สับสนและต้องดิ้นรน แล้วไงล่ะ ..เพราะเธอแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ต้องอยู่รอดในเมืองกรุงเพื่อสานฝันและเป้าหมายให้สำเร็จนั่นคือใบปริญญาที่ครอบครัวเฝ้ารอเพื่อเชิดหน้าให้วงศ์ตระกูล เธอคิดไปพลางน้ำตาไหลอาบสองแก้มบนถนนทางเดิมที่เคยมาที่คอนโดใจกลางเมืองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องของแซมอาจเพราะด้วยความกดดันของทั้งสองที่ต้องการเพียงระยะห่างเท่านั้นและอีฟก็แค่ตั้งใจจะไปปรึกษาเรื่องงานของเธอกับแซม ยังไม่ทันได้ปริปากพูดถึงมันเลยกลับต้องจบลงแบบนี้จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างแต่บทสุดท้ายคือตอนนี้เธอเศร้าใจนัก และคำปลอบใจที่พูดกับตัวเองก็มีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องมูฟออน เมื่อถึงห้องเธอก็ไม่รอช้าคว้าโน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิดแล้วตอบกลับอีเมลงานที่รอคำตอบจากเธอมาหลายวันแล้วด้วยใจที่แน่วแน่มั่นใจและพร้อมเดินทางในวันถัดไปโดยไม่จำเป็นต้องรีรอ วันต่อมา… บางครั้งโชคชะตาก็พลิกผันรวดเร็วเกินตั้งตัวให้เราเดินตามทางที่ถูกกำหนดมาตามเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้เธอได้เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆแพ็กลงกล่องเพื่อจัดการส่งให้กับบริษัทขนส่งที่กำลังจะมารับ หนังสือที่ตั้งวางอยู่ด้านหน้ามือหยิบลงใส่กล่องกระดาษสี่เหลี่ยมที่เตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับหนังสือเล่มโปรดของเธอแต่แล้วดวงตาต้องสะดุดกับสมุดบันทึกรักที่เคยจดบันทึกไว้เธอหยิบขึ้นมาแล้วเพ่งมองชวนให้นึกถึงและคิดว่าจะเปิดดูและอ่านอีกรอบแต่แล้วทันใดนั้นเสียงประตูหน้าห้องก็ดังแทรก ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ใครคะ?” “แม่บ้านจ้า” เธอตั
“เก็บตังค์ด้วยค่ะป้า”อีฟสวมเสื้อเชิ้ตขาวแขนสั้นติดกระดุมชายเสื้อปล่อยนอกกระโปรงพลีทจีบเล็กยาวเหนือเข่าเล็กน้อยนั่งทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงข้ามหน้าทางเข้าไนต์คลับแห่งหนึ่งตะโกนเรียกแม่ค้า มือล้วงใบแดงสุดท้ายที่มีติดตัว ยื่นจ่ายค่าอาหารเย็นก่อนเข้าทำงาน วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์แต่เป็นวันแรกของการทำงาน มือหิ้วถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าที่เตรียมไว้พร้อมเปลี่ยนเวลาพึ่งจะหัวค่ำแต่ต้องไปให้ทันตามเวลานัด เธอก้าวเข้าไนต์คลับแห่งหนึ่งด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง ว่า “คืนนี้เธอต้องรอด”อีฟเป็นนักศึกษาปริญญาตรีภาคเรียนสุดท้ายที่กำลังหาเงินใช้จ่ายเพื่อดำรงชีพใน กทม.ในช่วงท้ายก่อนจบการศึกษา เพราะครอบครัวที่เคยส่งเสียต้องจากไปอย่างกะทันหัน“อีฟ” เสียงเรียกของเจ๊แตงผู้จัดการร้านและเป็นคนแนะนำอีฟเข้าทำงานพาร์ตไทม์ยืนเท้าสะเอวรออีฟหน้าประตูทางเข้า“เดี๋ยวเจ๊พาเข้าห้องแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยจ้า”เจ๊แตงเป็นสาวสองเป็นผู้จัดการไนต์คลับแห่งนี้ซึ่งอาศัยอยู่อะพาร์ตเมนต์เดียวกัน อีฟรู้จักมักจี่กับเจ๊แตงเพราะเแกเปิดร้านตามสั่งข้างหอที่อีฟทานเป็นประจำ กลางวันแกก็เป็นแม่ค้าตกกลางคืนก็เป็นผู้จัดการไนต์คลับแห่งนี้อยู่ใจก
คืนวันศุกร์ที่สู้ชีวิตของอีฟได้ผ่านไป..จนถึงสายของวันเสาร์ร่างเพลียยังนอนนิ่งในห้องแคบ ๆบนอะพาร์ตเมนต์ เสียงเคาะประตูห้องดังก้องขึ้นปลุกเธอให้ตื่นเกือบทุกวันเวลาเดิมก๊อก ก๊อก ก๊อกก๊อก ก๊อก ก๊อก“อีฟ” แนนซี่ส่งเสียงเรียก แนนซี่คือเพื่อนสนิทเรียนด้วยกันเป็นเด็กต่างจังหวัดลูกสาวเจ้าของสวนยางเช่าห้องบนอะพาร์ตเมนต์เดียวกับเธอ“อีฟ ตื่นเร็วข่าวด่วนๆ”“จ้าแนนซี่” อีฟลืมตาที่ยังงัวเงียออกไปเปิดประตูหรี่ตาจากแสงที่สาด มองแนนซี่ที่ทำตาโตราวกับมีเรื่องใหญ่โต“มีอะไรเหรอ แนนซี่”“เนี่ยแฟนเก่าเธอ ไอวา มากับยัยลิซซี่ขับเบนซ์มาอยู่ลานจอดรถ” เมื่อได้ยินที่แนนซี่พูด อีฟสร่างขึ้นมาทันที ปรี่ออกไปตรงระเบียงห้องด้านหน้าทางเดินอะพาร์ตเมนต์เห็นได้ชัดจากชั้น2 ไอวาแฟนเก่าที่เรียนรั้วมหาลัยเดียวกันควงมากับ ลิซซี่สาวสวยห้องเรียนเดียวกับเธอซึ่งเป็นดาวคณะ กำลังตรงเข้าอะพาร์ตเมนต์อีฟที่ยังอยู่ในชุดนอนผมเผ้ากระเซิงกลิ่นเหล้าโชยอ่อนๆ ยืนอึ้งอยู่หน้าห้องเมื่อเห็น เขาทั้งสองมาด้วยกันเดินตรงมาที่ห้องเธอ“อีฟ เรามาเก็บของที่ฝากไว้อะ ขอเข้าห้องไปเก็บได้ไหม” ไอวาหนุ่มหล่อหน้าคมเข้มมาดแบดบอยเคยคบหาไปมาหาสู่กับอีฟได้ส
ทุ่มตรงรถแท็กซี่เทียบจอดหน้าทางเข้าไนต์คลับเจ๊แตงเปิดประตูก้าวลงจากรถด้วยชุดอลังการในเดรสขนนกสีแดงปักเลื่อมเงาวับยืนบนรองเท้าส้นแหลมมือขวาถือพัดญี่ปุ่นเครื่องรางนำโชคสะบัดให้ลมพัดเข้าที่ใบหน้าเพื่อกันรองพื้นที่หนามันเยิ้มก่อนเริ่มงาน เดินมาพร้อมกับอีฟร่างเล็กเพรียวในชุดเดรสเกาะอกสั้นโชว์ขาเนียนเรียวดูแล้วก็สวยตามสไตล์งานปาร์ตี้คืนนี้ลูกโป่งหลากสีประดับเต็มร้านตั้งแต่ทางเข้าหน้าประตู เวลาก็เริ่มเปิดให้ลูกค้าได้จับจองที่นั่งเพื่อชมคอนเสิร์ตของนักร้องดังที่ทางร้านได้เชิญมาแสดงมาบนเวที อีฟเดินเข้าไปเตรียมตัวด้านหลังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมมาเช่นเดิม เธอมองหน้าตัวเองผ่านกระจกยาวเต็มตัวแล้วพูด กับตัวเองว่า “สู้ๆ.”“ขยับไปหน่อยสิ” น้ำเสียงแหลมฟังแล้วไม่ค่อยรื่นหูเท่าไรนักใบหน้าที่ไม่เป็นมิตรของหญิงสาวร่างสูงหนาผิวคล้ำดันร่างผอมบางของอีฟจนเซเพื่อตัวเองได้เชิดส่องใบหน้าที่หยิ่งผยองของหล่อน หล่อนชื่อเจนด้วยการที่อีฟเป็นเด็กใหม่ก็ไม่ได้โต้ตอบใดๆ เธอเก็บอาการไว้แต่มองเจนด้วยสายตาแข็งทื่ออย่างไม่พอใจเช่นกัน“อ้าวเร็วๆ สาวๆ แต่งตัวให้ไวหน่อยจ้า งานกำลังจะเริ่มแล้ว” เจ๊แตงยืนเปล่งเสียงอยู่หน้า
แสงไฟนีออนส่องใบหน้าแดงอ่อนเพราะฤทธิ์สุรา นัยน์ตาสีฟ้าจมูกโด่งเป็นสันยกยิ้มพลางปากขยับ“Hi” (สวัสดี ครับ)ใบหน้าเรียวส่งยิ้มหวานให้หนุ่มตาน้ำข้าวแล้วเชิญเขานั่งลงข้างเธอ เขาไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลอะไรมากมายที่มาสายมีเพียงเสียงที่ละมุนที่เอ่ย ว่า“Sorry I’m late” (ขอโทษที่ผมมาสาย)“That’s alright, ไม่เป็นไรค่ะ” .. บนโต๊ะอาหารทุกคนร่วมทานอาหารด้วยกันพลางสนทนาสัพเพเหระด้วยภาษาอังกฤษที่อาจจะไม่ถูกแกรมม่าบ้างแต่แซมก็เข้าใจได้ดีราตรีแห่งคืนสังสรรค์ของคืนนี้ใกล้เลิก.. รถที่เบาบาง ร้านค้าบางร้านก็เตรียมจะปิด นักเที่ยวบางกลุ่มก็กำลังจะกลับ เจ๊แตงได้เดินนำหน้าไปหลายก้าวเพื่อไปเรียกแท็กซี่ที่ปากทางหนุ่มสูงยาวกับสาวร่างเพรียวเดินคู่บนไหล่ทางพูดคุยสานสัมพันธ์ที่เริ่มสนิทพลันสายตาแซมชำเลืองมองเด็กหนุ่มยืนเรียกลูกค้าอยู่ริมทางที่ดังชัดเจน เขาก้าวยาวเข้าไปหาหนุ่มน้อยคนนี้ทันที หมุนตัวกลับมาพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่ที่เหมาจากเด็กหนุ่มผู้โชคดีหอบมาด้วยสายตามันวาวส่งดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ให้อีฟ “Happy valentine day”แซมพูดด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหล“Can I see you again tomorrow?” (ผมสามารถเจอคุณพรุ่งนี้อีกได้ไหม)“S
ยามสายของวันจันทร์ในรั้วมหาลัยแห่งหนึ่งในห้องสี่เหลี่ยม อีฟนั่งหลังงอมือซ้ายเท้าคางสายตาของเธอมองดูก้อนเมฆสีเทาเกาะกลุ่มอยู่ด้านนอกหน้าต่างกระจกพลางนิ้วยาวจับปากกาค้างไว้ แนนซี่ชำเลืองมองด้วยความสงสัย ดูอีฟไม่มีสมาธิและตั้งใจฟังการบรรยายของอาจารย์ที่ถือไมค์อยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดเลย ... จนจบชั่วโมงเรียน“เป็นไรป้าว อีฟ” แนนซี่เอ่ยถาม ขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมลุกออกจากห้อง“เปล่า แนนซี่” อีฟตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย…“ได้ข่าว ว่าใครบางคนแถวนี้หมดตัวออกไปรับจ๊อบกลางคืนดึกๆ ดื่นๆ สงสัยไปเป็นหญิงบำเรอ จนแฟนเก่าทนไม่ไหวต้องไปหาหญิงดีที่เพียบพร้อมอย่างลิซซี่”เสียงนินทาดังมาจากกลุ่มเพื่อนของลิซซี่ที่อยู่ห่างไปแค่ไม่กี่ก้าวพลางชายตามาที่อีฟตั้งใจให้อีฟและแนนซี่ได้ยินทำให้เข้าใจได้ชัดเจนว่ากำลังสื่อถึงใครคำพูดเหล่านั้นไม่เข้าหูของแนนซี่ยิ่งนัก สาวพลัสไซซ์หันมองด้วยสายตาไม่พอใจเมื่อได้ยิน ยกแขนเสื้อขึ้นเหนือไหล่เตรียมจะเดินไปหากลุ่มปากหมาพวกนั้นอีฟเห็นท่าทีของเพื่อนจึงรีบลุกจากเก้าอี้ไปฉุดแขนออกจากห้อง“ไปเถอะแนนซี่”“เธอจะดึงฉันทำไม ปล่อยให้มันว่าเธอทำไม”“เอาน่า ไม่เป็นไรเพื่อน ไม่กี่เดือนก็ไม่
อีฟจับมือแซมก้าวเท้ายาวให้ถึงร้านสะดวกซื้อที่ตั้งห่างไปประมาณ 500เมตรรีบเร่งไปให้ทันเพราะท้องฟ้าที่ได้ส่งสัญญาณเตือนแล้วเมื่อครู่ว่าจะเทฝนลงมาตี๊.. ตูด.. ประตูอัตโนมัติเลื่อนออกมือเล็กคว้าตะกร้าหยิบเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์สองสามกระป๋องแค่พอได้ล้างปากจากอาหารเย็น.. เพียงแป๊บเดียวฟ้าที่คำรามก็กระหน่ำสายฝนลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งสองเอียงหน้ามองกันในใจที่คิดตรงกัน ว่า “สายไปแล้ว เราได้ติดฝนอยู่ตรงนี้ ต้องทำใจยืนรอให้ฝนเบาลง”พลางจิบเบียร์ไปเรื่อยๆ จนเกือบหมดกระป๋องอีฟเงยหน้า พูดกับแซม“Sam, I think this time is it.” (แซม ฉันคิดว่า เวลานี้แหละ)“Let's go"(เราไปกันเลยนะ)" Okay" แซมพยักหน้ารับแล้วกระดกเบียร์ที่เหลือให้หมด สองมือประสานแน่นแล้ววิ่งฝ่าสายฝนกลับ…..“เจ๊แตงและแนนซี่ละพี่แมน” อีฟเอ่ยถามแฟนของเจ๊แตงที่กำลังยุ่งกับการเก็บร้าน ทันทีเมื่อมาถึงโต๊ะทานข้าวเห็นแต่จานอาหารช้อนซ้อมวางไว้“แนนซี่กลับขึ้นห้องบอกว่า ปวดท้องจะขึ้นไปเข้าห้องน้ำและไปเก็บผ้าที่ตากไว้ด้วย”“แตง ไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน”“ อ่อ..ค่ะ”“นั่งก่อนได้นะ อีฟ” พี่แมนเอ่ยชวนพลางเก็บโต๊ะและเก้าอี้ที่เหลือเข้าที่“ไม่เป็น
เปรี้ยง เปรี้ยง! “อีฟ ตื่นเร็ว สายแล้ว” แนนซี่เปล่งเสียงเรียกพลางกำมือกระแทกประตูอยู่หน้าห้องเปรี้ยง เปรี้ยง ! " อีฟ ! " เสียงดังลั่นทั่วอะพาร์ตเมนต์จนข้างห้องต้องเปิดประตูออกมาดู " เบาๆหน่อยน้อง คนกำลังหลับนอน จะทุบประตูแหกปากลั่นทำไมเกรงใจชาวบ้านบ้าง " หญิงวัยกลางคนในชุดนอนผ้ามันผมม้วนเป็นลอนใบหน้าดูราวยังไม่ได้นอนเพราะเครื่องสำอางบนใบหน้าของนางยังแน่น พูดด้วยน้ำเสียงฟัดเหวี่ยง จนแนนซี่ทำหน้าแหยๆ กล่าวคำขอโทษ ให้หล่อนได้พอใจ“ตื่นแล้ว แนนซี่” แล้วอีฟก็ขานรับเสียงเรียกดังของแนนซี่พลางหันมองมือถือบนหัวเตียงที่ไม่ดังเตือนเช่นทุกวันพลันนึกได้ ว่า ลืมตั้งนาฬิกาปลุกรู้เลยทันทีว่าสายแล้วเธอรีบเด้งตัวออกจากเตียง“รอฉันด้วย แนนซี่” รีบเร่งจัดการแต่งตัว......สองสาวต่างไซซ์หน้าตาตื่นก้าวยาวเข้าห้องเรียนแทรกตัวลงนั่งตรงที่ว่าง ขณะที่อาจารย์กำลังถือไมค์บรรยายอยู่หน้ากระดาน“อีฟ” เสียงของอาจารย์หญิงวัยกลางคนสวมแว่นหนาเตอะ ขานชื่อของเธอที่ยังนั่งหลุกหลิกจัดท่าเพราะพึ่งมาถึง“อธิบายถึงหัวข้อที่อาจารย์พึ่งบรรยายไปให้กระจ่างหน่อย”อีฟเงยหน้าขึ้นตามเสียงที่กังวานดวงตาจ้องบนกระดานด้วยใบหน้างุนงงอ้ำอ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องของแซมอาจเพราะด้วยความกดดันของทั้งสองที่ต้องการเพียงระยะห่างเท่านั้นและอีฟก็แค่ตั้งใจจะไปปรึกษาเรื่องงานของเธอกับแซม ยังไม่ทันได้ปริปากพูดถึงมันเลยกลับต้องจบลงแบบนี้จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างแต่บทสุดท้ายคือตอนนี้เธอเศร้าใจนัก และคำปลอบใจที่พูดกับตัวเองก็มีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องมูฟออน เมื่อถึงห้องเธอก็ไม่รอช้าคว้าโน้ตบุ๊กขึ้นมาเปิดแล้วตอบกลับอีเมลงานที่รอคำตอบจากเธอมาหลายวันแล้วด้วยใจที่แน่วแน่มั่นใจและพร้อมเดินทางในวันถัดไปโดยไม่จำเป็นต้องรีรอ วันต่อมา… บางครั้งโชคชะตาก็พลิกผันรวดเร็วเกินตั้งตัวให้เราเดินตามทางที่ถูกกำหนดมาตามเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้เธอได้เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างๆแพ็กลงกล่องเพื่อจัดการส่งให้กับบริษัทขนส่งที่กำลังจะมารับ หนังสือที่ตั้งวางอยู่ด้านหน้ามือหยิบลงใส่กล่องกระดาษสี่เหลี่ยมที่เตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับหนังสือเล่มโปรดของเธอแต่แล้วดวงตาต้องสะดุดกับสมุดบันทึกรักที่เคยจดบันทึกไว้เธอหยิบขึ้นมาแล้วเพ่งมองชวนให้นึกถึงและคิดว่าจะเปิดดูและอ่านอีกรอบแต่แล้วทันใดนั้นเสียงประตูหน้าห้องก็ดังแทรก ก๊อก ก๊อก ก๊อก “ใครคะ?” “แม่บ้านจ้า” เธอตั
ที่ร้านอาหารตามสั่งของเจ๊แตงอีฟและแนนซี่ได้ทยอยขนของลงมาไว้บ้างแล้วเพื่อรอครอบครัวของแนนซี่จะมารับในไม่ช้า บนโต๊ะอาหารทุกคนนั่งรับประทานอาหารพร้อมสนทนากันไปพลางๆพลันสายตาหลายคู่ต้องหันมองไปทางเดียวกันเพราะรถเบนซ์คันหรูที่ดูคุ้นตาและนานๆจะมีเข้ามาที่อะพาร์ตเมนต์ราคาประหยัดเช่นนี้ซึ่งดูคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นน่าจะเป็นคันเดียวกันที่เคลื่อนเข้าเมื่ออีฟและแนนซี่จ้องมองไปยังแผ่นป้ายทะเบียนนั้นแล้วก็ตรงเป๊ะและคิดว่า “ต้องใช่!หล่อนแน่ๆ”แต่วันนี้กลับมีสาวสวยสวมแว่นดำเดินออกมาจากรถมันเงาเพียงลำพังไร้เงาชายหนุ่มข้างกาย ลิซซี่ยืนบนรองรองเท้าส้นแหลม คอหันซ้ายหันขวาแล้วสายตาสะดุดเห็นอีฟและแนนซี่นั่งอยู่ที่ร้านอาหารข้างๆหอหล่อนจึงรีบเดินดุ่มๆมาแล้วเอ่ยถาม “อีฟเจอไอวาไหมฉันตามหาเขาอยู่เขาพยายามหลบหน้าหลบตาฉัน”เธอพูดด้วยเสียงที่กระซิกๆคล้ายกับจะร้องไห้ใต้แว่นดำแต่ไร้ซึ่งหยดน้ำตาต่อให้ลิซซี่จะสวยเพอร์เฟกต์แค่ไหนแต่หล่อนก็เป็นคนเอาแต่ใจให้ได้มาซึ่งทุกอย่างตามประสาลูกคนรวยที่ถูกสปอยล์แต่ตอนนี้เสียงของหล่อนที่พูดกับอีฟได้อ่อนปวกเปียกต่างจากเมื่อก่อนเพียงเพื่อต้องการให้ได้สิ่งที่หล่อนต
ในห้องสี่เหลี่ยมที่บรรยากาศอึมครึมเพราะชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นและจริงจังตอนนี้เขาได้เก็บตัวปิดประตูสังคมนั่งหน้าดำคร่ำเครียดปล่อยหนวดเครายาวสมองหมกมุ่นหนักกับงานที่ไม่ลงตัว แม้แต่อีฟคนที่กำลังคบหาเขาก็ไม่ได้สนใจตอบข้อความของเธออย่างเช่นเคยเพราะตอนนี้เขาแทบจะถวายชีวิตให้กับงานเลยก็ว่าได้ สามารถยอมแลกได้ทุกอย่างให้ได้มาซึ่งความสำเร็จแต่เขาอยากระบายออกมาบ้างในบางครั้งแล้วเสียงของชายหนุ่มได้ตะโกนลั่นปลดปล่อยอารมณ์ความเครียดจากสมองพลางมือขยำกระดาษเป็นก้อนแล้วปามันติดกำแพงผนัง..ที่อะพาร์ตเมนต์ในที่พักอาศัยของอีฟและแนนซี่ ตอนนี้ทั้งสองกำลังยุ่งกับการเก็บข้าวของ แนนซี่มองดูรูปถ่ายที่ถืออยู่ในมือเป็นภาพของเธอกับอีฟในชุดนักศึกษาสมัยปีหนึ่งที่ถ่ายคู่กันด้วยความสนิทสนมด้วยความปลาบปลื้มที่มีเพื่อนดีๆเช่น อีฟ แล้วเก็บใส่กล่องสี่เหลี่ยมส่วนตัวของเธอ ข้าวของเครื่องใช้ที่แพ็กไว้เรียบร้อยพร้อมขนย้ายเพื่อเตรียมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดอย่างถาวร ในขณะที่อีฟมือแพ็กกล่องสลับหยิบมือถือขึ้นมาดูเป็นระยะๆเพื่อเช็กข้อความแซมที่จะตอบกลับเธอ“มีอะไรหรือเปล่าอีฟ เช็กมือถือตลอดเลย”แนนซี่เอ่ยถามเมื่อสังเกตว่าอีฟพะวงดูมื
หนึ่งเดือนผ่านไปเช้าของวันที่อากาศสดใสปลอดโปร่งในรั้วมหาวิทยาลัยที่ สองสาวใช้เวลาหลายปีในการร่ำเรียนและมีความผูกพันกับสถานที่เรียนแห่งนี้ก็มาถึงช่วงท้ายสุดของชีวิตนักศึกษา นักศึกษามากมายหลายคนต่างยื่นหน้าจ้องบนกระดาษที่แปะไว้ที่บอร์ดของคณะพลางนิ้วไล่เช็กรหัสของตัวเอง “อีฟฉันผ่านแล้ว”แนนซี่กระโดดกอดอีฟด้วยความดีใจเมื่อเห็นรหัสประจำตัวและชื่อของตัวเองติดอยู่ว่าสอบได้และอีฟยิ้มอย่างภูมิใจที่ทำสำเร็จเมื่อเห็นชื่อของเธอว่าสอบผ่านด้วยเช่นกันและตัวเธอเองจะไม่โอเคแน่ๆถ้าต้องเสียเวลาสอบใหม่อีกรอบเพราะฐานะการเงินที่ฝืดเคืองไม่สามารถประคองชีวิตต่อไปได้อีกหลายเดือนหากยังไม่มีงานประจำทำแล้ววันนี้เธอก็ทำสำเร็จซึ่งเธอก็ภูมิใจกับตัวเองอยู่ไม่น้อย สองสาวที่แพลนเอาไว้เป็นเดือนแล้วว่าจะรวบรวมเงินกันจัดงานฉลองเล็กๆกันที่ร้านข้างหอถ้าสอบผ่านและสำเร็จทั้งสองคน “แนนซี่ เดี๋ยวเจอกันที่ร้านเจ๊แตงนะเราต้องเฉลิมฉลองกันตามที่เราได้สัญญากันไว้แต่ตอนนี้ฉันต้องรีบไปก่อนนะเพื่อนมีนัดกับแซมไว้เจอกันเย็นนี้นะ ” อีฟพูดพลางก้าวถอยหลังเดินออกไปด้วยใบหน้าที่แจ่มใสและเธอก็ยิ้มไม่หุบระหว่างการเดินทางไปหาชายหนุ่มที่คบแล
เวลา10โมงเช้าบรรยากาศในห้องสอบที่เงียบทุกคนต่างเพ่งตาทำข้อสอบอีฟใบหน้าผ่อนคลายอย่างมีสมาธิเธอรู้สึกดีใจที่ถึงวันนี้เสียทีเพราะเท่ากับว่าเธอได้นับเวลาถอยหลังถึงเส้นชัยแม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาอันรวดเร็วเธอจะผ่านประสบการณ์ทำงานที่แปลกใหม่ในชีวิตจนได้พบกับใครบางคนที่ชะตาฟ้าลิขิตให้มาเจอ พอถึงช่วงเวลาบ่ายหลังจากสอบเสร็จอีฟกับแนนซี่กำลังนั่งเม้าท์กันตามประสาเพื่อนสนิทใต้ต้นไม้ใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัยแต่ทั้งสองต้องเหลียวมองตามเสียงผู้หญิงที่กำลังพูดไฟแลบด้วยท่าทางฟึดฟัดอย่างไม่พอใจและนั่นคือ ไอวาและลิซซี่กำลังทะเลาะกัน “สองคนนั้นเขาทะเลาะอะไรกัน” “ฉันว่าสงสัยเจอฤทธิ์หนุ่มแบดบอยเข้าให้ไอวาก็คงทำนิสัยเดิมๆ เจ้าชู้ไปทั่วแหงๆ แต่ว่าสองคนนั้นคบกันแป๊บเดียวเองนะไม่ทันไรก็เผยสันดานออกมาละ สมน้ำหน้า จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไรยัยลิซซี่ที่ขี้เหวี่ยงขึ้วีนขนาดนั้น กับคาสโนว่าตัวพ่อ”แนนซี่พูดรัวชุดใหญ่ แต่อีฟเมื่อได้ฟังก็รู้สึกเฉยๆเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วอีฟก็มองดูเวลาเพราะเธอได้เวลาต้องไปเปลี่ยนกะที่ร้านขนมหวานกลางเมือง“แนนซี่ ฉันจะต้องไปทำงานต่อที่ร้านขนมเดี๋ยวเจอกันตอนเย็นที่ห้องนะ ” “ได้สิ แล้วเจอกัน” แน
หลังจากเจ๊แตงได้จัดการติดต่อหางานพาร์ตไทม์ช่วยอีฟให้ได้ทำงานแล้ว วันนี้ก็เป็นวันแรกของการทำงานพาร์ตไทม์ในร้านขนมหวานซึ่งใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ผมยาวถักเปียเรียงซ้อนงามเป็นระเบียบ สาวหุ่นเพรียวในเสื้อยืดสีดำชายเสื้อเข้าในกระโปรงยีนสั้นบนรองเท้าผ้าใบสีขาวคลุมด้วยผ้ากันเปื้อนเดินจัดเสิร์ฟขนมหวานและเครื่องดื่มน้ำผลไม้ให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการซึ่งทั้งร้านมีพนักงานสองสามคนสลับกันเข้าออกเป็นกะ เพื่อนร่วมงานที่เป็นมิตรอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอและอีฟเองก็พึงพอใจกับงานที่ทำและในวันแรกเธอไม่ได้กดดันหรืออึดอัดอะไรเลยดูแล้วงานนี้ก็เหมาะกับเธอด้วยซ้ำแม้รายได้เพียงเป็นค่าอาหารและค่าเดินทางในแต่ละวันซึ่งก็เพียงพอสำหรับเธอในช่วงนี้และใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงก็เสร็จงานของเธอในวันนี้เย็นนี้เธอได้นัดกับแซมไว้ให้มาเจอกันที่หน้าร้านขนมหวานหลังจากเธอเสร็จงาน อีฟยืนก้มหน้าพิมพ์ข้อความบนมือถือถึงชายหนุ่มที่นัดแล้วเขาก็มาตรงเวลาเป๊ะ“Hi,sam” ทั้งสองสวมกอดทักทายด้วยความคิดถึง “Shall we go? ” (เราไปกันเลยไหม) แซมตั้งใจไว้ว่าจะแวะดูคอมพิวเตอร์เพื่อไว้ใช้สำหรับธุรกิจของเขาที่กำลังจะเปิดเร็วๆนี้แต่นั่น
“Sam,Can you stop the car for a moment?” (แซมหยุดรถสักครู่ได้ไหม)อีฟพูดขึ้นในขณะที่แซมกำลังขับรถตรงไปยังจุดอื่นระหว่างทางหลังจากที่ได้รับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเพราะเธอได้ มองเห็นกลุ่มช้างที่น่ารักซึ่งเป็นสัตว์ที่เธอชอบเป็นพิเศษและขวานช้างรอให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสและใกล้ชิดที่หน้ารีสอร์ต แซมชำเลืองมองกลุ่มช้างนั้นแล้วเขาก็ได้เลี้ยวหยุดรถชิดขอบทาง อีฟยกกล้องมือถือถ่ายรูป ซื้ออาหารให้ช้างเหล่านั้นพลางมือลูบคลำงวงช้างที่แสนเชื่อง เขามองเธอที่มีความสุข ในห้วงเวลานั้น พลางมือกดรัวชัตเตอร์บนกล้องที่คล้องมา สองมือประสานแน่นเธอเอียงศีรษะพิงไหล่กว้าง มองฟ้าสีคราม ในหัวใจนึก อยากหยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ แซมเอียงหน้าจูบบนหน้าผากเธอเบาๆ มือซ้ายขยับกอด เพื่อบ่งบอกว่า เขาอยู่ข้างเธอไม่ต้องกังวล แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ซึ่งคือความจริงที่ต้องดำเนินไปแล้วทั้งสองก็ขึ้นมาถึงจุดสูงของภูเขาเพื่ออำลาผืนป่าก่อนกลับไปใช้ ชีวิตในเมืองกรุง มีเพียงสายตาและรอยยิ้มที่มองกันด้วยความลึกซึ้งยืนคู่ชิดโดดเด่นมองท้องฟ้าที่กว้างไกลป่าสีเขียวสุดลูกตา พวกเขาจะบันทึกไว้ในความทรงจำไว้ว่าที่ตรงนี้บนเขาใหญ่เป็นพยานแ
11.00am ณ ที่สถานีขนส่งแห่งหนึ่งซึ่งเป็นประตูสู่ภาคอีสาน มีผู้คนพลุกพล่านเข้าออกขึ้นลง อีฟและแซมก้าวลงจากรถทัวร์สะพายเป้ใบตุง เดินมองหาผู้ให้บริการรถเช่าที่แซมได้จองไว้ทางอินเทอร์เน็ต“Sam I think that man” (แซม ฉันคิดว่าผู้ชายคนนั้นนะ) เธอพูดพลางนิ้วชี้ให้เขาดูชายวัยกลางคนยืนยิ้มกว้างหน้ารถออฟโรดสีดำซึ่งมองดูแล้วก็ตรงตามรูปบนใบจองที่เธอถืออยู่ในมือเส้นทางที่มุ่งสู่จุดหมายบนถนนลาดยางแหวกป่าเขาลำเนาไพรแซมขับรถสองที่นั่งสี่ล้อยกสูงไปอย่างช้าๆ ตาเลื่อนสลับไปมาแลมองแผนที่บนมือถือเป็นระยะๆ กระจกรถเลื่อนลงสุดคางของอีฟวางลงบนขอบกระจกให้ใบหน้ารับลมสูดอากาศที่บริสุทธิ์ ผ่านหุบเขาทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง ชายหนุ่มผู้สายตายาวไกลเลี้ยวจอดรถริมขอบทาง ดวงตามุ่งมั่นก้าวลงค่อยๆย่องเท้าฝ่าดงหญ้า พลางมือยกกล้องที่คล้องไว้บนคอ มือนิ่งตาเล็งเป้าโฟกัสแล้วซูมไปที่กวางป่าเขายาวกำลังกินหญ้าอย่างสำราญ แซมรอจังหวะกวางเขายาวสง่าเงยหัวขึ้น เขาอธิษฐาน อยู่ในใจ “อย่าขยับนะ ได้โปรด ๆ อยู่นิ่งๆ” ..แสงแดดย่ามบ่ายแก่ๆ สาดแสงหญ้าเหลืองทองอร่าม กวางหนุ่มผู้มีเขายาวคล้ายกิ่งไม้เงยหัวเผยดวงตาที่น่าเอ็นดู นิ้วเขารีบกดชัตเตอร์ร
เสียงนกเจื้อยแจ้วบ่งบอกว่าเป็นรุ่งอรุณของวันใหม่คู่หนุ่มสาวที่ผ่านศึกรักที่หนักหน่วง ฝูงนกได้ปลุกให้แซมตื่น เขาขยับร่างมือค่อยเลื่อนสัมผัสร่างสาวเจ้าเสน่ห์เข้ามาชิดแล้วลูบไล้ทั่วร่างเนียน อีฟขยับเปลือกตาด้วยความเคลิ้มรู้สึกได้ถึงมือที่ซุกซนสอดแทรกไปทุกจุดที่ไวต่อการสัมผัสพลันท่อนรักผ่าเข้าร่องสาวที่ตื่นตัว เธอลืมตามองชายหนุ่ม ที่คร่อมร่างเธอและแสงแดดยามเช้าสาดส่องให้เห็นหน้าอกหนุ่มแน่นขาวผ่องผมสีบอลนด์เธอมองลึกลงไปในดวงตาฟ้าใสละมุนเก็บรายละเอียดนี้ไว้ด้วยสายตาแห่งความหลงใหล แล้วจังหวะรักที่แซมเร่งขย่มถี่เพียงครู่ก็สำเร็จกิจหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วอีฟออกมานั่งที่ตรงระเบียงด้วยความรื่นรมย์ กางแผนที่และกระดาษแพลนเที่ยวของแซมที่จดไว้แล้วตามลำดับ มือจับปากกาวงไว้เป็นจุดๆ เพราะที่จริงแล้วนี่คือครั้งแรกของเธอที่ได้ไปเยือนแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้แม้เธอจะรู้ข้อมูลมามากพอสมควรจากตำรา" Are you hungry? "(คุณหิวไหม) แซมเดินออกมาจากห้องเอ่ยถามอีฟที่มองแผนที่สลับกับกระดาษสีขาวพลางมือที่กำลังขยุกขยิก"Yes,I’m hungry" (หิวค่ะ) เธอเงยหน้าขึ้นเพราะท้องร้องได้เริ่มร้อง ว่าหิว“So let’go,Shall we?”