ชิงหรูผ่อนลมหายใจยาวเมื่อบรรเลงเพลงพิณจบแล้ว นางกวาดตามองผู้ที่นั่งฟังเพลงพิณของนาง นางรออยู่ครู่หนึ่ง หญิงรับใช้ในอาภรณ์บางเบาเย้ายวนเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้นยืน นางเดินออกไปท่ามกลางเสียงพูดคุยสวนทางกับผู้ดูแลนาม ‘อันฉี’
อันฉีหลุบตาลงเล็กน้อยไม่สบตากับชิงหรู อันฉีรู้ดีว่าชิงหรูมีฐานะใด ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ร่างทรงของปีศาจราคะขุ่นเคืองใจ ชิงหรูรู้ว่าหอนางโลมใหญ่ๆ ในหลายเมืองเป็นสาขาของลัทธิลิขิตจันทรา เหล่าสาวกล้วนต้องการพลังหยินและหยาง บุรุษต้องการพลังหยิน สตรีต้องการพลังหยาง พวกเขาบำเพ็ญตบะด้วยการเสพสมปรนเปรอสวาท ด้วยนางเป็นร่างทรงของท่านประมุข จึงต้องเดินทางไปทั่ว ผู้อื่นที่ไม่ใช่คนระดับสูงในสำนักเข้าใจไปว่านางคือ ‘อี้จี้’ สตรีที่ขายศิลปะในหอนางโลมแต่มิได้ขายเรือนร่าง ส่วน ‘เซ่อจี้’ นั้นขายร่างกาย
หญิงรับใช้ประคองนางเดินกลับมาที่เรือนรับรองพิเศษที่เตรียมไว้สำหรับท่านประมุข นางกวาดตามองหากวงหมิน นับตั้งแต่คืนนั้น เขาซึ่งเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วกลับแทบไม่พูดอะไรกับนางเลย นางรู้ฐานะตนเองดีว่าไม่ควรเซ้าซี้ถามอะไร และเมื่อเห็นเขากลับมาข้างกายนาง นางก็เบาใจ
‘กวงหมินล่ะ’ ชิงหรูถามหญิงรับใช้ที่มาส่งนาง แต่หญิงรับใช้ไม่ได้ยินเสียงและไม่มีความสามารถในการอ่านปากจึงไม่เข้าใจ กลับเดินไปรินน้ำชาส่งให้ ชิงหรูลอบถอนหายใจเบาๆ รับถ้วยน้ำชามาแล้วจึงโบกมือไล่ให้ออกไป นางดื่มน้ำชาแล้วผ่อนคลายมากขึ้น รสชานี้มีแต่กวงหมินเท่านั้นที่รู้ว่านางชอบชาดอกมะลิมากเพียงใด นางหลับตาลงครู่หนึ่งเรียกชื่อ ‘กวงหมิน’ในใจซ้ำหลายครั้ง นางรู้ว่า ไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด หากนางเรียกหา เขาต้องมาปรากฏกาย
ชิงหรูรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวด้านหลังจึงรีบหันกลับไปมอง ใบหน้าหญิงสาวระบายยิ้มกว้างรีบก้าวเข้าไปหา แต่บุรุษในอาภรณ์สีดำงะชักเล็กน้อย สองมือประคองถาดอาหารเข้ามา
‘ข้ากำลังหิวเลย’
“นายหญิงเชิญนั่งก่อน”
‘อืม’
ชิงหรูทำตามอย่างเชื่อฟัง นางนั่งลงให้กวงหมินปรนนิบัติ แต่ไหนแต่ไร เขาเป็นคนดูแลเรื่องอาหารทั้งสามมื้อรวมทั้งของว่าง คอยปรนนิบัติรับใช้ เช็ดมือให้นาง กวงหมินหยิบตะเกียบคีบเนื้อปลานึ่งส่งเข้าปากที่อ้าขึ้นรอคอยเขาป้อนอาหารให้ ราวกับลูกนกตัวน้อย ใบหน้าของเขาเรียบเฉยแต่แววตามีรอยขบขัน นางเองก็กินอย่างตั้งใจ นางรู้ว่าที่เขาดีกับนางเพราะนางเป็นร่างทรง หากวันหนึ่งร่างนี้หมดประโยชน์แล้ว กวงหมินก็หมดหน้าที่ดูแลนาง และคงดูแลคนที่จะมาเป็นร่างทรง เลี้ยงดูฝึกฝนเพื่อให้ถูกคัดเลือกเป็นร่างทรงร่างใหม่ คิดได้ดังนั้นนางจึงคิดว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่นางต้องกอบโกย เขาป้อนอาหารให้นาง นางก็ทำตัวเป็นลูกนกอ้าปากรอ เขาแปรงผมให้นาง ชโลมน้ำมันบำรุงผิวพรรณ จัดการดูแลแม้กระทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับ นางไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองว่านางใช้ กวงหมินเยี่ยงทาส สำหรับนางแล้วนี่คือช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวความสุข เมื่อนางจากไปแล้ว จะได้มีความทรงจำเกี่ยวกับเขาหล่อเลี้ยงชีวิตที่เหลืออยู่
หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ ชิงหรูมองร่างกวนหมินที่ยกถาดอาหารออกไปให้บ่าวรับใช้รออยู่ด้านนอก นางอ้าปากหาว จู่ๆ รู้สึกง่วงงุนขึ้นมา
กวงหมินกลับเข้ามาในห้อง เขาเห็นนางอ้าปากหาวเหมือนเด็กน้อยก็เผลอยิ้มออกมา อย่างไรนางก็อายุสิบเจ็ด เป็นหญิงสาวที่เพิ่งเติบโตจากเด็กสาว นางเห็นเขาเดินเข้ามาก็กวักมือเรียก เขาเก็บรอยยิ้มและเดินเข้าไปหาด้วยท่าทีอ่อนน้อม ปลายนิ้วของนางชี้ไปที่พื้น เขาก้มมองเห็นรองเท้าของนางหลุดออกจากเท้าข้างหนึ่งจึงคุกเข่าลงเพื่อสวมรองเท้าให้นาง แต่นางกลับยกปลายเท้าขึ้นจิ้มที่หน้าอกของเขา
“สบายตัวแล้วสินะกวงหมิน”
“นายหญิง” กวงหมินสะดุ้งไม่คิดว่าจู่ๆ ท่านประมุขจะเข้าร่างชิงหรู
ปลายเท้าของหญิงสาววาดบนแผ่นอกของเขาเล่น “เจ้าไม่ได้ระบายออกนานนับเดือน เหตุใดจึงปลดปล่อยพลังหยางกับหญิงชั้นต่ำเช่นนั้น เจ้าทำข้าเสียดายนัก”
กวงหมินไม่ตอบได้แต่กัดฟันไม่โต้เถียง แต่นางกลับหัวเราะเสียงใส
“เอาเถิด เห็นแก่เจ้ามีเมตตาช่วยให้หญิงสาวผู้นั้นได้สามีกลับมา แต่ครั้งหน้าเจ้าควรบอกให้นางเข้าลัทธิของเรา แล้วนางจะยิ่งเสพสุขมากกว่านี้”
“ข้าทราบแล้วนายหญิง”
นางเบ้ปากเล็กน้อย ใช้ปลายเท้าผลักแผ่นอกของกวงหมินแรงๆ
“ออกไปรับคนที่อยู่ข้างนอกเข้ามา”
กวงหมินเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวกรอกตาทำท่าเบื่อหน่าย
“มีบัณฑิตซื่อบื้อเดินวนไปวนมาอยู่หน้าหอจันทร์กระจ่าง เจ้าออกไปดูจะเห็นเอง ข้าต้องการใช้งานเขา”
“ขอรับนายหญิง”
กวงหมินรับคำสั่งแล้วลุกขึ้นยืนเดินออกไปทันที หญิงสาวเตะปลายเท้าให้รองเท้าหลุดออกจากเท้าแล้วตะโกนสั่ง
“ไปอุ่นสุรามาให้ข้า!”
บ่าวรับใช้ที่รอรับคำสั่งด้านนอกตกใจ พวกเขาเข้าใจไปว่าชิงหรูพูดไม่ได้ แต่ก็ประหลาดใจที่บางครั้งก็ได้ยินเสียงของนาง แต่คำสั่งของอันฉี ทุกคนต้องรับคำสั่งของชิงหรูไม่ว่านางจะสั่งอะไรก็ตาม
..........
บุรุษผู้หนึ่งสวมอาภรณ์สีเขียวใบไผ่ ท่าทางกลัดกลุ้ม เขาเดินวนไปเวียนมาหน้าหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง หลายวันก่อนเขาบังเอิญช่วยหญิงสาวผู้หนึ่งที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งลวนลาม เขาไม่มีวรยุทธ แต่ไม่อาจทนฟังชายกลุ่มนั้นใช้วาจาแทะโลมหญิงสาวกลางถนนกลางวันแสกๆ จึงเขาไปตำหนิ คนเหล่านั้นกลับหัวเราะเยาะและผลักจนเขาล้มก้นกระแทกพื้น หญิงสาวหวีดร้องตกใจเข้ามาประคองเขา ชายกลุ่มนั้นทำท่าจะเข้ามารุมทำร้าย แต่โชคดีที่คนของแม่นางผู้นั้นเข้ามาช่วยสกัดไว้ก่อน
“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยท่าทางยังขวัญเสีย
“ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย” เขาพูดไปตามจริง
“ข้าเป็นเพียงหญิงจากหอนางโลม ผู้อื่นล้วนดูแคลนแต่ท่านให้เกียรติยื่นมือเข้าช่วยเหลือนับว่ามีน้ำใจยิ่งนัก”
“แม่นางกล่าวเกินไปแล้ว”
“เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านมีน้ำใจช่วยเหลือ หากมีสิ่งใดที่ท่านปรารถนา สามารถเข้าพบประมุขของเราได้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยแล้วยื่นแผ่นหยกชิ้นหนึ่งส่งให้เขา
“ข้าไม่เข้าใจ” เขาไม่เข้าใจที่นางพูด แรกทีเดียวเขาไม่รับไว้แต่นางกลับยัดใส่มือของเขา แล้วกล่าวลาจากไป เขายืนงุนงงกับป้ายหยกที่ได้มา จนกระทั้งได้ยินผู้คนพูดขึ้น
“ช่างโชคดีเสียจริงที่ได้เข้าไปที่หอนางโลมแห่งนั้น”
“ท่านลุงพูดกับข้าหรือ?” ชายหนุ่มถาม
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ หากปรนเปรอให้ประมุขลัทธิลิขิตจันทราพึงพอใจ จะได้ในสิ่งที่สมปรารถนา”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” เขาส่ายหน้าไปมา เขาเป็นบัณฑิต แม้ยากจนแต่ก็ไม่ทำผิดศีลธรรมในใจ
“สุดแท้แต่เจ้าจะเชื่อ บางคนใช้ทั้งชีวิตยังไม่ได้เข้าพบท่านประมุข”
เขาได้แต่เก็บป้ายหยกชิ้นนั้นไว้ในอก และไม่คิดว่าจะต้องใช้สิ่งนี้จนกระทั้งมีบางเรื่องเข้ามาทำให้เขาต้องมายืนวนไปเวียนมาหน้าหอนางโลมแห่งนี้
กวงหมินเดินออกมาเห็นบุรุษลักษณะที่นายหญิงพูดไว้จริง เขาเพ่งมองครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปหา ประสานมือคารวะและเชื้อเชิญ
“เชิญคุณชายด้านในเถิด”
“ข้า...ข้า...”
“ท่านประมุขรู้ว่าท่านจะมาพบ ให้ข้าออกมารอต้อนรับ”
ชายหนุ่มเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจและยอมเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่ายราวกับต้องมนตร์ เขาเดินผ่านเหล่าบรรดาหญิงสาวและบุรุษที่เข้ามาหาความสำราญ เดินลัดเลาะเส้นทางที่ชายในชุดดำเดินนำหน้า จนกระทั่งมาถึงเรือนหลังหนึ่งที่อยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากเรือนหลังอื่น
“เชิญคุณชาย”กวงหมินผลักบานประตูให้และไม่มีท่าทีจะเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจก้าวไปด้วยตนเอง เขาสะดุ้งเล็กน้อยที่ประตูปิดทันทีที่เข้ามาด้านในแล้ว“คุณชายหานเหลียง”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อสะดุ้งสุดกาย เขาไม่ได้บอกชื่อของตนแก่ผู้ใด เหตุใดแม่นางผู้งดงามราวเทพธิดาจึงรู้ชื่อแซ่ของเขาปีศาจราคะในร่างของชิงหรูที่กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยท่าทีเกียจคร้านบนเตียงใหญ่โต นางขยับตัวลุกขึ้นนั่งกวาดตามองบุรุษที่เข้ามาใหม่ ส่งรอยยิ้มอ่อนหวานก่อนขยับตัวลงมานั่งห้อยขาที่ปลายเตียง“แม่นาง..”“ข้าชื่อชิงหรู” นางโปรยยิ้มหวานขยับเท้าเปลือยไปมา สร้อยเงินร้อยกระพรวนส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง “คุณชายหานเหลียงช่วยคนของข้าไว้ ข้าจึงอยากขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือคนของข้าไว้”“เรื่องนั้น...ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” หานเหลียงมองเท้างดงามแล้วรู้สึกน้ำลายหนืดคอ“หากมิใช่คุณชายกล้าหาญเข้าปกป้อง คนของข้าต้องถูกทำร้ายเป็นแน่ คุณชายหานจิตใจดีเช่นนี้ พวกเราไม่ตอบแทนคงมิได้แล้ว” นางช้อนตามอง ริมฝีปากสีแดงสดเผยอขึ้นเล็กน้อย “ให้ข้าช่วยให้ท่านสมปรารถนาเถิด”“สมปรารถนา...” เขารำพึงออกมาและก้าวเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้านางอย่างไม่รู้ตัว “แม่นางรู้
หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ไม่สนใจเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างจะเป็นเช่นไหร่ ใบหน้าที่ดูอ่อนหวานใสซื่อเปลี่ยนไป มุมปากของนางยกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย“พลังหยางของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว” หญิงสาวยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าพลางเลียริมฝีปากด้วยท่าทีอิ่มเอม“ข้าจะให้ในสิ่งที่เจ้าปรารถนา ไม่เกินสามวันเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”หานเหลียงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ประตูห้องถูกเปิดออก กวงหมินก้าวเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง เขาตวัดเสื้อคลุมสีม่วงออกคลี่คลุมร่างของหญิงสาวไว้แล้วจึงดีดนิ้วหนึ่งที สิ้นเสียงดีดนิ้วพลันปรากฏบ่าวรับใช้เดินเข้ามาสองคน ทั้งสองก้มหน้าไม่มองหญิงสาวบนเตียง“คุณชายหานเหลียง เชิญทางนี้”ชายหนุ่มยังมึนงงอยู่จึงยอมให้บ่าวรับใช้ประคองออกไปทั้งที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยกวงหมินยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง แม้ไม่ได้จ้องมองโดยตรงแต่รับรู้ว่าร่างเย้ายวนเคลื่อนไหวมาใกล้ นางยืดตัวขึ้นสำลอกเอาไข่มุกสีขาววาววับออกมาจากปาก เขารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อยื่นไปรองรับไข่มุกเม็ดนั้น นางสำลอกเอาไข่มุกออกมาแล้วก็ยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำลาย“ลีลาไม่ได้ความแต่พลังหยางของบุรุษที่ยังพรหมจรรย์อยู่นั้นยอดเยี่ย
ชิงหรูอ้าปากแต่ยังไม่ทันส่งเสียงร้อง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปิดปากนางไว้พลิกร่างนางกดชิดไปกับผนังห้อง ดวงตาฉ่ำวาวเบิกกว้างอย่างตกใจ บุรุษร่างสูงโปร่งจ้องมองนาง ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว กลิ่นอายของบุรุษเข้มข้นโอบล้อมร่างเล็กที่ขยับตัวดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ“อย่าขยับ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเจ็บ” เขาสั่งเสียงแหบพร่า นางช่างเป็นสตรีที่ไม่เหมือนผู้ใด กลิ่นกายของนางหอมหวานปานกลิ่นดอกไม้ป่า บริสุทธิ์และเย้ายวน ชิงหรูหยุดดิ้นรนเมื่อรับรู้ร่างกายของเขากำลังเคร่งเครียด และมีบางสิ่งที่ดุนดันกางเกงผ้าไหมเนื้อดีของเขา นางพยักหน้าหงึกหงักเพื่อให้เขาปล่อยมือจากปากนาง เขาเห็นว่านางยอมจำนนแล้ว จึงลดมือของตนลง แต่กลับใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากของนางเบาๆ ราวกับกำลังแตะกลีบดอกไม้บอบบาง แววตาของหญิงสาวฉายฉาบความไม่พอใจเหตุใดนางต้องมาเจอชายผู้นี้อีก! คนแปลกหน้าไร้มารยาทที่เคยพบที่ศาลาพักม้า งูตัวนั้นไม่มีพิษเสียหน่อย เหตุใดต้องฆ่ามันทิ้งอย่างเลือดเย็นปลายนิ้วของเขาอ้อยอิ่งที่ริมฝีปากนาง เขามองริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อย เผลอไผลสอดนิ้วในโพรงปากของนาง ชิงหรูอ้าปากกว้างขึ้นอีกนิดแล้วกัดลงอย่างแรง!“โอ๊ย! เจ้ากัดข้า!”เ
ทันทีที่พิษในกายกวงหมินถูกรีดออกจนหมด เขาก็เท้าขึ้นยันอันฉีจนผงะไปด้านหลัง เสื้อผ้าที่สวมอยู่หลุดรุ่ยเผยให้เห็นเรือนร่างที่อยู่ในอาภรณ์สตรีงามหรู อันฉีไม่ทันตั้งหลักหงายหลักก้นกระแทกพื้น นางยกมือขึ้นเช็ดมุมปากที่ยังเลอะคราบคาวขาวขุ่น “เจ้านี่ไม่รู้จักอ่อนโยนเสียบ้าง!” อันฉีต่อว่าแล้วลูบก้นตนเอง “เหอะ!” กวงหมินไม่สนใจ เขาสวมเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย “ข้าจำเป็นต้องอ่อนโยนกับคนเช่นเจ้าเรอะ!” อันฉีส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วยันกายขึ้นจากพื้น มือเรียวงามจับแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่ “เจ้าอย่าคิดว่าตนเองเป็นผู้ดูแลร่างทรงแล้วจะทำอะไรตามใจชอบนัก!” “เรื่องเหล่านี้ข้าต้องใส่ใจหรือไร” กวงหมิงยังคงสบถอย่างไม่สบอารมณ์ หากไม่เพราะถูกลอบทำร้ายเขาจะบาดเจ็บถึงเพียงนี้หรือไร “ได้! ข้าไม่ยุ่งเรื่องของเจ้าก็ได้ แต่อย่างไรเจ้าเตือนร่างทรงของเจ้าบ้างก็ดี” “คนของข้า ข้าดูแลเองได้ เจ้าอย่าได้แส่เรื่องที่ไม่ใช่ของตน” อันฉีกระตุกยิ้มไม่ซุกซ่อนความไม่พอใจ นางชิงชังกวงหมินที่มีโอกาสได้รับใช้ท่านประมุขมาหลายปี แต่กระนั้น
อันฉีเดินออกมาจากเรือนลับแห่งนั้น ในหอจันทร์กระจ่างซึ่งเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงนี้ เป็นสาขาหนึ่งในอีกห้าร้อยสาขาของลัทธิมารลิขิตจันทรา ผู้มีปีศาจราคะเป็นประมุข เสพสมในกามอารมณ์ถือเป็นลิขิตจากฟ้า มีมนุษย์หน้าไหนไม่ชมชอบกามรสบ้าง เช่นเดียวกับที่นางชื่นชมการแต่งกายเป็นสตรีแม้จะมีเรือนร่างเป็นบุรุษก็ตาม ในวัยเด็กนางถูกกลั่นแกล้งรังแกเสมอ จนกระทั่งนางหนีออกจากบ้านมาเข้าลัทธิมาร นั้นมันก็เมื่อราวๆ ห้าสิบหรือหกสิบปีที่แล้ว และเมื่อมีเวลา นางจะพาใบหน้าและเรือนร่างที่ไม่ต่างจากตอนอายุสิบแปดกลับไปเยี่ยมเยือนคนที่บ้าน ให้พวกสกปรกที่เคยดูแคลนนางเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่และอยู่ดีมากเพียงใด แล้วอย่าถามเชียว ว่านางอายุเท่าใด! รสคาวติดอยู่ปลายลิ้น อารมณ์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ทำให้อันฉีหงุดหงิด เจ้าบ้ากวงหมินให้นางรีดพิษออกจากลำเอ็นของมันแต่ไม่สนใจว่านางจะอารมณ์ค้างเติ้งอยู่บนยอดเขา ทั้งนางและกวงหมินติดตามท่านประมุขมายาวนานพอๆ กัน ต่างคนต่างมีความลับในเงือนไขที่แลกเปลี่ยนกับปีศาจราคะ ในหอนางโลมแห่งนี้มีให้เลือกทั้งสตรีและบุรุษ ใครใคร่หาความสำราญรูปแบบใด นางสามาร
เสียงครางกระเส่าของอันฉีทำให้เขาโยกขย่มกระแทกท่อนเอ็นอย่างลืมตาย เขาโน้มหน้าลงไปกัดยอดอกสีชมพูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สะโพกสอบยังคงรัวใส่ร่องที่ตอดรัด ไม่เคยคิดว่าร่องก้นของบุรุษจะทำให้เสียวซ่านไปถึงนิ้วเท้าขนาดนี้“อ๊ะ อื้อ อ่าห์”“ซี๊ดด อ่า”“แรง.. ซี๊ด..แรงอีก อย่าหยุด ข้าจะเสร็จแล้ว” อันฉีสั่ง เสี่ยวเปาเร่งควบจนตั่งสั่นไหว ยื่นมือมาสาวลำแท่งหยกให้อันฉีเร่งเร้าจนอันฉีกรีดร้องออกมาพร้อมน้ำขาวขุ่นพุ่งออกมา เสี่ยวเปาไม่รอช้าโน้มตัวไปช้อนแผ่นหลังของอันฉีขึ้นกลายเป็นอันฉีนั่งคร่อมลำเอ็น “เกี่ยวเอวข้า นายหญิง” เสี่ยวเปากระซิบบอกเสียงพร่า จับเรียวขาที่แยกอยู่นั้นให้เกี่ยวเอวเขา “กอดคอข้า”อันฉีทำตามอย่างว่าง่าย เกี่ยวเอวสอบและสองแขนกอดคอเสี่ยวเปาไว้ เสี่ยวเปาพาอันฉีลงมาจากตั่งทั้งที่แก่นกายไม่หลุดออกจากร่องเสียว อันฉีปล่อยให้เสี่ยวเปาอุ้มร่างขึ้น สองมือแข็งแกร่งกุมแก้มก้นบีบให้แยกออกแล้วเริ่มต้นกระแทกร่องอีกครั้ง“อร๊ายยย “ อันฉีซุกหน้ากับซอกคอได้แต่ร้องระงมฟังเสียงลมหายใจฟืดฟาดขณะที่เสี่ยวเปาใช้ท่าอุ้มแตงกระแทกร่องของนาง“อ๊ะ อ๊ะ แบบนั้นแหละ เสียว ข้าเสียวมาก” อันฉีร้องจนคอแหบ “ต
เสี่ยวเปาเร่งรัวสะโพกไม่ยั้งกลั้นใจก่อนถึงจนถึงจุดสุดยอด ถอนแก่นกายออกแล้วเดินสาวลำมาด้านหน้าลี่ลี่ หญิงสาวยันกายขึ้นอ้าปากรอคอยน้ำขาวขุ่นของชายหนุ่มพ่นใส่ปากล้นจนเปื้อนเปรอะใบหน้าของหญิงสาว ลี่ลี่อ้าปากรูดลำเอ็นดูดกลืนจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ทว่าคราวนี้เสี่ยวเปาตาลอยร่างร่วงผล็อยไปกองกับพื้นอีกครั้งลี่ลี่ยกมือขึ้นปาดน้ำรักที่มุมปาก ใช้ปลายเท้าเขี่ยคนที่หมดสติไปแล้ว“แรงดีขนาดนี้ เลี้ยงเก็บไว้กินน้ำเล่นแก้เหงาคงจะดี”ลี่ลี่หัวเราะคิกคัก แล้วเดินออกไปเรียกบ่าวรับใช้มาหามเสี่ยวเปาไปที่เรือนของนาง ถึงจะเป็นของเหลือแต่ดุ้นใหญ่แบบนี้หาไม่ได้ง่ายนัก แต่ตอนนี้นางต้องรีบให้คนมาทำความสะอาดไม่ให้เหลือกลิ่นคาวสวาทในห้องนี้ แม้อันฉีจะแย้มยิ้มพูดจาดีแต่เวลาร้ายก็ร้ายได้น่ากลัวเหลือเกิน กวงหมินเดินนำบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย เป็นหน้าที่ที่เขาทำมานานแม้ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจนั้นตรงข้าม ด้วยสัญชาตญาณกลับบอกว่าครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง สิ่งที่ท่านประมุขวางแผนไว้ไม่มีใครล่วงรู้ แม้แต่ตัวเขาเองที่อยู่ใกล้ชิดมากที่สุดก็ตาม ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์ผ้า
เขาโน้มหน้าลงกระซิบเสียงร้ายกาจ “เจ้าวิงวอนข้าเองมิใช่รึ” หญิงสาวเบิกตากว้างเล็กน้อย ยื่นมือไปคล้องคอเขาไว้ แหย่ปลายลิ้นเข้าตวัดเลียรูหูของเขา ชายหนุ่มถึงกับขนกายลุกชันด้วยไม่เคยถูกหญิงใดเล้าโลมเช่นนี้ “ขอข้าดูพละกำลังของท่านสักหน่อยเถิด ว่าท่านเหมาะสมจะได้ในสิ่งที่ต้องการหรือไม่” คำพูดยั่วยุของนางทำให้เขาจับเรียวขาของนางขึ้นพาดบ่า สะโพกกลมกลึงลอยขึ้นเหนือพื้นรับกับการโยกสะโพกใส่ เขาถึงกับแหงนหน้าคำรามด้วยความซ่านเสียวในขณะที่ลำมังกรที่ผลุบเข้าออกในช่องรัก “อ๊ะ!” “ตรงนี้...” ชายหนุ่มรับรู้การตอดรัดที่ทำเอามังกรของเสียวซ่าน การค้นพบจุดอ่อนไหวของหญิงสาวทำให้เขายิ่งโหมกระหน่ำแรงขึ้นจนร่างบางสั่นคลอน ปิ่นปักผมหลุดออกทำให้เส้นผมคลี่สยายเพิ่มความเย้ายวน ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความปรารถนา ห่อริมฝีปากส่งเสียงครวญครางพลางสบถในใจ ที่คนผู้นี้ดันรู้จนได้ว่าต้องแตะต้องส่วนไหนทำให้ร่างกายนี้เสร็จสมได้เร็ว เฉินหลิวหยางแหงนคำราม สายตาสะดุดกับขื่อคานด้านบน เขาปรายตามองไปโดยรอบ เร่งโยกสะโพกสอบจนเกิดเสียงตับๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได