เสียงครางกระเส่าของอันฉีทำให้เขาโยกขย่มกระแทกท่อนเอ็นอย่างลืมตาย เขาโน้มหน้าลงไปกัดยอดอกสีชมพูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สะโพกสอบยังคงรัวใส่ร่องที่ตอดรัด ไม่เคยคิดว่าร่องก้นของบุรุษจะทำให้เสียวซ่านไปถึงนิ้วเท้าขนาดนี้“อ๊ะ อื้อ อ่าห์”“ซี๊ดด อ่า”“แรง.. ซี๊ด..แรงอีก อย่าหยุด ข้าจะเสร็จแล้ว” อันฉีสั่ง เสี่ยวเปาเร่งควบจนตั่งสั่นไหว ยื่นมือมาสาวลำแท่งหยกให้อันฉีเร่งเร้าจนอันฉีกรีดร้องออกมาพร้อมน้ำขาวขุ่นพุ่งออกมา เสี่ยวเปาไม่รอช้าโน้มตัวไปช้อนแผ่นหลังของอันฉีขึ้นกลายเป็นอันฉีนั่งคร่อมลำเอ็น “เกี่ยวเอวข้า นายหญิง” เสี่ยวเปากระซิบบอกเสียงพร่า จับเรียวขาที่แยกอยู่นั้นให้เกี่ยวเอวเขา “กอดคอข้า”อันฉีทำตามอย่างว่าง่าย เกี่ยวเอวสอบและสองแขนกอดคอเสี่ยวเปาไว้ เสี่ยวเปาพาอันฉีลงมาจากตั่งทั้งที่แก่นกายไม่หลุดออกจากร่องเสียว อันฉีปล่อยให้เสี่ยวเปาอุ้มร่างขึ้น สองมือแข็งแกร่งกุมแก้มก้นบีบให้แยกออกแล้วเริ่มต้นกระแทกร่องอีกครั้ง“อร๊ายยย “ อันฉีซุกหน้ากับซอกคอได้แต่ร้องระงมฟังเสียงลมหายใจฟืดฟาดขณะที่เสี่ยวเปาใช้ท่าอุ้มแตงกระแทกร่องของนาง“อ๊ะ อ๊ะ แบบนั้นแหละ เสียว ข้าเสียวมาก” อันฉีร้องจนคอแหบ “ต
เสี่ยวเปาเร่งรัวสะโพกไม่ยั้งกลั้นใจก่อนถึงจนถึงจุดสุดยอด ถอนแก่นกายออกแล้วเดินสาวลำมาด้านหน้าลี่ลี่ หญิงสาวยันกายขึ้นอ้าปากรอคอยน้ำขาวขุ่นของชายหนุ่มพ่นใส่ปากล้นจนเปื้อนเปรอะใบหน้าของหญิงสาว ลี่ลี่อ้าปากรูดลำเอ็นดูดกลืนจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ทว่าคราวนี้เสี่ยวเปาตาลอยร่างร่วงผล็อยไปกองกับพื้นอีกครั้งลี่ลี่ยกมือขึ้นปาดน้ำรักที่มุมปาก ใช้ปลายเท้าเขี่ยคนที่หมดสติไปแล้ว“แรงดีขนาดนี้ เลี้ยงเก็บไว้กินน้ำเล่นแก้เหงาคงจะดี”ลี่ลี่หัวเราะคิกคัก แล้วเดินออกไปเรียกบ่าวรับใช้มาหามเสี่ยวเปาไปที่เรือนของนาง ถึงจะเป็นของเหลือแต่ดุ้นใหญ่แบบนี้หาไม่ได้ง่ายนัก แต่ตอนนี้นางต้องรีบให้คนมาทำความสะอาดไม่ให้เหลือกลิ่นคาวสวาทในห้องนี้ แม้อันฉีจะแย้มยิ้มพูดจาดีแต่เวลาร้ายก็ร้ายได้น่ากลัวเหลือเกิน กวงหมินเดินนำบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย เป็นหน้าที่ที่เขาทำมานานแม้ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจนั้นตรงข้าม ด้วยสัญชาตญาณกลับบอกว่าครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง สิ่งที่ท่านประมุขวางแผนไว้ไม่มีใครล่วงรู้ แม้แต่ตัวเขาเองที่อยู่ใกล้ชิดมากที่สุดก็ตาม ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์ผ้า
เขาโน้มหน้าลงกระซิบเสียงร้ายกาจ “เจ้าวิงวอนข้าเองมิใช่รึ” หญิงสาวเบิกตากว้างเล็กน้อย ยื่นมือไปคล้องคอเขาไว้ แหย่ปลายลิ้นเข้าตวัดเลียรูหูของเขา ชายหนุ่มถึงกับขนกายลุกชันด้วยไม่เคยถูกหญิงใดเล้าโลมเช่นนี้ “ขอข้าดูพละกำลังของท่านสักหน่อยเถิด ว่าท่านเหมาะสมจะได้ในสิ่งที่ต้องการหรือไม่” คำพูดยั่วยุของนางทำให้เขาจับเรียวขาของนางขึ้นพาดบ่า สะโพกกลมกลึงลอยขึ้นเหนือพื้นรับกับการโยกสะโพกใส่ เขาถึงกับแหงนหน้าคำรามด้วยความซ่านเสียวในขณะที่ลำมังกรที่ผลุบเข้าออกในช่องรัก “อ๊ะ!” “ตรงนี้...” ชายหนุ่มรับรู้การตอดรัดที่ทำเอามังกรของเสียวซ่าน การค้นพบจุดอ่อนไหวของหญิงสาวทำให้เขายิ่งโหมกระหน่ำแรงขึ้นจนร่างบางสั่นคลอน ปิ่นปักผมหลุดออกทำให้เส้นผมคลี่สยายเพิ่มความเย้ายวน ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความปรารถนา ห่อริมฝีปากส่งเสียงครวญครางพลางสบถในใจ ที่คนผู้นี้ดันรู้จนได้ว่าต้องแตะต้องส่วนไหนทำให้ร่างกายนี้เสร็จสมได้เร็ว เฉินหลิวหยางแหงนคำราม สายตาสะดุดกับขื่อคานด้านบน เขาปรายตามองไปโดยรอบ เร่งโยกสะโพกสอบจนเกิดเสียงตับๆ
ชิงหรูนอนกระสับกระส่าย นางฝัน...ฝันร้ายในฝันนั้นนางถูกราชสีห์ตัวใหญ่โตขึ้นคร่อม กรงเล็บนั้นตรึงไหล่สองข้างไม่ให้ขยับได้ ท่อนล่างถูกกดทับด้วยบางสิ่งที่ร้อนระอุและแข็งขันดุนดันเนินเนื้อของกายสาว นางพยายามเบือนหน้าหนีแต่ริมฝีปากถูกปิดกั้นจนหายใจไม่ออก นางอ้าปากเพียงเรียกอากาศเข้าปอด แต่เรียวลิ้นกลับถูกเกี่ยวกระหวัด ‘เจ็บ!’ นางได้แต่ส่งเสียงในลำคอ หากนี้เป็นฝันจริงนางจะรู้สึกเจ็บและเสียวซ่านเช่นนี้ได้อย่างไร ชิงหรูปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายที่วาบหวามนี้ ทว่าสิ่งที่ทำให้ดวงตานางเบิกกว้างคือความรู้สึกแปลกประหลาดที่หว่างขา บางสิ่งที่ใหญ่โตกดแทรกเข้ามาในช่องทางอันคับแคบและอ่อนนุ่ม ริมฝีปากเป็นอิสระ แต่นางกลับถูกดวงตาคมปลาบคู่หนึ่งจับจ้อง ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางมากนัก มากจนนางสัมผัสลมหายใจของเขาได้ เหงื่อร้อนไหลหยดลงบนใบหน้าของนาง ‘เจ้า...’ ชิงหรูจำได้ว่าชายผู้นี้คือคนที่เคยขโมยจูบนางไปในวันนั้น แต่เหตุใดเขามาอยู่ตรงนี้ ซ้ำยังคร่อมร่างนางด้วย! นางบิดตัวเพื่อหนีออกจากร่างใหญ่โตนี้แต่กลับเจ็บแปลบจนหลุดปากร้องออกมา “อย่าดิ้น” เฉินห
เสียงพิณขงโหวบรรเลงหวานเศร้าในสวนดอกไม้อันเงียบสงบ อีกาตัวหนึ่งบินวนเวียนบนท้องฟ้าก่อนร่อนมาเกาะกิ่งไม้เบื้องหน้าหญิงสาว หญิงสาวหยุดมือแล้วจ้องมองอีกาตัวนั้น ‘กวงหมิง?’ ชิงหรูเรียกอีกาตัวนั้น แต่มันยังไม่มาหานางซ้ำยังเอียงคอมองด้วยท่าทีแปลกๆ ทำให้นางเป็นกังวลเพราะเขาไม่เคยทำเช่นนี้ ‘กวงหมิง’ “ขอรับ” ‘อ๊ะ!’ ชิงหรูหันไปตามเสียงที่ได้ยินแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงที่เห็นกวงหมินเดินเข้ามาพร้อมถาดน้ำชาและของว่าง นางหันขวับไปมองอีกาตัวนั้นแล้วหันมามองทางกวงหมินอีกที ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่พอเห็นว่ามีอีกาตัวหนึ่งอยู่ไม่ไกล เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ‘ข้านึกว่าอีกาตาตัวนั้นเป็นเจ้า’นางพูดเสียงเบาแล้วช้อนตามองกวงหมินที่กำลังรินน้ำชาให้นาง นับจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผ่านมานานนับเดือนแล้ว กวงหมินไม่แสดงท่าทีผิดแผกไปจากเดิม นางเองก็ควรทำใจยอมรับ เพราะนางเองก็ไม่ต่างจากหญิงนางโลมที่ถูกฝึกฝนมาให้รับมือเรื่องเหล่านี้ ทว่าที่ผ่านมา นางไม่เคยรับรู้ว่าเรือนร่างของตนถูกใช้เคี่ยวกรำเช่นไร นางเพียงหลับและตื่นมาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ
น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาทำเอานางตัวสั่นขึ้นมา ยังไม่ทันตั้งสติได้ เขาก็อุ้มนางขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วแทบจะโยนเข้าไปในรถม้า ก้นงามงอนกระแทกพื้น ร่างใหญ่ตามขึ้นมาคร่อมร่างของนางไว้พร้อมกระชากผ้าโปร่งปิดใบหน้าของนางออก นางคิดจะร้องเรียกหากวงหมิน แต่คนผู้นั้นกลับหยิบปิ่นที่นางซื้อไว้ออกมาแล้วหักทิ้งเป็นสองท่อน!“เจ้ากล้าเรียกมัน ข้าก็จะสั่งคนของข้าหักแขนหักขามันเหมือนข้าหักปิ่นอันนี้!” ชิงหรูอ้าปากค้าง นางหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เขาโน้มตัวลงมาใกล้ นางกระถดกายถอยหนี มือใหญ่กระตุกผ้าคาดเอวของนางออกแล้วใช้มันมารวบมัดข้อมือสองข้างไว้เหนือศีรษะ‘ปล่อยข้านะ! ข้าไม่ใช่! ไม่ใช่!’นางพูดไม่ออกไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่าตอนนี้นางคือชิงหรู ไม่ใช่ท่านประมุขที่เขาเคยร่วมเสพสังวาส “ข้ารู้” เขาโน้มหน้าลงใกล้จนริมฝีปากชิดริมฝีปากนาง “ข้าต้องการเจ้า”ภาพยามที่เขาเคลื่อนไหวบนร่างกายในวันนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ชิงหรูเบือนหน้าหนี หยดน้ำตาเอ่อคลอ แต่ภาพนางยามจำนนเช่นนี้กลับปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนของบุรุษ มือคู่นั้นกระชากเสื้อผ้านางจนขาดเป็นชิ้นๆ เศษผ้าโปรยปราย ทรวงอกงามท้าทายสายตา มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงทรวงอก ส่วนอ
ชายใจร้ายผู้นั้นส่งหญิงชราใช้มาคอยดูแลนาง ด้านนอกแม้ไม่เห็นคนแต่ถ้านางเดินออกไปนอกห้องก็ปรากฏชายในชุดดำปิดบังใบหน้าไม่ให้นางออกไปไหน นางสื่อสารกับใครไม่ได้และดูเหมือนทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับนาง นางจึงได้แต่อยู่ในห้องนี้โดยไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันกี่คืนแล้ว นั้นเพราะนางมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดเวลา แต่ไม่เหมือนกับการที่ปีศาจราคะใช้ร่างกายนาง นางมั่นใจว่าตนเองเป็นเช่นนี้เพราะถูกวางยา แต่ไม่รู้ว่าเป็นยาชนิดใด จากในน้ำชา หรืออาหาร หรือกลิ่นกำยาน นางพยายามไม่ดื่มไม่กิน หรือทำเป็นเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นในห้อง แต่นางก็ยังเผลอหลับใหลไม่ได้สติ หลายครั้งที่ตื่นมาแม้เสื้อผ้าอยู่ครบแต่นางรู้ว่าร่างกายถูกล่วงเกิน บางคราวเหมือนความฝันว่าถูกจับพลิกคว่ำนอนหงายเพื่อรองรับการสอดประสานอันเสียวซ่านนั้น เสียงเปิดประตูดังขึ้นแต่ไม่ชิงหรูไม่ได้ใส่ คงเป็นบ่าวรับใช้ยกสำรับอาหารมาให้ นางจึงเฝ้ามองนกน้อยนอกหน้าต่าง ใจคิดถึงเพียงกวงหมิน หวังว่าเขาจะปลอดภัยดี “อาหารพวกนี้ไม่ถูกปากหรือไร” หญิงสาวสะดุ้งเฮือกที่ได้ยินเสียงของเขา เฉินหลิวหยางหงุดหงิดที่เห็นอา
เฉินหลิวหยางชะงักงันไป เขาไม่ใช่สามัญชนที่จะรับสตรีนางใดมาเป็นภรรยาก็ได้ บัดนี้เขาเป็นฮ่องเต้ และเขามีฮองเฮาอยู่แล้ว เขาสัญญากับนางไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่รับนางเป็นชายาว่าจะไม่มีหญิงใดนั่งตำแหน่งที่สูงกว่านาง การแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเขาต้องการอาศัยอำนาจจากตระกูลของนางเพื่อได้มาซึ่งบัลลังก์มังกรที่ควรเป็นของเขาตั้งแต่แรก นางเป็นสตรีที่ไม่มีปากมีเสียงและสงบเสงี่ยมในที่ของตนเอง แม้กระทั้งช่วงเวลาที่เขาเรียกเหล่าสนมมาปรนนิบัติ นางกลับทำได้เพียงเฝ้ามองเขาอย่างสงบทั้งที่ในใจปวดร้าวไม่น้อย และที่สำคัญ ชิงหรูเป็นคนของลัทธิมาร เขาไม่อาจให้นางเปิดเผยตัวเองต่อหน้าผู้อื่นได้ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนเอาเรื่องนี้มาต่อต้านและล้มล้างบัลลังก์ของเขา ‘ไม่ได้สินะ’นางยิ้มหยันออกมา ชิงหรูคาดเดาไว้นานแล้วว่าคนผู้นี้ต้องมีภรรยารักอยู่แล้ว และฐานะของเขาคงไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะซุกซ่อนนางในที่ลับตาเช่นนี้ทำไมกัน นางยั่วยุหวังให้เขารังเกียจนางจะได้ปล่อยนางไป ทว่าเขากลับช้อนสะโพกนางอุ้มขึ้น สองขาเกี่ยวกับเอวสอบ สองแขนโอบรอบลำคอด้วยความตกใจ หรือนางจะไม่ได้ไร้เดียงสาอย่า
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได