ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ
เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน
หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ
หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้
ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้
‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างประหลาดใจ เพียงผ่านพิธีวิวาห์ก็ดูเหมือนน้องสาวเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
‘ข้าเคยได้รับความช่วยเหลือจากท่านหมอมู่มาก่อน และได้เห็นการดูแลเด็กกำพร้าของท่านหมอมู่แล้วรู้สึกเลื่อมใส แต่หากจะดูแลเด็กๆให้เติบโตได้ดี ก็ควรให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ กินอิ่มนอนอุ่น มีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือ ให้พวกเขามีอนาคตที่ดี พี่อวิ๋นเซิงคิดว่าดีหรือไม่’
‘เป็นความคิดที่ดียิ่ง พี่ยินดีสนับสนุนเจ้า เรื่องเงินทองต้องใช้เท่าไหร่ เจ้าสองคนมาเบิกกับหลิวชิงได้’
‘เรื่องเงินย่อมต้องรบกวนพี่ชายอย่างแน่นอน แต่พวกข้าจะไม่อาจพึ่งพาตลอดไป ข้า...ข้าก็พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรอยู่บ้าง ข้าคิดว่าจะช่วยท่านหมอมู่เปิดโรงหมอเล็กๆ รักษาผู้คนเก็บเงินตามสมควร พี่ลี่หยางก็จะช่วยด้วย เราค่อยๆ เก็บเงินกันทีละเล็กละน้อยหมุนเวียนในบ้าน ใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามปีน่าจะพอเลี้ยงทุกคนได้’
‘ได้ เจ้าอยากทำอะไร พี่ยินดีสนับสนุน’
มู่ลี่หยางมองฟู่อวิ๋นเซิงที่เวลานี้ไม่เหลือสภาพอ่อนแรงอย่างที่ได้พบเห็นในวันแรก เขายอมรับนับถือประมุขพรรคมารด้วยใจจริง มิใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่ชายของภรรยาเท่านั้น แต่เพราะแนวคิดทัศคตินับว่าดียิ่ง หากไม่นับเรื่องที่เขาดื่มโลหิตเพื่อรักษาร่างกายตน ก็นับได้ว่า คนผู้นี้เป็นคนน่าคบหาอย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ความสนใจของฟู่เหยียนอวี้คือมุ่งไปที่เปิดโรงหมอและดูแลเด็กกำพร้า นางอยากนำข่าวดีไปแจ้งกับท่านหมอมู่เร็วๆ แต่การเดินทางใช้เวลาไม่น้อย มู่ลี่หยางต้องการให้ภรรยาตัวน้อยแข็งแรงกว่านี้จึงรั้งนางให้อยู่ในหุบเขาอู่อี๋
ใครเลยจะคาดคิด หลังการแต่งงานเพียงสามวันพลันเกิดเรื่องราวในพรรคกระเรียนดำ
“พวกเจ้าหลบออกไปเสียเถิด”
ฟู่อวิ๋นเซิงไม่เคยเกรงกลัวคนจากพรรคฝ่ายธรรมะ พวกเขาเคยประมือจากคนที่เรียกตัวเองว่าทรงคุณธรรมมานับครั้งไม่ถ้วน พวกนี้ไม่สนใจว่าคนของเขาจะเป็นเช่นไร เข่นฆ่าไม่ต่างจากผักปลา ทำเช่นนี้แล้วจะให้เขา ‘ปล่อยมือ’ ได้อย่างไร
“แต่...” ฟู่เหยียนอวี้เข้าใจดี ส่วนหนึ่งที่ฟู่อวิ๋นเซิงให้นางอยู่นอกพรรคกระเรียนดำก็เพื่อไม่ต้องการให้เข้ามาวุ่นวายเรื่องเหล่านี้ “ข้าเป็นห่วงท่าน”
“หากเจ้าทั้งสองเข้ามาช่วยข้า ผู้อื่นจะเข้าใจว่าพวกเจ้าเป็นคนของพรรคมาร และจะตามล่าเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำความดีมากแค่ไหน พวกมันก็ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะเสียงเย็น ปรายตาไปทางหลิวชิง “เจ้าเลือกคนฝีมือดีพาน้องสาวและน้องเขยของข้าไปทางเส้นทางลับ”
“ขอรับ” หลิวชิงรับคำสั่ง แต่ฟู่เหยียนอวี้ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ให้ข้าอยู่เถิด หาก...หากพี่อวิ๋นเซิงบาดเจ็บ...เลือดของข้ายังช่วยพี่ชายได้”
เพราะต้องดื่มเลือดจากกายนางเท่านั้น ไม่อาจกรอกเลือดใส่ขวดหรือภาชนะใดได้ ตัวนางจึงเหมือนขวดยาบรรจุโอสถ
“เจ้าไม่เชื่อฝีมือพี่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะราวกับเรื่องตลกขบขัน เขายังยกมือขึ้นแตะแก้มนวลของน้องสาวเบาๆ ทำเช่นเดียวกับที่เคยทำเมื่อนางเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่ง แม้รู้ดีว่าศึกครั้งนี้หนักหนานัก มิเช่นนั้นคงไม่ส่งทั้งสองออกไปให้พ้นภัย
“ข้าเป็นห่วง” ฟู่เหยียนอวี้เดินไปเกาะแขนของพี่ชาย “ให้ข้าอยู่ที่นี่รอจนทุกอย่างสงบเถิดนะ”
“น้องอวี้ เจ้าแต่งงานแล้วมิใช่เด็กเล็กๆอีกแล้วนะ จะทำสิ่งใดย่อมต้องดูสีหน้าสามีด้วย” ฟู่อวิ๋นเซิงพูดเช่นนั้นเพื่อหวังให้มู่ลี่หยางเกลี้ยกล่อมให้จากไป
“ข้าเห็นด้วยกับอวี้เอ๋อร์” มู่ลี่หยางพูดขึ้น เขาเข้าใจความเป็นห่วงที่ฟู่เหยียนอวี้มีประมุขฟู่ ต่อให้บังคับนางจากไป นางต้องหาทางกลับมาอย่างแน่นอน มิสู้อยู่ด้วยกัน คอยดูแลกันและกันไม่ดีกว่าหรือ
ฟู่เหยี่ยนอวี้ได้ยินที่สามีเอ่ยก็ยิ้มกว้าง นางดีใจที่เขาเข้าใจโดยที่นางไม่ต้องอธิบายมากความ เขาเชื่อใจนาง เชื่อในความสัมพันธ์ที่แม้จะไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันแท้จริงแต่นางก็เคารพนับถือฟู่อวิ๋นเซิงมากจริงๆ
“พวกเจ้านี่ดื้อด้านเสียจริง” ฟู่อวิ๋นเซิงบ่นออกมา “ถ้าเช่นนั้นให้หลิวชิงคอยดูแลพวกเจ้า”
“ไม่ได้” ฟู่เหยียนอวี้รีบพูดขึ้น “ให้หลิวชิงอยู่ข้างกายพี่อวิ๋นเซิงเถิด ข้ามีพี่ลี่หยางอยู่ข้างกายแล้ว”
สายตาของประมุขพรรคมารกลับอ่อนโยนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เด็กหญิงตัวน้อยที่เขาเคยเป็นห่วง ยามนี้มีคนกุมมือและพร้อมปกป้องนางแล้ว เขายิ้มให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ย
“ดูแลนางด้วย”
“ข้าทราบแล้ว”
ถ้อยคำหนักแน่นมั่นคงนี้ทำให้ฟู่อวิ๋นเซิงได้ยินแล้วเบาใจ เขาหันไปพยักหน้ากับหลิวชิงแล้วถือกระบี่เดินออกไปรับมือกับคนจากพรรคฝ่ายธรรมะ มือข้างหนึ่งของมู่ลี่หยางมือข้างหนึ่งของเขายังกุมกระบี่ที่มู่จางหมิ่นมอบไว้ให้ และใช้มือที่ว่างจับมือของฟู่เหยียนอวี้ไว้มั่น หญิงสาวส่งรอยยิ้มให้เขา แม้จะมีความกังวลใจอยู่ก็ตาม
“พี่ลี่หยางมาทางนี้เถิด มีห้องลับอยู่”
นางดึงมือให้เขาเดินตามมาที่ห้องลับซึ่งสามารถมองผ่านช่องเล็กๆ เห็นความเคลื่อนไหวในห้องโถงที่ยามนี้มีคนสองกลุ่มพร้อมปะทะกันอยู่
“ตอนข้ายังเด็ก วิ่งเล่นในพรรคกระเรียนดำจนรู้ที่หลบซ่อนเป็นอย่างดี” นางพยายามยิ้มแต่ทำได้ยากยิ่ง ฝ่ามือก็เย็นเยียบขึ้นทุกขณะ แต่แล้วมือใหญ่ที่เกาะกุมอยู่บีบแน่นขึ้นทำให้ฟู่เหยียนอวี้รู้สึกตัว ยามนี้นางไม่ได้อยู่เพียงลำพังเช่นที่ผ่านมา
“ในความทรงจำที่ลางเลือน ข้ามักเห็นตัวเองอยู่ท่ามกลางคนตายและโลหิตที่เจิ่งนองราวสายน้ำ” ฟู่เหยียนอวี้เอ่ยเสียงเบาแต่รู้ว่ามู่ลี่หยางได้ยินชัด “บางที...ข้าก็คิดว่าเป็นเพราะตัวข้าดึงดูดเรื่องเหล่านี้ทำให้คนรอบข้างต้องเดือดร้อน”
วงแขนแข็งแกร่งโอบกอดร่างเล็กไว้แนบแน่น “อวี้เอ๋อร์ อย่าได้พูดเช่นนั้นอีก ตอนนี้เจ้ามีข้าอยู่เคียงข้างแล้ว ข้าเคยให้สัญญากับเจ้าจะไม่จากเจ้าไปที่ใด เจ้าเองก็เช่นกัน ห้ามไปจากข้า!”
นานครั้งจะได้ยินชายปากหนักพูดจาน่าฟังสักหน หัวใจของหญิงสาวหวานล้ำเกินบรรยาย
“ได้... ข้าสัญญา” นางเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกเรียกสายตาของคนทั้งสองที่หลบอยู่ในห้องลับให้หันไปมองที่ช่องเล็กๆ สำหรับมองเห็นภาพในห้องโถง คนกลุ่มใหญ่ยกโขยงเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมอาภรณ์เรียบง่ายแต่ดูสูงส่งน่าเลื่อมใส ทว่าเมื่อเอ่ยวาจากลับพูดเรื่องที่ชวนให้ตื่นตกใจ
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“คุณชาย พอเถิดเจ้าค่ะ” เสียงหวานครางกระเส่าปากร้องห้ามแต่ร่างกายกับบิดเร่ากับสัมผัสลึกล้ำที่นิ้วเรียวงามเคลื่อนไหวรวดเร็วในร่องกลีบบุบผางาม จางลี่คือสาวใช้คนงามวัยสิบหกของคุณชายหวังหย่ง นางถูกขายทิ้งมาเป็นสาวใช้ตั้งแต่อายุสิบสอง ตั้งแต่มาอยู่บ้านเศรษฐีหวัง ก็ไม่เคยได้กลับบ้านเดิมอีกเลย เพราะบ้านเดิมยากจนค้นแค้น เมื่อครั้งที่มาถึงใหม่ๆ รูปร่างนางผอมจนน่าเวทนา เป็นคุณชายหวังหย่ง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังที่แอบนำขนมของกินมาให้นางกินบ่อยๆ เด็กสาวจึงมอบใจทั้งใจให้ด้วยหวังว่าจะเป็นที่โปรดปรานในสักวัน ไม่คิดว่าขนมแต่ละวันที่เขานำมามอบให้นาง ครั้งละชิ้นสองชิ้นนั้น จะทำให้นางจงรักภักดีกับเขาถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยอมให้เขาล่วงล้ำกายสาว “ลี่เอ๋อร์” เขาเรียกนางเสียงแหบพร่า ชักนิ้วเรียวยาวออกจากร่องรักที่ฉ่ำเยิ้ม สะโพกของนางขยับตามนิ้วของเขาอย่างอาลัย เขาเห็นสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยของนาง มุมปากจึงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางโน้มหน้าลงไปใกล้ร่างที่อ่อนระทวยบนตั่ง“เด็กดี เจ้าบอกสิว่ารู้สึกเช่นไร”“บ่าว...บ่าว...” จางลี่ได้แต่อ้ำอึ้ง เรื่องเช่นนี้จะพูดออกไปได้อย่างไร แค่นี้นางก็เขิ
หวังหย่งมองร่างเกือบเปลือยของสาวใช้ที่บิดกายเร่าๆ ด้วยความพอใจ เขาชักนิ้วเรียวออกจากร่องรักที่เปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำหวานแล้วแทรกเข้าไปในโพรงปากที่เผยออ้าส่งเสียงคราง ให้นางได้ลิ้มรสชาติน้ำรักของตนเอง นางทำตัวเป็นนกน้อยเมื่อถูกป้อนสิ่งใดเข้าปากก็ดูดกลืนอย่างหิวโหย ขณะเดียวกันนั้นเอง หวังหย่งก็จับเรียวขางามให้แยกออกกว้างแล้วกดแท่งหยกเข้าร่องรักพรวดเดียวมิดด้าม! “อ๊า!” จางลี่อ้าปากหวีดร้องเมื่อถูกกระทุ้งเข้าจนจุก “คุณชาย...ซี๊ดดด”“เป็นอย่างไร” เขาถามทั้งที่ขยับสะโพกโยกใส่อย่างเมามัน เขาก้มมองแท่งหยกของตนที่เข้าออกรัวเร็ว ไม่สนใจว่ากลีบเนื้อนุ่มจะบวมแดงเพราะแรงกระแทกกระทั้นไม่ปรานีของเขา“เสียวเจ้าค่ะ” จางลี่ถูกความเสียวซ่าครอบงำไปทั่วร่าง นางได้แต่นอนบิดกายไปมาปล่อยให้คุณชายเคลื่อนไหวตามใจจนกระทั่งร่างของนางเกร็งกระตุกด้วยถูกกระตุ้นให้ถึงจุดสุดยอด “อือ...อ๊า กรี๊ดดดด”“โอ้ว ข้าเสร็จแล้ว เสร็จ...อา” เสียงครางยาวอย่างสุขสมพร้อมกับการดึงแท่งหยกออกมารีดพิษลงบนหน้าท้องของนาง เขามองนางหอบหายใจด้วยความพึ่งพอใจ ยื่นมือไปแตะแก้มนวลเบาๆ “เด็กดี อย่าลืมทำความสะอาดห้องเรียบร้อย
“ลุกขึ้นแล้วมาปรนนิบัติข้า” นางเบ้ปากไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ชายผู้นั้นเมื่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จึงเห็นได้ชัดว่ารูปร่างของเขาสูงใหญ่เพียงใด ‘กวงหมิง’ เดินเข้ามาแล้วยื่นมือไปหยิบผ้าผืนหนึ่งมาแล้วยื่นมือไปจับเรียวแขนงามของหญิงสาวขึ้นจากน้ำบรรจงขัดผิวให้นางอย่างแผ่วเบา “อา...” หญิงสาวส่งเสียงครางอย่างพอใจ “ไม่มีผู้ใดปรนนิบัติข้าได้ดีเท่าเจ้าเลย” ชายหนุ่มยังมีสีหน้าราบเรียบ ตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ของตนเอง“เด็กดี” หญิงสาวพลิกกายมาเกาะขอบอ่างอาบน้ำ หากจ้องมองดวงตาของนางให้ดีจะเห็นว่าดวงตาของนางมีประกายสีม่วงเข้มราวกับอัญมณีเม็ดงาม“เจ้ารับใช้ข้ามากี่ปีแล้วนะ”“ยี่สิบปีขอรับ” “ยี่สิบปีของมนุษย์แสนยาวนาน แต่สำหรับปีศาจอย่างข้าเพียงพริบตาเดียว” นางหัวเราะเบาๆ “ท่านประมุขประสงค์จะพักที่นี่หรือขอรับ” “แค่เล่นสนุกสามประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” นางหัวเราะร่วน “ข้าไม่รีบร้อนเดินทาง หรือเจ้ารีบ?” “ทุกอย่างเป็นไปตามที่ประมุขต้องการขอรับ” “อืม” นางเบ้ปากเพราะอีกฝ่ายปากหนักไม่ค่อยพูดจากับนางนัก “น้ำเย็นแล้ว ข้าจะขึ้นจากอ่างอาบน้ำแล้ว”
“ไม่เชื่อรึ” ชิงหรูเบ้ปากทำหน้าเหมือนน้อยใจ “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าของลอบไปดูที่ห้องนอนของหวังอี้สิ แล้วจะรู้ว่าสตรีมีอำนาจเหนือบุรุษได้อย่างไร” หญิงสาวไม่รอดูว่าจางลี่ตัดสินใจอย่างไร นางเดินเข้าเรือนของตนแล้วก็เดินไปนั่งบนเตียงนอน กวาดตามองในห้องแล้วเอ่ยเรียกบ่าวรับใช้ส่วนตัวให้ปรากฏกาย “กวงหมิง” “ขอรับ” บุรุษในชุดดำที่เร้นกายในมุมมืดปรากฏกาย ชิงหรูพยักหน้าเล็กน้อยกวงหมิงก็เข้าใจความหมาย เขาเดินไปนั่งคุกเข่าเบื้องหน้า ถอดรองเท้าให้นาง เท้าเปลือยเปล่าปรากฏเบื้องหน้า เขาหมุนตัวลุกไปยกอ่างน้ำอุ่นที่ตระเตรียมไว้พร้อมผ้าผืนหนึ่งมานั่งลงและบรรจงเช็ดเท้าให้นาง ปีศาจสาวยิ้มอย่างพึ่งพอใจ อยู่มาพันปี กวงหมิงนับเป็นบ่าวรับใช้ที่รู้ใจนางที่สุด ปีศาจสาวเอนหลังเล็กน้อย ขยับยกเท้าขึ้นใช้ปลายเท้าเชยปลางคางของกวงหมิงทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง “ไม่ต้องกังวลไป พวกมันไม่คู่ควรกับเรือนร่างนี้” ปีศาจราคะกล่าวแล้วพลิกตัวลงนอน เพราะนางไม่ได้ดื่มกินพลังหยางจากบุรุษ ร่างกายจึงอ่อนเพลียง่าย แต่ถึงกระนั้น นางก็มิใช่พวกกินไ
จางลี่ที่แอบมองอยู่ถึงกับใจสั่น นางไม่เคยรู้เลยว่าสองสตรีกับหนึ่งบุรุษจะร่วมรักกันได้ นางค่อยๆ ออกมาจากที่หลบซ่อน เพราะตนเองเคยเข้ามาช่วยทำความสะอาดจึงรู้ว่าควรหลบซ่อนตรงไหน นางเดินออกมาทั้งที่หว่างขาเปียกชื้น ท่าเดินของนางประหลาดนักซ้ำยังเสียวซ่านจนอยากได้อะไรมาสอดใส่ในช่องรักของตนเองนางเดินไปทีเรือนนอนของหวังหย่ง ความเขินอายหายไปเมื่อใดไม่รู้ นางเข้าห้องเขาอย่างคุ้นเคย หวังหย่งเงยหน้าจากตำรา เห็นจางลี่เดินเข้ามาก็ประหลาดใจ เขาเริ่มเบื่อจางลี่แล้วจึงไม่ค่อยเรียกนางมาปรนนิบัติ“คุณชาย...บ่าวรู้สึกไม่สบายเจ้าคะ” “เป็นอะไร” เขาถามอย่างตัดรำคาญ แต่จางลี่กลับเดินมาตรงหน้าเขา เอนกายพิงโต๊ะเล็กน้อย ส่วนเขานั่งบนเก้าอี้ มือของนางเลื่อนไปผลักหนังสือออกจากโต๊ะ แล้วค่อยเลื่อนมาจับชายกระโปรงให้ค่อยๆ ร่นขึ้น“ตรงนี้ มันแฉะเจ้าค่ะ” นางยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งวางบนหน้าตักของเขา ทำให้ภายใต้กระโปรงที่ไม่ได้สวมการเกงชั้นในเผยกลีบดอกไม้งดงามเบื้องหน้าชายหนุ่ม“มันเสียวด้วยเจ้าค่ะ แค่ข้าคิดถึงคุณชายมันก็ทั้งแฉะทั้งเสียว ข้าจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ข้าแย่งนิ้วเข้าไปแบบนี้ รัวๆ แบบนี้ๆ แรงๆ อย่างนี้ มันยังไม่ห
ตั้งแต่ถูกเลือกมาเป็นร่างทรง ชิงหรูไม่สามารถพูดจาส่งเสียงได้ นางทำแต่ได้แค่ขยับปากแต่ไร้เสียง หากไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการอ่านปากจะไม่เข้าใจนางและมักคิดว่านางเป็นใบ้หูหนวก แต่แท้ที่จริงแล้วเพราะร่างกายของนางมิใช่ของนาง นางจำได้ว่า หากเมื่อใดที่ร่างกายนี้หมดประโยชน์และมีผู้อื่นถูกเลือกเป็นร่างทรงแทนนาง ยามนั้นนางจะได้เสียงและชีวิตของนางกลับคืน แต่นางจะได้ชีวิตตัวเองคืนกลับมาเมื่อใดนั้นย่อมไม่มีวันรู้ แต่ละร่างทรงมีเวลาที่ไม่เท่ากัน บางคนนั้นแค่ไม่กี่วัน บางคนไม่กี่เดือน บางคนไม่กี่ปี แต่หลังจากไม่ได้เป็นร่างทรงแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคนเหล่านั้นใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร สำหรับชิงหรูแล้ว นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง นางจำครอบครัวของตนเองไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่นางจำได้คือมือของกวงหมินที่จับมือนางเดินเข้ามาสู่ลัทธิลิขิตจันทรา ในแต่ละปีมีเด็กกำพร้านับสิบคนที่ถูกส่งเข้ามาที่นี่ แรกๆ มาอยู่ใหม่ๆ ได้รับการใส่ใจดูแลอย่างดียิ่ง ได้กินอิ่มหนำ มีเสื้อผ้าสะอาดให้สวมใส่ มีที่ซุกหัวนอน จนไม่เหลือสภาพเด็กกำพร้าน่าเวทนา มีสาวงามถูกเลือกไว้ราวสามหรือสี่คนซึ่
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได