“คุณชาย พอเถิดเจ้าค่ะ”
เสียงหวานครางกระเส่าปากร้องห้ามแต่ร่างกายกับบิดเร่ากับสัมผัสลึกล้ำที่นิ้วเรียวงามเคลื่อนไหวรวดเร็วในร่องกลีบบุบผางาม
จางลี่คือสาวใช้คนงามวัยสิบหกของคุณชายหวังหย่ง นางถูกขายทิ้งมาเป็นสาวใช้ตั้งแต่อายุสิบสอง ตั้งแต่มาอยู่บ้านเศรษฐีหวัง ก็ไม่เคยได้กลับบ้านเดิมอีกเลย เพราะบ้านเดิมยากจนค้นแค้น เมื่อครั้งที่มาถึงใหม่ๆ รูปร่างนางผอมจนน่าเวทนา เป็นคุณชายหวังหย่ง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังที่แอบนำขนมของกินมาให้นางกินบ่อยๆ เด็กสาวจึงมอบใจทั้งใจให้ด้วยหวังว่าจะเป็นที่โปรดปรานในสักวัน ไม่คิดว่าขนมแต่ละวันที่เขานำมามอบให้นาง ครั้งละชิ้นสองชิ้นนั้น จะทำให้นางจงรักภักดีกับเขาถึงเพียงนี้ ถึงขั้นยอมให้เขาล่วงล้ำกายสาว
“ลี่เอ๋อร์” เขาเรียกนางเสียงแหบพร่า ชักนิ้วเรียวยาวออกจากร่องรักที่ฉ่ำเยิ้ม สะโพกของนางขยับตามนิ้วของเขาอย่างอาลัย เขาเห็นสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยของนาง มุมปากจึงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพลางโน้มหน้าลงไปใกล้ร่างที่อ่อนระทวยบนตั่ง
“เด็กดี เจ้าบอกสิว่ารู้สึกเช่นไร”
“บ่าว...บ่าว...”
จางลี่ได้แต่อ้ำอึ้ง เรื่องเช่นนี้จะพูดออกไปได้อย่างไร แค่นี้นางก็เขินอายเหลือเกินแล้ว เพราะคุณชายหยังหย่งเรียกนางมาให้ปรนนิบัติขณะอ่านตำรา แรกทีเดียวนางมีหน้าที่คอยอยู่รับใช้ นางมีหน้าที่รินน้ำชา ฝนหมึกหรือไปหยิบตำราตามแต่คุณชายสั่ง แต่นางไม่คิดเลยว่าวันนั้น นางเดินเข้ามาหยิบตำราให้คุณชายจะทำให้นางตกเป็นทาสบำเรอกามเช่นนี้ นางยังจดจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี
คุณชายหวังหย่งให้นางมาหยิบตำราที่จะต้องอ่านเพื่อเตรียมสอบเป็นจงหงวน นางเดินเข้ามาหาในชั้นที่อัดแน่นด้วยตำราหลากหลาย คุณชายสอนนางอ่านเขียนเล็กๆ น้อยๆ นางจึงพออ่านตัวอักษรออกบ้าง ขณะที่นางก้มๆ เงยๆ หาตำราเล่มที่คุณชายต้องการ ร่างสูงโปรงก็เข้ามาแนบชิดด้านหลัง บ่นพึมพำที่นางหาตำราเล่มที่ต้องการไม่พบเสียที นางใจสั่นเพราะไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดเช่นนี้มาก่อน และยังเป็นคุณชายหวังหย่งที่นางปลาบปลื้มอยู่เป็นทุนเดิม นางกลับเงอะงะทำอะไรไม่ถูกยิ่งฝ่ามือของคุณชายวางบนสะโพกกลมกลึงของนาง เพียงแค่นี้นางก็แทบยืนไม่อยู่จึงได้แต่เอนตัวไปด้านหน้าพิงชั้นวางตำรา เพื่อขยับกายถอยห่างไม่แต่คิดว่าร่างของคุณชายจะตามติดมาบดเบียด มีบางสิ่งที่แข็งขืนดุนดันร่องก้นของนาง
“คุณชาย” นางร้องอย่างตกใจ
“ข้าดีกับเจ้าหรือไม่ จางลี่” น้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยถามพลางเลื่อนมือข้างหนึ่งโอบทรวงอกของนาง บีบเคล้นเบาๆ เหมือนวัดขนาดของทรวงทรงที่อยู่ใต้เสื้อผ้าที่นางสวม
“ดี...ดีเจ้าค่ะ” นางเริ่มหอบหายใจ มือข้างหนึ่งของคุณชายหวังหย่งบีบเคล้นหน้าอก อีกข้างขยำก้นของนาง
“อืม น่าจะจริง” เขาพูดแล้วขบติ่งหูของนางเบาๆ “ข้าจำได้ว่าตอนเด็กๆ เจ้าผอมมาก ดูสิ เพราะข้าแอบเอาของกินมาให้เจ้ากินทุกวัน ร่างกายจึงมีเนื้อมีหนังมากขึ้น”
“คุณชาย” จางลี่รู้สึกวาบหวิว ช่องท้องปั่นป่วนอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ร้อนวูบวาบไปทั่วร่าง
“ปล่อยมือเถิดเจ้าค่ะ”
“ทำไมเล่า ข้าเลี้ยงดูเจ้ามา ก็ให้ตอบแทนบุญข้าหน่อยจะเป็นไร” มือเลื่อนมาปลดเสื้อผ้าของนางให้คลายออก เขานวดคลึงทรวงอกนุ่มนิ่มอย่างเพลิดเพลินสลับกับขยี้ปลายถัน
“อ๊า” จางลี่หลุดเสียงครางออกมา ถูกนวดคลึงจนหน้าอกเริ่มแข็งเป็นตุ่มไต
“เป็นอย่างไร เจ้า...รู้สึกอย่างไร”
จางลี่เขินอายได้แต่ส่ายหน้าไปมา นางเป็นหญิงรับใช้ที่ถูกขาดขาย ไร้ญาติพี่น้อง หากเจ้านายพึ่งพอใจ ก็อาจขยับฐานะให้นางได้
หวังหย่งเห็นนางไม่พูดจึงเพิ่มแรงนวดคลึงทรวงอกของนาง อ่า..แต่ยังนวดก็ยิ่งเพลิดเพลิน มิน่าเล่า สหายของเขาจึงชอบไปหอนางโลมกันนัก แต่เขาเป็นบุรุษรักสะอาด จึงเลือกระบายความใคร่กับหญิงรับใช้ในบ้านแทน แต่ก่อนเข้าไม่ได้ใส่ใจจางลี่นัก แต่นับวันนางเติบโตและอวบอัดจนน่าลิ้มลอง เขาป้อนขนมของกินให้นางกินทุกวัน เช่นนี้แล้วเขาย่อมมีสิทธิ์ได้กลืนกินนางเช่นกัน
“เด็กดี เจ้าจะตอบข้าได้หรือยัง”
“สะ เสียว...เสียวเจ้าค่ะ” นางแทบจะร้องไห้ออกมา ร่างกายไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน รับรู้เพียงว่ากระโปรงถูกตลบขึ้นแล้วกางเกงชั้นในตัวน้อยก็ถูกเลื่อนลงมา
“คุณชาย” นางร้องเสียงหลงหันไปมอง แต่กลับถูกมือใหญ่กดท้ายทอยไว้ไม่ให้หันกลับมา นางเบิกตากว้างเมื่อมือของคุณชายลูบไล้กลีบบุปผาของนาง นางส่งเสียงครางอือราวคนละเมอจนกระทั้งนิ้วเรียวแหวกกลีบบุปผาแทรกเข้าไปในช่องรักที่ฉ่ำแฉะ
“อะไรกัน เจ้าเปียกชุ่มง่ายถึงเพียงนี้” หวังหย่งหัวเราะในลำคออย่างพอใจ แค่กระตุ้นนางเล็กน้อย ช่องรักของนางก็เปียกชุ่มแล้ว
“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ อือ..อา...” นางครางอย่างห้ามใจไม่ได้ แรกทีเดียวคือความเจ็บต่อมาเมื่อเขาชักนิ้วออกแล้วดันกลับเข้าไปใหม่ เกิดสัมผัสแปลกประหลาด เสียวซ่านไปทั่วร่าง อ่อนไหวจนร่างกายอ่อนระทวย
“ดีแล้ว” เขาชักนิ้วเข้าออกรัวเร็ว ปล่อยมือจากท้ายทอยของนางมาบีบเคล้นทรวกอกเต่งตึง “แท่งหยกของข้าจะได้มุดเข้าช่องรักของเจ้าโดยง่าย”
“อะไรนะเจ้าคะ” นางถามเสียงแผ่ว อึดใจต่อมานางจึงได้คำตอบเมื่อแท่งหยกร้อนระอุของคุณชายหวังหย่งแทรกเข้ามาในร่างกายของนาง
“อ๊า” ครั้งนี้เจ็บกว่าใช้นิ้วยิ่งนัก นางร้องครางสะบัดหน้าไปมาด้วยเสียวซ่าน “คุณชาย บ่าวเจ็บ”
“เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น” เขาครางในลำคอ “แน่นเหลือเกิน ยังไม่มีผู้ใดแตะต้องเจ้าสินะ”
“บ่าว....โอ้ววว คุณชาย ท่าน...ท่าน...ลึกเกินไปแล้ว ข้า..จุกเหลือเกิน”
จางลี่ร้องออกมา ไม่แน่ใจว่าตนเองชอบหรือไม่ คุณชายดึงสะโพกของนางแล้วโยกสะโพกเข้าใส่ ร่างของนางโยกไปมาตามแรงกระแทกกระทั่น จากที่เจ็บกลายเป็นเสียวซ่าน นางซูดปากเผ็ดร้อน สองมือจับชั้นวางตำราแน่นเผื่อพยุงตัวรับแรงกระแทก ดอกไม้สาวน้ำหวานหลั่งออกมามาก การเคลื่อนไหวของแท่งหยกจึงเข้าและออกได้อย่างสะดวก
“คุณชาย ช้าลงหน่อย บ่าว บ่าวไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”
“ช้าได้อย่างไร” เขาครางกระเส่าโยกเอวอัดใส่ไม่ละความเร็วลงสักนิด “ช่องรักของเจ้าโอบรัดแท่งหยกข้าถึงเพียงนี้ ซี๊ดดด เสียวยิ่งนัก ข้าจะกระทุ้งเจ้าให้หายอยาก”
“โอ๊วว คุณชาย” จางลี่ร้องเสียงหลงเมื่อขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นแล้วท่อนแขนของคุณชายก็สอดมายกขาของนางค้างไว้ “เสียวเหลือเกิน บ่าว บ่าวจะไม่ไหวแล้ว...อือ อร๊ายยย”
หวังหย่งได้ยินเสียงหวีดร้องของหญิงรับใช้ ช่องรักของนางบีบรัดแท่งหยกของเขาอย่างรุนแรง นางเสร็จสมไปแล้ว เขาแหงนหน้าครางแล้วเร่งความเร็วขึ้นอีก เร็วอีก แรงอีก เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเคล้าเสียงครางกระเส่า จนกระทั้งหวังหย่งรู้ว่าตนเองใกล้จะปลดปล่อยน้ำรักออกมาแล้วจึงรีบชักแท่งหยกออกมา ร่างของจางลี่ไร้เรี่ยวแรงทรงตัว เพียงหวังหย่งปล่อยมือจากนาง ร่างของนางก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“อ้าปาก”
จางลี่ยังมึนงงอยู่แต่ก็อ้าปากตามที่คุณชายสั่ง แล้วแท่งหยกก็ถูกส่งเข้าปากไปอย่างรวดเร็ว
“อย่ากัด” เขาขู่ไว้ก่อน “อย่าฟันของเจ้าถูกแท่งหยกของข้า อา.. ใช่แล้ว อ้าปากไว้ ซี๊ด ปากของเจ้าก็ทำข้าเสียวซ่านถึงเพียงนี้
จางลี่แทบตาเหลือกเมื่อแท่งหยกเคลื่อนไหวในโพรงปาก สองมือของหวังหมิ่นจับศีรษะของนางไว้เพื่อรับการอัดสะโพกเข้าใส่ปากนาง จนกระทั้งเขากระแทกอัดแท่งหยกเข้าในโพรงปากนุ่มแล้วไม่ชักกลับ ปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นใส่ปากของนาง นางสำลักอยากจะคายออกแต่ทำไม่ได้เพราะแท่งหยกของคุณชายยังกระตุกในปากของนางจนมันนิ่งสงบแล้ว หวังหย่งจึงยอมถอนแท่งหยกออกจากปากของนาง มือใหญ่ยื่นมาลูบแก้มนวลเบาๆ
“เด็กดี เจ้าเป็นของข้าแล้วนะ”
“เจ้าค่ะ บ่าวเป็นของคุณชายแล้ว”
นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของจางลี่ นางยังสาวและสดใหม่ คุณชายหวังหย่งจึงเรียกนางมาปรนนิบัติอยู่บ่อยครั้ง เช่นเดียวกับวันนี้ แม้เป็นกลางวันแสกๆ แต่หากคุณชายเรียกตัว นางก็ต้องข่มกลั้นความเขินอายมาปรนนิบัติคุณชาย
หวังหย่งมองร่างเกือบเปลือยของสาวใช้ที่บิดกายเร่าๆ ด้วยความพอใจ เขาชักนิ้วเรียวออกจากร่องรักที่เปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำหวานแล้วแทรกเข้าไปในโพรงปากที่เผยออ้าส่งเสียงคราง ให้นางได้ลิ้มรสชาติน้ำรักของตนเอง นางทำตัวเป็นนกน้อยเมื่อถูกป้อนสิ่งใดเข้าปากก็ดูดกลืนอย่างหิวโหย ขณะเดียวกันนั้นเอง หวังหย่งก็จับเรียวขางามให้แยกออกกว้างแล้วกดแท่งหยกเข้าร่องรักพรวดเดียวมิดด้าม! “อ๊า!” จางลี่อ้าปากหวีดร้องเมื่อถูกกระทุ้งเข้าจนจุก “คุณชาย...ซี๊ดดด”“เป็นอย่างไร” เขาถามทั้งที่ขยับสะโพกโยกใส่อย่างเมามัน เขาก้มมองแท่งหยกของตนที่เข้าออกรัวเร็ว ไม่สนใจว่ากลีบเนื้อนุ่มจะบวมแดงเพราะแรงกระแทกกระทั้นไม่ปรานีของเขา“เสียวเจ้าค่ะ” จางลี่ถูกความเสียวซ่าครอบงำไปทั่วร่าง นางได้แต่นอนบิดกายไปมาปล่อยให้คุณชายเคลื่อนไหวตามใจจนกระทั่งร่างของนางเกร็งกระตุกด้วยถูกกระตุ้นให้ถึงจุดสุดยอด “อือ...อ๊า กรี๊ดดดด”“โอ้ว ข้าเสร็จแล้ว เสร็จ...อา” เสียงครางยาวอย่างสุขสมพร้อมกับการดึงแท่งหยกออกมารีดพิษลงบนหน้าท้องของนาง เขามองนางหอบหายใจด้วยความพึ่งพอใจ ยื่นมือไปแตะแก้มนวลเบาๆ “เด็กดี อย่าลืมทำความสะอาดห้องเรียบร้อย
“ลุกขึ้นแล้วมาปรนนิบัติข้า” นางเบ้ปากไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ชายผู้นั้นเมื่อลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จึงเห็นได้ชัดว่ารูปร่างของเขาสูงใหญ่เพียงใด ‘กวงหมิง’ เดินเข้ามาแล้วยื่นมือไปหยิบผ้าผืนหนึ่งมาแล้วยื่นมือไปจับเรียวแขนงามของหญิงสาวขึ้นจากน้ำบรรจงขัดผิวให้นางอย่างแผ่วเบา “อา...” หญิงสาวส่งเสียงครางอย่างพอใจ “ไม่มีผู้ใดปรนนิบัติข้าได้ดีเท่าเจ้าเลย” ชายหนุ่มยังมีสีหน้าราบเรียบ ตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ของตนเอง“เด็กดี” หญิงสาวพลิกกายมาเกาะขอบอ่างอาบน้ำ หากจ้องมองดวงตาของนางให้ดีจะเห็นว่าดวงตาของนางมีประกายสีม่วงเข้มราวกับอัญมณีเม็ดงาม“เจ้ารับใช้ข้ามากี่ปีแล้วนะ”“ยี่สิบปีขอรับ” “ยี่สิบปีของมนุษย์แสนยาวนาน แต่สำหรับปีศาจอย่างข้าเพียงพริบตาเดียว” นางหัวเราะเบาๆ “ท่านประมุขประสงค์จะพักที่นี่หรือขอรับ” “แค่เล่นสนุกสามประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น” นางหัวเราะร่วน “ข้าไม่รีบร้อนเดินทาง หรือเจ้ารีบ?” “ทุกอย่างเป็นไปตามที่ประมุขต้องการขอรับ” “อืม” นางเบ้ปากเพราะอีกฝ่ายปากหนักไม่ค่อยพูดจากับนางนัก “น้ำเย็นแล้ว ข้าจะขึ้นจากอ่างอาบน้ำแล้ว”
“ไม่เชื่อรึ” ชิงหรูเบ้ปากทำหน้าเหมือนน้อยใจ “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าของลอบไปดูที่ห้องนอนของหวังอี้สิ แล้วจะรู้ว่าสตรีมีอำนาจเหนือบุรุษได้อย่างไร” หญิงสาวไม่รอดูว่าจางลี่ตัดสินใจอย่างไร นางเดินเข้าเรือนของตนแล้วก็เดินไปนั่งบนเตียงนอน กวาดตามองในห้องแล้วเอ่ยเรียกบ่าวรับใช้ส่วนตัวให้ปรากฏกาย “กวงหมิง” “ขอรับ” บุรุษในชุดดำที่เร้นกายในมุมมืดปรากฏกาย ชิงหรูพยักหน้าเล็กน้อยกวงหมิงก็เข้าใจความหมาย เขาเดินไปนั่งคุกเข่าเบื้องหน้า ถอดรองเท้าให้นาง เท้าเปลือยเปล่าปรากฏเบื้องหน้า เขาหมุนตัวลุกไปยกอ่างน้ำอุ่นที่ตระเตรียมไว้พร้อมผ้าผืนหนึ่งมานั่งลงและบรรจงเช็ดเท้าให้นาง ปีศาจสาวยิ้มอย่างพึ่งพอใจ อยู่มาพันปี กวงหมิงนับเป็นบ่าวรับใช้ที่รู้ใจนางที่สุด ปีศาจสาวเอนหลังเล็กน้อย ขยับยกเท้าขึ้นใช้ปลายเท้าเชยปลางคางของกวงหมิงทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง “ไม่ต้องกังวลไป พวกมันไม่คู่ควรกับเรือนร่างนี้” ปีศาจราคะกล่าวแล้วพลิกตัวลงนอน เพราะนางไม่ได้ดื่มกินพลังหยางจากบุรุษ ร่างกายจึงอ่อนเพลียง่าย แต่ถึงกระนั้น นางก็มิใช่พวกกินไ
จางลี่ที่แอบมองอยู่ถึงกับใจสั่น นางไม่เคยรู้เลยว่าสองสตรีกับหนึ่งบุรุษจะร่วมรักกันได้ นางค่อยๆ ออกมาจากที่หลบซ่อน เพราะตนเองเคยเข้ามาช่วยทำความสะอาดจึงรู้ว่าควรหลบซ่อนตรงไหน นางเดินออกมาทั้งที่หว่างขาเปียกชื้น ท่าเดินของนางประหลาดนักซ้ำยังเสียวซ่านจนอยากได้อะไรมาสอดใส่ในช่องรักของตนเองนางเดินไปทีเรือนนอนของหวังหย่ง ความเขินอายหายไปเมื่อใดไม่รู้ นางเข้าห้องเขาอย่างคุ้นเคย หวังหย่งเงยหน้าจากตำรา เห็นจางลี่เดินเข้ามาก็ประหลาดใจ เขาเริ่มเบื่อจางลี่แล้วจึงไม่ค่อยเรียกนางมาปรนนิบัติ“คุณชาย...บ่าวรู้สึกไม่สบายเจ้าคะ” “เป็นอะไร” เขาถามอย่างตัดรำคาญ แต่จางลี่กลับเดินมาตรงหน้าเขา เอนกายพิงโต๊ะเล็กน้อย ส่วนเขานั่งบนเก้าอี้ มือของนางเลื่อนไปผลักหนังสือออกจากโต๊ะ แล้วค่อยเลื่อนมาจับชายกระโปรงให้ค่อยๆ ร่นขึ้น“ตรงนี้ มันแฉะเจ้าค่ะ” นางยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งวางบนหน้าตักของเขา ทำให้ภายใต้กระโปรงที่ไม่ได้สวมการเกงชั้นในเผยกลีบดอกไม้งดงามเบื้องหน้าชายหนุ่ม“มันเสียวด้วยเจ้าค่ะ แค่ข้าคิดถึงคุณชายมันก็ทั้งแฉะทั้งเสียว ข้าจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ข้าแย่งนิ้วเข้าไปแบบนี้ รัวๆ แบบนี้ๆ แรงๆ อย่างนี้ มันยังไม่ห
ตั้งแต่ถูกเลือกมาเป็นร่างทรง ชิงหรูไม่สามารถพูดจาส่งเสียงได้ นางทำแต่ได้แค่ขยับปากแต่ไร้เสียง หากไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการอ่านปากจะไม่เข้าใจนางและมักคิดว่านางเป็นใบ้หูหนวก แต่แท้ที่จริงแล้วเพราะร่างกายของนางมิใช่ของนาง นางจำได้ว่า หากเมื่อใดที่ร่างกายนี้หมดประโยชน์และมีผู้อื่นถูกเลือกเป็นร่างทรงแทนนาง ยามนั้นนางจะได้เสียงและชีวิตของนางกลับคืน แต่นางจะได้ชีวิตตัวเองคืนกลับมาเมื่อใดนั้นย่อมไม่มีวันรู้ แต่ละร่างทรงมีเวลาที่ไม่เท่ากัน บางคนนั้นแค่ไม่กี่วัน บางคนไม่กี่เดือน บางคนไม่กี่ปี แต่หลังจากไม่ได้เป็นร่างทรงแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคนเหล่านั้นใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร สำหรับชิงหรูแล้ว นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง นางจำครอบครัวของตนเองไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่นางจำได้คือมือของกวงหมินที่จับมือนางเดินเข้ามาสู่ลัทธิลิขิตจันทรา ในแต่ละปีมีเด็กกำพร้านับสิบคนที่ถูกส่งเข้ามาที่นี่ แรกๆ มาอยู่ใหม่ๆ ได้รับการใส่ใจดูแลอย่างดียิ่ง ได้กินอิ่มหนำ มีเสื้อผ้าสะอาดให้สวมใส่ มีที่ซุกหัวนอน จนไม่เหลือสภาพเด็กกำพร้าน่าเวทนา มีสาวงามถูกเลือกไว้ราวสามหรือสี่คนซึ่
ภายใต้แสงสลัวของราตรีกาล เจ้าของร่างกำยำพลิกตัวกระสับกระส่ายบนเตียงตั่งมุมหนึ่งของห้องพัก เขาลืมตาขึ้นในความมืดมองไปยังเตียงหลังนั้นที่ม่านมุ้งยังปิดสนิทไม่มีทีท่าว่าคนด้านในจะตื่นขึ้นมา กวงหมินนอนหงายยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก พลางถอนหายใจหนักหน่วง ในความจริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนหลับก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เขาหาใช่มนุษย์และไม่ใช่ทั้งปีศาจ ร่างกายนี้มิใช่ของเขานับตั้งแต่ตนเองขายวิญญาณแลกกับเงื่อนไขบางอย่างไปแล้ว หากท่านประมุขไม่ยินยอมให้เขาตาย เขาก็ไม่อาจตายได้ เขาเป็นเพียงทาสรับใช้ ซึ่งไม่แตกต่างผู้อื่นที่อยู่ในลัทธิลิขิตจันทรา แต่เดิมเขาเป็นมือสังหารฆ่าคนโดยไม่ถามเหตุผล รู้เพียงเป้าหมายและต้องสำเร็จเท่านั้น เขาเคยทำข้อแลกเปลี่ยนกับท่านประมุขมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง เขารู้ดีว่าหากได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้วจะต้องสูญเสียบางอย่างไป คราวนั้นเขาต้องการเป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง แข็งแกร่งที่สุดจึงยอมพลีกายปรนเปรอปีศาจราคะที่ยามนั้นใช้หญิงสาวผู้หนึ่งเป็นร่างทรง หลังจากนั้นแล้ว เขามีปราณกล้าแกร่งยิ่งขึ้น โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมหลายร้อยหลายพันเท่า เขาไม่ต่างจากปีศาจร้าย กระหายการฆ่าค
‘กวงหมิน?’ “ไม่มีอะไร เจ้านอนเถิด” ‘ข้า...’ “อย่าดื้อ!” ชิงหรูชะงักไป ดวงตาของนางถูกฝ่ามือของกวงหมินปิดไว้และเพียงครู่เดียวนางก็รู้สึกได้ว่าเขาตวัดผ้าห่มห่อนางเอาไว้แล้วให้นางนอนตะแคงโดยที่เขากอดนางจากด้านหลัง บางสิ่งที่แข็งแกร่งดันร่องก้นของนาง นางไม่ใช่หญิงสาวไม่ประสีประสา เพื่อเตรียมพร้อมเป็นร่างทรงของปีศาจราคะ กวงหมินเคยเอาหนังสือภาพวังวสันต์ให้นางศึกษา เช่นเดียวกับนางโลมหรือหญิงคณิกาที่ต้องศึกษาเรื่องเหล่านี้เพื่อเอาใจบุรุษ ชิงหรูรู้ว่าเมื่อบุรุษมีความต้องการและข่มสะกดกลั้นไว้จะรู้สึกไม่สบายตัว แม้ทุกครั้งที่ปีศาจราคะใช้ร่างกายนาง นางจะไม่รู้สึกและจำสิ่งใดไม่ได้ แต่นางก็รู้ว่า....ถ้า... ‘กวงหมิง...’ นางรอฟังเสียงขานรับจากเขา ได้รับรู้ได้เพียงลมหายใจที่ร้อนระอุ ‘กวงหมิน...หากเจ้า...เจ้าต้องการ...ข้ายินดี...’ “เจ้าไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา” เขาตวาดแล้วผละจากร่างที่กอดอยู่แล้วลุกขึ้นยืน ‘ข้าย่อมรู้...’ นางตอบแล้วพลิกตัวหันมามองเขา แต่เพราะเขาห่อนางแน่นหนาด้วยผ้าห่มจึงขยับตัวลุกขึ้นมานั
ชิงหรูผ่อนลมหายใจยาวเมื่อบรรเลงเพลงพิณจบแล้ว นางกวาดตามองผู้ที่นั่งฟังเพลงพิณของนาง นางรออยู่ครู่หนึ่ง หญิงรับใช้ในอาภรณ์บางเบาเย้ายวนเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้นยืน นางเดินออกไปท่ามกลางเสียงพูดคุยสวนทางกับผู้ดูแลนาม ‘อันฉี’ อันฉีหลุบตาลงเล็กน้อยไม่สบตากับชิงหรู อันฉีรู้ดีว่าชิงหรูมีฐานะใด ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ร่างทรงของปีศาจราคะขุ่นเคืองใจ ชิงหรูรู้ว่าหอนางโลมใหญ่ๆ ในหลายเมืองเป็นสาขาของลัทธิลิขิตจันทรา เหล่าสาวกล้วนต้องการพลังหยินและหยาง บุรุษต้องการพลังหยิน สตรีต้องการพลังหยาง พวกเขาบำเพ็ญตบะด้วยการเสพสมปรนเปรอสวาท ด้วยนางเป็นร่างทรงของท่านประมุข จึงต้องเดินทางไปทั่ว ผู้อื่นที่ไม่ใช่คนระดับสูงในสำนักเข้าใจไปว่านางคือ ‘อี้จี้’ สตรีที่ขายศิลปะในหอนางโลมแต่มิได้ขายเรือนร่าง ส่วน ‘เซ่อจี้’ นั้นขายร่างกาย หญิงรับใช้ประคองนางเดินกลับมาที่เรือนรับรองพิเศษที่เตรียมไว้สำหรับท่านประมุข นางกวาดตามองหากวงหมิน นับตั้งแต่คืนนั้น เขาซึ่งเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วกลับแทบไม่พูดอะไรกับนางเลย นางรู้ฐานะตนเองดีว่าไม่ควรเซ้าซี้ถามอะไร และเมื่อเห็นเขากลับมาข้างกายนาง นางก็เบาใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได