“ไม่เชื่อรึ” ชิงหรูเบ้ปากทำหน้าเหมือนน้อยใจ “เช่นนั้นคืนนี้เจ้าของลอบไปดูที่ห้องนอนของหวังอี้สิ แล้วจะรู้ว่าสตรีมีอำนาจเหนือบุรุษได้อย่างไร”
หญิงสาวไม่รอดูว่าจางลี่ตัดสินใจอย่างไร นางเดินเข้าเรือนของตนแล้วก็เดินไปนั่งบนเตียงนอน กวาดตามองในห้องแล้วเอ่ยเรียกบ่าวรับใช้ส่วนตัวให้ปรากฏกาย
“กวงหมิง”
“ขอรับ”
บุรุษในชุดดำที่เร้นกายในมุมมืดปรากฏกาย ชิงหรูพยักหน้าเล็กน้อยกวงหมิงก็เข้าใจความหมาย เขาเดินไปนั่งคุกเข่าเบื้องหน้า ถอดรองเท้าให้นาง เท้าเปลือยเปล่าปรากฏเบื้องหน้า เขาหมุนตัวลุกไปยกอ่างน้ำอุ่นที่ตระเตรียมไว้พร้อมผ้าผืนหนึ่งมานั่งลงและบรรจงเช็ดเท้าให้นาง
ปีศาจสาวยิ้มอย่างพึ่งพอใจ อยู่มาพันปี กวงหมิงนับเป็นบ่าวรับใช้ที่รู้ใจนางที่สุด ปีศาจสาวเอนหลังเล็กน้อย ขยับยกเท้าขึ้นใช้ปลายเท้าเชยปลางคางของกวงหมิงทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นสบตากับนาง
“ไม่ต้องกังวลไป พวกมันไม่คู่ควรกับเรือนร่างนี้”
ปีศาจราคะกล่าวแล้วพลิกตัวลงนอน เพราะนางไม่ได้ดื่มกินพลังหยางจากบุรุษ ร่างกายจึงอ่อนเพลียง่าย แต่ถึงกระนั้น นางก็มิใช่พวกกินไม่เลือก อย่างน้อยก็เลือกว่าจะกินอะไรดี หรือถ้าหิวขึ้นมาจริง ‘กวงหมิง’ ก็ไม่เลวนัก เท่าที่เคยให้เขาปรนนิบัตินางก็ทำให้นางพึงพอใจได้ เพียงแค่ไม่ค่อยสนุกกับคนหน้าตายอย่างเขานัก
กวงหมิงเห็นนายหญิงไม่สนใจเขาแล้ว นางพลิกตัวแล้วปิดเปลือกตาหลับใหล ชายหนุ่มหยิบผ้าห่มคลี่คลุมร่างบอบบางแล้วปลดม่านมุ้งลงแล้วถอยห่างเร้นกายในมุมมืด เขาเอนหลังพิงผนังห้อง มองเงาร่างหลังม่านที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ระบายลมหายใจเบาๆ พลางคิดถึงเหตุผลที่เขาต้องกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจเช่นนี้มันเป็นหนทางที่เขาเลือกแล้ว ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็เลือกจะเป็นเช่นนี้อยู่ดี
.......
ภายใต้การเคลื่อนไหวในห้องนอนของเศรษฐีหวังอี้
คืนนี้หวังอี้ต้องไปนอนค้างคืนที่ห้องของหูเตี๋ย ซึ่งยามนี้นางรอปรนนิบัติสามีแล้ว เพราะดื่มสุราเข้าไปมากและมีความปรารถนาต่อชิงหรู เมื่อเข้าห้องมาก็คว้าหูเตี๋ยไปกอดจูบลูบคลำ เสื้อผ้ายังถอดออกไม่หมดก็จับตลบกระโปรงของหูเตี๋ยขึ้นหมายจะจ้วงแทงแท่งหยกทันที
“ท่านพี่ ประเดี๋ยวก่อน” นางยังไม่ทันเตรียมตัว ช่องรักยังแห้งผาก เกรงจะได้รับบาดเจ็บ
“เจ้าไม่ยินยอมข้าจะไปหาเหมยกุ้ย”
“มะ ไม่ใช่ แต่ แต่ว่า”
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ทั้งสองหันไปมองอย่างตกใจ เป็นร่างของเหมยกุ้ยที่เข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน แต่หูเตี๋ยหน้าตึงขึ้นมาทันที
“เจ้าเข้ามาทำไม วันนี้วันของข้ากับท่านพี่!”
“ข้ารู้ๆ”
เหมยกุ้ยกล้ำกลืนความอับอายลงท้องไปหมดสิ้น นางเดินเข้าไปหาช้าๆ ในห้องยังไม่ได้ดับเทียน จึงเห็นเรือนร่างของเหมยกุ้ยที่ดูแลตัวเองอย่างดีไม่มีหย่อนคล้อย นางปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกที่ละชิ้นจนเมื่อไปหยุดที่หูเตี๋ย ก็เหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าแล้ว
“เราสองคนเป็นภรรยาของท่านพี่ หน้าที่ของภรรยาคือปรนนิบัติสามี เหตุใดต้องคอยแบ่งวันกันในเมื่อเราอยู่ด้วยกันสามคนก็ได้”
“เจ้าพูดอะไรออกมา” หูเตี๋ยหน้าแดง แต่เหมยกุ้ยยื่นมือมาช่วยถอดเสื้อผ้าของหูเตี๋ยออก
“ข้าพูดอะไรเจ้าย่อมรู้ดี เราเป็นพี่น้องกัน เรื่องเช่นนี้ควรช่วยเหลือกัน ท่านพี่ก็คิดเช่นนั้นใช่หรือไม่”
เหมยกุ้ยช้อนตามองสามีที่จ้องมองนางตาเป็นมัน ทำให้รู้สึกราวกับเป็นเด็กสาวอีกครั้ง นางปีนขึ้นไปบนเตียง นั่งซ้อนด้านหลังหูเตี๋ยใช้สองมือลูบไล้ทรวงอกของหูเตี๋ยอย่างยั่วยวนสายตาของหวังอี้
หากไม่ร่วมมือกันให้ความสุขสำราญกับสามี ไม่ว่าวันหนึ่งวันใดสามีย่อมต้องรับอนุเข้ามาเพิ่ม เด็กสาวสวยๆ ที่ทำให้พวกนางต้องไร้ค่า แม้มีตำแหน่งเป็นฮูหยินแต่ไม่ได้รับความรักจากสามี ช่างน่าเศร้านัก
หูเตี๋ยถูกเหมยกุ้ยลูบไล้ก็ปล่อยเสียงครางอย่างลืมตัว นานแล้วที่ร่างกายไม่ได้รับการใส่ใจเช่นนี้ สามีมักมาถึงกับสอดแท่งหยกในทันที ไร้การเล้าโลม บ่อยครั้งที่นางแอบปลอบดอกไม้สาวของตนเอง นางนั่งเอนหลังพิงกายนุ่มนิ่มของเหมยกุ้ย ทรวงอกอวบอิ่มแนบแผ่นหลัง สองขาแยกออก มือเรียวของเหมยกุ้ยแหวกพงหญ้าที่ตบแต่งอย่างดีแทรกนิ้วเรียวเข้าไป
หวังอี้เห็นภาพเบื้องหน้าแล้ว แท่งหยกยิ่งร้อนระอุ เขารีบถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วเข้าไปใกล้ภรรยาที่ยังสาวสวยอยู่
“ท่านพี่ มาทางนี้สิเจ้าคะ” เหมยกุ้ยเรียกขณะที่ซอยนิ้วเร่งเร้าในร่องของหูเตี๋ย นางให้หวังอี้ขึ้นมายืนบนเตียง นางอ้าปากแลบลิ้นเลียฝีปากอย่างหิวกระหาย โดยไม่รอช้า หวังอี้จับแท่งหยกของตนเข้าปากน้อยๆ ของเหมยกุ้ย
“อา...ดี ดียิ่ง เลียอีก ดูด...ดูดแรงๆ เหมยกุ้ย เหตุใดข้าไม่รู้ว่าเจ้าดูดเลียแท่งหยกได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
หูเตี๋ยที่ถูกปลุกเร้าจนสิ้นอาย เห็นหวังอี้โยกเอวใส่ปากของเหมย กุ้ยก็อยากชิมบาง นางจับมือของเหมยกุ้ยแล้วพลิกตัวเป็นท่าคลานเข่าเข้าไปเลียลูกกลมๆ ที่โยกไปมานั้น เหมยกุ้ยถอนรินฝีปากออกให้หูเตี๋ยได้ชิมรสชาติบุรุษบ้าง หวังอี้เสียวซ่านจับศีรษะของหูเตี่ยแล้วโยกสะโพกรัวเร็ว
“โอ้ววว เสียวนัก ช่างดีอะไรอย่างนี้”
เหมยกุ้ยจับหูเตี่ยในท่าคลานยกสะโพกของนางขึ้น แล้วนางก็มุดลงไปใช้ลิ้นละเลงกับกลีบดอกไม้ที่หลั่งน้ำหวานไหลเยิ้ม หูเตี๋ยเสียวซ่านจนร่างกายกระตุกเป็นจังหวะเดียวกับที่หวังอี้ปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่นระลอกแรกออกมาจนเปื้อนเปรอะใบหน้า หวังอี้ถอนแก่นกายออกจากโพรงปาก เหมยกุ้ยถอนลิ้นออกจากร่องรัก หูเตี๋ยทิ้งตัวนอนแผ่หราแต่เหมยกุ้ยปีนป่ายไปบนร่างที่เปื้อนน้ำรัก ดูดเลียคราบขาวขุ่นจนทำให้ร่างของหูเตี๋ยบิดเร่าด้วยความเสียวซ่าน ภาพที่เห็นทำให้แท่งหยกของหวังอี้ตั้งตรงขึ้นมาอีก เขาเข้าด้านหลังของเหมยกุ้ยที่กระดกก้นขึ้นยั่วสายตาของหวังอี้ สองมือบีบแก้มก้นกลมกลึงให้แยกออกเผยให้เห็นช่องรักที่เปียกชุ่ม เขาจับท่อนเอ็นทิ่มพราดเข้าไปทีเดียวมิดด้าม
“อร๊ายยย ท่านพี่ ท่านใหญ่เหลือกิน ลึกยิ่งนัก อา ซี๊ด”
“ดีหรือไม่” เขาถามถอดแก่นกายออกจนเกือบสุดแล้วกระแทกกลับไปใหม่ ช่องรักของนางตอดรัดจนเขาต้องแหงนหน้าครางออกมา
“ดียิ่งเจ้าค่ะ” นางขมิบตอดรัด ทั้งปากทั้งมือยังวุ่นวนกับทรวงอกของหูเตี๋ย
“ข้าเสียว” หูเตี๋ยอดไม่ได้ครางออกมา นางบดเบียดโหนกเนื้อของตนกับเหมยกุ้ย ด้านบนก็โยกคลอนเพราะแรงกระแทกกระทั้นของหวังอี้
“มาเถิดเมียรัก” เขาถอนแก่นกายที่เปียกคราบน้ำรักวาววับ จับเมียทั้งสองให้อยู่ในท่าคลานเข่าแล้วสอดแก่นกายเข้าไปในร่องร้อนของหูเตี๋ย ส่วนอีกมือก็แย่งนิ้วในร่องของเหมยกุ้ย
“นายท่าน เรี่ยวแรงท่านมหาศาลนัก เสียวซ่านเหลือเกิน อา”
หูเตี๋ยครางจนเสียงแหบ นางไม่เคยเสียวซ่านในรสรักเช่นนี้มาก่อน หวังอี้ได้ยินเสียงครางยิ่งคึกราวม้าคลั่งถอดแก่นกายออกทิ่มแทงในร่องของเหมยกุ้ยแล้วแหย่งนิ้วเข้าไปในร่องของหูเตี๋ย
“โอ้วว นายท่าน แท่งหยกท่านชนมดลูกของข้าแล้ว” เหมยกุ้ยร้องไม่หยุดปาก โดนกระแทกรัวๆ แรงๆ หนักๆ เน้นๆ จนร่างกายกระตุกไปอีกรอบ
“นายท่าน! ข้า! ข้าเสร็จ..เสร็จคานิ้วท่านแล้ว”
หวังอี้เองก็ทนไม่ไหว หลั่งน้ำรักออกมาอีกครั้ง เขาดึงมันออกมาปล่อยให้รินรดที่ก้นงามงอน แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอน ซ้ายมีเหมยกุ้ย ขวามีหูเตี๋ย
“ดีจริงที่เจ้าสองคนพี่น้องเป็นเช่นนี้”
เหมยกุ้ยกับหูเตี๋ยที่แต่เดิมไม่ค่อยถูกกันนัก แต่ยามนี้ทั้งสองมองตากันยิ้ม และโดยไม่ต้องพูดอะไร หูเตี๋ยเคลื่อนตัวลงไปปลุกเร้าแท่งหยกด้วยปาก ส่วนเหมยกุ้ยจูบที่ยอดอกของหวังอี้ ดูดดึงเม็ดเล็กๆ นั้นในปาก แต่ทำให้หวังอี้ครางระงมออกมา
จางลี่ที่แอบมองอยู่ถึงกับใจสั่น นางไม่เคยรู้เลยว่าสองสตรีกับหนึ่งบุรุษจะร่วมรักกันได้ นางค่อยๆ ออกมาจากที่หลบซ่อน เพราะตนเองเคยเข้ามาช่วยทำความสะอาดจึงรู้ว่าควรหลบซ่อนตรงไหน นางเดินออกมาทั้งที่หว่างขาเปียกชื้น ท่าเดินของนางประหลาดนักซ้ำยังเสียวซ่านจนอยากได้อะไรมาสอดใส่ในช่องรักของตนเองนางเดินไปทีเรือนนอนของหวังหย่ง ความเขินอายหายไปเมื่อใดไม่รู้ นางเข้าห้องเขาอย่างคุ้นเคย หวังหย่งเงยหน้าจากตำรา เห็นจางลี่เดินเข้ามาก็ประหลาดใจ เขาเริ่มเบื่อจางลี่แล้วจึงไม่ค่อยเรียกนางมาปรนนิบัติ“คุณชาย...บ่าวรู้สึกไม่สบายเจ้าคะ” “เป็นอะไร” เขาถามอย่างตัดรำคาญ แต่จางลี่กลับเดินมาตรงหน้าเขา เอนกายพิงโต๊ะเล็กน้อย ส่วนเขานั่งบนเก้าอี้ มือของนางเลื่อนไปผลักหนังสือออกจากโต๊ะ แล้วค่อยเลื่อนมาจับชายกระโปรงให้ค่อยๆ ร่นขึ้น“ตรงนี้ มันแฉะเจ้าค่ะ” นางยกเท้าขึ้นข้างหนึ่งวางบนหน้าตักของเขา ทำให้ภายใต้กระโปรงที่ไม่ได้สวมการเกงชั้นในเผยกลีบดอกไม้งดงามเบื้องหน้าชายหนุ่ม“มันเสียวด้วยเจ้าค่ะ แค่ข้าคิดถึงคุณชายมันก็ทั้งแฉะทั้งเสียว ข้าจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ ข้าแย่งนิ้วเข้าไปแบบนี้ รัวๆ แบบนี้ๆ แรงๆ อย่างนี้ มันยังไม่ห
ตั้งแต่ถูกเลือกมาเป็นร่างทรง ชิงหรูไม่สามารถพูดจาส่งเสียงได้ นางทำแต่ได้แค่ขยับปากแต่ไร้เสียง หากไม่ใช่คนที่มีความสามารถในการอ่านปากจะไม่เข้าใจนางและมักคิดว่านางเป็นใบ้หูหนวก แต่แท้ที่จริงแล้วเพราะร่างกายของนางมิใช่ของนาง นางจำได้ว่า หากเมื่อใดที่ร่างกายนี้หมดประโยชน์และมีผู้อื่นถูกเลือกเป็นร่างทรงแทนนาง ยามนั้นนางจะได้เสียงและชีวิตของนางกลับคืน แต่นางจะได้ชีวิตตัวเองคืนกลับมาเมื่อใดนั้นย่อมไม่มีวันรู้ แต่ละร่างทรงมีเวลาที่ไม่เท่ากัน บางคนนั้นแค่ไม่กี่วัน บางคนไม่กี่เดือน บางคนไม่กี่ปี แต่หลังจากไม่ได้เป็นร่างทรงแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าคนเหล่านั้นใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร สำหรับชิงหรูแล้ว นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง นางจำครอบครัวของตนเองไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่นางจำได้คือมือของกวงหมินที่จับมือนางเดินเข้ามาสู่ลัทธิลิขิตจันทรา ในแต่ละปีมีเด็กกำพร้านับสิบคนที่ถูกส่งเข้ามาที่นี่ แรกๆ มาอยู่ใหม่ๆ ได้รับการใส่ใจดูแลอย่างดียิ่ง ได้กินอิ่มหนำ มีเสื้อผ้าสะอาดให้สวมใส่ มีที่ซุกหัวนอน จนไม่เหลือสภาพเด็กกำพร้าน่าเวทนา มีสาวงามถูกเลือกไว้ราวสามหรือสี่คนซึ่
ภายใต้แสงสลัวของราตรีกาล เจ้าของร่างกำยำพลิกตัวกระสับกระส่ายบนเตียงตั่งมุมหนึ่งของห้องพัก เขาลืมตาขึ้นในความมืดมองไปยังเตียงหลังนั้นที่ม่านมุ้งยังปิดสนิทไม่มีทีท่าว่าคนด้านในจะตื่นขึ้นมา กวงหมินนอนหงายยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก พลางถอนหายใจหนักหน่วง ในความจริงเขาไม่จำเป็นต้องนอนหลับก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เขาหาใช่มนุษย์และไม่ใช่ทั้งปีศาจ ร่างกายนี้มิใช่ของเขานับตั้งแต่ตนเองขายวิญญาณแลกกับเงื่อนไขบางอย่างไปแล้ว หากท่านประมุขไม่ยินยอมให้เขาตาย เขาก็ไม่อาจตายได้ เขาเป็นเพียงทาสรับใช้ ซึ่งไม่แตกต่างผู้อื่นที่อยู่ในลัทธิลิขิตจันทรา แต่เดิมเขาเป็นมือสังหารฆ่าคนโดยไม่ถามเหตุผล รู้เพียงเป้าหมายและต้องสำเร็จเท่านั้น เขาเคยทำข้อแลกเปลี่ยนกับท่านประมุขมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง เขารู้ดีว่าหากได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้วจะต้องสูญเสียบางอย่างไป คราวนั้นเขาต้องการเป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง แข็งแกร่งที่สุดจึงยอมพลีกายปรนเปรอปีศาจราคะที่ยามนั้นใช้หญิงสาวผู้หนึ่งเป็นร่างทรง หลังจากนั้นแล้ว เขามีปราณกล้าแกร่งยิ่งขึ้น โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมหลายร้อยหลายพันเท่า เขาไม่ต่างจากปีศาจร้าย กระหายการฆ่าค
‘กวงหมิน?’ “ไม่มีอะไร เจ้านอนเถิด” ‘ข้า...’ “อย่าดื้อ!” ชิงหรูชะงักไป ดวงตาของนางถูกฝ่ามือของกวงหมินปิดไว้และเพียงครู่เดียวนางก็รู้สึกได้ว่าเขาตวัดผ้าห่มห่อนางเอาไว้แล้วให้นางนอนตะแคงโดยที่เขากอดนางจากด้านหลัง บางสิ่งที่แข็งแกร่งดันร่องก้นของนาง นางไม่ใช่หญิงสาวไม่ประสีประสา เพื่อเตรียมพร้อมเป็นร่างทรงของปีศาจราคะ กวงหมินเคยเอาหนังสือภาพวังวสันต์ให้นางศึกษา เช่นเดียวกับนางโลมหรือหญิงคณิกาที่ต้องศึกษาเรื่องเหล่านี้เพื่อเอาใจบุรุษ ชิงหรูรู้ว่าเมื่อบุรุษมีความต้องการและข่มสะกดกลั้นไว้จะรู้สึกไม่สบายตัว แม้ทุกครั้งที่ปีศาจราคะใช้ร่างกายนาง นางจะไม่รู้สึกและจำสิ่งใดไม่ได้ แต่นางก็รู้ว่า....ถ้า... ‘กวงหมิง...’ นางรอฟังเสียงขานรับจากเขา ได้รับรู้ได้เพียงลมหายใจที่ร้อนระอุ ‘กวงหมิน...หากเจ้า...เจ้าต้องการ...ข้ายินดี...’ “เจ้าไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา” เขาตวาดแล้วผละจากร่างที่กอดอยู่แล้วลุกขึ้นยืน ‘ข้าย่อมรู้...’ นางตอบแล้วพลิกตัวหันมามองเขา แต่เพราะเขาห่อนางแน่นหนาด้วยผ้าห่มจึงขยับตัวลุกขึ้นมานั
ชิงหรูผ่อนลมหายใจยาวเมื่อบรรเลงเพลงพิณจบแล้ว นางกวาดตามองผู้ที่นั่งฟังเพลงพิณของนาง นางรออยู่ครู่หนึ่ง หญิงรับใช้ในอาภรณ์บางเบาเย้ายวนเข้ามาประคองให้นางลุกขึ้นยืน นางเดินออกไปท่ามกลางเสียงพูดคุยสวนทางกับผู้ดูแลนาม ‘อันฉี’ อันฉีหลุบตาลงเล็กน้อยไม่สบตากับชิงหรู อันฉีรู้ดีว่าชิงหรูมีฐานะใด ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ร่างทรงของปีศาจราคะขุ่นเคืองใจ ชิงหรูรู้ว่าหอนางโลมใหญ่ๆ ในหลายเมืองเป็นสาขาของลัทธิลิขิตจันทรา เหล่าสาวกล้วนต้องการพลังหยินและหยาง บุรุษต้องการพลังหยิน สตรีต้องการพลังหยาง พวกเขาบำเพ็ญตบะด้วยการเสพสมปรนเปรอสวาท ด้วยนางเป็นร่างทรงของท่านประมุข จึงต้องเดินทางไปทั่ว ผู้อื่นที่ไม่ใช่คนระดับสูงในสำนักเข้าใจไปว่านางคือ ‘อี้จี้’ สตรีที่ขายศิลปะในหอนางโลมแต่มิได้ขายเรือนร่าง ส่วน ‘เซ่อจี้’ นั้นขายร่างกาย หญิงรับใช้ประคองนางเดินกลับมาที่เรือนรับรองพิเศษที่เตรียมไว้สำหรับท่านประมุข นางกวาดตามองหากวงหมิน นับตั้งแต่คืนนั้น เขาซึ่งเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วกลับแทบไม่พูดอะไรกับนางเลย นางรู้ฐานะตนเองดีว่าไม่ควรเซ้าซี้ถามอะไร และเมื่อเห็นเขากลับมาข้างกายนาง นางก็เบาใจ
“เชิญคุณชาย”กวงหมินผลักบานประตูให้และไม่มีท่าทีจะเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจก้าวไปด้วยตนเอง เขาสะดุ้งเล็กน้อยที่ประตูปิดทันทีที่เข้ามาด้านในแล้ว“คุณชายหานเหลียง”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อสะดุ้งสุดกาย เขาไม่ได้บอกชื่อของตนแก่ผู้ใด เหตุใดแม่นางผู้งดงามราวเทพธิดาจึงรู้ชื่อแซ่ของเขาปีศาจราคะในร่างของชิงหรูที่กึ่งนั่งกึ่งนอนด้วยท่าทีเกียจคร้านบนเตียงใหญ่โต นางขยับตัวลุกขึ้นนั่งกวาดตามองบุรุษที่เข้ามาใหม่ ส่งรอยยิ้มอ่อนหวานก่อนขยับตัวลงมานั่งห้อยขาที่ปลายเตียง“แม่นาง..”“ข้าชื่อชิงหรู” นางโปรยยิ้มหวานขยับเท้าเปลือยไปมา สร้อยเงินร้อยกระพรวนส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง “คุณชายหานเหลียงช่วยคนของข้าไว้ ข้าจึงอยากขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือคนของข้าไว้”“เรื่องนั้น...ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” หานเหลียงมองเท้างดงามแล้วรู้สึกน้ำลายหนืดคอ“หากมิใช่คุณชายกล้าหาญเข้าปกป้อง คนของข้าต้องถูกทำร้ายเป็นแน่ คุณชายหานจิตใจดีเช่นนี้ พวกเราไม่ตอบแทนคงมิได้แล้ว” นางช้อนตามอง ริมฝีปากสีแดงสดเผยอขึ้นเล็กน้อย “ให้ข้าช่วยให้ท่านสมปรารถนาเถิด”“สมปรารถนา...” เขารำพึงออกมาและก้าวเข้าไปหยุดยืนเบื้องหน้านางอย่างไม่รู้ตัว “แม่นางรู้
หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ไม่สนใจเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างจะเป็นเช่นไหร่ ใบหน้าที่ดูอ่อนหวานใสซื่อเปลี่ยนไป มุมปากของนางยกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย“พลังหยางของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว” หญิงสาวยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าพลางเลียริมฝีปากด้วยท่าทีอิ่มเอม“ข้าจะให้ในสิ่งที่เจ้าปรารถนา ไม่เกินสามวันเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”หานเหลียงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ประตูห้องถูกเปิดออก กวงหมินก้าวเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง เขาตวัดเสื้อคลุมสีม่วงออกคลี่คลุมร่างของหญิงสาวไว้แล้วจึงดีดนิ้วหนึ่งที สิ้นเสียงดีดนิ้วพลันปรากฏบ่าวรับใช้เดินเข้ามาสองคน ทั้งสองก้มหน้าไม่มองหญิงสาวบนเตียง“คุณชายหานเหลียง เชิญทางนี้”ชายหนุ่มยังมึนงงอยู่จึงยอมให้บ่าวรับใช้ประคองออกไปทั้งที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยกวงหมินยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง แม้ไม่ได้จ้องมองโดยตรงแต่รับรู้ว่าร่างเย้ายวนเคลื่อนไหวมาใกล้ นางยืดตัวขึ้นสำลอกเอาไข่มุกสีขาววาววับออกมาจากปาก เขารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อยื่นไปรองรับไข่มุกเม็ดนั้น นางสำลอกเอาไข่มุกออกมาแล้วก็ยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำลาย“ลีลาไม่ได้ความแต่พลังหยางของบุรุษที่ยังพรหมจรรย์อยู่นั้นยอดเยี่ย
ชิงหรูอ้าปากแต่ยังไม่ทันส่งเสียงร้อง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปิดปากนางไว้พลิกร่างนางกดชิดไปกับผนังห้อง ดวงตาฉ่ำวาวเบิกกว้างอย่างตกใจ บุรุษร่างสูงโปร่งจ้องมองนาง ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว กลิ่นอายของบุรุษเข้มข้นโอบล้อมร่างเล็กที่ขยับตัวดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ“อย่าขยับ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเจ็บ” เขาสั่งเสียงแหบพร่า นางช่างเป็นสตรีที่ไม่เหมือนผู้ใด กลิ่นกายของนางหอมหวานปานกลิ่นดอกไม้ป่า บริสุทธิ์และเย้ายวน ชิงหรูหยุดดิ้นรนเมื่อรับรู้ร่างกายของเขากำลังเคร่งเครียด และมีบางสิ่งที่ดุนดันกางเกงผ้าไหมเนื้อดีของเขา นางพยักหน้าหงึกหงักเพื่อให้เขาปล่อยมือจากปากนาง เขาเห็นว่านางยอมจำนนแล้ว จึงลดมือของตนลง แต่กลับใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากของนางเบาๆ ราวกับกำลังแตะกลีบดอกไม้บอบบาง แววตาของหญิงสาวฉายฉาบความไม่พอใจเหตุใดนางต้องมาเจอชายผู้นี้อีก! คนแปลกหน้าไร้มารยาทที่เคยพบที่ศาลาพักม้า งูตัวนั้นไม่มีพิษเสียหน่อย เหตุใดต้องฆ่ามันทิ้งอย่างเลือดเย็นปลายนิ้วของเขาอ้อยอิ่งที่ริมฝีปากนาง เขามองริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อย เผลอไผลสอดนิ้วในโพรงปากของนาง ชิงหรูอ้าปากกว้างขึ้นอีกนิดแล้วกัดลงอย่างแรง!“โอ๊ย! เจ้ากัดข้า!”เ
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได