หญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ไม่สนใจเสื้อผ้าที่อยู่บนร่างจะเป็นเช่นไหร่ ใบหน้าที่ดูอ่อนหวานใสซื่อเปลี่ยนไป มุมปากของนางยกยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้าย
“พลังหยางของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว” หญิงสาวยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าพลางเลียริมฝีปากด้วยท่าทีอิ่มเอม
“ข้าจะให้ในสิ่งที่เจ้าปรารถนา ไม่เกินสามวันเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”
หานเหลียงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ประตูห้องถูกเปิดออก กวงหมินก้าวเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง เขาตวัดเสื้อคลุมสีม่วงออกคลี่คลุมร่างของหญิงสาวไว้แล้วจึงดีดนิ้วหนึ่งที สิ้นเสียงดีดนิ้วพลันปรากฏบ่าวรับใช้เดินเข้ามาสองคน ทั้งสองก้มหน้าไม่มองหญิงสาวบนเตียง
“คุณชายหานเหลียง เชิญทางนี้”
ชายหนุ่มยังมึนงงอยู่จึงยอมให้บ่าวรับใช้ประคองออกไปทั้งที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย
กวงหมินยืนนิ่งอยู่ข้างเตียง แม้ไม่ได้จ้องมองโดยตรงแต่รับรู้ว่าร่างเย้ายวนเคลื่อนไหวมาใกล้ นางยืดตัวขึ้นสำลอกเอาไข่มุกสีขาววาววับออกมาจากปาก เขารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อยื่นไปรองรับไข่มุกเม็ดนั้น นางสำลอกเอาไข่มุกออกมาแล้วก็ยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำลาย
“ลีลาไม่ได้ความแต่พลังหยางของบุรุษที่ยังพรหมจรรย์อยู่นั้นยอดเยี่ยม”
นางยื่นมือมาหยิบไข่มุกขึ้นส่องดู แล้ววางลงบนมือของกวงหมินตามเดิม
ทุกคราวที่นางทำพันธะสัญญากับมนุษย์ นางจะสำลอกเอาไข่มุกออกมา นางเรียกว่า ‘ไข่มุกหมื่นปรารถนา’ มันเสมือนเป็นยาอายุวัฒนะเพิ่มพลังปราณปีศาจได้อย่างดี และโดยเฉพาะได้กลืนกินพลังหยางของบุรุษพรหมจรรย์ นางก็ยิ่งเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น
“กวงหมิน”
“ขอรับนายหญิง”
“ให้คนของเราแจ้งเสนาบดีเจี่ยซินว่าข้าส่งคนไปให้เขา ให้รับคุณชายหานเหลียงเป็นบุตรเขย แต่งบุตรเขยเข้าบ้าน บุรุษผู้นี้เก่งใช้ลิ้น เอ่อไม่ใช่... ใช้วาจาเก่งจะนำพาโชคลาภวาสนามาสู่สกุลของเขา”
“ข้าทราบแล้วนายหญิง”
หญิงสาวยกมือขึ้นคล้องคอของเขาไว้ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แต่อีกฝ่ายยังคงไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใด แม้นางจะแสร้งแอ่นทรวงอกเข้าบดเบียดแผ่นอกของเขา
“เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่าข้าได้สิ่งใดตอบแทน”
นางถามแต่กวงหมินกลับนิ่งงันแทนคำตอบ นางเบ้ปากเล็กน้อยแล้วอ้าปากกัดริมฝีปากของเขาแรงๆ จนเลือดสีสดไหลออกมานางจึงพอใจ แม้ร่วมรักเสพสมกับบุรุษมานับไม่ถ้วน แต่นางไม่ยิมยอมให้จุมพิตที่ริมฝีปากเด็ดขาด มันคือพันธะและความผูกพันที่นางไม่ต้องการ
“ชายคนนั้นจะได้อำนาจวาสนาที่เขาต้องการด้วยการแต่งงานกับบุตรสาวของเสนาบดีเจี่ยซิน เสนาบดีเจี่ยซินซึ่งต้องการหาพลิกฟื้นตระกูลเก่าแก่ให้กลับมารุ่งเรืองอีกครา แต่สิ่งที่คุณชายหานเหลียงจะเสียไปคือเขาไม่อาจกลับไปเป็นหานเหลียงที่ยึดมั่นในคุณธรรมได้อีก เขาจะไม่รู้สึกพอในอำนาจ กระหายและต้องการมันแม้จะทำร้ายคนรอบข้างก็ตาม”
นางหัวเราะเยาะเย้ยออกมาด้วยความสาแก่ใจ นี่อย่างไรมนุษย์ผู้ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนมี กวงหมิงซ่อนสายตาปวดร้าว เขาย่อมเข้าใจ ครั้งหนึ่งเขายอมแรกทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง
เสียงหัวเราะของนางขาดหาย ร่างของหญิงสาวร่วงผล็อยลงไป กวงหมินยื่นมือไปประคองร่างของชิงหรูไว้ได้ทัน เขาถอนหายใจเบาๆ เก็บไข่มุกหมื่นปรารถนาไว้ในอกเสื้อหน้าแล้วช้อนร่างที่หลับใหลของชิงหรูขึ้นพานางไปอีกห้องเพื่อให้ทำความสะอาดเรือนร่างนี้และให้นางได้พักผ่อนเต็มที
ยามนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางจะได้มอบรอยยิ้มไร้เดียงสาเพื่อเขาอีกครา
ชิงหรูฝึกเล่นเพลงพิณขงโหวอยู่ผู้เดียวในศาลาริมน้ำใกล้เรือนพักของนาง แม้นางจะอยู่ในหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง แต่เรือนของนางอยู่ห่างออกมามาก มีความเป็นส่วนตัวและไม่มีผู้อื่นวุ่นวาย ปลายนิ้วยังคงกรีดเส้นพิณบรรเลงเพลงหวานโศก คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางทำได้ดีที่สุด กวงหมินไม่ชำนาญเรื่องดนตรีจึงให้ผู้อื่นมาสอนนาง เขาบอกว่านางควรฝึกฝนดนตรีให้เชี่ยวชาญสักหนึ่งชิ้น นางถามเขาว่าชอบเครื่องดนตรีชนิดใด เขาไม่ตอบแต่สายตานั้นอยู่ที่พิณขงโหว นางจึงเลือกเรียนพิณชิ้นนี้
อีกาตัวหนึ่งร่อนถลาด้วยท่าบินที่ดูแปลกพิกล อีกาตัวนั้นบินเข้าไปในเรือนของนาง ชิงหรูผวาเฮือกแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งเข้าในเรือนทันที หลังฉากกั้นสำหรับผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าคือร่างเปลือยของบุรุษที่นางเห็นตั้งแต่อายุสิบสอง แผ่นหลังกว้างมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่หลายแผล โดยเฉพาะแผลที่เป็นเส้นยาวที่บั้นเอวทำให้สายตาของนางมองเลยต่ำไปที่สะโพกสอบ เจ้าของร่างเอี้ยวใบหน้ามองงมาเล็กน้อยแล้วคว้าเสื้อคลุมตัวยาวมาสวมก่อนจะหมุนตัวมองมาทางนางด้วยสายตาตำหนิ แต่ยังไม่ทันอ้าปากต่อว่านาง เขากลับกระอักโลหิตสีดำออกมาพร้อมกับร่างที่ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น
‘กวงหมิน!’ ชิงหรูผวาเข้าไปประคอง แต่กวงหมินยกมือขึ้นห้ามไว้ก่อน นางจึงได้แต่นั่งมองเขาสกัดจุดตนเองแล้วเดินลมปราณ
‘ให้ข้าตามอันฉีหรือไม่’
“ไม่” เขาปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ลมปราณตีกลับ เขากระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง เขายกมือขึ้นผลักให้ชิงหรูถอยห่างแต่กระนั้นชายกระโปรงของนางยังเปื้อนคราบเลือดของเขา
‘ข้าจะไปตามอันฉี!’
ชิงหรูลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวก้าวออกมา แต่นางก้าวได้เพียงครึ่งก้าว ร่างของนางก็ถูกกอดจากด้านหลัง น้ำหนักตัวของกวงหมินโถมเข้าใส่จนนางเกือบล้มลง โชคดีที่กวงหมินยังมีสติพอจะไม่ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนร่างของนาง ไม่เช่นนั้นคงได้คว่ำไปกับพื้นทั้งคู่แล้ว
“อย่าไป” เขาพูดและหอบหายใจแรง “พยุงข้าไปที่เตียง”
‘ได้ๆ’ ชิงหรูประคองร่างของเขาไปที่เตียงของตน
“รินน้ำดื่มให้ข้าหน่อย”
‘ได้ๆ’ ชิงหรูลนลาน นางเคยเห็นกวงหมินแปลงร่างกลายเป็นอีกา นางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด ตัวนางเองยังเป็นร่างทรงของปีศาจได้ เหตุใดในโลกนี้จะมีคนแปลงร่างเป็นอีกาไม่ได้ แต่ที่นางหวาดกลัวคือเห็นเขากระอักโลหิตสีดำออกมามากมายถึงเพียงนี้
กวงหมินมองถ้วยน้ำที่สั่นน้อยๆ มือของชิงหรูสั่นขณะที่ยื่นถ้วยน้ำให้เขาจิบที่ละนิด เขาไม่อยากให้ผู้ใดรู้อาการบาดเจ็บของตนเอง แต่เกรงว่าครั้งนี้จะหนักหนากว่าทุกครั้ง
“ไปเชิญอันฉีมาเถิด แต่ค่อยๆเดินไม่ต้องวิ่ง อย่าให้ผู้อื่นรู้ว่าข้าบาดเจ็บมา”
‘ข้ารู้’
ชิงหรูรีบเดินออกมา เท้าก้าวพ้นธรณีประตูแล้วก็สูดลมหายใจลึก สะกดความรู้สึกของตนเอง ปรับสีหน้าให้เรียบเฉยแล้วเดินไปหาอันฉีที่หอหลักของหอนางโลม เพราะความรีบร้อนนางจึงรีบหยิบผ้าโปร่งปิดครึ่งใบหน้า แม้นางแต่งกายเรียบง่ายและมิได้แต้มแต่งสีสันใดบนใบหน้า แต่กลับดึงดูดสายตาของผู้คนให้จับจ้องมองที่นาง ขณะที่ใจร้อนรนด้วยกังวลอาการบาดเจ็บของกวงหมิน นางเห็นอันฉีเพิ่งออกมาจากห้องบัญชี นางรีบคว้ามือของอันฉีไว้
‘กวงหมินบาดเจ็บ’
อันฉีไม่ได้ยินเสียงของชิงหรูแต่อ่านปากของนางได้ จึงพยักหน้ารับ
“คงโดนพวกนักพรตบ้านั้นเล่นงานเอา นายหญิงไม่ต้องตามข้าไป ยามที่ต้องรักษาต้องถ่ายลมปราณเกรงว่าจะไม่เหมาะที่นายหญิงอยู่ที่นั้น”
‘ข้าเข้าใจ’ นางพยักหน้ารับ หลายครั้งที่กวงหมิงบาดเจ็บ เขาจะไม่ให้นางเข้าใกล้ นางจึงได้แต่มองอันฉีเดินเร็วๆ จากไป หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เดินใจลอยและคิดอยู่ว่าจะเดินกลับไปที่ศาลาริมน้ำเพื่อรอเวลากวงหมินรักษาตัวเสร็จสิ้น ร่างของนางถูกถูกรวบเอวจากด้านหลัง ลากเข้าไปในห้องที่นางเดินผ่าน
ชิงหรูอ้าปากแต่ยังไม่ทันส่งเสียงร้อง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปิดปากนางไว้พลิกร่างนางกดชิดไปกับผนังห้อง ดวงตาฉ่ำวาวเบิกกว้างอย่างตกใจ บุรุษร่างสูงโปร่งจ้องมองนาง ลมหายใจของเขาร้อนผ่าว กลิ่นอายของบุรุษเข้มข้นโอบล้อมร่างเล็กที่ขยับตัวดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ“อย่าขยับ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเจ็บ” เขาสั่งเสียงแหบพร่า นางช่างเป็นสตรีที่ไม่เหมือนผู้ใด กลิ่นกายของนางหอมหวานปานกลิ่นดอกไม้ป่า บริสุทธิ์และเย้ายวน ชิงหรูหยุดดิ้นรนเมื่อรับรู้ร่างกายของเขากำลังเคร่งเครียด และมีบางสิ่งที่ดุนดันกางเกงผ้าไหมเนื้อดีของเขา นางพยักหน้าหงึกหงักเพื่อให้เขาปล่อยมือจากปากนาง เขาเห็นว่านางยอมจำนนแล้ว จึงลดมือของตนลง แต่กลับใช้ปลายนิ้วไล้ริมฝีปากของนางเบาๆ ราวกับกำลังแตะกลีบดอกไม้บอบบาง แววตาของหญิงสาวฉายฉาบความไม่พอใจเหตุใดนางต้องมาเจอชายผู้นี้อีก! คนแปลกหน้าไร้มารยาทที่เคยพบที่ศาลาพักม้า งูตัวนั้นไม่มีพิษเสียหน่อย เหตุใดต้องฆ่ามันทิ้งอย่างเลือดเย็นปลายนิ้วของเขาอ้อยอิ่งที่ริมฝีปากนาง เขามองริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อย เผลอไผลสอดนิ้วในโพรงปากของนาง ชิงหรูอ้าปากกว้างขึ้นอีกนิดแล้วกัดลงอย่างแรง!“โอ๊ย! เจ้ากัดข้า!”เ
ทันทีที่พิษในกายกวงหมินถูกรีดออกจนหมด เขาก็เท้าขึ้นยันอันฉีจนผงะไปด้านหลัง เสื้อผ้าที่สวมอยู่หลุดรุ่ยเผยให้เห็นเรือนร่างที่อยู่ในอาภรณ์สตรีงามหรู อันฉีไม่ทันตั้งหลักหงายหลักก้นกระแทกพื้น นางยกมือขึ้นเช็ดมุมปากที่ยังเลอะคราบคาวขาวขุ่น “เจ้านี่ไม่รู้จักอ่อนโยนเสียบ้าง!” อันฉีต่อว่าแล้วลูบก้นตนเอง “เหอะ!” กวงหมินไม่สนใจ เขาสวมเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย “ข้าจำเป็นต้องอ่อนโยนกับคนเช่นเจ้าเรอะ!” อันฉีส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแล้วยันกายขึ้นจากพื้น มือเรียวงามจับแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่ “เจ้าอย่าคิดว่าตนเองเป็นผู้ดูแลร่างทรงแล้วจะทำอะไรตามใจชอบนัก!” “เรื่องเหล่านี้ข้าต้องใส่ใจหรือไร” กวงหมิงยังคงสบถอย่างไม่สบอารมณ์ หากไม่เพราะถูกลอบทำร้ายเขาจะบาดเจ็บถึงเพียงนี้หรือไร “ได้! ข้าไม่ยุ่งเรื่องของเจ้าก็ได้ แต่อย่างไรเจ้าเตือนร่างทรงของเจ้าบ้างก็ดี” “คนของข้า ข้าดูแลเองได้ เจ้าอย่าได้แส่เรื่องที่ไม่ใช่ของตน” อันฉีกระตุกยิ้มไม่ซุกซ่อนความไม่พอใจ นางชิงชังกวงหมินที่มีโอกาสได้รับใช้ท่านประมุขมาหลายปี แต่กระนั้น
อันฉีเดินออกมาจากเรือนลับแห่งนั้น ในหอจันทร์กระจ่างซึ่งเป็นหอนางโลมอันดับหนึ่งของเมืองหลวงนี้ เป็นสาขาหนึ่งในอีกห้าร้อยสาขาของลัทธิมารลิขิตจันทรา ผู้มีปีศาจราคะเป็นประมุข เสพสมในกามอารมณ์ถือเป็นลิขิตจากฟ้า มีมนุษย์หน้าไหนไม่ชมชอบกามรสบ้าง เช่นเดียวกับที่นางชื่นชมการแต่งกายเป็นสตรีแม้จะมีเรือนร่างเป็นบุรุษก็ตาม ในวัยเด็กนางถูกกลั่นแกล้งรังแกเสมอ จนกระทั่งนางหนีออกจากบ้านมาเข้าลัทธิมาร นั้นมันก็เมื่อราวๆ ห้าสิบหรือหกสิบปีที่แล้ว และเมื่อมีเวลา นางจะพาใบหน้าและเรือนร่างที่ไม่ต่างจากตอนอายุสิบแปดกลับไปเยี่ยมเยือนคนที่บ้าน ให้พวกสกปรกที่เคยดูแคลนนางเห็นว่ายังมีชีวิตอยู่และอยู่ดีมากเพียงใด แล้วอย่าถามเชียว ว่านางอายุเท่าใด! รสคาวติดอยู่ปลายลิ้น อารมณ์ที่ยังคุกรุ่นอยู่ทำให้อันฉีหงุดหงิด เจ้าบ้ากวงหมินให้นางรีดพิษออกจากลำเอ็นของมันแต่ไม่สนใจว่านางจะอารมณ์ค้างเติ้งอยู่บนยอดเขา ทั้งนางและกวงหมินติดตามท่านประมุขมายาวนานพอๆ กัน ต่างคนต่างมีความลับในเงือนไขที่แลกเปลี่ยนกับปีศาจราคะ ในหอนางโลมแห่งนี้มีให้เลือกทั้งสตรีและบุรุษ ใครใคร่หาความสำราญรูปแบบใด นางสามาร
เสียงครางกระเส่าของอันฉีทำให้เขาโยกขย่มกระแทกท่อนเอ็นอย่างลืมตาย เขาโน้มหน้าลงไปกัดยอดอกสีชมพูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ สะโพกสอบยังคงรัวใส่ร่องที่ตอดรัด ไม่เคยคิดว่าร่องก้นของบุรุษจะทำให้เสียวซ่านไปถึงนิ้วเท้าขนาดนี้“อ๊ะ อื้อ อ่าห์”“ซี๊ดด อ่า”“แรง.. ซี๊ด..แรงอีก อย่าหยุด ข้าจะเสร็จแล้ว” อันฉีสั่ง เสี่ยวเปาเร่งควบจนตั่งสั่นไหว ยื่นมือมาสาวลำแท่งหยกให้อันฉีเร่งเร้าจนอันฉีกรีดร้องออกมาพร้อมน้ำขาวขุ่นพุ่งออกมา เสี่ยวเปาไม่รอช้าโน้มตัวไปช้อนแผ่นหลังของอันฉีขึ้นกลายเป็นอันฉีนั่งคร่อมลำเอ็น “เกี่ยวเอวข้า นายหญิง” เสี่ยวเปากระซิบบอกเสียงพร่า จับเรียวขาที่แยกอยู่นั้นให้เกี่ยวเอวเขา “กอดคอข้า”อันฉีทำตามอย่างว่าง่าย เกี่ยวเอวสอบและสองแขนกอดคอเสี่ยวเปาไว้ เสี่ยวเปาพาอันฉีลงมาจากตั่งทั้งที่แก่นกายไม่หลุดออกจากร่องเสียว อันฉีปล่อยให้เสี่ยวเปาอุ้มร่างขึ้น สองมือแข็งแกร่งกุมแก้มก้นบีบให้แยกออกแล้วเริ่มต้นกระแทกร่องอีกครั้ง“อร๊ายยย “ อันฉีซุกหน้ากับซอกคอได้แต่ร้องระงมฟังเสียงลมหายใจฟืดฟาดขณะที่เสี่ยวเปาใช้ท่าอุ้มแตงกระแทกร่องของนาง“อ๊ะ อ๊ะ แบบนั้นแหละ เสียว ข้าเสียวมาก” อันฉีร้องจนคอแหบ “ต
เสี่ยวเปาเร่งรัวสะโพกไม่ยั้งกลั้นใจก่อนถึงจนถึงจุดสุดยอด ถอนแก่นกายออกแล้วเดินสาวลำมาด้านหน้าลี่ลี่ หญิงสาวยันกายขึ้นอ้าปากรอคอยน้ำขาวขุ่นของชายหนุ่มพ่นใส่ปากล้นจนเปื้อนเปรอะใบหน้าของหญิงสาว ลี่ลี่อ้าปากรูดลำเอ็นดูดกลืนจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ทว่าคราวนี้เสี่ยวเปาตาลอยร่างร่วงผล็อยไปกองกับพื้นอีกครั้งลี่ลี่ยกมือขึ้นปาดน้ำรักที่มุมปาก ใช้ปลายเท้าเขี่ยคนที่หมดสติไปแล้ว“แรงดีขนาดนี้ เลี้ยงเก็บไว้กินน้ำเล่นแก้เหงาคงจะดี”ลี่ลี่หัวเราะคิกคัก แล้วเดินออกไปเรียกบ่าวรับใช้มาหามเสี่ยวเปาไปที่เรือนของนาง ถึงจะเป็นของเหลือแต่ดุ้นใหญ่แบบนี้หาไม่ได้ง่ายนัก แต่ตอนนี้นางต้องรีบให้คนมาทำความสะอาดไม่ให้เหลือกลิ่นคาวสวาทในห้องนี้ แม้อันฉีจะแย้มยิ้มพูดจาดีแต่เวลาร้ายก็ร้ายได้น่ากลัวเหลือเกิน กวงหมินเดินนำบุรุษผู้หนึ่งเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้าเรียบเฉย เป็นหน้าที่ที่เขาทำมานานแม้ใบหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจนั้นตรงข้าม ด้วยสัญชาตญาณกลับบอกว่าครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้ง สิ่งที่ท่านประมุขวางแผนไว้ไม่มีใครล่วงรู้ แม้แต่ตัวเขาเองที่อยู่ใกล้ชิดมากที่สุดก็ตาม ชายผู้นั้นสวมอาภรณ์ผ้า
เขาโน้มหน้าลงกระซิบเสียงร้ายกาจ “เจ้าวิงวอนข้าเองมิใช่รึ” หญิงสาวเบิกตากว้างเล็กน้อย ยื่นมือไปคล้องคอเขาไว้ แหย่ปลายลิ้นเข้าตวัดเลียรูหูของเขา ชายหนุ่มถึงกับขนกายลุกชันด้วยไม่เคยถูกหญิงใดเล้าโลมเช่นนี้ “ขอข้าดูพละกำลังของท่านสักหน่อยเถิด ว่าท่านเหมาะสมจะได้ในสิ่งที่ต้องการหรือไม่” คำพูดยั่วยุของนางทำให้เขาจับเรียวขาของนางขึ้นพาดบ่า สะโพกกลมกลึงลอยขึ้นเหนือพื้นรับกับการโยกสะโพกใส่ เขาถึงกับแหงนหน้าคำรามด้วยความซ่านเสียวในขณะที่ลำมังกรที่ผลุบเข้าออกในช่องรัก “อ๊ะ!” “ตรงนี้...” ชายหนุ่มรับรู้การตอดรัดที่ทำเอามังกรของเสียวซ่าน การค้นพบจุดอ่อนไหวของหญิงสาวทำให้เขายิ่งโหมกระหน่ำแรงขึ้นจนร่างบางสั่นคลอน ปิ่นปักผมหลุดออกทำให้เส้นผมคลี่สยายเพิ่มความเย้ายวน ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความปรารถนา ห่อริมฝีปากส่งเสียงครวญครางพลางสบถในใจ ที่คนผู้นี้ดันรู้จนได้ว่าต้องแตะต้องส่วนไหนทำให้ร่างกายนี้เสร็จสมได้เร็ว เฉินหลิวหยางแหงนคำราม สายตาสะดุดกับขื่อคานด้านบน เขาปรายตามองไปโดยรอบ เร่งโยกสะโพกสอบจนเกิดเสียงตับๆ
ชิงหรูนอนกระสับกระส่าย นางฝัน...ฝันร้ายในฝันนั้นนางถูกราชสีห์ตัวใหญ่โตขึ้นคร่อม กรงเล็บนั้นตรึงไหล่สองข้างไม่ให้ขยับได้ ท่อนล่างถูกกดทับด้วยบางสิ่งที่ร้อนระอุและแข็งขันดุนดันเนินเนื้อของกายสาว นางพยายามเบือนหน้าหนีแต่ริมฝีปากถูกปิดกั้นจนหายใจไม่ออก นางอ้าปากเพียงเรียกอากาศเข้าปอด แต่เรียวลิ้นกลับถูกเกี่ยวกระหวัด ‘เจ็บ!’ นางได้แต่ส่งเสียงในลำคอ หากนี้เป็นฝันจริงนางจะรู้สึกเจ็บและเสียวซ่านเช่นนี้ได้อย่างไร ชิงหรูปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายที่วาบหวามนี้ ทว่าสิ่งที่ทำให้ดวงตานางเบิกกว้างคือความรู้สึกแปลกประหลาดที่หว่างขา บางสิ่งที่ใหญ่โตกดแทรกเข้ามาในช่องทางอันคับแคบและอ่อนนุ่ม ริมฝีปากเป็นอิสระ แต่นางกลับถูกดวงตาคมปลาบคู่หนึ่งจับจ้อง ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางมากนัก มากจนนางสัมผัสลมหายใจของเขาได้ เหงื่อร้อนไหลหยดลงบนใบหน้าของนาง ‘เจ้า...’ ชิงหรูจำได้ว่าชายผู้นี้คือคนที่เคยขโมยจูบนางไปในวันนั้น แต่เหตุใดเขามาอยู่ตรงนี้ ซ้ำยังคร่อมร่างนางด้วย! นางบิดตัวเพื่อหนีออกจากร่างใหญ่โตนี้แต่กลับเจ็บแปลบจนหลุดปากร้องออกมา “อย่าดิ้น” เฉินห
เสียงพิณขงโหวบรรเลงหวานเศร้าในสวนดอกไม้อันเงียบสงบ อีกาตัวหนึ่งบินวนเวียนบนท้องฟ้าก่อนร่อนมาเกาะกิ่งไม้เบื้องหน้าหญิงสาว หญิงสาวหยุดมือแล้วจ้องมองอีกาตัวนั้น ‘กวงหมิง?’ ชิงหรูเรียกอีกาตัวนั้น แต่มันยังไม่มาหานางซ้ำยังเอียงคอมองด้วยท่าทีแปลกๆ ทำให้นางเป็นกังวลเพราะเขาไม่เคยทำเช่นนี้ ‘กวงหมิง’ “ขอรับ” ‘อ๊ะ!’ ชิงหรูหันไปตามเสียงที่ได้ยินแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงที่เห็นกวงหมินเดินเข้ามาพร้อมถาดน้ำชาและของว่าง นางหันขวับไปมองอีกาตัวนั้นแล้วหันมามองทางกวงหมินอีกที ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่พอเห็นว่ามีอีกาตัวหนึ่งอยู่ไม่ไกล เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ‘ข้านึกว่าอีกาตาตัวนั้นเป็นเจ้า’นางพูดเสียงเบาแล้วช้อนตามองกวงหมินที่กำลังรินน้ำชาให้นาง นับจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผ่านมานานนับเดือนแล้ว กวงหมินไม่แสดงท่าทีผิดแผกไปจากเดิม นางเองก็ควรทำใจยอมรับ เพราะนางเองก็ไม่ต่างจากหญิงนางโลมที่ถูกฝึกฝนมาให้รับมือเรื่องเหล่านี้ ทว่าที่ผ่านมา นางไม่เคยรับรู้ว่าเรือนร่างของตนถูกใช้เคี่ยวกรำเช่นไร นางเพียงหลับและตื่นมาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได