ชิงหรูนอนกระสับกระส่าย นางฝัน...ฝันร้าย
ในฝันนั้นนางถูกราชสีห์ตัวใหญ่โตขึ้นคร่อม กรงเล็บนั้นตรึงไหล่สองข้างไม่ให้ขยับได้ ท่อนล่างถูกกดทับด้วยบางสิ่งที่ร้อนระอุและแข็งขันดุนดันเนินเนื้อของกายสาว นางพยายามเบือนหน้าหนีแต่ริมฝีปากถูกปิดกั้นจนหายใจไม่ออก นางอ้าปากเพียงเรียกอากาศเข้าปอด แต่เรียวลิ้นกลับถูกเกี่ยวกระหวัด
‘เจ็บ!’
นางได้แต่ส่งเสียงในลำคอ หากนี้เป็นฝันจริงนางจะรู้สึกเจ็บและเสียวซ่านเช่นนี้ได้อย่างไร ชิงหรูปลุกตัวเองให้ตื่นจากฝันร้ายที่วาบหวามนี้ ทว่าสิ่งที่ทำให้ดวงตานางเบิกกว้างคือความรู้สึกแปลกประหลาดที่หว่างขา บางสิ่งที่ใหญ่โตกดแทรกเข้ามาในช่องทางอันคับแคบและอ่อนนุ่ม ริมฝีปากเป็นอิสระ แต่นางกลับถูกดวงตาคมปลาบคู่หนึ่งจับจ้อง ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้นางมากนัก มากจนนางสัมผัสลมหายใจของเขาได้ เหงื่อร้อนไหลหยดลงบนใบหน้าของนาง
‘เจ้า...’ ชิงหรูจำได้ว่าชายผู้นี้คือคนที่เคยขโมยจูบนางไปในวันนั้น แต่เหตุใดเขามาอยู่ตรงนี้ ซ้ำยังคร่อมร่างนางด้วย! นางบิดตัวเพื่อหนีออกจากร่างใหญ่โตนี้แต่กลับเจ็บแปลบจนหลุดปากร้องออกมา
“อย่าดิ้น” เฉินหลิวหยางพูดเสียงแหบพร่า เพราะลำเอ็นของตนถูกตอดรัดจนแทบขาดใจ
‘อ๊า! ข้าเจ็บ! เอาออกไป!’ น้ำตาเอ่อคลอนัยน์ตา แม้ตัวเองรู้ดีเรื่องระหว่างชายหญิง แต่นางไม่เคย...ไม่เคยถูกแก่นกายบุรุษเพศแทรกเข้ามาในร่องรักเช่นนี้ และแก่นกายของชายผู้นี้ช่างใหญ่โตจนทำให้นางรู้สึกเหมือนท่อนล่างถูกฉีกขาด
“ไม่!”
เฉินหลิวหยางไม่คิดเลยว่า ตนเองต้องมาข่มเหงสตรีนางหนึ่งเช่นนี้ แต่เขาไม่อาจทนความเย้ายวนเบื้องหน้าได้ แรกทีเดียวคิดแค่จุมพิตกลีบปากหวานละมุน แต่เมื่อได้ครอบครองแล้วก็ไม่อาจหยุดได้ ความปรารถนาท่วมท้นในอก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาปลดปล่อยอย่างสุดเหวี่ยงกับร่างกายของนางมาแล้ว ทว่าในยามที่นางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดานั้น กลับปลุกเร้าอารมณ์รัญจวนให้เกิดขึ้นอีกระลอก แก่นกายที่แข็งขันตั้งเป็นเสาหินต้องการสัมผัสช่องสวาทอ่อนนุ่ม เขาจับมังกรที่ผงาดมุดเข้าช่องรักที่เปียกชุ่มด้วยการเล้าโลมของเขา นางคับแน่นเสียจนเขาต้องกดกระแทกลงไปครั้งเดียวจนสุดลำทำให้นางตื่นขึ้นมาเช่นนี้
‘เอาออกไป!’ นางหลั่งน้ำตาอย่างน่าสงสาร ‘ข้าเจ็บ’
“ชู่ว์” เขาปล่อยมือจากการตรึงข้อมือสองข้างของนางแล้วเลื่อนมาลูบใบหน้าอย่างปลอบโยน “เด็กดี ผ่อนคลาย ประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”
‘เจ็บ’ นางยังคงยืนยันแต่เขากดหน้าผากของตนกับหน้าผากกลมมนของนาง เอวสอบขยับส่ายวนเบาๆ เรียกร้องให้นางตอบสนอง
“เข้าไปหมดแล้ว อ่า...เด็กดี...เจ้ารับของข้าได้หมดแล้ว”
มือของนางเป็นอิสระแล้ว ชิงหรูผลักแผ่นออกของเขาออกแต่เหมือนเอามือยันกำแพงหิน เขาไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด นางอ้าปากค้างเมื่อลำเอ็นนั้นค่อยๆ เคลื่อนออก นางคิดว่าเขาปรานีเอาสิ่งใหญ่โตที่ทำนางแทบฉีกขาดออกไป ทว่าเขาดึงลำเอ็นออกเกือบสุดแล้วทิ่มพรวดลงมาใหม่
‘เจ้า! เจ้ารังแกข้า! เจ้าคนใจร้าย!’
นางต่อว่าเขาทั้งน้ำตา แต่เฉินหลิวหยางกลับหัวเราะในลำคออย่างเอ็นดู ร่างกายเปลือยเปล่าของนางชุ่มเหงื่องดงามเย้ายวน เขาแยกเรียวขานางออกจากกันมากขึ้นแล้วโน้มตัวเข้ามาประชิด ครอบครองนางอย่างเนิบช้าและหนักแน่นจนเขาเป็นฝ่ายคำรามอย่างพอใจ
มือเล็กๆ ทุบแผ่นอกของเขา เฉินหลิวหยางรวบข้อมือสองข้างของนางด้วยมือเพียงข้างเดียวแล้วตรึงไว้เหนือศีรษะ ริมฝีปากคลี่ยิ้วชั่วร้าย เขาเริ่มขยับสะโพกเร็วขึ้น ถี่กระชั้นมากขึ้น รุกล้ำนางอย่างเอาแต่ใจ การเคลื่อนไหวของเขาทำให้นางเผลอครางออกมา ชิงหรูไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป ร่างกายกลับตอบสนองอย่างน่าอาย บางคราวเขากระทำดิบเถื่อนราวสัตว์ป่า บางคราวอ่อนโยนนุ่มนวลจนนางสับสน นางหยัดกายเข้าหาเขาอย่างไม่รู้ตัว
เฉินหลิวหยางไม่ใช่คนมักมากในกาม แต่เมื่อได้เคลื่อนไหวในร่างหอมกรุ่นกลับยากจะถอนตัว ลมหายใจ เสียงหอบคราง และร่างกายที่ตอบสนองนี้ เขาไม่แปลกใจเลยที่นางถูกเลือกให้เป็นร่างทรงของปีศาจราคะ ร่องรักของนางดูดกลืนมังกรของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ทำให้เขาเร่งจังหวะขยับโยกรัวแรงขึ้นจร่างของนางส่ายไหวตามแรงกระแทก ยิ่งได้ยินเสียงหวานร้องครวญคราง ช่องรักนั้นก็ยิ่งดูดกลืนแก่นกายเขาลึกล้ำมากยิ่งขึ้น
ชิงหรูละอายใจที่นางกลับหวั่นไหวกับรสหวามที่ได้สัมผัส นางหลับตาเพราะไม่อาจต้านทานดวงตาร้อนแรงที่จับจ้องอย่างเป็นเจ้าของนี่ได้ หัวใจของนางร่ำร้องหากวงหมิน ทั้งที่มีผู้อื่นคร่อมร่างอยู่ นางช่างไม่ต้องจากหญิงแพศยา
ราวกับรู้ว่านางคิดถึงผู้อื่น เขาโน้มหน้าลงกัดริมฝีปากของนางจนหญิงสาวต้องลืมตามองเขา สะโพกสอบกระแทกเร็วขึ้น หนักหน่วงจนนางจุก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาทำให้นางเสียวซ่านรัญจวนจนร่างกายเกร็งกระตุกด้วยถึงจุดสุขสม เป็นจังหวะเดียวกับที่เฉินหลิวหยางกดแก่นกายเข้าจนสุดปลดปล่อยน้ำรักขาวขุ่นใส่ร่องรักของนาง
‘กวงหมิน’ ชิงหรูเผลอรำพึงเรียกชื่อกวงหมิน
แม้เป็นเพียงเสียงกระซิบ ไม่ว่าอยู่ที่ใด กวงหมินจะได้ยินเสียงของชิงหรูเสมอ เขาซึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่ด้านนอกรับรู้ได้ว่าครั้งนี้ผิดปกติ น้ำเสียงนางที่เรียกหาเขานั้นปนสะอื้น เขาพุ่งทะยานราวเหาะเหินเข้าไปในห้องนั้นทันที
เฉินหลิวหยางแม้เป็นองค์ชายแต่มีวรยุทธพอตัว เขารับรู้สิ่งที่พุ่งตรงมาทางตนจึงพลิกตัวออกจากร่างของชิงหรู เอื้อมมือคว้าเสื้อคลุมตวัดคลุมร่างเปลือยของตน กวงหมินปรายตามองหญิงสาวที่คว้าผ้าแพรขึ้นปิดร่างเปลือยเปล่า นางก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขา เพียงเท่านี้ก็ทำให้กวงหมินส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง ชักกระบี่ออกมาหมายฟาดฟันชายที่กล้าล่วงเกินชิงหรูของเขา
ใช่! นางเป็นของเขา! และเป็นของเขาเท่านั้น!
เฉินหลิวหยางหมุนตัวหลบรวดเร็วหมุนตัวหลบ ปลายนิ้วตวัดจอกสุราบนโต๊ะพุ่งใส่กวงหมิน เสียงประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมร่างของอันฉีวิ่งเข้ามา นางตวัดมือในอากาศหมุนวนแล้วกระแทกใส่ร่างของกวงหมิน ทำให้กวงหมินที่ไม่ทันหลบหลีกรับแรงปะทะเต็มๆ ร่างกระเด็นไปกระแทกผนังห้อง
‘กวงหมิน!’ ชิงหรูหวีดร้องตกใจ ใช้ผ้าแพรห่อตัวเองแล้วรีบเข้าไปประคองร่างของกวงหมินพยายามดิ้นรนคล้ายถูกเชือกที่มองไม่เห็นรัดร่างกายไม่ให้ขยับได้
“ไปกับข้า!” เฉินหลิวหยางประกาศ เขาต้องการนาง ต้องเป็นนางเท่านั้น! เขาพุ่งตัวไปหมายคว้าร่างชิงหรู แต่อันฉีเข้ามาขวางไว้ก่อน
ชิงหรูส่ายหน้ารัวๆ แล้วขยับตัวไปซุกร่างของกวงหมิน อันฉีดีดนิ้วส่งสัญญาณ คนของตนก็เข้ามา อันฉีฉีกยิ้มกว้างให้เฉินหลิวหยางแล้วเอ่ยขึ้น
“นายท่านเสร็จธุระแล้วเชิญกลับได้ เด็กๆ จะปรนนิบัติดูแลท่าน นายหญิงให้ข้าเตือนท่านว่าอย่าได้ลืมเหตุผลที่ท่านมาที่นี่”
เฉินหลิวหยางกัดฟันกรอด้วยความโกรธ ทำได้เพียงสูดลมหายใจลึกแล้วสะบัดหน้าเดินเร็วๆ ออกจากห้องไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ อันฉีได้แต่ส่ายหน้าไปมา ปรายมองคนทั้งสองเล็กน้อยแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ เพียงครู่หนึ่งร่างกายของกวงหมินก็ขยับได้ปกติ
‘กวงหมิน เจ้าเจ็บมากหรือไม่’
ชิงหรูถามลืมเรื่องของตัวเองไปหมดสิ้น
กวงหมินนั่งคุกเข่าประคองใบหน้าของนางด้วยสองมือที่สั่นเทา เหตุใดนายหญิงจึงทำเช่นนี้ นายหญิงไม่เคยออกจากร่างทั้งที่ยังไม่ส่งแขกออกจากห้อง
‘ข้า...ข้าไม่เป็นอะไร’ นางพูดได้แค่นั้นร่างก็ผงะหงายไปด้านหลัง กวงหมินยื่นมือไปประคองไว้ได้ทัน เอนกายนางมาพิงอิงอกของเขา ทว่าใบหน้านั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่ปิดไปเมื่อครู่ลืมขึ้นอีกครั้งเปล่งประกายสีแดงราวลูกไฟพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ
“กวงหมินเอ๋ย” นางหัวเราะ “เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าชิงชังนาง! เจ้าอย่าได้คิดทรยศหักหลังข้าเป็นอันขาด!”
“นายหญิง!”
ดวงตาของหญิงงามปิดลงอีกครั้ง คราวนี้นางหลับใหลไปและไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาอีก กวงหมินได้แต่ประคองร่างของชิงหรูไว้แนบอก ซุกใบหน้าของตนกับเรือนผมของนาง ปล่อยให้น้ำตาของตนหลั่งรินพร้อมเสียงร่ำไห้ที่ไม่มีผู้ใดได้ยิน
เพราะเขา... ทุกอย่างเป็นเพราะเขา!
เสียงพิณขงโหวบรรเลงหวานเศร้าในสวนดอกไม้อันเงียบสงบ อีกาตัวหนึ่งบินวนเวียนบนท้องฟ้าก่อนร่อนมาเกาะกิ่งไม้เบื้องหน้าหญิงสาว หญิงสาวหยุดมือแล้วจ้องมองอีกาตัวนั้น ‘กวงหมิง?’ ชิงหรูเรียกอีกาตัวนั้น แต่มันยังไม่มาหานางซ้ำยังเอียงคอมองด้วยท่าทีแปลกๆ ทำให้นางเป็นกังวลเพราะเขาไม่เคยทำเช่นนี้ ‘กวงหมิง’ “ขอรับ” ‘อ๊ะ!’ ชิงหรูหันไปตามเสียงที่ได้ยินแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงที่เห็นกวงหมินเดินเข้ามาพร้อมถาดน้ำชาและของว่าง นางหันขวับไปมองอีกาตัวนั้นแล้วหันมามองทางกวงหมินอีกที ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่พอเห็นว่ามีอีกาตัวหนึ่งอยู่ไม่ไกล เขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ‘ข้านึกว่าอีกาตาตัวนั้นเป็นเจ้า’นางพูดเสียงเบาแล้วช้อนตามองกวงหมินที่กำลังรินน้ำชาให้นาง นับจากเหตุการณ์ในวันนั้น ผ่านมานานนับเดือนแล้ว กวงหมินไม่แสดงท่าทีผิดแผกไปจากเดิม นางเองก็ควรทำใจยอมรับ เพราะนางเองก็ไม่ต่างจากหญิงนางโลมที่ถูกฝึกฝนมาให้รับมือเรื่องเหล่านี้ ทว่าที่ผ่านมา นางไม่เคยรับรู้ว่าเรือนร่างของตนถูกใช้เคี่ยวกรำเช่นไร นางเพียงหลับและตื่นมาราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ
น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาทำเอานางตัวสั่นขึ้นมา ยังไม่ทันตั้งสติได้ เขาก็อุ้มนางขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วแทบจะโยนเข้าไปในรถม้า ก้นงามงอนกระแทกพื้น ร่างใหญ่ตามขึ้นมาคร่อมร่างของนางไว้พร้อมกระชากผ้าโปร่งปิดใบหน้าของนางออก นางคิดจะร้องเรียกหากวงหมิน แต่คนผู้นั้นกลับหยิบปิ่นที่นางซื้อไว้ออกมาแล้วหักทิ้งเป็นสองท่อน!“เจ้ากล้าเรียกมัน ข้าก็จะสั่งคนของข้าหักแขนหักขามันเหมือนข้าหักปิ่นอันนี้!” ชิงหรูอ้าปากค้าง นางหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เขาโน้มตัวลงมาใกล้ นางกระถดกายถอยหนี มือใหญ่กระตุกผ้าคาดเอวของนางออกแล้วใช้มันมารวบมัดข้อมือสองข้างไว้เหนือศีรษะ‘ปล่อยข้านะ! ข้าไม่ใช่! ไม่ใช่!’นางพูดไม่ออกไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่าตอนนี้นางคือชิงหรู ไม่ใช่ท่านประมุขที่เขาเคยร่วมเสพสังวาส “ข้ารู้” เขาโน้มหน้าลงใกล้จนริมฝีปากชิดริมฝีปากนาง “ข้าต้องการเจ้า”ภาพยามที่เขาเคลื่อนไหวบนร่างกายในวันนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ชิงหรูเบือนหน้าหนี หยดน้ำตาเอ่อคลอ แต่ภาพนางยามจำนนเช่นนี้กลับปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนของบุรุษ มือคู่นั้นกระชากเสื้อผ้านางจนขาดเป็นชิ้นๆ เศษผ้าโปรยปราย ทรวงอกงามท้าทายสายตา มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงทรวงอก ส่วนอ
ชายใจร้ายผู้นั้นส่งหญิงชราใช้มาคอยดูแลนาง ด้านนอกแม้ไม่เห็นคนแต่ถ้านางเดินออกไปนอกห้องก็ปรากฏชายในชุดดำปิดบังใบหน้าไม่ให้นางออกไปไหน นางสื่อสารกับใครไม่ได้และดูเหมือนทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับนาง นางจึงได้แต่อยู่ในห้องนี้โดยไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันกี่คืนแล้ว นั้นเพราะนางมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดเวลา แต่ไม่เหมือนกับการที่ปีศาจราคะใช้ร่างกายนาง นางมั่นใจว่าตนเองเป็นเช่นนี้เพราะถูกวางยา แต่ไม่รู้ว่าเป็นยาชนิดใด จากในน้ำชา หรืออาหาร หรือกลิ่นกำยาน นางพยายามไม่ดื่มไม่กิน หรือทำเป็นเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นในห้อง แต่นางก็ยังเผลอหลับใหลไม่ได้สติ หลายครั้งที่ตื่นมาแม้เสื้อผ้าอยู่ครบแต่นางรู้ว่าร่างกายถูกล่วงเกิน บางคราวเหมือนความฝันว่าถูกจับพลิกคว่ำนอนหงายเพื่อรองรับการสอดประสานอันเสียวซ่านนั้น เสียงเปิดประตูดังขึ้นแต่ไม่ชิงหรูไม่ได้ใส่ คงเป็นบ่าวรับใช้ยกสำรับอาหารมาให้ นางจึงเฝ้ามองนกน้อยนอกหน้าต่าง ใจคิดถึงเพียงกวงหมิน หวังว่าเขาจะปลอดภัยดี “อาหารพวกนี้ไม่ถูกปากหรือไร” หญิงสาวสะดุ้งเฮือกที่ได้ยินเสียงของเขา เฉินหลิวหยางหงุดหงิดที่เห็นอา
เฉินหลิวหยางชะงักงันไป เขาไม่ใช่สามัญชนที่จะรับสตรีนางใดมาเป็นภรรยาก็ได้ บัดนี้เขาเป็นฮ่องเต้ และเขามีฮองเฮาอยู่แล้ว เขาสัญญากับนางไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่รับนางเป็นชายาว่าจะไม่มีหญิงใดนั่งตำแหน่งที่สูงกว่านาง การแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเขาต้องการอาศัยอำนาจจากตระกูลของนางเพื่อได้มาซึ่งบัลลังก์มังกรที่ควรเป็นของเขาตั้งแต่แรก นางเป็นสตรีที่ไม่มีปากมีเสียงและสงบเสงี่ยมในที่ของตนเอง แม้กระทั้งช่วงเวลาที่เขาเรียกเหล่าสนมมาปรนนิบัติ นางกลับทำได้เพียงเฝ้ามองเขาอย่างสงบทั้งที่ในใจปวดร้าวไม่น้อย และที่สำคัญ ชิงหรูเป็นคนของลัทธิมาร เขาไม่อาจให้นางเปิดเผยตัวเองต่อหน้าผู้อื่นได้ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนเอาเรื่องนี้มาต่อต้านและล้มล้างบัลลังก์ของเขา ‘ไม่ได้สินะ’นางยิ้มหยันออกมา ชิงหรูคาดเดาไว้นานแล้วว่าคนผู้นี้ต้องมีภรรยารักอยู่แล้ว และฐานะของเขาคงไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะซุกซ่อนนางในที่ลับตาเช่นนี้ทำไมกัน นางยั่วยุหวังให้เขารังเกียจนางจะได้ปล่อยนางไป ทว่าเขากลับช้อนสะโพกนางอุ้มขึ้น สองขาเกี่ยวกับเอวสอบ สองแขนโอบรอบลำคอด้วยความตกใจ หรือนางจะไม่ได้ไร้เดียงสาอย่า
หลี่อ้ายลี่แน่นหน้าอกจนต้องยกมือขึ้นตบอกเบาๆ ภาพที่เห็นเฉินหลิวหยางร่วมรักเสพสวาทกับสตรีนางนั้นยังติดตาอยู่ นางแต่งงานกับเขามาสามปีแต่ยังไร้บุตร เวลานั้นเฉินหลิวหยางเป็นเพียงองค์ชายสี่แต่ก็ไม่คิดตบแต่งหญิงใดเพิ่มเพื่อสืบทายาท เขายังคงยืนยันกับนางว่าคนที่จะให้กำเนิดบุตรของเขาต้องเป็นนางเท่านั้น มาบัดนี้เฉินหลิวหยางขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ได้สำเร็จ แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาเป็นใหญ่ในวังหลัง นางรับรู้มาตลอดว่าเขาจะต้องมีสตรีมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นางต้องเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ทว่านางย่อมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเฉินหลิว หยาง ความใส่ใจที่เขามีต่อนางยังคงเดิม ร่วมรักหลับนอนเช่นทุกคราวแต่นางรู้สึกได้ว่าเขาไม่มีความสุขนัก นางเป็นคนคัดสาวงามไปถวายตัวรับใช้ ทุกครั้งนางปวดใจยิ่งแต่ก็ต้องทำใจ แต่ไม่นานมานี้ นางรู้ว่าเขามีความลับซุกซ่อนไว้ หลายคืนที่เขาหลบหายออกไป ไม่เรียกนางสนมมาปรนนิบัติ แม้ว่าเขาจะว่าราชการเป็นปกติทุกอย่าง เป็นฮ่องเต้ที่ดียิ่ง แต่บางเรื่องนั้น นางมีลางสังหรณ์ทำให้นางสืบรู้ว่าเขามีตำหนักลับไม่ไกลนัก จนกระทั้งนางได้เห็นด้วยสองตาว่าเขาซุกซ่อนสตรีไว้ เป
ชิงหรูส่ายหน้าไปมา นางคว้ามือของหลี่อ้ายลี่มาหงายขึ้นแล้วเขียนอักษรที่ละคำ “ไม่เต็มใจมา” หลี่อ้ายลี่อ่านตามแล้วดูสีหน้าของหญิงสาว นางเป็นใบ้แต่ไม่ได้หูหนวก หญิงใบ้พยักหน้าหงึกหงักแล้วเขียนคำต่อไป “ถูกจับตัวมา? เจ้าอยากไปจากที่นี่หรือไม่” ดวงตาของชิงหรูเบิกกว้างเปี่ยมความหวัง นางพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขียนอักษรคำต่อไป “ถูกจับมาพร้อมกัน ? เป็นบุรุษ?” หลี่อ้ายลี่ถาม หรือว่าหญิงผู้นี้มีสามีแล้วและถูกเฉินหลิวหยางฉุดคร่ามา แรกทีเดียวนางมีความเคียดแค้นริษยาสุ่มแน่นเต็มอก แต่เห็นท่าทางไร้เดียงสาและยังเป็นใบ้แล้วก็อดเวทนาไม่ได้ เดิมทีอยากกำจัดนางออกไปให้พ้นทาง แต่เห็นว่านางมีชายคนรักอยู่แล้ว เช่นนั้นนางช่วยให้หลบออกไปน่าจะเป็นผลดีกับนางเอง อย่างน้อยมือนางก็ไม่ต้องเปื้อนเลือด “ข้าไม่แน่ใจว่าบุรุษที่เจ้าพูดถึงอยู่ที่คุกหลวงหรือไม่ ข้าพาเจ้าไปที่นั้นได้แต่เจ้าต้องรับรองกับข้าว่าหากออกไปได้จะไม่หวนกลับมาที่นี่อีกและไม่บอกใครว่าข้าเป็นคนช่วยเจ้า” ชิงหรูพยักหน้าหงึกหงัก หลี่อ้ายลี่เรียกบ่าวชรามาเพื่อให้นางถอดชุดบ่าว
กรงเล็บจิกเข้าไปในผิวหนัง โลหิตสีสดไหลออกมาเปื้อนเปรอะนิ้วมือเรียวงามที่เริ่มสั่นระริก ดวงตาที่เปล่งประกายสีแดงชาดนั้นมีหยาดน้ำตาไหลไม่หยุด ยิ่งโลหิตของกวงหมินหลั่งมากเท่าใด น้ำตาของนางยิ่งไหลมากเท่านั้น “เจ้าต่อต้านข้า! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึชิงหรู!” ปีศาจสาวตะโกนออกมา ไม่เคยมีร่างทรงใดกล้าต้านทานอำนาจของนางถึงเพียงนี้“เจ้าไม่คิดแก้แค้นให้บิดามารดาหรือไร!” ‘ข้ารู้! ข้าจำได้ทุกอย่าง!’ เสียงภายในร่ำร้องบอกซึ่งทำให้กวงหมินเบิกตากว้าง ‘มารดาข้าเล่นเรื่องเจ้าให้ข้าฟัง นางบอกข้าเสมอว่าติดค้างเจ้ามาตลอด เป็นนางที่หักหลังไปมีผู้อื่น นางไม่ต้องการให้ข้าเป็นเช่นนาง’ “ชิงหรู..” ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เขาเข้าใจมาตลอดว่านางจำเรื่องในอดีตไม่ได้เพราะเหตุไฟไหม้ในวันนั้น และไม่เคยคิดว่า หญิงที่ตนเองเกลียดชังจะเป็นฝ่ายรู้สึกผิดต่อเขา ‘นับตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้ามักรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสายตาคู่นั้นเฝ้ามองอยู่ มารดาจึงเล่าเรื่องเหล่านี้ให้รับรู้ ข้าไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งได้เป็นร่างทรงของท่านประมุข ความรู้สึกผิดบาปกัดกินหัวใจเจ้า ข้าเองก็
เขาไม่ได้เอ่ยประโยคที่คิดในใจ อันฉีได้แต่ส่ายหน้าไปมา โยนถุงเงินใส่เขาแล้วขึ้นรถม้าจากไป แรกทีเดียวเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การฝั่งศพชิงหรู เชิงเขาแห่งนี้ดูสงบร่มรื่น เขาคิดจะฝั่งร่างนาง ปลูกดอกไม้ที่นางชอบ และเฝ้าดูแลจนกว่าเขาจะสิ้นลมตามนางไป ทว่าร่างที่แน่นิ่งมาเนิ่นนานค่อยๆ ขยับตัว ดวงตาของนางลืมตาขึ้น ร่างกายของนางอุ่นขึ้นและชีพจรกลับมาเต้นอีกครั้ง ‘ชิงหรู!’ กวงหมินเรียกนางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาเผลอเขย่าตัวนางด้วยกลัวว่านางจะหลับไปอีกครั้ง ‘ชิงหรู! เจ้ายังไม่ตาย!’ เขามองริมฝีปากของนางขยับพยายามสื่อสารกับเขา แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยินเสียงในหัวเช่นที่ผ่านมา นางชี้ที่ลำคอของตนเองท่าทางตกใจไม่แพ้กัน ในทันใดนั้น เขาเข้าใจได้ในทันทีว่า สิ่งที่ปีศาจราคะได้จากชิงหรูไปไม่ใช่ชีวิตของนาง แต่เป็นเสียงของนางไป เขารวบร่างนางกอดแนบแน่น กระซิบที่ริมหูอย่างอ่อนโยน ‘ไม่เป็นไร เจ้าไม่มีเสียงก็ไม่เป็นไร ข้าอ่านปากของเจ้าได้ ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ข้างกายข้าก็พอ’ นั้นคือเรื่องราวเมื่อครึ่งปีก่อน ชิงหรูแลบลิ้นใส่
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได