ชายใจร้ายผู้นั้นส่งหญิงชราใช้มาคอยดูแลนาง ด้านนอกแม้ไม่เห็นคนแต่ถ้านางเดินออกไปนอกห้องก็ปรากฏชายในชุดดำปิดบังใบหน้าไม่ให้นางออกไปไหน นางสื่อสารกับใครไม่ได้และดูเหมือนทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับนาง นางจึงได้แต่อยู่ในห้องนี้โดยไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันกี่คืนแล้ว นั้นเพราะนางมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดเวลา แต่ไม่เหมือนกับการที่ปีศาจราคะใช้ร่างกายนาง นางมั่นใจว่าตนเองเป็นเช่นนี้เพราะถูกวางยา แต่ไม่รู้ว่าเป็นยาชนิดใด จากในน้ำชา หรืออาหาร หรือกลิ่นกำยาน นางพยายามไม่ดื่มไม่กิน หรือทำเป็นเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นในห้อง แต่นางก็ยังเผลอหลับใหลไม่ได้สติ หลายครั้งที่ตื่นมาแม้เสื้อผ้าอยู่ครบแต่นางรู้ว่าร่างกายถูกล่วงเกิน บางคราวเหมือนความฝันว่าถูกจับพลิกคว่ำนอนหงายเพื่อรองรับการสอดประสานอันเสียวซ่านนั้น
เสียงเปิดประตูดังขึ้นแต่ไม่ชิงหรูไม่ได้ใส่ คงเป็นบ่าวรับใช้ยกสำรับอาหารมาให้ นางจึงเฝ้ามองนกน้อยนอกหน้าต่าง ใจคิดถึงเพียงกวงหมิน หวังว่าเขาจะปลอดภัยดี
“อาหารพวกนี้ไม่ถูกปากหรือไร”
หญิงสาวสะดุ้งเฮือกที่ได้ยินเสียงของเขา เฉินหลิวหยางหงุดหงิดที่เห็นอาการหวาดกลัวของนาง เมื่อก้าวเข้าไปใกล้ นางก็ขยับกายถอยแม้จะหลบหลีกไม่ได้แต่นางก็พยายามซ่อนกายไม่ยินยอมให้เขาเข้าไป เขาลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วยื่นมือออกไปตรงหน้า
“อุดอู้อยู่ในห้องมาหลายวัน ออกไปเดินเล่นด้านนอกเถิด”
น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาทำให้นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง อย่างน้อยก็ได้ออกไปนอกห้องนี้ เผื่อจะหาลู่ทางหลบหนีออกไปได้ นางจึงยอมวางมือของตนบนฝ่ามือใหญ่ของเขา ปล่อยให้อีกฝ่ายประคองนางออกมาด้านนอก ที่ศาลาริมสระน้ำมีน้ำชาและของว่างเตรียมพร้อมไว้แล้ว
ไม่ได้ออกมาด้านนอกเสียนาน หญิงสาวหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อต้องแสงแดด เฉินหลิงหยางนั่งลงที่เก้าอี้กลมแล้วรั้งร่างบางมานั่งบนตักของตน เขาเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นนางขึงตาใส่ นางรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะขัดขืนจึงยอมนั่งนิ่งไม่ดิ้นรน วงแขนจึงโอบรัดรอบเอวหลวมๆ
“ได้ยินว่าเจ้าไม่ยอมกินอะไร ข้าให้พ่อครัวในวังเตรียมขนมของว่างมาให้ เจ้าลองชิมดูสิ”
ชิงหรูเอียงคอเล็กน้อย นางไม่ได้มองใบหน้าของคนผู้นี้ชัดๆ หากไม่นับเรื่องที่เขากระทำร้ายกาจกับนางแล้ว บุรุษผู้นี้ใบหน้าหล่อเหลาไม่น้อย แต่มีแววเคร่งเครียดหม่นล้าอยู่บ้าง
‘เจ้าเป็นใคร’
“หือ?” เฉินหลิวหยางกำลังรินน้ำชาให้นางชะงักมือไปเล็กน้อย
‘เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดเอาของกินจากในวังมาให้ข้าได้’ นางถามแล้วรับน้ำชาจากเขา
“เจ้าไม่รู้ว่าข้าเป็นใครหรือ?” เขาอมยิ้ม ใช้นิ้วพันปลายผมของนางขึ้นมาสูดดม
‘ชื่อของเจ้าข้ายังไม่รู้เลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นใคร’ นางบ่นอุบอิมแล้วจิบน้ำชาที่ละนิด หวังว่าเขาคงไม่ใส่อะไรให้นางง่วงงุนอีก
“เฉินหลิวหยาง” เขาพูดพลางหยิบผลไม้เชื่อมส่งให้นาง “เจ้ารู้แค่นี้ก็พอ”
เพราะไม่ได้กินอะไรมาหลายมื้อ นางจึงรับของกินที่เขาส่งให้ เฉินหลิวหยางมองแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ เขาสั่งคนให้ผสมยาที่ทำให้นางง่วงนอนทั้งในอาหารและน้ำชา ทำให้นางครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะเกรงว่าถ้านางตื่นขึ้นมาจะไม่ใช่นาง แต่เป็นปีศาจราคะตนนั้น และแน่นอนว่ายามนางหลับใหลนั้นแสนเย้ายวนจนเขาไม่อาจทนข่มใจได้ และไม่มีเหตุผลให้ต้องอดกลั้น เขากลืนกินนางครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะอิ่มเอมในกามรส แต่เหมือนจะโหยหาและหิวกระหาย หากไม่ต้องว่าราชกิจเขาคงไม่ยอมห่างจากนาง
‘เจ้าเป็นมือสังหารหรือ?’
“หือ?” เขาขมวดคิ้วกับคำถามของนาง
‘ก็เจ้าอ่านปากได้ พวกมือสังหาร หรือสายลับจะเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้’
เฉินหลิวหยางแหงนหน้าหัวเราะแล้วใช้ปลายนิ้วดีดหน้าผากของนางเบาๆ
“ข้าไม่ใช่มือสังหารแต่สามารถออกคำสั่งสังหารคนได้” นานแล้วที่ไม่ได้หัวเราะเช่นนี้ “ที่อ่านปากได้เพราะอยู่กับคนที่คิดลอบทำร้ายข้า ข้าจึงจำเป็นต้องฝึกฝนเรื่องเหล่านี้”
‘เจ้าสั่งมือสังหารได้คงเป็นจอมมารสินะ’ นางเบ้ปากใส่เขา ‘เมื่อไหร่จะปล่อยข้ากับคนของข้า เขาปลอดภัยดีหรือไม่’
“ความปลอดภัยของเขาขึ้นอยู่กับเจ้า” พูดพลางใช้ปลายนิ้วแหวกสาบเสื้อของนางออก ทรวงอกคู่งามดันเอี้ยมสีชมพูหวานขับผิวกายขาวละมุนให้ชวนมอง
ชิงหรูกัดริมฝีปาก นิ้วมือของเขาเขี่ยยอดอกของนาง เพียงการสะกิดเบาๆ ก็ทำให้ร่างนางสั่นเทาขึ้นมา นางพยายามไม่ให้อารมณ์ของตนเตลิดไปกับสัมผัสของเขา แต่เมื่อขยับตัวจะลุกหนี ท่อนแขนที่รัดเอวนั้นแน่นขึ้น
“อย่าคิดไปจากข้า” น้ำเสียงสั่งเฉียบขาดและไม่อาจหยุดมือกับเรือนร่างนุ่มนิ่มนี้ได้ ยิ่งนางดิ้นขลุกขลักบนตัก สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าเนื้อดีก็แข็งขันขึ้นมาทันที
‘ข้า...อึก...ข้า...ไม่เข้าใจ’ นางสะอึกสะอื้นแพราะทนแรงปลุกเร้าไม่ไหว ยิ่งต่อต้านมากเพียงใด เขายิ่งปลุกปั่นอารมณ์รัญจวนให้โหมไหม้ขึ้นมาทุกที
‘ทำไม...ทำไมต้อง...อึก...จับ...ตัวข้า...ไว้เช่นนี้ ทั้งที่รู้ว่า...ข้า...อึก...ไม่สามารถ...ติดต่อกับท่านประมุขได้ จะ..เจ้า มิได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วหรือ’
คำถามของนางจุดไฟโทสะของเขา เขาลุกขึ้นตวัดมือเพียงครั้งเดียว ข้าวของบนโต๊ะหินก็ถูกกวาดหล่นไปกับพื้นแล้วอุ้มนางขึ้นนั่งขอบโต๊ะ สายรัดเอวถูกกระตุกออกพร้อมเสียงหวีดร้องตกใจของหญิงสาว มือเล็กปัดป้องเป็นพัลวัล แต่ไม่อาจหยุดมือที่ตลบกระโปรงขึ้นแล้วทึ้งกางเกงชั้นในผ้าไหมเนื้อดีขาดติดมือออกมาราวเศษผ้า
“ข้าใส่ใจเจ้าถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่ยินยอมอยู่ข้างกายข้า”
‘ข้าไม่ชอบเจ้า! อ๊า!’
ชิงหรูร้องเสียงหลงเมื่อถูกแก่นกายร้อนเสียดแทงเข้ามาในช่องรัก แม้หลั่งน้ำหวานออกมามากเพราะนิ้วมือร้ายกาจของเขา แต่การรุกล้ำรุนแรงนี้ก็ทำเอานางจุกจนหน้านิ่ว หยดน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตาแต่ไม่อาจเรียกความสงสารจากอีกฝ่ายได้
“ข้าไม่สนใจ” เขากัดฟันกระแทกลำเอ็น “ขอแค่เจ้ายินยอมอยู่ข้างกายข้า สิ่งใดที่เจ้าต้องการ ข้าจะหามาให้”
‘ไม่! ข้า...ข้าจะอยู่กับกวงหมิน อึก อืออออ” ดวงตาฉ่ำน้ำตาเบิกกว้างเมื่อเขาโน้มหน้าลงมาบดจูบกลีบปากของนาง มือเล็กๆ ทุบที่แผ่นอกแกร่งในขณะที่ร่างกายถูกโยกคลอนเพราะสะโพกสอบเคลื่อนไหวไม่หยุด ช่างน่าอายนัก กลางวันแสกๆ ซ้ำยังอยู่ในสวนเช่นนี้ เขายังหน้าด้านกระทำไร้ยางอายกับนางได้
“ห้ามเอ่ยชื่อบุรุษอื่นต่อหน้าข้า!”
เฉินหลิวหยางขยับสะโพกรัวเร็วไม่สนใจว่าหญิงสาวจะดิ้นรนเพียงใด ยิ่งนางต่อต้านเขา เขาก็ยิ่งต้องการนางมากขึ้น ร่างกายจึงโหมกระหน่ำใส่ร่างบางไม่ยั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจมาเยี่ยมนางจริงๆ หลายวันที่ผ่านมา เขาตักตวงจากนางไปมาก แม้ร่างกายนางจะแสนวิเศษ ฟื้นฟูได้ดีเยี่ยม ซ้ำยิ่งเปล่งปลั่งเย้ายวนมากยิ่งขึ้น แต่เขาก็ต้องการให้นางยินยอมพร้อมใจอยู่กับเขา แม้ไม่อาจให้ฐานะใดกับนางได้ แต่เขาสามารถให้นางอยู่สงบไม่อดยากในตำหนักลับที่จัดไว้ให้นาง
‘ปล่อยข้า!’ นางเกลียดตัวเองเหลือเกิน เกลียดที่ร่างกายนี้กลับตอบสนองทุกสัมผัสจากเขา เป็นเช่นนีแล้ว นางยังอยากอยู่ข้างกายกวง หมิน แม้รู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาทำเพราะหน้าที่และบางสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยบอกกับนางได้
เรือนร่างที่ตอบสนองอย่างซื่อสัตย์และเย้ายวนเร่งเร้าให้บุรุษหนุ่มกระโจนจ้วงไปถึงจุดหมาย มังกรผงาดคายน้ำรักจนล้นไหลเปื้อนเรียวขางาม นางกอดคอเขาแล้วสะอึกสะอื้นจำนนต่อแรงปรารถนา เขาลูบใบหน้าที่ชื้นเหงื่อของนางแล้วเอ่ยเสียงพร่า
“ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง”
นางเงยหน้ามองเขา ‘รับข้าเป็นภรรยาเจ้าได้ไหม?’
เฉินหลิวหยางชะงักงันไป เขาไม่ใช่สามัญชนที่จะรับสตรีนางใดมาเป็นภรรยาก็ได้ บัดนี้เขาเป็นฮ่องเต้ และเขามีฮองเฮาอยู่แล้ว เขาสัญญากับนางไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่รับนางเป็นชายาว่าจะไม่มีหญิงใดนั่งตำแหน่งที่สูงกว่านาง การแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเขาต้องการอาศัยอำนาจจากตระกูลของนางเพื่อได้มาซึ่งบัลลังก์มังกรที่ควรเป็นของเขาตั้งแต่แรก นางเป็นสตรีที่ไม่มีปากมีเสียงและสงบเสงี่ยมในที่ของตนเอง แม้กระทั้งช่วงเวลาที่เขาเรียกเหล่าสนมมาปรนนิบัติ นางกลับทำได้เพียงเฝ้ามองเขาอย่างสงบทั้งที่ในใจปวดร้าวไม่น้อย และที่สำคัญ ชิงหรูเป็นคนของลัทธิมาร เขาไม่อาจให้นางเปิดเผยตัวเองต่อหน้าผู้อื่นได้ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนเอาเรื่องนี้มาต่อต้านและล้มล้างบัลลังก์ของเขา ‘ไม่ได้สินะ’นางยิ้มหยันออกมา ชิงหรูคาดเดาไว้นานแล้วว่าคนผู้นี้ต้องมีภรรยารักอยู่แล้ว และฐานะของเขาคงไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะซุกซ่อนนางในที่ลับตาเช่นนี้ทำไมกัน นางยั่วยุหวังให้เขารังเกียจนางจะได้ปล่อยนางไป ทว่าเขากลับช้อนสะโพกนางอุ้มขึ้น สองขาเกี่ยวกับเอวสอบ สองแขนโอบรอบลำคอด้วยความตกใจ หรือนางจะไม่ได้ไร้เดียงสาอย่า
หลี่อ้ายลี่แน่นหน้าอกจนต้องยกมือขึ้นตบอกเบาๆ ภาพที่เห็นเฉินหลิวหยางร่วมรักเสพสวาทกับสตรีนางนั้นยังติดตาอยู่ นางแต่งงานกับเขามาสามปีแต่ยังไร้บุตร เวลานั้นเฉินหลิวหยางเป็นเพียงองค์ชายสี่แต่ก็ไม่คิดตบแต่งหญิงใดเพิ่มเพื่อสืบทายาท เขายังคงยืนยันกับนางว่าคนที่จะให้กำเนิดบุตรของเขาต้องเป็นนางเท่านั้น มาบัดนี้เฉินหลิวหยางขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ได้สำเร็จ แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาเป็นใหญ่ในวังหลัง นางรับรู้มาตลอดว่าเขาจะต้องมีสตรีมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นางต้องเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ทว่านางย่อมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเฉินหลิว หยาง ความใส่ใจที่เขามีต่อนางยังคงเดิม ร่วมรักหลับนอนเช่นทุกคราวแต่นางรู้สึกได้ว่าเขาไม่มีความสุขนัก นางเป็นคนคัดสาวงามไปถวายตัวรับใช้ ทุกครั้งนางปวดใจยิ่งแต่ก็ต้องทำใจ แต่ไม่นานมานี้ นางรู้ว่าเขามีความลับซุกซ่อนไว้ หลายคืนที่เขาหลบหายออกไป ไม่เรียกนางสนมมาปรนนิบัติ แม้ว่าเขาจะว่าราชการเป็นปกติทุกอย่าง เป็นฮ่องเต้ที่ดียิ่ง แต่บางเรื่องนั้น นางมีลางสังหรณ์ทำให้นางสืบรู้ว่าเขามีตำหนักลับไม่ไกลนัก จนกระทั้งนางได้เห็นด้วยสองตาว่าเขาซุกซ่อนสตรีไว้ เป
ชิงหรูส่ายหน้าไปมา นางคว้ามือของหลี่อ้ายลี่มาหงายขึ้นแล้วเขียนอักษรที่ละคำ “ไม่เต็มใจมา” หลี่อ้ายลี่อ่านตามแล้วดูสีหน้าของหญิงสาว นางเป็นใบ้แต่ไม่ได้หูหนวก หญิงใบ้พยักหน้าหงึกหงักแล้วเขียนคำต่อไป “ถูกจับตัวมา? เจ้าอยากไปจากที่นี่หรือไม่” ดวงตาของชิงหรูเบิกกว้างเปี่ยมความหวัง นางพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขียนอักษรคำต่อไป “ถูกจับมาพร้อมกัน ? เป็นบุรุษ?” หลี่อ้ายลี่ถาม หรือว่าหญิงผู้นี้มีสามีแล้วและถูกเฉินหลิวหยางฉุดคร่ามา แรกทีเดียวนางมีความเคียดแค้นริษยาสุ่มแน่นเต็มอก แต่เห็นท่าทางไร้เดียงสาและยังเป็นใบ้แล้วก็อดเวทนาไม่ได้ เดิมทีอยากกำจัดนางออกไปให้พ้นทาง แต่เห็นว่านางมีชายคนรักอยู่แล้ว เช่นนั้นนางช่วยให้หลบออกไปน่าจะเป็นผลดีกับนางเอง อย่างน้อยมือนางก็ไม่ต้องเปื้อนเลือด “ข้าไม่แน่ใจว่าบุรุษที่เจ้าพูดถึงอยู่ที่คุกหลวงหรือไม่ ข้าพาเจ้าไปที่นั้นได้แต่เจ้าต้องรับรองกับข้าว่าหากออกไปได้จะไม่หวนกลับมาที่นี่อีกและไม่บอกใครว่าข้าเป็นคนช่วยเจ้า” ชิงหรูพยักหน้าหงึกหงัก หลี่อ้ายลี่เรียกบ่าวชรามาเพื่อให้นางถอดชุดบ่าว
กรงเล็บจิกเข้าไปในผิวหนัง โลหิตสีสดไหลออกมาเปื้อนเปรอะนิ้วมือเรียวงามที่เริ่มสั่นระริก ดวงตาที่เปล่งประกายสีแดงชาดนั้นมีหยาดน้ำตาไหลไม่หยุด ยิ่งโลหิตของกวงหมินหลั่งมากเท่าใด น้ำตาของนางยิ่งไหลมากเท่านั้น “เจ้าต่อต้านข้า! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึชิงหรู!” ปีศาจสาวตะโกนออกมา ไม่เคยมีร่างทรงใดกล้าต้านทานอำนาจของนางถึงเพียงนี้“เจ้าไม่คิดแก้แค้นให้บิดามารดาหรือไร!” ‘ข้ารู้! ข้าจำได้ทุกอย่าง!’ เสียงภายในร่ำร้องบอกซึ่งทำให้กวงหมินเบิกตากว้าง ‘มารดาข้าเล่นเรื่องเจ้าให้ข้าฟัง นางบอกข้าเสมอว่าติดค้างเจ้ามาตลอด เป็นนางที่หักหลังไปมีผู้อื่น นางไม่ต้องการให้ข้าเป็นเช่นนาง’ “ชิงหรู..” ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เขาเข้าใจมาตลอดว่านางจำเรื่องในอดีตไม่ได้เพราะเหตุไฟไหม้ในวันนั้น และไม่เคยคิดว่า หญิงที่ตนเองเกลียดชังจะเป็นฝ่ายรู้สึกผิดต่อเขา ‘นับตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้ามักรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสายตาคู่นั้นเฝ้ามองอยู่ มารดาจึงเล่าเรื่องเหล่านี้ให้รับรู้ ข้าไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งได้เป็นร่างทรงของท่านประมุข ความรู้สึกผิดบาปกัดกินหัวใจเจ้า ข้าเองก็
เขาไม่ได้เอ่ยประโยคที่คิดในใจ อันฉีได้แต่ส่ายหน้าไปมา โยนถุงเงินใส่เขาแล้วขึ้นรถม้าจากไป แรกทีเดียวเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การฝั่งศพชิงหรู เชิงเขาแห่งนี้ดูสงบร่มรื่น เขาคิดจะฝั่งร่างนาง ปลูกดอกไม้ที่นางชอบ และเฝ้าดูแลจนกว่าเขาจะสิ้นลมตามนางไป ทว่าร่างที่แน่นิ่งมาเนิ่นนานค่อยๆ ขยับตัว ดวงตาของนางลืมตาขึ้น ร่างกายของนางอุ่นขึ้นและชีพจรกลับมาเต้นอีกครั้ง ‘ชิงหรู!’ กวงหมินเรียกนางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาเผลอเขย่าตัวนางด้วยกลัวว่านางจะหลับไปอีกครั้ง ‘ชิงหรู! เจ้ายังไม่ตาย!’ เขามองริมฝีปากของนางขยับพยายามสื่อสารกับเขา แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยินเสียงในหัวเช่นที่ผ่านมา นางชี้ที่ลำคอของตนเองท่าทางตกใจไม่แพ้กัน ในทันใดนั้น เขาเข้าใจได้ในทันทีว่า สิ่งที่ปีศาจราคะได้จากชิงหรูไปไม่ใช่ชีวิตของนาง แต่เป็นเสียงของนางไป เขารวบร่างนางกอดแนบแน่น กระซิบที่ริมหูอย่างอ่อนโยน ‘ไม่เป็นไร เจ้าไม่มีเสียงก็ไม่เป็นไร ข้าอ่านปากของเจ้าได้ ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ข้างกายข้าก็พอ’ นั้นคือเรื่องราวเมื่อครึ่งปีก่อน ชิงหรูแลบลิ้นใส่
แนะนำตัวละครไป๋เซ่อ-ฟู่เหยียนอวี้ : มีฐานะเป็นน้องสาวของประมุขฟู่อวิ๋นเชิง มู่ลี่หยาง : นายพรานหนุ่มเป็นเด็กกำพร้าที่หมอมู่จางหมิ่นอุปการะมู่จางหมิ่น : หมอชาวบ้านที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายสิบชีวิตฟู่อวิ๋นเซิง : ประมุขพรรคมารหลิวชิง : มือขวาฟู่อวิ๋นเชิง หญิงสาวขยับข้อมือที่เจ็บไปมาราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน ยังไม่ทันที่สมองจะลำดับเหตุการณ์ต่างๆนานา เสียงฝีเท้าคนเข้ามาใกล้เรียกดวงตาสีนิลให้หันขวับไปมองทันที ร่างเพรียวขยับลุกขึ้นนั่งในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัว ดวงตาหรี่มองไปทางประตูห้องที่เปิดออกพร้อมกับร่างของเด็กหญิง เด็กน้อยอ้าปากกว้างแล้วหันไปส่งเสียงดังนอกประตู“ฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้ว! พี่ลี่หยางมาดูเร็ว พี่สาวฟื้นแล้ว!”เสียงของ ‘หงเซ่อ’ เด็กหญิงวัยสิบสองตะโกนเรียกพี่ชายที่ลานบ้าน ร่างเล็กของเด็กสาวประคองถาดอาหารที่มีชามข้าวต้มกับผักดองใกล้ฟูกนอน โดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร“ฟื้นแล้ว...” ‘มู่ลี่หยาง’ ได้ยินเสียงเด็กน้อยชัดเจน เขาโยนฟื้นบนบ่าลงแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง ร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ดวงตาคมจ้องมองไปที่หญิงสาว
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไร”“พี่ลี่หย่างเกิดอะไรขึ้น นางถูกผีเข้าหรือ?”“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล” มู่ลี่หยางดุน้องสาว “เจ้าไปดูสิว่าพ่อบุญธรรมกลับมาหรือยัง” “ได้ ข้าจะไปรอหน้าบ้าน” เด็กหญิงกระโดดขึ้นทันที นางรีบสาวเท้าเดินออกมาถึงหน้าประตูแล้วหันกลับมา “พี่ใหญ่แน่ใจนะว่าไม่ต้องตามนักพรตมาไล่ผี”. เสียงคนสนทนาอยู่ไม่ไกลเกินที่คนที่นอนอยู่บนฟูกได้ยิน เพียงแต่หญิงสาวเลือกไม่ใส่ใจกับประโยคเหล่านั้น ทำได้ลืมตามองมุมหนึ่งของห้อง แมงมุมกำลังชักไยอย่างขยันขันแข็ง หน้าต่างบานนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ รับแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาทำให้ห้องได้กลิ่นหอมของแสงแดด แต่นางกลับรู้สึกหงุดหงิด แม้จำอะไรไม่ได้แต่รู้ว่าตนเองไม่ชอบแสงสว่างมากเกินไป“เจ้าเป็นคนพานางมา เจ้าตัดสินใจเอาแล้วกัน” มู่จางหมิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“นางเป็นสตรี” มู่ลี่หยางเอ่ยอย่างจนใจ“หงเซ่อก็เป็นสตรี” พ่อบุญธรรมหัวเราะเบาๆ มู่จางหมิ่นมองลูกชายตัวโตแล้วยื่นมือไปแตะไหล่ “เจ้าเป็นพี่ใหญ่ เรื่องดูแลน้องๆ เป็นเรื่องของเจ้า”“ขอรับ ท่านพ่อ” มู่ลี่หย่างทำได้แค่รับคำ ถึงอย่างไรเขาไม่สามารถทอดทิ้งน
มู่ลี่หยางยิ้มเก้อเขิน “พวกเราเป็นเด็กกำพร้า ตั้งชื่อกันเรียบง่าย ทำให้เจ้าขบขันแล้ว”“สีแดงเหมาะกับเจ้า” หญิงสาวคลี่ยิ้ม ‘หงเซ่อ’คือสีแดง ‘ไป๋เซ่อ’ คือสีขาว “ข้าชอบ เรียกข้าไป๋เซ่อก็ได้”หญิงสาวพึมพำเบาๆพยายามคลี่ยิ้มจางๆ แต่กลับรู้สึกถึงแรงต่อต้านอยู่ภายใน นางก้มมองข้อมือซ้ายตรงผ้าพันแผลมีรอยซึมของเลือดที่แห้งติดอยู่หญิงสาวรู้สึกง่วงงุนผิดปกติจนต้องกระถดตัวลงนอนอีกครั้ง สองพี่น้องก็ช่วยจัดแจ้งให้ลงนอนอย่างสบายตัว ไม่ใช่ความสบายจากฟูกนอนหรือผ้าห่มผืนบาง แต่เป็นแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ทำให้รู้สึกต้องการพักผ่อนอีกครั้งม่านควันหนาตาจนเด็กหนุ่มต้องโบกมือไล่ให้มองเห็นสิ่งตรงหน้า เขาไอโขลกๆ สำลักควันไฟแต่ยังพยายามเข้าไปในบ้านที่ถูกเปลวเพลิงโหมไหม้ “ท่านแม่!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก “น้องเล็ก!”เขาไม่สนใจบาดแผลตามร่างกาย วิ่งฝ่ากองเพลิงไปจนเห็นร่างของมารดา ใบหน้าซูบเซียวแต่ดวงตาบวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ผมที่เคยยาวสลวยกลับยุ่งเป็นกระเซิง ในมือยังถือเชิงเทียนอยู่ ราวกับไม่ใช่มารดาที่เขารู้จัก“ท่านแม่!”“เขาทิ้งเราไปแล้ว…พ่อของเจ้าทิ้งพวกเราไปแล้ว นังแพศยาตัวร้ายมันแย่งผู้ชาย
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได