มู่ลี่หยางยิ้มเก้อเขิน “พวกเราเป็นเด็กกำพร้า ตั้งชื่อกันเรียบง่าย ทำให้เจ้าขบขันแล้ว”
“สีแดงเหมาะกับเจ้า” หญิงสาวคลี่ยิ้ม ‘หงเซ่อ’คือสีแดง ‘ไป๋เซ่อ’ คือสีขาว “ข้าชอบ เรียกข้าไป๋เซ่อก็ได้”
หญิงสาวพึมพำเบาๆพยายามคลี่ยิ้มจางๆ แต่กลับรู้สึกถึงแรงต่อต้านอยู่ภายใน นางก้มมองข้อมือซ้ายตรงผ้าพันแผลมีรอยซึมของเลือดที่แห้งติดอยู่
หญิงสาวรู้สึกง่วงงุนผิดปกติจนต้องกระถดตัวลงนอนอีกครั้ง สองพี่น้องก็ช่วยจัดแจ้งให้ลงนอนอย่างสบายตัว ไม่ใช่ความสบายจากฟูกนอนหรือผ้าห่มผืนบาง แต่เป็นแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ทำให้รู้สึกต้องการพักผ่อนอีกครั้ง
ม่านควันหนาตาจนเด็กหนุ่มต้องโบกมือไล่ให้มองเห็นสิ่งตรงหน้า เขาไอโขลกๆ สำลักควันไฟแต่ยังพยายามเข้าไปในบ้านที่ถูกเปลวเพลิงโหมไหม้
“ท่านแม่!” เด็กหนุ่มตะโกนเรียก “น้องเล็ก!”
เขาไม่สนใจบาดแผลตามร่างกาย วิ่งฝ่ากองเพลิงไปจนเห็นร่างของมารดา ใบหน้าซูบเซียวแต่ดวงตาบวมแดงเพราะร้องไห้อย่างหนัก ผมที่เคยยาวสลวยกลับยุ่งเป็นกระเซิง ในมือยังถือเชิงเทียนอยู่ ราวกับไม่ใช่มารดาที่เขารู้จัก
“ท่านแม่!”
“เขาทิ้งเราไปแล้ว…พ่อของเจ้าทิ้งพวกเราไปแล้ว นังแพศยาตัวร้ายมันแย่งผู้ชายคนนั้นไปจากแม่…”
เขาจับข้อมือของมารดาแน่นแต่ไม่กล้าออกแรงมาก เพราะเกรงอีกฝ่ายจะเจ็บ ทั้งๆที่ตัวเองก็หายใจไม่ออก
“ท่านแม่ รีบออกไปเถิด” เขาอ้อนวอน “น้องเล็กอยู่ที่ใด”
“ลี่หยาง เจ้าช่างเหมือนพ่อของเจ้านัก” มารดายกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบใบหน้าของลูกชาย “ น้องสาวของเจ้าเอาแต่ร้องหาพ่อ ร้องหาชายชั่วคนนั้น แม่...แม่ก็เลย...”
“ท่านแม่!” เด็กหนุ่มตวาดออกมาแล้วผลักมารดาไปพ้นทาง ความสนใจคือน้องสาววัยห้าขวบ เขาหันซ้ายแลขวาพลางส่งเสียงตะโกนเรียก “น้องเล็ก!”
ทว่าสิ่งที่เขาเห็นคือร่างของน้องสาวที่แน่นิ่ง เขาวิ่งไปเข้าไปอุ้มร่างเล็กแล้ววิ่งฝ่ากองเพลิงออกมา แม้หันหลังกลับไปยังเห็นมารดายืนอยู่กลางกองเพลิง เขาพยายามเรียกน้องสาวให้ตื่น ทำทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่อาจปลุกนางขึ้นมาได้
ไม่มีอีกแล้ว เสียงหัวเราะสดใสและเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’
ชายหนุ่มผวาขึ้นจากเตียงนอนด้วยร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ภาพฝันแตกกระจายไปแล้วเมื่อลืมตา แต่ความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากข้างใน
เขาซบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง มารดาเสียสติหลังจากท่านพ่อติดพันคณิกานางหนึ่งถึงขั้นไถ่ตัวรับมาอยู่ในเรือน แต่ท่านพ่อจะยกนางขึ้นเป็นภรรยารองซึ่งมารดาไม่อาจยอมรับได้ หากเป็นแค่อนุ มารดายังพอรับได้แต่ถึงขั้นยกย่องเช่นนั้น มารดาที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ทั้งสองทะเลาะกันหนักหน่วง บิดาซื้อเรือนให้คณิกาผู้นั้นอยู่และแทบจะใช้ชีวิตที่นั้นยิ่งทำให้มารดาโกรธแค้น แต่เขาไม่คิดว่ามารดาจะถึงขั้นเสียสติ ทำร้ายน้องเล็กและเผาบ้านจนมอดไหม้ เขาเองไม่อาจรับเรื่องเลวร้ายนั้นได้ หลังจัดงานศพให้มารดาและน้องสาว เขาจึงออกมาอย่างเงียบๆ ใช้ชีวิตเร่ร่อนจนได้มาพบกับท่านหมอมู่จางหมิ่น
ผ่านมาหลายปีแต่เขายังฝันร้าย ภาพในคืนนั้นยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
เพราะรู้ตัวว่าตนเองมักฝันร้ายและผวาตื่นจึงแยกตัวออกมา สร้างห้องหลังเล็กแยกออกมา กลิ่นหอมหวานที่ไม่คุ้นเคยทำให้ลี่หย่างเหลียวมองรอบกาย แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อข้างกายมีร่างของหญิงสาวนอนขดกายราวแมวน้อย
“แม่นาง...เอ่อ ไป๋เซ่อ”
หญิงสาวเริ่มคุ้นกับชื่อใหม่ นางลืมตามองเขาแล้วค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง เสื้อผ้าตัวหลวมและสาบเสื้อที่คลายออกเผยให้ผิวกายขาวราวหิมะ ดูเหมือนนางจะไม่รู้ตัวว่าเสื้อผ้าหลุดรุ่ยทำให้พรานหนุ่มยื่นมือจับเสื้อผ้าของหญิงสาวให้มิดชิด ดวงตากลมโตกระพริบตาปริบๆ ก่อนก้มมองสิ่งที่เขาทำ ท่าทางไร้เดียงสาทำให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจออกมา
“เข้าเมืองแล้วข้าจะหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เจ้า” มู่ลี่หยางพึมพำแล้วพูดอย่างนึกได้ “เหตุใดเจ้ามานอนที่นี่”
ไป๋เซ่อทำหน้านิ่งคิด คิ้วงามขมวดยุ่งเหยิงก่อนส่ายหน้าไปมาแล้วพูดเสียงเบา
“ข้าก็ไม่รู้”
“เดินละเมอรึ” ลี่หยางถามเหมือนไม่ถาม เด็กกำพร้าที่พ่อบุญธรรมดูแลหลายคนก็มีอาการเดินละเมอ หลังจากได้รับการรักษาก็ค่อยๆ ดีขึ้นจนหลายคนไม่เดินละเมออีก
“ไม่รู้” นางส่ายหน้าไปมาแล้วคลี่ยิ้ม “ข้านอนที่นี่ไม่ได้หรือ?”
“เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ควรมานอนกับข้าที่นี่”
“ที่เรือนหลังใหญ่ก็นอนรวมกัน” นางแย้งแล้วเอียงคอมองเขา “ข้าตัวโตนอนกินที่ผู้อื่น ข้าขอนอนกับท่านได้ไหม”
หากเทียบกับเด็กคนอื่น นางย่อมตัวโตกว่าแน่นอน แต่ถ้าเทียบกับร่างสูงใหญ่ของเขา นางก็เหมือนเด็กเล็กๆ เท่านั้น เขาถอนหายใจอีกครั้ง นางความจำเสื่อมและไม่ต่างจากเด็กไร้เดียงสาที่ต้องการคนปกป้องดูแล
“ไม่ได้ มันไม่เหมาะสม” เขายืนกร้าน ปกติเขาประสาทรับรู้ไวนักแต่ทำไมครั้งนี้เขาไม่รู้ว่ามีคนแอบมานอนด้วย หรือเพราะอยู่ในห้วงฝันร้ายจึงไม่ทันระวังตัว
ทว่าสายตาเจือรอยเศร้าที่จ้องมองเขาทำให้ใจอ่อน แม้นางเป็นหญิงสาวเต็มวัยแต่ความคิดอ่านเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น คงต้องค่อยๆ สอนให้นางเข้าใจไปที่ละขั้นตอน แต่คืนนี้...
“ช่างเถอะ อีกประเดี๋ยวก็เช้าแล้ว เจ้ามานอนตรงนี้ก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นสละที่นอนของตนให้นางขยับเข้าไปนอนด้านใน ส่วนตนเองอยู่ด้านนอก
“ลี่หยางใจดีที่สุดเลย” เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างดีใจแล้วขยับตัวไปนอนด้านใน ดึงผ้าห่มผืนเก่าของเขามาห่มอย่างไม่เกรงใจแล้วพริ้มตาหลับราวกับเป็นเจ้าของที่นอนเสียเอง
ถ้อยคำของนางทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะนอนต่อจึงนั่งมองหญิงสาวหลับใหลไปอย่างเงียบๆ นึกถึงภาพที่ตนเองพบนางหมดสติอยู่ริมลำธาร เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นผ้าไหมเนื้อดีแต่เปื้อนเปรอะคราบเลือดและขาดวิ่น ตามร่างกายมีรอยฟอกช้ำแต่ไม่มีบาดแผลสาหัส เขาไม่คิดว่านางจะบาดเจ็บหนักขนาดกลายเป็นคนความจำเสื่อมอย่างนี้ เขาแบกร่างที่หมดสติกลับมาให้หมอมู่จางหมิ่นรักษา
นางเป็นใครกัน หญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้เหตุใดถึงอยู่กลางป่าเพียงลำพัง
มู่ลี่หยางเหน็บผ้าห่มให้แล้วลุกขึ้นเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาใช้ชีวิตพรานล่าสัตว์ป่ามาหลายปี บางครั้งก็กินนอนในป่า บางคราวก็ออกจากเรือนตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเก็บของป่านำไปขายแลกเงิน ตัวเขาเองไม่จำเป็นต้องใช้อะไรนัก แต่หมอมู่จางหมิ่นที่ดูแลเด็กกำพร้าอยู่นั้นต้องใช้เงินซื้อข้าวสารและเสื้อผ้า เขาจึงช่วยเท่าที่พอทำได้ แต่คราวนี้เขาคงต้องหาของป่าเอาไปขายเพื่อซื้อเสื้อผ้าให้ไป๋เซ่อเสียแล้ว
เสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกทำให้หญิงสาวที่หลับใหลลืมตาตื่น นางยกมือขึ้นบังแสงสว่างที่รอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้า เหตุใดนางไม่ชอบแสงแดดเอาเสียจริง แม้รู้ว่าตนเองไม่ชอบแต่ก็ยังฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง นางกวาดสายตามองรอบกายแต่ไม่พบแม้แต่เงาของมู่ลี่หยาง นางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนจึงเดินมานอนที่ห้องของเขา ทั้งที่นางจำได้ว่าตอนที่นานนอนหลับนั้น ก็หลับพร้อมกับเด็กๆ คนอื่น
เด็กๆ
เด็กเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกว่าตนเองจะใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องทำงานช่วยพวกเขาบ้าง แต่ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งใดก็นำพาเรื่องยุ่งยากมาให้คนอื่นต้องแก้ไขเสมอ แต่นางก็ไม่ยอมแพ้แน่นอน คิดได้ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นเก็บที่นอนด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ราวกับไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้มาก่อน เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงเดินออกมาที่ลานกว้าง “พี่ไป๋เซ่อตื่นแล้วหรือ?” เป็นเสียงของหงเซ่อทักขึ้นแล้วยกตะกร้าใส่เสื้อผ้าจะไปซักผ้าที่ลำธารไม่ไกลนัก“มีสิ่งใดให้ข้าช่วยได้บ้างไหม” ไป๋เซ่อถามแล้วเดินเข้าไปช่วยยกตะกร้าใส่ผ้า “พี่สาวยังบาดเจ็บอยู่ จะถูกน้ำเย็นไม่ได้” หงเซ่อพูดขึ้นแล้วพยักหน้าไปทางห้องครัว “พี่สาวไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถิดแล้วมากินข้าวเช้ากัน”แม้หงเซ่อจะเป็นเพียงเด็กหญิงแต่การสั่งงานดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ไป๋เซ่อพยักหน้ารับแล้วเดินหาไปทางบ่อน้ำด้านหลัง ใช้เวลาไม่นานนางก็รีบเดินเร็วๆ มาช่วยเด็กคนอื่นๆ ในครัว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่เกี่ยงงอน ไป๋เซ่อถูกจูงมือให้มานั่งรอที่เก้าอี้ เสียงหัวเราะครืนเครงแบบที่นางไม่คุ้นเคย
ซิงอีเหงื่อแตกพลั่กๆ เพียงเสียงสูดลมหายใจลึกก็ทำเอาซิงอีเสียวสันหลัง แต่หลิวชิงกลับไม่พูดอะไรเพียงแค่โบกมือไล่ให้ออกไป ซิงอีก็ลอบถอนหายใจโล่งอกประสานมือคารวะก่อนเดินออกมาอย่างเงียบๆผ่านมานานนับเดือนแล้วยังไม่มีข่าวคราวของคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ น้องสาวเพียงคนเดียวของประมุขพรรคกระเรียนดำ ตามกำหนดเดิมแล้วเขากับฟู่เหยียนอวี้จะเดินทางไปพบท่านประมุขที่หุบเขาอู่อี๋ แต่ด้วยความเอาแต่ใจ ฟู่เหยียนอวี้จึงเดินทางมาก่อนไม่ฟังคำคัดค้านจากใคร หญิงสาววัยสิบเจ็ดที่แสนเอาแต่ใจควบม้าพลัดหลงไปในคืนนี้ที่เขาล้มป่วย ทั้งที่เขาห้ามปรามนางแล้วแต่นางก็ดึงดันออกไป ผู้อารักขามีนับสิบแต่กลับตามฟู่เหยียนอวี้ไม่ทัน ทว่ากลับพบเพียงม้าที่คุณหนูขี่ไปแต่กลับไม่พบตัวคน ต่อให้เขาป่วยหนักแค่ไหนก็ต้องสั่งการให้คนออกตามหาฟู่เหยียนอวี้ แต่มาบัดนี้ก็ยังไร้ร่องรอยของนาง บารมีของประมุขทำให้ใครต่อใครเกรงใจเขา ทั้งที่ความจริงเขาเองก็เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่มารดาของฟู่เหยียนอวี้รับอุปการะตั้งแต่อายุเพียงสิบขวบ และปีต่อมาฟู่เหยียนอวี้ก็ถือกำเนิด เขาถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นพี่เลี้ยง ผู้อารักขา รวมทั้งคนรับใช้ของฟู่เหยียนอวี้ ทว่าฐาน
“เจ้าขนของลงแล้วรอให้เถ้าแก่จางตรวจสินค้าก่อน”“เอ่อ...”“ข้าดูแลนางเอง ไม่ได้เอานางไปฆ่าไปแกงหรอก” หวงหลันหัวเราะอย่างมีจริตแล้วพาไป๋เซ่อหายไปด้านใน มู่ลี่หยางได้แต่มองตาม เขาไม่สะดวกเข้าไปด้านในเพราะเป็นเขตหวงห้าม จึงได้แต่ทำตามที่หวงหลันสั่ง ร่างกายสูงใหญ่กำยำแบกหามอย่างคล่องแคล่ว ผู้อื่นไหว้วานให้เขายกของหนัก เขาก็ทำให้โดยไม่อิดออด อาศัยว่าที่แห่งนี้รับซื้อของป่าที่เขานำมาขายโดยไม่กดราคาเหมือนที่อื่น สิ่งใดที่พอทำได้ เขาเต็มใจช่วย ทว่าครั้งนี้เขาเพียงแต่เป็นห่วงไป๋เซ่อ เกรงว่านางจะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองหรือผู้อื่น“มีเรื่องใดรึ ปกติไม่เห็นเจ้าใจลอยเช่นนี้” เถ้าแก่เอ่ยถามอย่างเป็นกันเองขณะส่งพวงเงินให้มู่ลี่หยาง“ข้าเป็นห่วง...น้องสาว”“น้องสาว?” เถ้าแก่จางเลิกคิ้วประหลาดใจ “เจ้าพาเด็กๆที่บ้านหมอมู่มาด้วยรึ ข้าไม่เห็นผู้อื่น นึกว่าเจ้ามาเพียงลำพังจึงใช้งานเจ้าเกินเวลาไปมาก”มู่ลี่หยางไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทว่าหวงหลันก็เดินนำออกมา นางรู้ว่ามู่ลี่หยางชะเง้อมองหาหญิงสาวก็หัวเราะคิกคักแล้วเบี่ยงตัวให้ไป๋เซ่อก้าวออกมายืนด้านหน้า ไป๋เซ่อสวมชุดสาวใช้เรียบง่ายแต่ไม่อาจปกปิดควา
การเคลื่อนไหวด้านนอกทำให้มู่ลี่หยางขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างรวดเร็ว เขาปรับสายตากับความมืดครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ย่างเท้าออกไปอย่างเงียบเฉียบ ทว่าภาพที่เห็นทำเอาเขายืนมองด้วยความตกใจ ราวกับภาพวาดใต้แสงจันทร์กระจ่างมีเงาร่างอรชรยืนอยู่ ผมดำยาวสยายพลิ้วไหวตามสายลมราตรี “ไป๋เซ่อ” มู่ลี่หยางเรียกแล้วเดินเข้าไปใกล้ หญิงสาวไม่หันมาเขาจึงเอื้อมมือไปแตะไหล่นางเบาๆ เจ้าของร่างจึงหันมาแต่แววตาดูว่างเปล่า เขาจับไหล่ให้นางหันมาเผชิญหน้ากับเขา “ไป๋เซ่อ” เขาเพิ่มน้ำเสียงเรียกนางอีกครั้ง ดวงตาคู่งามปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่งแล้วร่างเย็นเยียบก็อ่อนยวบลง เขารีบประคองนางไว้ก่อนที่จะล้มลงไป “ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางซ้ำอีก ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นนางเดินละเมอออกมาที่ลานบ้านเช่นนี้ หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางมองเขาอย่างงุนงงพลันรู้สึกหนาวจึงขดตัวซุกในอกราวกับลูกนกพลัดตกรัง “พี่ลี่หยาง” มู่ลี่หยางช้อนร่างนุ่มขึ้นแล้วพากลับมาที่พักของตน วางนางลงบนที่นอนแล้วคลี่ผ้าห่มคลุมร่างนางไว้ เท้าเล็กๆ ถูไปมา เขาส่ายหน้าแล้วหยิบเสื้อของตนมาคลุ
หมอมู่จางหมิ่นโบกมือไปมาราวกับไล่แมลงรำคาญ “ต้องการสิ่งใดก็พูดมา” “โอสถของประมุขหายไป” “หือ?” คราวนี้หมอมู่เลิกคิ้วประหลาดใจ “ปกติคุ้มกันอย่างดีมิใช่รึ?” “เป็นข้าที่สะเพร่าเองจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” “สะเพร่า? คนอย่างหลิวชิงรึจะสะเพร่าได้ถึงเพียงนี้” หมอมู่ส่ายหน้าไปมา “แต่ข้าออกจากพรรคกระเรียนดำมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปเคยพบเห็นโอสถของท่านประมุขได้อย่างไร” สิ่งที่ทำให้มู่จางหมิ่นวางมือเรื่องในพรรคมารก็เพราะ ‘โอสถ’ ของท่านประมุข สองมือเคยเปื้อนเลือด ฆ่าคนเป็นผักปลา แต่เขาล้างมือและใช้ความรู้รักษาผู้อื่น แม้ไม่อาจชดเชยที่ทำมาแต่ก็พยายามทำเท่าที่มือคู่นี้จะทำได้ นั้นคือเหตุผลที่เขารับเลี้ยงเด็กกำพร้าเหล่านี้ “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เจ้าจะได้ไม่เสียเวลา” หลิวชิงหยิบกระดาษม้วนออกมาคลี่ออกแล้วส่งให้หมอมู่จางหมิ่น หมอมู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านหมอมู่...” “ข้า...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงเด็กๆ ร้องเรียก ‘พี่ลี่หยาง’ มู่ลี่หยางที่เพิ่งกลับจา
เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ขวดและตลับยาหลายชนิดมาอยู่ตรงหน้ามู่ลี่หยาง เด็กคนนี้เขาเลี้ยงเองมากับมือ แม้จะมารู้จักกันตอนสิบกว่าขวบแล้ว แต่ก็รักเอ็นดูราวบุตรชายแท้ๆ “ข้าไม่รู้ว่านางคือฟู่เหยียนอวี้” มู่จางหมิ่นพูดไปตามจริง “และนางคือโอสถของท่านประมุข”“โอสถ?”“เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเป็นเช่นที่ข้าคาดคิด เลือดของนางรักษาโรคประหลาดของท่านประมุข และเพราะนี้ท่านประมุขจะทำร้ายนางไม่ได้ แต่หากความลับนี้แพร่พรายออกไป แน่นอนว่าหลายคนต้องหวังกำจัดนาง เพราะถ้านางตายก็เท่ากับได้ทำลายประมุขพรรคกระเรียนดำลงได้” “พ่อบุญธรรมจะให้ข้าทำอย่างไร”“ดูแลนางให้ดี” มู่จางหมิ่นยิ้มแต่มีรอยเศร้าในดวงตา “แต่ความทรงจำนางอาจกลับมาได้ทุกเมื่อ ข้าไม่รู้ว่า หากนางจำได้ว่าตนเองเป็นใคร จะยังจำเรื่องราวในตอนนี้ได้หรือไม่”“พ่อบุญธรรมหมายความว่า...นางอาจจำช่วงเวลาที่นางเป็นไป๋เซ่อไม่ได้...”“ถูกต้อง”“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”“ดี” มู่จางหมิ่นพยักหน้า คราวนี้เขาหันไปหยิบกระบี่ที่เก็บรักษาอย่างดียื่นให้มู่ลี่หยาง “รับไว้ เผื่อใช้ยามจำเป็น”มู่ลี่หยางยื่นสองมือมารับกระบี่ เขารู้ว่ากระบี่เล่มนี้มีความหมายต่อพ่อบุญธรรมมากเพ
คนตรงหน้านี้คือพี่ลี่หยางจริงๆหรือ? นางถามตัวเองแล้วกวาดสายตามองทั่วร่างก่อนพยักหน้ารับกับตัวเอง เขาคือพี่ลี่หยางจริงๆ เหตุใดเขาดูหล่อเหลาถึงเพียงนี้ มู่ลี่หยางถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองราวกับตัวเองขนมถังหู่ลู่ ก่อนที่นางจะทำลายไหลยืด เหมือนตอนเห็นขนมในมือหงเซ่อ เขาจึงพูดเรียกสติของนาง “พร้อมเดินทางหรือยัง” “อ้อ!” นางได้สติแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าพร้อมแล้ว” มู่ลี่หยางพยักหน้ารับ ปรายตามองหลิวชิงผู้มีสีหน้าอ่อนใจ เมื่อครู่เขาเห็นหลิวชิงเรียก ‘ฟู่เหยียนอวี้’ อยู่หลายครั้งแต่คนในห้องยังไม่เปิดประตู เขาจึงเรียกนาง ‘ไป๋เซ่อ’ หญิงสาวในห้องจึงเปิดประตูยื่นหน้าออกมา “นางแค่ไม่คุ้นกับชื่อฟู่เหยียนอวี้” มู่ลี่หยางพูดกับหลิวชิง “ข้าเข้าใจแล้ว” หลิวชิงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางเบา “หากแต่อยู่ต่อหน้าผู้อื่นเกรงว่าไม่สามารถเรียกคุณหนูว่าไป๋เซ่อได้ ข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าคุณหนูมีปัญหาเรื่องความทรงจำ” “ไม่เป็นไรข้าว่าฟู่เหยียนอวี้ก็ได้” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง “แต่ให้พี่ล
มู่ลี่หยางย่อมรู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นบังคับม้าให้ความเร็วให้สัมพันธ์กับรถม้า เขาทนการจ้องมองของนางไม่ไหวจึงหันไปส่งสายตาดุใส่ หญิงสาวสะดุ้งโหยงแล้วผลุบเข้าไปในรถม้าหลิวชิงผู้เห็นทุกอย่างอดกลั้นมานานจึงเผลอหัวเราะออกมา“เจ้าหัวเราะอะไร”“ขออภัยขอรับ...ข้าไม่หัวเราะแล้ว”“ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าหัวเราะข้า” นางยู่ปากใส่ “ไม่มีหงเซ่ออยู่ก็ไม่มีใครปกป้องข้าเลย”“คุณหนูยังมีมู่ลี่หยางอยู่...หากข้าทำให้คุณหนูไม่พอใจก็ไปฟ้องเขาก็ได้นี่ขอรับ”“ข้าทำอย่างนั้นได้รึ” นางกะพริบตาใส่“ขอรับ”“ดีล่ะ ถ้าใครรังแกข้า ข้าจะไปฟ้องพี่ลี่หยาง”หลิวชิงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “พรานป่าผู้นั้นดีกับคุณหนูหรือไม่ขอรับ”“แน่นอน!” ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก “เขาดีกับข้าที่สุด ไม่ให้ข้าทำงานหนัก เสื้อผ้าก็ยกให้ข้า ผ้าห่มของเขา ซ้ำยังมีที่นอนของเขาด้วย คืนใดที่ข้านอนละเมอ เขาก็ให้ข้านอนเตียงของเขาได้”“คุณหนู...นะ...นอน...นอนเตียงเดียวกับนายพรานผู้นั้นหรือขอรับ”ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ใช่นะสิ เขาดีกับข้ามากจริงๆ”คราวนี้หลิวชิงยิ้มแข็งค้าง หากเผลอทำอะไรให้ฟู่หยียน อวี้ไม่พอใจจริง มู่ลี่หยางคงไม
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได