มู่ลี่หยางย่อมรู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นบังคับม้าให้ความเร็วให้สัมพันธ์กับรถม้า เขาทนการจ้องมองของนางไม่ไหวจึงหันไปส่งสายตาดุใส่ หญิงสาวสะดุ้งโหยงแล้วผลุบเข้าไปในรถม้า
หลิวชิงผู้เห็นทุกอย่างอดกลั้นมานานจึงเผลอหัวเราะออกมา
“เจ้าหัวเราะอะไร”
“ขออภัยขอรับ...ข้าไม่หัวเราะแล้ว”
“ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าหัวเราะข้า” นางยู่ปากใส่ “ไม่มีหงเซ่ออยู่ก็ไม่มีใครปกป้องข้าเลย”
“คุณหนูยังมีมู่ลี่หยางอยู่...หากข้าทำให้คุณหนูไม่พอใจก็ไปฟ้องเขาก็ได้นี่ขอรับ”
“ข้าทำอย่างนั้นได้รึ” นางกะพริบตาใส่
“ขอรับ”
“ดีล่ะ ถ้าใครรังแกข้า ข้าจะไปฟ้องพี่ลี่หยาง”
หลิวชิงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “พรานป่าผู้นั้นดีกับคุณหนูหรือไม่ขอรับ”
“แน่นอน!” ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก “เขาดีกับข้าที่สุด ไม่ให้ข้าทำงานหนัก เสื้อผ้าก็ยกให้ข้า ผ้าห่มของเขา ซ้ำยังมีที่นอนของเขาด้วย คืนใดที่ข้านอนละเมอ เขาก็ให้ข้านอนเตียงของเขาได้”
“คุณหนู...นะ...นอน...นอนเตียงเดียวกับนายพรานผู้นั้นหรือขอรับ”
ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ใช่นะสิ เขาดีกับข้ามากจริงๆ”
คราวนี้หลิวชิงยิ้มแข็งค้าง หากเผลอทำอะไรให้ฟู่หยียน อวี้ไม่พอใจจริง มู่ลี่หยางคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่ เห็นทีเขาคงต้องหาทางประจบว่าที่ท่านเขยผู้นี้แล้วกระมัง.
ยิ่งเดินทางเข้าใกล้หุบเขาอู่อี๋ ก็ยิ่งห่างบ้านเรือนและผู้คน มาถึงเวลานี้ไม่มีแม้กระทั่งโรงเตี้ยมหรือแม้แต่บ้านของชาวบ้านเพื่อขอพักอาศัย แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับหลิวชิง เขาตระเตรียมเสบียงอาหารพร้อมสรรพ รวมทั้งให้ฟู่เหยียนอวี้หรือไป๋เซ่อ ได้นอนหลับบนรถม้าอย่างสะดวกสบาย เมื่อถึงเวลาพัก บางคนเข้าเวรยามคอยดูแลความปลอดภัยและบางคนได้พักผ่อน ทว่ามีผู้อารักขาอยู่หนึ่งคนที่ไม่ต้องทำสิ่งใด หน้าที่ของเขาคืออยู่ใกล้และทำให้ฟู่เหยียนอวี้พึ่งพอใจเท่านั้น
หลายคืนมานี้ไม่มีคนเดินละเมอ มู่ลี่หยางนั่งหลับตาพิงต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลกองไฟนัก ยามกลางวันนางเพียงยื่นหน้าค่อยมองและส่งยิ้มให้อยู่ห่างๆ แม้ตระหนักดีถึงหน้าที่ของตนดี แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อนางคงได้อยู่ที่คุ้นเคยอาจหลงลืมเขา มีความเศร้าหมองผุดขึ้นในอก พ่อบุญธรรมเคยเตือนแล้ว หากนางฟื้นความทรงจำได้ทั้งหมด ก็อาจลืมเรื่องราวที่เคยพบเขาหรือคนอื่นในช่วงเวลาที่ความทรงจำนั้นหายไป
นางอาจลืมเขาได้
แต่เขาจะลืมนางได้อย่างไร
การเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้มู่ลี่หยางรู้ตัว ทว่ากลิ่นหอมละมุนอันเป็นเอกลักษณ์นั้นทำให้เขาแสร้งปิดเปลือกตาอยู่ต่อไป กระทั่งผ้าผืนหนึ่งคลี่ลงห่มร่างของเขาอย่างเบามือ หญิงสาวแทบกลั้นลมหายใจ เพราะเกรงจะทำให้มู่ลี่หยางตื่น แต่เมื่อห่มผ้าให้เขาเสร็จ นางกลับไม่อาจตัดใจจากไปได้ เมื่อได้เห็นใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่ายพลันสังเกตว่าตรงหางคิ้วด้านขวามีรอยแผลเป็นเล็กๆ เอ่อ...ที่ใต้คางก็เหมือนจะมีแผลเช่นกัน นางเพิ่งเคยเห็น อาจเพราะในยามปกติเขาทำหน้านิ่งเหมือนจะดุนางอยู่ตลอดเวลา จึงไม่กล้าสำรวจใบหน้าของเขาตรงๆ เช่นนี้ โดยไม่รู้ตัว มือเรียวเล็กยื่นไปหมายจะแตะตรงที่เป็นรอยแผลเป็น ทว่ามือแกร่งจับข้อมือขาวผ่องไว้ทันก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะใบหน้า
“อุ้ย!” ไป๋เซ่ออุทานเบาๆ รีบดึงมือกลับและมู่ลี่หยางก็ปล่อยมือนางออกอย่างง่ายดายก่อนจะลืมตาขึ้นมองดวงตาสุกใสที่จ้องมองเขาอยู่
“เจ้าจะทำอะไร” เขาถามเห็นแววตาทะเล้นราวเด็กน้อยแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ จะไม่ให้เขาไม่เป็นห่วงนางได้อย่างไร ดูนางทำเข้า ไม่ต่างจากเด็กๆ ในบ้านพ่อบุญธรรมสักนิด
“ห่มผ้าให้พี่ลี่หยาง” นางพูดตะกุกตะกักและฉีกยิ้มหวาน “หงเซ่อย้ำกับข้าว่า ข้าต้องดูแลพี่ลี่หยางให้ดี”
“ข้าดูแลตัวเองได้” พูดออกไปเช่นนั้นแต่ก็อุ่นในหัวใจ ใบหน้าจึงอ่อนโยนลงอย่างไม่รู้ตัว “เจ้านอนไม่หลับรึ”
“ข้า...”
“เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”
ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาพราวระยับดุจดวงดารา นางพยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบลุกขึ้นยืน เพราะรีบร้อนจึงซวนเซแต่มู่ลี่หยางมือเท้าไวประคองร่างนุ่นนิ่มไว้ หญิงสาวเงยหน้าแล้วยิ้มทะเล้นเมื่อทรงตัวได้แล้วพรานหนุ่มจึงปล่อยมือ เขาพยักหน้าบอกให้นางเดิน แม้มีเพียงแสงจันทร์แต่ก็ส่องสว่างนำทางให้คนทั้งสองเดินไปยังบริเวณบึงน้ำขนาดใหญ่ สายลมเย็นโชยพัดผ่านนำกลิ่นหอมหวานจากดอกไม้กลางคืนมาให้ชื่นใจ
เขารู้ว่าเป็นนางที่นอนไม่หลับ แต่นางคงไม่อยากให้เขากังวลจึงไม่กล้าปริปาก แต่เมื่อไม่มีผู้อื่นอยู่ใกล้ เขาจึงเอ่ยถาม
“เจ้ากังวลเรื่องใดอยู่รึ”
เจ้าของร่างเล็กนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ถ้อยคำของเขาตรงใจนางนัก
“สมกับเป็นพี่ลี่หยาง ...ข้ามีเรื่องกังวลใจจริงๆ” เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังขึ้นก่อนเอ่ยต่อ “หลิวชิงบอกว่า พรุ่งนี้ก็จะไปถึงหุบเขาอู่อี๋แล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะเจอสิ่งใดบ้าง”
“นั้นเป็นสถานที่ที่เจ้าเติบโตไม่ใช่รึ”
“แต่ข้าจำไม่ได้นี่นา” นางเบ้ปากเล็กน้อย “พี่ลี่หยางไม่กลัวรึ”
“กลัว? กลัวสิ่งใด”
“ที่นั้นเป็นพรรคมารเชียวนะ” นางเบิกตาจ้องมองเขา “พี่ลี่หยางไม่กลัวจริงๆรึ”
“เจ้านี่นะ...กลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึงเสียจริง” เขาส่ายหน้าไปมา สายลมพัดผ่านทำให้เส้นผมยาวสยายของหญิงสาวพลิ้วไหว เขาเกือบจะเอื้อมมือไปแตะเส้นผมของนางแล้ว แต่ยั้งมือไว้ได้ทัน ได้แต่ซ่อนมือไว้ด้านหลัง
“มีข้าอยู่ด้วย เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
ถ้อยคำที่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นางกลับฟังได้ไม่รู้เบื่อ หัวใจที่ว้าวุ่นพลันสงบลงในทันที
“แต่พี่ลี่หยางมาส่งข้าแล้วก็จะกลับใช่ไหม...ถ้าข้ายังจำอะไรไม่ได้ พี่ลี่หยางจะไปหรือเปล่า”
“พ่อบุญธรรมสั่งให้ข้าดูแลเจ้าจนกว่าจนจะหายดี”
มู่ลี่หยางเอ่ยตอบหวังให้นางสบายใจ แต่สีหน้านางกลับยังดูหมองเศร้า
“เจ้าไม่เชื่อใจข้า?”
นางส่ายหน้าไปมา “ข้าเชื่อใจพี่ลี่หยาง แต่ถ้าพี่ลี่หยางไม่เต็มใจ แค่ส่งข้าถึงบ้านก็พอ”
“ข้าเพิ่งพูดกับเจ้าไปเมื่อครู่ ดูเหมือนเจ้าลืมไปแล้ว” เขาอ่อนอกอ่อนใจกับนางเสียจริง “อย่ากลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เอาเป็นว่า เจ้าไม่ต้องการข้าเมื่อใด ข้าจะไปเอง”
ดวงตากลมจ้องมองวาววับ “เห็นทีพี่ลี่หยางคงไม่ได้กลับแล้วล่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นอีกครั้ง “ข้าอยากให้พี่ลี่หยางอยู่กับข้าตลอดไป” ยามนี้นางมีความคิดเหมือนเด็กน้อย คงไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตลอดไป’ นานเพียงใด แต่มู่ลี่หยางก็ถือว่านางได้พูดแล้ว แม้วันหนึ่ง นางจะลืมว่าเคยพูดประโยคนี้กับเขาก็ตาม “สบายใจแล้วก็กลับไปนอนเสียเถิด พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า” “อื้ม” นางพยักหน้ารับ ทว่าก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ต้องชะงัก ร่างสูงใหญ่สืบเท้าขึ้นมาขวาง มูลี่หยางรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงใช้ร่างตนเองบังร่างของไป๋เซ่อ เพียงพริบตา หญิงสาวจึงรู้ว่ารอบกายมีคนสวมชุดดำล้อมอยู่ถึงสิบคน มือเล็กจับชายเสื้อด้านหลังของมู่ลี่หยางไว้แน่น “รบกวนหลีกทางให้ด้วย” มู่ลี่หยางเอ่ยเสียงราบเรียบ คนกลุ่มนั้นไม่เอ่ยตอบแต่กลับชักกระบี่ออกมา มู่ลี่หยางยกกระบี่ที่ยังอยู่ในฝักตั้งรับการปะทะจากอีกฝ่าย เขาพลิกตัวหลบแต่คว้าข้อมือเรียวเล็กไว้แน่นอย่างปกป้อง ชายอีกคนถือกระบี่พุ่งเข้าใส่ มู่ลี่หยางใช้นิ้วโป้งดันฝักกระบี่ดีดออกไปกระแทกใส่ร่างคนผู้นั
“นั้นเป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจเอง” “เอาเถอะ เรื่องของเจ้า หาใช่เรื่องที่ข้าต้องใส่ใจ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้ามาใกล้เด็กหญิงตัวน้อย “เหตุใดไม่ตบแต่งนางเป็นภรรยาเสีย จะได้อยู่ข้างกายเจ้าไปชั่วชีวิต” “นางเป็นน้องสาวข้า!” “น้องสาว?” “เจ้าหลอกใครก็ได้ แต่หลอกข้าไม่ได้หรอกนะ ฟู่อวิ๋นเซิง” ปีศาจสาวหัวเราะร่าแล้วปรายตามองเด็กหญิงตัวน้อย มือเรียวงามยื่นไปหมายลูบศีรษะน้อยๆ นั้น ทว่าฟู่อวิ๋นเซิงกลับดึงร่างเล็กมาหลบด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีโลหิตเห็นเช่นนั้นแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะ “ได้ ข้าจะรอดูวาระสุดท้ายของเจ้า” “ไม่ต้องให้เจ้าลำบากรอนานนักหรอก” ปีศาจราคะเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยวาจาใด นางเดินผ่านศพคนตายมากมายไปที่รถม้า บ่าวชายผู้นั้นประคองนายหญิงขึ้นรถม้าแล้วจึงหันมาสบตากับเด็กน้อยที่ยื่นหน้ามาจากด้านหลังฟู่อวิ๋นเซิง เขาผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วทำหน้าที่เป็นสารถี บังคับม้าเคลื่อนจากไป เมื่อเห็นรถม้าไปไกลลับตาแล้ว ฟู่อวิ๋นเซิงจึงทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเด็กหญิงเบาๆ
“แค่ฟกช้ำเล็กน้อย ประมุขฟู่ให้คนจัดยาสมุนไพรให้ข้าแช่ตัว ข้าเพิ่งขึ้นจากน้ำ เจ้าก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาเสียก่อน” “จริงรึ” “เจ้าก็ดูด้วยตาตัวเองสิ” มู่ลี่หยางอดยิ้มไม่ได้ ปล่อยให้หญิงสาวเดินวนรอบตัวซ้ำยังใช้มือลูบคลำเนื้อตัวอีก เขาต้องรีบคว้ามือนางไว้ก่อนที่มือเล็กๆ นั้นจะเลื่อนลงไปต่ำกว่าเอว “พอแล้ว” “แต่...” “ตรงนั้นจับได้เฉพาะผู้เป็นภรรยาข้าเท่านั้น” คิ้วเรียวงามขมวดยุ่งเหยิง นางเอียงคอมองเขาก่อนเอ่ยวาจาไร้เดียงสา“เช่นนั้นพี่ลี่หยางก็รับข้าเป็นภรรยาสิ” คราวนี้มู่ลี่หยางนิ่งงันไป ดวงตาสุกใสจ้องมองอย่างรอคำตอบ นางคงไม่รู้สินะว่า ‘ภรรยา’ หมายถึงสิ่งใด คิดได้ดังนี้เขาก็ถอนใจออกมา “ทำไมรึ” ฟู่เหยียนอวี้ทำปากยื่น “พี่ลี่หยางจะให้ผู้ใดเป็นภรรยา” “ช่างเถิด” มู่ลี่หยางพยายามเปลี่ยนเรื่อง แล้วเป็นฝ่ายใช้สายตาสำรวจนาง “เหตุใดเจ้าแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นนี้” ฟู่เหยียนอวี้ก้มมองตัวเองแล้วแลบลิ้นทำหน้าทะเล้น “ก็ข้าเป็นห่วงพี่ลี่หยางนี่ พอตื่นมาก็รีบวิ่งมาหาพี่ลี่หยาง
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได