ดวงตากลมจ้องมองวาววับ
“เห็นทีพี่ลี่หยางคงไม่ได้กลับแล้วล่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นอีกครั้ง “ข้าอยากให้พี่ลี่หยางอยู่กับข้าตลอดไป”
ยามนี้นางมีความคิดเหมือนเด็กน้อย คงไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตลอดไป’ นานเพียงใด แต่มู่ลี่หยางก็ถือว่านางได้พูดแล้ว แม้วันหนึ่ง นางจะลืมว่าเคยพูดประโยคนี้กับเขาก็ตาม
“สบายใจแล้วก็กลับไปนอนเสียเถิด พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า”
“อื้ม” นางพยักหน้ารับ
ทว่าก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ต้องชะงัก ร่างสูงใหญ่สืบเท้าขึ้นมาขวาง มูลี่หยางรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงใช้ร่างตนเองบังร่างของไป๋เซ่อ เพียงพริบตา หญิงสาวจึงรู้ว่ารอบกายมีคนสวมชุดดำล้อมอยู่ถึงสิบคน มือเล็กจับชายเสื้อด้านหลังของมู่ลี่หยางไว้แน่น
“รบกวนหลีกทางให้ด้วย” มู่ลี่หยางเอ่ยเสียงราบเรียบ
คนกลุ่มนั้นไม่เอ่ยตอบแต่กลับชักกระบี่ออกมา มู่ลี่หยางยกกระบี่ที่ยังอยู่ในฝักตั้งรับการปะทะจากอีกฝ่าย เขาพลิกตัวหลบแต่คว้าข้อมือเรียวเล็กไว้แน่นอย่างปกป้อง ชายอีกคนถือกระบี่พุ่งเข้าใส่ มู่ลี่หยางใช้นิ้วโป้งดันฝักกระบี่ดีดออกไปกระแทกใส่ร่างคนผู้นั้นจนหงายหลังแน่นนิ่งไป กระบี่สีเงินอาบแสงจันทร์ตวัดวาดเพื่อปกป้องไม่ให้กระบี่ของอีกฝ่ายฟาดใส่ร่างของเขา
“คุณหนู”
หลิวชิงและผู้อารักขาตามมาสบทบ เขาประมาทไปจริงๆ เพราะคิดว่าคุณหนูต้องการอยู่กับมู่ลี่หยางเพียงลำพังจึงไม่ได้ให้ผู้อื่นติดตามมาใกล้ จนกระทั่งจับไอสังหารได้จึงรีบรุดมาทันที คนกลุ่มนี้ฝีมือไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าต้องการสังหารหญิงสาวคนเดียวในที่นี้ แม้เตรียมรับมือไว้แล้ว แต่คู่ต่อสู้มากฝีมือทำให้การฝ่าวงล้อมเป็นไปอย่างยากลำบาก ทว่าในเวลาเดียวกันก็ทำให้เห็นว่ามู่ลี่หยางมีฝีมือที่มากกว่าจะเป็นเพียงนายพรานผู้หนึ่ง การเคลื่อนไหวและเพลงกระบี่ของเขานั้น ล้วนได้รับมาจากมู่จางหมิ่น
“พี่ลี่หยาง!” หญิงสาวร้องอย่างตกใจ มือข้างหนึ่งแตะที่ด้ามแส้ที่ห้อยอยู่ข้างเอว สัมผัสที่คุ้นเคยปลุกประสาทรับรู้ที่หลับใหล มือเรียวหยิบแส้ตวัดออกไปทำให้คนร้ายคนหนึ่งถึงกับล้มลง มู่ลี่หยางหันขวับมามองอย่างแปลกใจ แต่เขาไม่มีเวลาใส่ใจเพราะตอนนี้ต่อสู้ติดพันอยู่
“มู่ลี่หยาง พาคุณหนูหนีไปก่อน”
“ได้” มู่ลี่หยางรับคำ เวลานี้ต้องปกป้องไป๋เซ่อ เขาไม่อาจรับมือคนนับสิบได้ไหว แม้จะมีคนของหลิวชิงอยู่ด้วยก็ตาม
“มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ควบม้าเร็วไปราวสองชั่วยามจะพบทางเข้าหุบเขา ที่นั้นมีคนของเรารออยู่”
“เข้าใจแล้ว” มู่ลี่หยางพยักหน้ารับ กระชับมือที่จับข้อมือเรียวเล็กแน่นขึ้น
ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี หลิวชิงรับรู้ได้ว่ามีลูกศรพุ่งมาทางฟู่เหยียนอวี้ เขาพลิกตัวใช้ร่างตัวเองเป็นโล่ปกป้องหญิงสาว
“หลิวชิง” หญิงสาวตกใจไม่คิดว่าหลิวชิงจะใช้ตัวเองปกป้องนางถึงเพียงนี้
เลือดสีสดกระเซ็นในอากาศ
ราวกับภาพเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องห่วงข้า รีบไป!”
มู่ลี่หยางรับรู้ได้ว่านางกำลังขวัญเสียจนตัวแข็งทื่อ เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นตบแก้มนางเบาๆ เพื่อเรียกสติให้นางมองเพียงเขาเท่านั้น
“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่กับเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงราบเรียบแต่เจือแววห่วงใยรั้งสตินางไว้ หญิงสาวกระพริบตาสองสามครั้ง ยอมกัดริมฝีปากแน่นจนรู้สึกถึงรสเค็มคาวในปาก เพื่อประคองสติของตนไว้ให้ไม่เป็นลมกลายเป็นภาระของผู้อื่น มู่ลี่หยางฝ่าวงล้อมออกมา เมื่อมาเจอม้าของตนก็รีบจับเอวบางส่งขึ้นหลังม้าแล้วกระโดดขึ้นตามไปทันที เท้ากระทุ้งท้องม้าพาคนทั้งสองมุ่งไปยังทิศเหนือ
เสียงคมกระบี่และกลิ่นคาวเลือดยังคลุ้งในอากาศ คล้ายทุกอย่างเคยเกิดขึ้นมาก่อน และมันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงเพื่อต้องการเอาชีวิตของนาง
เพราะการตายของนาง ก็เท่ากับการตายของฟู่อวิ๋นเซิงประมุขพรรคกระเรียนดำ.
รอบกายมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เปลวเพลิงกำลังโหมไหม้ กลิ่นไหม้และกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศ ทว่าหญิงสาวในชุดสีแดงเพลิงบรรจงนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือท่าทางดุจนางหงส์ ดวงตาสีแดงสดดุจโลหิตเพียงกวาดตามองรอบๆ ไม่รู้สึกยินดียินร้าย ริมฝีปากอิ่มส่งยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อยที่เนื้อตัวเปื้อนเปรอะคราบเลือดได้แต่ยืนนิ่งงันไม่กล้าขยับตัว หญิงสาวงดงามเย้ายวนส่งเสียงหัวเราะแล้วใช้พัดเชยคางเด็กหญิงตัวน้อยขึ้น พลางพิศดูใบหน้าของเด็กน้อย
“เป็นโอสถที่สมบูรณ์แบบจริงๆ” ปีศาจราคะเอ่ยขึ้น “ต้องใช้ชีวิตคนมากมายเท่าใดกว่าจะได้โอสถนี้มา นี่เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ เพื่อให้เจ้าถือกำเนิดได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้ มารดาของเจ้าต้องดื่มกินเลือดมนุษย์มากเพียงใด ไหนจะสารพัดยาหลายขนาดเพื่อให้เลือดในตัวเจ้ากลายเป็นเลือดโอสถต่อชีวิตให้ผู้อื่นได้”
เด็กน้อยมึนงงสับสน ได้แต่ทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ยิน มือแข็งแกร่งเอื้อมมาจับไหล่ของเด็กหญิงจากด้านหลัง เด็กน้อยได้สติเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าขาวซีดราวไร้สีเลือด
“นางยังเป็นแค่เด็ก อย่าได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้านาง”
“ประมุขพรรคกระเรียนดำเช่นเจ้ารู้สึกห่วงใยเด็กน้อยผู้หนึ่งรึ” หญิงสาวในชุดสีแดงเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจก่อนส่งเสียงหัวเราะออกมา “ไม่สิ ที่เจ้าเป็นห่วงก็คือเลือดในกายของนางต่างหาก เลือดนางเป็นโอสถต่อชีวิตให้เจ้า”
“เจ้าลัทธิลิขิตจันทราอย่างเจ้าดูจะสนใจเรื่องในพรรคมารของข้านัก” ชายหนุ่มเอ่ยจบประโยคก็ตามมาด้วยเสียงไอหนักๆ จนต้องมือขึ้นกดที่หน้าอกตนเอง
“ร่างกายของเจ้าก็ดูท่าจะแบกรับวิญญาณแทบไม่ไหว”
ปีศาจราคะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่อยแล้วพยักหน้าไปทางผู้ติดตามที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขาหยิบกล่องไม้ใบเล็กออกมาจากอกเสื้อแล้วใช้สองมือประคองยื่นส่งให้ประมุขพรรคกระเรียนดำ
“ไข่มุกหมื่นปรารถนา” นางเอ่ยแล้วจ้องมองดวงตาสีนิลที่จ้องเขม็งมาที่นางเช่นกัน “ไข่มุกของข้าไม่อาจทำให้ผู้ใดเป็นอมตะหรือฟื้นจากความตายได้ แต่ไข่มุกเม็ดนี้มีพลังหยางเปี่ยมล้น คงช่วยฟื้นพลังในกายของเจ้าได้สักยี่สิบปี”
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
“มักน้อยเหลือเกิน”
“อยู่มานานแล้วมีประโยชน์อันใด” เสียงถอนหายใจดังขึ้นคราวหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “เจ้าล่ะ อยู่มาหลายร้อยปีไม่เบื่อรึ”
หญิงสาวไหวไหล่แล้วลุกขึ้นยืน “ข้าเปลี่ยนร่างกายเพื่อรองรับวิญญาณไปเรื่อย มีเรื่องสนุกให้ทำมากมาย แต่ร่างกายเจ้ารับใช้วิญญาณมาห้าร้อยกว่าปี ร่างกายนี้แทบไม่ไหวแล้ว ในเมื่อเจ้าอยู่ในพรรคมารอยู่แล้ว จะกลายเป็นปีศาจเช่นข้าจะเป็นไรไป”
“นั้นเป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจเอง” “เอาเถอะ เรื่องของเจ้า หาใช่เรื่องที่ข้าต้องใส่ใจ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้ามาใกล้เด็กหญิงตัวน้อย “เหตุใดไม่ตบแต่งนางเป็นภรรยาเสีย จะได้อยู่ข้างกายเจ้าไปชั่วชีวิต” “นางเป็นน้องสาวข้า!” “น้องสาว?” “เจ้าหลอกใครก็ได้ แต่หลอกข้าไม่ได้หรอกนะ ฟู่อวิ๋นเซิง” ปีศาจสาวหัวเราะร่าแล้วปรายตามองเด็กหญิงตัวน้อย มือเรียวงามยื่นไปหมายลูบศีรษะน้อยๆ นั้น ทว่าฟู่อวิ๋นเซิงกลับดึงร่างเล็กมาหลบด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีโลหิตเห็นเช่นนั้นแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะ “ได้ ข้าจะรอดูวาระสุดท้ายของเจ้า” “ไม่ต้องให้เจ้าลำบากรอนานนักหรอก” ปีศาจราคะเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยวาจาใด นางเดินผ่านศพคนตายมากมายไปที่รถม้า บ่าวชายผู้นั้นประคองนายหญิงขึ้นรถม้าแล้วจึงหันมาสบตากับเด็กน้อยที่ยื่นหน้ามาจากด้านหลังฟู่อวิ๋นเซิง เขาผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วทำหน้าที่เป็นสารถี บังคับม้าเคลื่อนจากไป เมื่อเห็นรถม้าไปไกลลับตาแล้ว ฟู่อวิ๋นเซิงจึงทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเด็กหญิงเบาๆ
“แค่ฟกช้ำเล็กน้อย ประมุขฟู่ให้คนจัดยาสมุนไพรให้ข้าแช่ตัว ข้าเพิ่งขึ้นจากน้ำ เจ้าก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาเสียก่อน” “จริงรึ” “เจ้าก็ดูด้วยตาตัวเองสิ” มู่ลี่หยางอดยิ้มไม่ได้ ปล่อยให้หญิงสาวเดินวนรอบตัวซ้ำยังใช้มือลูบคลำเนื้อตัวอีก เขาต้องรีบคว้ามือนางไว้ก่อนที่มือเล็กๆ นั้นจะเลื่อนลงไปต่ำกว่าเอว “พอแล้ว” “แต่...” “ตรงนั้นจับได้เฉพาะผู้เป็นภรรยาข้าเท่านั้น” คิ้วเรียวงามขมวดยุ่งเหยิง นางเอียงคอมองเขาก่อนเอ่ยวาจาไร้เดียงสา“เช่นนั้นพี่ลี่หยางก็รับข้าเป็นภรรยาสิ” คราวนี้มู่ลี่หยางนิ่งงันไป ดวงตาสุกใสจ้องมองอย่างรอคำตอบ นางคงไม่รู้สินะว่า ‘ภรรยา’ หมายถึงสิ่งใด คิดได้ดังนี้เขาก็ถอนใจออกมา “ทำไมรึ” ฟู่เหยียนอวี้ทำปากยื่น “พี่ลี่หยางจะให้ผู้ใดเป็นภรรยา” “ช่างเถิด” มู่ลี่หยางพยายามเปลี่ยนเรื่อง แล้วเป็นฝ่ายใช้สายตาสำรวจนาง “เหตุใดเจ้าแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นนี้” ฟู่เหยียนอวี้ก้มมองตัวเองแล้วแลบลิ้นทำหน้าทะเล้น “ก็ข้าเป็นห่วงพี่ลี่หยางนี่ พอตื่นมาก็รีบวิ่งมาหาพี่ลี่หยาง
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได