หมอมู่จางหมิ่นโบกมือไปมาราวกับไล่แมลงรำคาญ “ต้องการสิ่งใดก็พูดมา”
“โอสถของประมุขหายไป”
“หือ?” คราวนี้หมอมู่เลิกคิ้วประหลาดใจ “ปกติคุ้มกันอย่างดีมิใช่รึ?”
“เป็นข้าที่สะเพร่าเองจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“สะเพร่า? คนอย่างหลิวชิงรึจะสะเพร่าได้ถึงเพียงนี้” หมอมู่ส่ายหน้าไปมา “แต่ข้าออกจากพรรคกระเรียนดำมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปเคยพบเห็นโอสถของท่านประมุขได้อย่างไร”
สิ่งที่ทำให้มู่จางหมิ่นวางมือเรื่องในพรรคมารก็เพราะ ‘โอสถ’ ของท่านประมุข สองมือเคยเปื้อนเลือด ฆ่าคนเป็นผักปลา แต่เขาล้างมือและใช้ความรู้รักษาผู้อื่น แม้ไม่อาจชดเชยที่ทำมาแต่ก็พยายามทำเท่าที่มือคู่นี้จะทำได้ นั้นคือเหตุผลที่เขารับเลี้ยงเด็กกำพร้าเหล่านี้
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เจ้าจะได้ไม่เสียเวลา”
หลิวชิงหยิบกระดาษม้วนออกมาคลี่ออกแล้วส่งให้หมอมู่จางหมิ่น หมอมู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ท่านหมอมู่...”
“ข้า...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงเด็กๆ ร้องเรียก ‘พี่ลี่หยาง’
มู่ลี่หยางที่เพิ่งกลับจากเขาถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองสบตากับชายหนุ่มผอมบางราวบัณฑิตอ่อนวัย อีกฝ่ายยิ้มบางเบา แต่แววตาไร้ความอ่อนโยน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ มือที่จับคันธนูอยู่แกร่งขึ้นทันที
“ผู้นี้เป็นสหายเก่าของข้าเอง” หมอมู่รีบพูดขึ้น “แล้วหงเซ่อล่ะ เห็นว่าไปจับปลานี่ เจ้าไปดูทีสิ เด็กๆ เล่นน้ำกันเพลินจะเกิดอันตรายหรือไม่”
มู่ลี่หยางรู้สึกได้ทันทีว่าพ่อบุญธรรมต้องการสิ่งใด เขาเพียงผงกศีรษะรับคำสั่ง ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าออกไป หงเซ่อก็จูงมือหญิงสาวที่หัวเราะเสียงใสวิ่งเข้ามาในบริเวณลานกว้าง เพียงหลิวชิงได้เห็นหญิงสาวเต็มตา เขาก็ก้าวเท้าตรงมาทางไป๋เซ่อทันทีพร้อมยื่นมือไปหมายจับข้อมือของหญิงสาว ไป๋เซ่อตกใจกับการพุ่งตรงมาของชายแปลกหน้าได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ทว่ายังไม่ทันทีหลิวชิงจะถึงตัวหญิงสาว มู่ลี่หยางก็เข้ามาขวางไว้ก่อน หลิวชิงใช้ฝ่ามือตอบโต้แต่มู่ลี่หยางก็ตั้งกระบวนท่ารับอย่างว่องไว
“ไป๋เซ่อ หนีไป!” หมอมู่ตะโกนออกไปทำให้หญิงสาวได้สติรีบหมุนตัวสาวเท้าวิ่งทันที
“คุณหนู!” หลิวชิงตะโกนเรียก “คุณหนูฟู่เหยียนอวี้”
ได้ยินเพียงแค่นั้น สองเท้าก็ชะงักไปทันที นางหันกลับมามองด้วยแววตางุนงงและสับสน
คล้ายว่า...มีคนเรียกนางเช่นนี้มาก่อน
หรือว่า...นี่จะเป็นชื่อของนาง
หลิวชิงออกแรงเดินลมปราณสะบัดหลังมือใส่คนที่ขวางทางเขา ทำให้ร่างของมู่ลี่หยางถึงกับเสียหลักถอยไปสองก้าว ไป๋เซ่อกรีดร้องตกใจแล้วรีบวิ่งมากางแขนยืนขวางร่างมู่ลี่ หยางเพื่อปกป้องเขา
“ห้ามทำร้ายพี่ลี่หยาง!”
หลิวชิงประหลาดใจกับท่าทางของฟู่เหยียนอวี้ แต่เขาเคยชินกับการรับคำสั่งจึงประสานมือรับคำสั่งทันที
“หลิวชิงรับคำสั่งขอรับ”
“ท่าน...รู้จักข้ารึ” แม้เสียงพูดของไป๋เซ่อจะแผ่วเบา แต่กระนั้นหลิวชิงก็ได้ยินชัด เขามองอย่างประหลาดใจแล้วย้ายสายตาไปทางหมอมู่จางหมิ่น
“คุณหนูจำข้าไม่ได้รึขอรับ”
ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก มู่ลี่หยางก้าวมาข้างหน้าแล้วเอ่ย
“นางจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อของตนเอง”
“เรื่องเป็นเช่นนี้เอง ข้ากับผู้อารักขาออกติดตามคุณหนูนานนับเดือนแทบหมดหนทาง จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านหมอมู่”
หมอมู่จางหมิ่นเค้นเสียงในลำคอ “เข้ามาคุยข้างใน”
ไป๋เซ่อยังยืนนิ่งอย่างสับสน มู่ลี่หยางเอื้อมมือไปกุมมือเล็กไว้ ไออุ่นจากฝ่ามือหยาบกระด้างทำให้หญิงสาวได้สติแล้วฝืนยิ้มออกมา ทว่าสายตาของหลิวชิงกลับมีแววกังวลใจกับสถานการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องพา ‘โอสถ’ ของประมุขกลับไปให้ได้.
หลิวชิงสบตากับไป๋เซ่อที่นั่งบีบมือตัวเองแน่น ท่าทางตื่นกลัวนี้ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
แต่ยามนี้หญิงสาวตรงหน้าความจำเสื่อม หลงลืมไปแล้วว่าตัวเองคือ ‘ฟู่เหยียนอวี้’ น้องสาวและญาติเพียงคนเดียวของประมุขพรรคกระเรียนดำ
ไป๋เซ่อหลุบตาลงแล้วย้ายสายตาไปทางมู่ลี่หยางที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นางรับฟังเรื่องจากชายที่ชื่อหลิวชิง ซึ่งยอมรับว่ารู้สึกคุ้นหน้าเขาอยู่มากจริงๆ แม้ในความฝัน นางมีภารกิจสำคัญต้องเดินทางไปที่หุบเขาอู่อี๋เพื่อพบใครคนหนึ่ง
“ข้า...ต้องเดินทางสินะ” นางพูดขึ้นหลังจากนิ่งฟังหลิวชิงมานาน “ข้ามีพี่ชายรออยู่”
หลิวชิงมองเห็นสายตาของฟู่เหยียนอวี้คอยลอบมองพรานหนุ่มผู้นั้นตลอด เขาก็พอเข้าใจได้ แต่ไม่อาจรั้งอยู่ได้นานไปกว่านี้ เขาจึงตัดสินใจยื่นข้อเสนอให้มู่ลี่หยางเดินทางไปพร้อมกัน หญิงสาวมีแววตาประกายตื่นเต้นยินดี แต่พอเห็นสีหน้านิ่งงันของมู่ลี่หยางแล้ว นางก็หลุบตาลงทันที มือขวาประมุขพรรคมารอยากมือขึ้นกุมขมับ เหตุใดฟู่เหยียนอวี้จึงกลายเป็นเช่นนี้
“ลี่หยาง เจ้าเดินทางไปเป็นเพื่อนไป๋เซ่อเถิด”
“พ่อบุญธรรม...” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตา
“เวลานี้นางจำอะไรไม่ได้ ไม่สิ...ความทรงจำสับสน หากเจ้าไม่ไปก็จะไม่มีใครทำให้นางเชื่อใจได้” หมอมู่จางหมิ่นถอนหายใจเบาๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวต่อ
“ถือว่าข้าขอให้ช่วย”
“พ่อบุญธรรมกล่าวเกินไปแล้ว ขอเพียงท่านสั่ง ข้าย่อมทำตาม” มู่ลี่หยางไม่กล้าปฏิเสธและใจก็ไม่คิดปฏิเสธเช่นกัน เพราะเขาเป็นห่วงนาง
“ดี” หมอมู่เอ่ยแล้วพูดกับไป๋เซ่อ “เจ้าไปเตรียมตัวเถิด ต้องรีบเดินทางแล้ว”
“เร็วถึงเพียงนี้?” แม้ดีใจที่มู่ลี่หยางเดินทางไปด้วยแต่นางยังไม่อยากจากที่นี่ไปนัก
“มีคนรอเจ้าอยู่” หมอมู่โบกมือไล่พร้อมกับหลิวชิง “เจ้าก็ไปช่วยนาง”
หลิวชิงรู้ความนัยจึงคารวะแล้วเชิญให้หญิงสาวเดินออกมา เมื่อในห้องไม่มีใคร หมอมู่จางหมิ่นก็เดินไปหยิบตัวยาหลายขนานเตรียมให้มู่ลี่หยางพกติดตัวไปด้วย
“ลี่หยาง เจ้าคงยังไม่ลืม ข้าเคยอยู่ในพรรคกระเรียนดำมาก่อน แม้ล้างมือจากยุทธภพ แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายได้”
มู่ลี่หยางเพียงนิ่งงันฟังถ้อยคำของมู่จางหมิ่น แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ เพราะเพลงยุทธ์ที่เขาใช้ปกป้องตนเองและออกล่าสัตว์นั้น มู่จางหมิ่นเป็นผู้สอน เขาจึงเป็นทั้งพ่อบุญธรรมที่เลี้ยงดูและอาจารย์ที่สั่งสอนให้ความรู้
เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่ขวดและตลับยาหลายชนิดมาอยู่ตรงหน้ามู่ลี่หยาง เด็กคนนี้เขาเลี้ยงเองมากับมือ แม้จะมารู้จักกันตอนสิบกว่าขวบแล้ว แต่ก็รักเอ็นดูราวบุตรชายแท้ๆ “ข้าไม่รู้ว่านางคือฟู่เหยียนอวี้” มู่จางหมิ่นพูดไปตามจริง “และนางคือโอสถของท่านประมุข”“โอสถ?”“เจ้าไม่ต้องกังวลไป หากเป็นเช่นที่ข้าคาดคิด เลือดของนางรักษาโรคประหลาดของท่านประมุข และเพราะนี้ท่านประมุขจะทำร้ายนางไม่ได้ แต่หากความลับนี้แพร่พรายออกไป แน่นอนว่าหลายคนต้องหวังกำจัดนาง เพราะถ้านางตายก็เท่ากับได้ทำลายประมุขพรรคกระเรียนดำลงได้” “พ่อบุญธรรมจะให้ข้าทำอย่างไร”“ดูแลนางให้ดี” มู่จางหมิ่นยิ้มแต่มีรอยเศร้าในดวงตา “แต่ความทรงจำนางอาจกลับมาได้ทุกเมื่อ ข้าไม่รู้ว่า หากนางจำได้ว่าตนเองเป็นใคร จะยังจำเรื่องราวในตอนนี้ได้หรือไม่”“พ่อบุญธรรมหมายความว่า...นางอาจจำช่วงเวลาที่นางเป็นไป๋เซ่อไม่ได้...”“ถูกต้อง”“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”“ดี” มู่จางหมิ่นพยักหน้า คราวนี้เขาหันไปหยิบกระบี่ที่เก็บรักษาอย่างดียื่นให้มู่ลี่หยาง “รับไว้ เผื่อใช้ยามจำเป็น”มู่ลี่หยางยื่นสองมือมารับกระบี่ เขารู้ว่ากระบี่เล่มนี้มีความหมายต่อพ่อบุญธรรมมากเพ
คนตรงหน้านี้คือพี่ลี่หยางจริงๆหรือ? นางถามตัวเองแล้วกวาดสายตามองทั่วร่างก่อนพยักหน้ารับกับตัวเอง เขาคือพี่ลี่หยางจริงๆ เหตุใดเขาดูหล่อเหลาถึงเพียงนี้ มู่ลี่หยางถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองราวกับตัวเองขนมถังหู่ลู่ ก่อนที่นางจะทำลายไหลยืด เหมือนตอนเห็นขนมในมือหงเซ่อ เขาจึงพูดเรียกสติของนาง “พร้อมเดินทางหรือยัง” “อ้อ!” นางได้สติแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าพร้อมแล้ว” มู่ลี่หยางพยักหน้ารับ ปรายตามองหลิวชิงผู้มีสีหน้าอ่อนใจ เมื่อครู่เขาเห็นหลิวชิงเรียก ‘ฟู่เหยียนอวี้’ อยู่หลายครั้งแต่คนในห้องยังไม่เปิดประตู เขาจึงเรียกนาง ‘ไป๋เซ่อ’ หญิงสาวในห้องจึงเปิดประตูยื่นหน้าออกมา “นางแค่ไม่คุ้นกับชื่อฟู่เหยียนอวี้” มู่ลี่หยางพูดกับหลิวชิง “ข้าเข้าใจแล้ว” หลิวชิงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางเบา “หากแต่อยู่ต่อหน้าผู้อื่นเกรงว่าไม่สามารถเรียกคุณหนูว่าไป๋เซ่อได้ ข้าไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าคุณหนูมีปัญหาเรื่องความทรงจำ” “ไม่เป็นไรข้าว่าฟู่เหยียนอวี้ก็ได้” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้าง “แต่ให้พี่ล
มู่ลี่หยางย่อมรู้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นบังคับม้าให้ความเร็วให้สัมพันธ์กับรถม้า เขาทนการจ้องมองของนางไม่ไหวจึงหันไปส่งสายตาดุใส่ หญิงสาวสะดุ้งโหยงแล้วผลุบเข้าไปในรถม้าหลิวชิงผู้เห็นทุกอย่างอดกลั้นมานานจึงเผลอหัวเราะออกมา“เจ้าหัวเราะอะไร”“ขออภัยขอรับ...ข้าไม่หัวเราะแล้ว”“ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าหัวเราะข้า” นางยู่ปากใส่ “ไม่มีหงเซ่ออยู่ก็ไม่มีใครปกป้องข้าเลย”“คุณหนูยังมีมู่ลี่หยางอยู่...หากข้าทำให้คุณหนูไม่พอใจก็ไปฟ้องเขาก็ได้นี่ขอรับ”“ข้าทำอย่างนั้นได้รึ” นางกะพริบตาใส่“ขอรับ”“ดีล่ะ ถ้าใครรังแกข้า ข้าจะไปฟ้องพี่ลี่หยาง”หลิวชิงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “พรานป่าผู้นั้นดีกับคุณหนูหรือไม่ขอรับ”“แน่นอน!” ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก “เขาดีกับข้าที่สุด ไม่ให้ข้าทำงานหนัก เสื้อผ้าก็ยกให้ข้า ผ้าห่มของเขา ซ้ำยังมีที่นอนของเขาด้วย คืนใดที่ข้านอนละเมอ เขาก็ให้ข้านอนเตียงของเขาได้”“คุณหนู...นะ...นอน...นอนเตียงเดียวกับนายพรานผู้นั้นหรือขอรับ”ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก “ก็ใช่นะสิ เขาดีกับข้ามากจริงๆ”คราวนี้หลิวชิงยิ้มแข็งค้าง หากเผลอทำอะไรให้ฟู่หยียน อวี้ไม่พอใจจริง มู่ลี่หยางคงไม
ดวงตากลมจ้องมองวาววับ “เห็นทีพี่ลี่หยางคงไม่ได้กลับแล้วล่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นอีกครั้ง “ข้าอยากให้พี่ลี่หยางอยู่กับข้าตลอดไป” ยามนี้นางมีความคิดเหมือนเด็กน้อย คงไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตลอดไป’ นานเพียงใด แต่มู่ลี่หยางก็ถือว่านางได้พูดแล้ว แม้วันหนึ่ง นางจะลืมว่าเคยพูดประโยคนี้กับเขาก็ตาม “สบายใจแล้วก็กลับไปนอนเสียเถิด พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้า” “อื้ม” นางพยักหน้ารับ ทว่าก้าวเดินได้เพียงสองก้าวก็ต้องชะงัก ร่างสูงใหญ่สืบเท้าขึ้นมาขวาง มูลี่หยางรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงใช้ร่างตนเองบังร่างของไป๋เซ่อ เพียงพริบตา หญิงสาวจึงรู้ว่ารอบกายมีคนสวมชุดดำล้อมอยู่ถึงสิบคน มือเล็กจับชายเสื้อด้านหลังของมู่ลี่หยางไว้แน่น “รบกวนหลีกทางให้ด้วย” มู่ลี่หยางเอ่ยเสียงราบเรียบ คนกลุ่มนั้นไม่เอ่ยตอบแต่กลับชักกระบี่ออกมา มู่ลี่หยางยกกระบี่ที่ยังอยู่ในฝักตั้งรับการปะทะจากอีกฝ่าย เขาพลิกตัวหลบแต่คว้าข้อมือเรียวเล็กไว้แน่นอย่างปกป้อง ชายอีกคนถือกระบี่พุ่งเข้าใส่ มู่ลี่หยางใช้นิ้วโป้งดันฝักกระบี่ดีดออกไปกระแทกใส่ร่างคนผู้นั
“นั้นเป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจเอง” “เอาเถอะ เรื่องของเจ้า หาใช่เรื่องที่ข้าต้องใส่ใจ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้ามาใกล้เด็กหญิงตัวน้อย “เหตุใดไม่ตบแต่งนางเป็นภรรยาเสีย จะได้อยู่ข้างกายเจ้าไปชั่วชีวิต” “นางเป็นน้องสาวข้า!” “น้องสาว?” “เจ้าหลอกใครก็ได้ แต่หลอกข้าไม่ได้หรอกนะ ฟู่อวิ๋นเซิง” ปีศาจสาวหัวเราะร่าแล้วปรายตามองเด็กหญิงตัวน้อย มือเรียวงามยื่นไปหมายลูบศีรษะน้อยๆ นั้น ทว่าฟู่อวิ๋นเซิงกลับดึงร่างเล็กมาหลบด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีโลหิตเห็นเช่นนั้นแล้วก็แหงนหน้าหัวเราะ “ได้ ข้าจะรอดูวาระสุดท้ายของเจ้า” “ไม่ต้องให้เจ้าลำบากรอนานนักหรอก” ปีศาจราคะเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยวาจาใด นางเดินผ่านศพคนตายมากมายไปที่รถม้า บ่าวชายผู้นั้นประคองนายหญิงขึ้นรถม้าแล้วจึงหันมาสบตากับเด็กน้อยที่ยื่นหน้ามาจากด้านหลังฟู่อวิ๋นเซิง เขาผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วทำหน้าที่เป็นสารถี บังคับม้าเคลื่อนจากไป เมื่อเห็นรถม้าไปไกลลับตาแล้ว ฟู่อวิ๋นเซิงจึงทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า ยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเด็กหญิงเบาๆ
“แค่ฟกช้ำเล็กน้อย ประมุขฟู่ให้คนจัดยาสมุนไพรให้ข้าแช่ตัว ข้าเพิ่งขึ้นจากน้ำ เจ้าก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาเสียก่อน” “จริงรึ” “เจ้าก็ดูด้วยตาตัวเองสิ” มู่ลี่หยางอดยิ้มไม่ได้ ปล่อยให้หญิงสาวเดินวนรอบตัวซ้ำยังใช้มือลูบคลำเนื้อตัวอีก เขาต้องรีบคว้ามือนางไว้ก่อนที่มือเล็กๆ นั้นจะเลื่อนลงไปต่ำกว่าเอว “พอแล้ว” “แต่...” “ตรงนั้นจับได้เฉพาะผู้เป็นภรรยาข้าเท่านั้น” คิ้วเรียวงามขมวดยุ่งเหยิง นางเอียงคอมองเขาก่อนเอ่ยวาจาไร้เดียงสา“เช่นนั้นพี่ลี่หยางก็รับข้าเป็นภรรยาสิ” คราวนี้มู่ลี่หยางนิ่งงันไป ดวงตาสุกใสจ้องมองอย่างรอคำตอบ นางคงไม่รู้สินะว่า ‘ภรรยา’ หมายถึงสิ่งใด คิดได้ดังนี้เขาก็ถอนใจออกมา “ทำไมรึ” ฟู่เหยียนอวี้ทำปากยื่น “พี่ลี่หยางจะให้ผู้ใดเป็นภรรยา” “ช่างเถิด” มู่ลี่หยางพยายามเปลี่ยนเรื่อง แล้วเป็นฝ่ายใช้สายตาสำรวจนาง “เหตุใดเจ้าแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นนี้” ฟู่เหยียนอวี้ก้มมองตัวเองแล้วแลบลิ้นทำหน้าทะเล้น “ก็ข้าเป็นห่วงพี่ลี่หยางนี่ พอตื่นมาก็รีบวิ่งมาหาพี่ลี่หยาง
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได