น้ำเสียงเฉียบขาดของเขาทำเอานางตัวสั่นขึ้นมา ยังไม่ทันตั้งสติได้ เขาก็อุ้มนางขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วแทบจะโยนเข้าไปในรถม้า ก้นงามงอนกระแทกพื้น ร่างใหญ่ตามขึ้นมาคร่อมร่างของนางไว้พร้อมกระชากผ้าโปร่งปิดใบหน้าของนางออก นางคิดจะร้องเรียกหากวงหมิน แต่คนผู้นั้นกลับหยิบปิ่นที่นางซื้อไว้ออกมาแล้วหักทิ้งเป็นสองท่อน!
“เจ้ากล้าเรียกมัน ข้าก็จะสั่งคนของข้าหักแขนหักขามันเหมือนข้าหักปิ่นอันนี้!”
ชิงหรูอ้าปากค้าง นางหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เขาโน้มตัวลงมาใกล้ นางกระถดกายถอยหนี มือใหญ่กระตุกผ้าคาดเอวของนางออกแล้วใช้มันมารวบมัดข้อมือสองข้างไว้เหนือศีรษะ
‘ปล่อยข้านะ! ข้าไม่ใช่! ไม่ใช่!’
นางพูดไม่ออกไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่าตอนนี้นางคือชิงหรู ไม่ใช่ท่านประมุขที่เขาเคยร่วมเสพสังวาส
“ข้ารู้” เขาโน้มหน้าลงใกล้จนริมฝีปากชิดริมฝีปากนาง “ข้าต้องการเจ้า”
ภาพยามที่เขาเคลื่อนไหวบนร่างกายในวันนั้นปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ชิงหรูเบือนหน้าหนี หยดน้ำตาเอ่อคลอ แต่ภาพนางยามจำนนเช่นนี้กลับปลุกเร้าอารมณ์ดิบเถื่อนของบุรุษ มือคู่นั้นกระชากเสื้อผ้านางจนขาดเป็นชิ้นๆ เศษผ้าโปรยปราย ทรวงอกงามท้าทายสายตา มือข้างหนึ่งเคล้นคลึงทรวงอก ส่วนอีกข้างนั้นตะปบไปบนเนิ่นเนื้อ นางหนีบขาไว้แน่นแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายที่แยกเรียวขาของนางออกกรีดนิ้วไปตามรอยแยกแล้วแทรกเข้าไปในช่องรัก ชิงหรูหวีดร้องพยายามหนีบขาแน่นแต่ทำให้เขาจงใจบดขยี้กลีบเกสรแรงขึ้น นางหอบสะท้าน เกลียดที่ร่างกายตอบสนองทั้งที่นางรังเกียจคนผู้นี้ แม้ว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา เรือนกายองอาจกำยำ แต่เขาทำให้นางกลัว กลัวสิ่งที่นางไม่เคยพานพบ เพียงการขยับนิ้วไม่กี่ครั้งคราว ดอกไม้สาวก็หลั่งน้ำหวานจนเปียกชุ่ม
เฉินหลิวหยางหัวเราะในลำคอ มองร่างหญิงสาวที่บิดเร่าไปมาด้วยความทรมานและสุขสม กลิ่นกายของนางหอมรัญจวนแก่นกายของเขาแข็งขันตั้งชันจนต้องปลดกางเกงของตนลงให้มันออกมาผงาดคลอเคลียกายสาว
หนึ่งเดือนก่อน เขาทำพันธะสัญญากับปีศาจราคะในร่างของชิงหรู แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อนักว่า ไข่มุกที่ถูกบังคับให้กลืนลงท้องนั้นจะทำให้เขา ‘สมปรารถนา’ ได้จริง ทว่าแผนการณ์ช่วงชิงอำนาจที่เขาวางไว้กลับสำเร็จอย่างง่ายดาย พระบิดาสิ้นใจด้วยโรคปัจจุบันอย่างที่ไม่มีใครสงสัย รัชทายาทเกิดคลุ้มคลั่งสังหารชายาและบุตรชายของตน หลังจากนั้นกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือน เขาได้ขึ้นครองแผ่นดินนั่งบัลลังก์มังกรโดยไม่มีใครกล้าคัดค้าน เหล่าหัวเมืองต่างๆ ยอมสยบไม่กล้ากระด้างกระเดื่อง เขาได้ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการ
ทว่าสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญกลับทำให้เขารุ่มร้อนกระวนกระวาย
‘ปะ...ปล่อย...ปล่อยข้า’
หญิงสาวดิ้นรน แต่นางไม่รู้ว่าการดื้อรั้นของนางยิ่งทำให้ร่างกายเสียดสีแนบชิดมากยิ่งขึ้น รถม้าแล่นไปทิศทางใดนั้น นางไม่อาจรู้ได้ ทว่าจังหวะหนึ่งเหมือนล้อรถตกหลุมทำให้รถกระเด้งกระดอน ลำเอ็นอันใหญ่โตผลุบเข้าไปในช่องรักที่เปียกชุ่ม นางอ้าปากค้างเมื่อถูกจู่โจมรุนแรงและรวดเร็ว
“อา...ดี...ดี แบบนี้สิที่ข้าคิดถึง”
เฉินหลิวหยางคำรามอย่างพอใจ ในที่สุดมังกรของเขาก็ได้ลิ้มรสความสุขสมอีกครั้งครา ตั้งแต่รับตำแหน่งเป็นฮ่องเต้ แม้ทุกอย่างราบรื่นดียิ่ง แต่เรื่องร่วมรักนั้นกลับตรงข้าม เขาผู้ไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้กลับกลายเป็นคนหมกมุ่นในกามรส ไม่ว่าจะเป็นสตรีนางใดก็ไม่อาจปรนนิบัติให้เขาอิ่มเอมในเพศรสได้ เขามักคิดถึงกลิ่นอายรัญจวนนี้ เรือนร่างและท่าทางของนาง เขาสรรหาหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายชิงหรู แต่ไม่อาจทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมได้เลย แม้จะกระแทกกระทั้นจนหลั่งน้ำรักกี่ครั้งกี่คราว ในใจก็ยังไม่อิ่ม ยังหิวโหยและกระหายไม่จบสิ้น ผู้อื่นมองว่าเขาเป็นฮ่องเต้ จะมีสนมนางกำนัลมากเพียงใดก็ย่อมใด แต่เขารู้ว่านี้ไม่ใช่นิสัยของเขา ชายารักที่แต่งตั้งนางเป็นฮ่องเฮายังปวดใจที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้
เฉินหลิวหยางก้มมองคนใต้ร่างแล้วพูดเสียงพร่า “นี่สินะที่เจ้าเอาไปจากข้า”
ชิงหรูส่ายหน้าไปมา ผมยาวคลี่สยายเพิ่มความเย้ายวน นางไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องใด ได้แต่สะอึกสะอื้นน้ำตาเปื้อนเปรอะกับการรุกรานรุนแรงของเขา แต่เหนือสิ่งใดคือร่างกายที่ตอบสนองอย่างน่าละอาย ทั้งอยากผลักไสและเหนี่ยวรั้ง ทุกครั้งที่แท่งหยกร้อนเคลื่อนไหวเข้าออก สะโพกนางกลับหยัดเข้าหาอย่างลืมกาย ความเสียดเสียวเล่นงานจนปลายนิ้วเท้าเกร็ง ระลอกอารมณ์ถาโถมทำให้สมองของนางคิดสิ่งใดไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้ร่างโยกคลอนตามแรงเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ด้านบน
รถม้าหยุดแล้ว แต่การเคลื่อนไหวในรถม้ายังไม่หยุดถึงกับรถโยกไหว บรรดาเหล่าองครักษ์ลับที่ยืนล้อมรถอยู่ถึงกับหน้าดำหน้าแดงเพราะเสียงคำรามของคนในรถ
คลื่นอารมณ์ควบคุมเฉินหลิวหยางปลดปล่อยความดิบเถื่อนที่ซุกซ่อนภายในออกมา โดยไม่สนใจว่าร่างเล็กจะรองรับอารมณ์ของเขาได้หรือไม่ และร่างนางเกร็งกระตุกหลั่งน้ำหวานฉ่ำวาวไปถึงสองคราแต่ เขายกสะโพกของนางให้ลอยขึ้น จับเอวบางไว้มั่นแล้วขยับสะโพกสอบรัวแรงถี่กระชั้น เขาก้มมองแก่นกายที่วาววับด้วยหยาดน้ำรักผลุบเข้าออกจนกลีบเนื้อบวมแดง ช่องรักดูดกลืนกายเขาอย่างล้ำลึกอย่างที่นางไม่รู้ตัว ชิงหรูสะอึกสะอื้นอ้อนวอนให้เขาปล่อยนาง เหงื่อของเขาหยดบนทรวงอกที่ไหวกระเพื่อมตามแรงโยกคลอน ครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนกระทั้งระเบิดความสุขสมเป็นน้ำรักหลั่งในกายสาว เขาโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากที่หวีดร้อง เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดอย่างลุ่มหลง นางแทบหมดสติได้แต่หอบหายใจจนตัวโยนปล่อยให้เขาประคองร่างนางไว้ในวงแขน
เฉินหลิวหยางสั่งคนให้ลอบเฝ้าที่หอนางโลม หากเมื่อใดที่นางย่างเท้าออกมาจะมีคนมารายงานเขา ไม่ว่าเขาจะว่าราชการหรืออยู่กับสนมนางใด องครักษ์ลับจะต้องรีบมารายงานเขาทันที วันนี้นางออกมาครั้งแรก เขาจึงไม่รอช้าที่จะมาช่วงชิงตัวนาง เขาไม่ได้รู้สึกอิ่มเอมในรสกามมานาน เมื่อได้ปลดปล่อยร่างกายจึงเบาสบาย ยามถอนแก่นกายออกจากร่องรัก นางส่งเสียงหวานออกมาแล้วหมดสติไปในวงแขนของเขา
เฉินหลิวหยางลูบใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาของนาง เสื้อผ้าของนางถูกเขาฉีกทิ้งไม่อาจสวมได้อีก เขาจึงห่อตัวนางด้วยเสื้อคลุมของเขา จัดเสื้อผ้าของตนแล้วจึงลงจากรถม้าโดยอุ้มนางไว้แนบอก เหล่าองครักษ์ลับก้มหน้าไม่มีใครกล้ามอง หญิงสาวผู้นี้เป็นใครกัน ฮ่องเต้จึงกล้าชิงตัวกลางตลาดซ้ำยังไม่รอให้กลับมาถึงตำหนักลับ ปลุกปล้ำนางจนรถม้ามาตลอดทางก็ยังไม่เสร็จกิจ แต่คนที่ผู้ถึงเป็นถึงฮ่องเต้ จะมีใครกล้าขัดขวางเล่า
เฉินหลิวหยางไม่ให้ใครแตะต้องนาง เขาอุ้มนางเข้ามาในตำหนักที่ตระเตรียมไว้นานแล้ว เขามั่นใจว่ามีแต่นางเท่านั้นที่ทำให้เขาอิมเอ่มในกามรส เขาวางร่างของนางบนเตียง ยื่นมือไล้ใบหน้าที่หลับใหลเบาๆ มีเพียงนางที่ทำให้เขาสุขสมในรสกามอีกครั้ง เขาไม่สนใจว่านางจะมีบุรุษใดในดวงใจ ขอแค่นางตอบสนองความต้องการของ
ใช่! แค่ให้เขาอิ่มเอิมในกามรสก็พอ!
หญิงสาวนั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ที่กิ่งไม้ไม่ไกลนักมีนกน้อยบินวนไปเวียนมาให้ชวนรู้สึกอิจฉาในความเสรีของพวกมัน เสื้อผ้างามหรูหรือเครื่องประดับงดงามเหล่านี้ไม่ได้สร้างรอยยิ้มให้ชิงหรูได้เลย นางได้แต่นั่งถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตตนเอง
ชายใจร้ายผู้นั้นส่งหญิงชราใช้มาคอยดูแลนาง ด้านนอกแม้ไม่เห็นคนแต่ถ้านางเดินออกไปนอกห้องก็ปรากฏชายในชุดดำปิดบังใบหน้าไม่ให้นางออกไปไหน นางสื่อสารกับใครไม่ได้และดูเหมือนทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับนาง นางจึงได้แต่อยู่ในห้องนี้โดยไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันกี่คืนแล้ว นั้นเพราะนางมีอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นตลอดเวลา แต่ไม่เหมือนกับการที่ปีศาจราคะใช้ร่างกายนาง นางมั่นใจว่าตนเองเป็นเช่นนี้เพราะถูกวางยา แต่ไม่รู้ว่าเป็นยาชนิดใด จากในน้ำชา หรืออาหาร หรือกลิ่นกำยาน นางพยายามไม่ดื่มไม่กิน หรือทำเป็นเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นในห้อง แต่นางก็ยังเผลอหลับใหลไม่ได้สติ หลายครั้งที่ตื่นมาแม้เสื้อผ้าอยู่ครบแต่นางรู้ว่าร่างกายถูกล่วงเกิน บางคราวเหมือนความฝันว่าถูกจับพลิกคว่ำนอนหงายเพื่อรองรับการสอดประสานอันเสียวซ่านนั้น เสียงเปิดประตูดังขึ้นแต่ไม่ชิงหรูไม่ได้ใส่ คงเป็นบ่าวรับใช้ยกสำรับอาหารมาให้ นางจึงเฝ้ามองนกน้อยนอกหน้าต่าง ใจคิดถึงเพียงกวงหมิน หวังว่าเขาจะปลอดภัยดี “อาหารพวกนี้ไม่ถูกปากหรือไร” หญิงสาวสะดุ้งเฮือกที่ได้ยินเสียงของเขา เฉินหลิวหยางหงุดหงิดที่เห็นอา
เฉินหลิวหยางชะงักงันไป เขาไม่ใช่สามัญชนที่จะรับสตรีนางใดมาเป็นภรรยาก็ได้ บัดนี้เขาเป็นฮ่องเต้ และเขามีฮองเฮาอยู่แล้ว เขาสัญญากับนางไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่รับนางเป็นชายาว่าจะไม่มีหญิงใดนั่งตำแหน่งที่สูงกว่านาง การแต่งงานเกิดขึ้นเพราะเขาต้องการอาศัยอำนาจจากตระกูลของนางเพื่อได้มาซึ่งบัลลังก์มังกรที่ควรเป็นของเขาตั้งแต่แรก นางเป็นสตรีที่ไม่มีปากมีเสียงและสงบเสงี่ยมในที่ของตนเอง แม้กระทั้งช่วงเวลาที่เขาเรียกเหล่าสนมมาปรนนิบัติ นางกลับทำได้เพียงเฝ้ามองเขาอย่างสงบทั้งที่ในใจปวดร้าวไม่น้อย และที่สำคัญ ชิงหรูเป็นคนของลัทธิมาร เขาไม่อาจให้นางเปิดเผยตัวเองต่อหน้าผู้อื่นได้ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนเอาเรื่องนี้มาต่อต้านและล้มล้างบัลลังก์ของเขา ‘ไม่ได้สินะ’นางยิ้มหยันออกมา ชิงหรูคาดเดาไว้นานแล้วว่าคนผู้นี้ต้องมีภรรยารักอยู่แล้ว และฐานะของเขาคงไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นจะซุกซ่อนนางในที่ลับตาเช่นนี้ทำไมกัน นางยั่วยุหวังให้เขารังเกียจนางจะได้ปล่อยนางไป ทว่าเขากลับช้อนสะโพกนางอุ้มขึ้น สองขาเกี่ยวกับเอวสอบ สองแขนโอบรอบลำคอด้วยความตกใจ หรือนางจะไม่ได้ไร้เดียงสาอย่า
หลี่อ้ายลี่แน่นหน้าอกจนต้องยกมือขึ้นตบอกเบาๆ ภาพที่เห็นเฉินหลิวหยางร่วมรักเสพสวาทกับสตรีนางนั้นยังติดตาอยู่ นางแต่งงานกับเขามาสามปีแต่ยังไร้บุตร เวลานั้นเฉินหลิวหยางเป็นเพียงองค์ชายสี่แต่ก็ไม่คิดตบแต่งหญิงใดเพิ่มเพื่อสืบทายาท เขายังคงยืนยันกับนางว่าคนที่จะให้กำเนิดบุตรของเขาต้องเป็นนางเท่านั้น มาบัดนี้เฉินหลิวหยางขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ได้สำเร็จ แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาเป็นใหญ่ในวังหลัง นางรับรู้มาตลอดว่าเขาจะต้องมีสตรีมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นางต้องเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ทว่านางย่อมรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเฉินหลิว หยาง ความใส่ใจที่เขามีต่อนางยังคงเดิม ร่วมรักหลับนอนเช่นทุกคราวแต่นางรู้สึกได้ว่าเขาไม่มีความสุขนัก นางเป็นคนคัดสาวงามไปถวายตัวรับใช้ ทุกครั้งนางปวดใจยิ่งแต่ก็ต้องทำใจ แต่ไม่นานมานี้ นางรู้ว่าเขามีความลับซุกซ่อนไว้ หลายคืนที่เขาหลบหายออกไป ไม่เรียกนางสนมมาปรนนิบัติ แม้ว่าเขาจะว่าราชการเป็นปกติทุกอย่าง เป็นฮ่องเต้ที่ดียิ่ง แต่บางเรื่องนั้น นางมีลางสังหรณ์ทำให้นางสืบรู้ว่าเขามีตำหนักลับไม่ไกลนัก จนกระทั้งนางได้เห็นด้วยสองตาว่าเขาซุกซ่อนสตรีไว้ เป
ชิงหรูส่ายหน้าไปมา นางคว้ามือของหลี่อ้ายลี่มาหงายขึ้นแล้วเขียนอักษรที่ละคำ “ไม่เต็มใจมา” หลี่อ้ายลี่อ่านตามแล้วดูสีหน้าของหญิงสาว นางเป็นใบ้แต่ไม่ได้หูหนวก หญิงใบ้พยักหน้าหงึกหงักแล้วเขียนคำต่อไป “ถูกจับตัวมา? เจ้าอยากไปจากที่นี่หรือไม่” ดวงตาของชิงหรูเบิกกว้างเปี่ยมความหวัง นางพยักหน้าหงึกหงักแล้วเขียนอักษรคำต่อไป “ถูกจับมาพร้อมกัน ? เป็นบุรุษ?” หลี่อ้ายลี่ถาม หรือว่าหญิงผู้นี้มีสามีแล้วและถูกเฉินหลิวหยางฉุดคร่ามา แรกทีเดียวนางมีความเคียดแค้นริษยาสุ่มแน่นเต็มอก แต่เห็นท่าทางไร้เดียงสาและยังเป็นใบ้แล้วก็อดเวทนาไม่ได้ เดิมทีอยากกำจัดนางออกไปให้พ้นทาง แต่เห็นว่านางมีชายคนรักอยู่แล้ว เช่นนั้นนางช่วยให้หลบออกไปน่าจะเป็นผลดีกับนางเอง อย่างน้อยมือนางก็ไม่ต้องเปื้อนเลือด “ข้าไม่แน่ใจว่าบุรุษที่เจ้าพูดถึงอยู่ที่คุกหลวงหรือไม่ ข้าพาเจ้าไปที่นั้นได้แต่เจ้าต้องรับรองกับข้าว่าหากออกไปได้จะไม่หวนกลับมาที่นี่อีกและไม่บอกใครว่าข้าเป็นคนช่วยเจ้า” ชิงหรูพยักหน้าหงึกหงัก หลี่อ้ายลี่เรียกบ่าวชรามาเพื่อให้นางถอดชุดบ่าว
กรงเล็บจิกเข้าไปในผิวหนัง โลหิตสีสดไหลออกมาเปื้อนเปรอะนิ้วมือเรียวงามที่เริ่มสั่นระริก ดวงตาที่เปล่งประกายสีแดงชาดนั้นมีหยาดน้ำตาไหลไม่หยุด ยิ่งโลหิตของกวงหมินหลั่งมากเท่าใด น้ำตาของนางยิ่งไหลมากเท่านั้น “เจ้าต่อต้านข้า! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึชิงหรู!” ปีศาจสาวตะโกนออกมา ไม่เคยมีร่างทรงใดกล้าต้านทานอำนาจของนางถึงเพียงนี้“เจ้าไม่คิดแก้แค้นให้บิดามารดาหรือไร!” ‘ข้ารู้! ข้าจำได้ทุกอย่าง!’ เสียงภายในร่ำร้องบอกซึ่งทำให้กวงหมินเบิกตากว้าง ‘มารดาข้าเล่นเรื่องเจ้าให้ข้าฟัง นางบอกข้าเสมอว่าติดค้างเจ้ามาตลอด เป็นนางที่หักหลังไปมีผู้อื่น นางไม่ต้องการให้ข้าเป็นเช่นนาง’ “ชิงหรู..” ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เขาเข้าใจมาตลอดว่านางจำเรื่องในอดีตไม่ได้เพราะเหตุไฟไหม้ในวันนั้น และไม่เคยคิดว่า หญิงที่ตนเองเกลียดชังจะเป็นฝ่ายรู้สึกผิดต่อเขา ‘นับตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้ามักรู้สึกอยู่เสมอว่ามีสายตาคู่นั้นเฝ้ามองอยู่ มารดาจึงเล่าเรื่องเหล่านี้ให้รับรู้ ข้าไม่เคยเข้าใจ จนกระทั่งได้เป็นร่างทรงของท่านประมุข ความรู้สึกผิดบาปกัดกินหัวใจเจ้า ข้าเองก็
เขาไม่ได้เอ่ยประโยคที่คิดในใจ อันฉีได้แต่ส่ายหน้าไปมา โยนถุงเงินใส่เขาแล้วขึ้นรถม้าจากไป แรกทีเดียวเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การฝั่งศพชิงหรู เชิงเขาแห่งนี้ดูสงบร่มรื่น เขาคิดจะฝั่งร่างนาง ปลูกดอกไม้ที่นางชอบ และเฝ้าดูแลจนกว่าเขาจะสิ้นลมตามนางไป ทว่าร่างที่แน่นิ่งมาเนิ่นนานค่อยๆ ขยับตัว ดวงตาของนางลืมตาขึ้น ร่างกายของนางอุ่นขึ้นและชีพจรกลับมาเต้นอีกครั้ง ‘ชิงหรู!’ กวงหมินเรียกนางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาเผลอเขย่าตัวนางด้วยกลัวว่านางจะหลับไปอีกครั้ง ‘ชิงหรู! เจ้ายังไม่ตาย!’ เขามองริมฝีปากของนางขยับพยายามสื่อสารกับเขา แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยินเสียงในหัวเช่นที่ผ่านมา นางชี้ที่ลำคอของตนเองท่าทางตกใจไม่แพ้กัน ในทันใดนั้น เขาเข้าใจได้ในทันทีว่า สิ่งที่ปีศาจราคะได้จากชิงหรูไปไม่ใช่ชีวิตของนาง แต่เป็นเสียงของนางไป เขารวบร่างนางกอดแนบแน่น กระซิบที่ริมหูอย่างอ่อนโยน ‘ไม่เป็นไร เจ้าไม่มีเสียงก็ไม่เป็นไร ข้าอ่านปากของเจ้าได้ ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ข้างกายข้าก็พอ’ นั้นคือเรื่องราวเมื่อครึ่งปีก่อน ชิงหรูแลบลิ้นใส่
แนะนำตัวละครไป๋เซ่อ-ฟู่เหยียนอวี้ : มีฐานะเป็นน้องสาวของประมุขฟู่อวิ๋นเชิง มู่ลี่หยาง : นายพรานหนุ่มเป็นเด็กกำพร้าที่หมอมู่จางหมิ่นอุปการะมู่จางหมิ่น : หมอชาวบ้านที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายสิบชีวิตฟู่อวิ๋นเซิง : ประมุขพรรคมารหลิวชิง : มือขวาฟู่อวิ๋นเชิง หญิงสาวขยับข้อมือที่เจ็บไปมาราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน ยังไม่ทันที่สมองจะลำดับเหตุการณ์ต่างๆนานา เสียงฝีเท้าคนเข้ามาใกล้เรียกดวงตาสีนิลให้หันขวับไปมองทันที ร่างเพรียวขยับลุกขึ้นนั่งในท่าเตรียมพร้อมป้องกันตัว ดวงตาหรี่มองไปทางประตูห้องที่เปิดออกพร้อมกับร่างของเด็กหญิง เด็กน้อยอ้าปากกว้างแล้วหันไปส่งเสียงดังนอกประตู“ฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้ว! พี่ลี่หยางมาดูเร็ว พี่สาวฟื้นแล้ว!”เสียงของ ‘หงเซ่อ’ เด็กหญิงวัยสิบสองตะโกนเรียกพี่ชายที่ลานบ้าน ร่างเล็กของเด็กสาวประคองถาดอาหารที่มีชามข้าวต้มกับผักดองใกล้ฟูกนอน โดยไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายที่มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร“ฟื้นแล้ว...” ‘มู่ลี่หยาง’ ได้ยินเสียงเด็กน้อยชัดเจน เขาโยนฟื้นบนบ่าลงแล้ววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้อง ร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ ดวงตาคมจ้องมองไปที่หญิงสาว
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว ไม่เป็นไร”“พี่ลี่หย่างเกิดอะไรขึ้น นางถูกผีเข้าหรือ?”“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล” มู่ลี่หยางดุน้องสาว “เจ้าไปดูสิว่าพ่อบุญธรรมกลับมาหรือยัง” “ได้ ข้าจะไปรอหน้าบ้าน” เด็กหญิงกระโดดขึ้นทันที นางรีบสาวเท้าเดินออกมาถึงหน้าประตูแล้วหันกลับมา “พี่ใหญ่แน่ใจนะว่าไม่ต้องตามนักพรตมาไล่ผี”. เสียงคนสนทนาอยู่ไม่ไกลเกินที่คนที่นอนอยู่บนฟูกได้ยิน เพียงแต่หญิงสาวเลือกไม่ใส่ใจกับประโยคเหล่านั้น ทำได้ลืมตามองมุมหนึ่งของห้อง แมงมุมกำลังชักไยอย่างขยันขันแข็ง หน้าต่างบานนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ รับแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาทำให้ห้องได้กลิ่นหอมของแสงแดด แต่นางกลับรู้สึกหงุดหงิด แม้จำอะไรไม่ได้แต่รู้ว่าตนเองไม่ชอบแสงสว่างมากเกินไป“เจ้าเป็นคนพานางมา เจ้าตัดสินใจเอาแล้วกัน” มู่จางหมิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม“นางเป็นสตรี” มู่ลี่หยางเอ่ยอย่างจนใจ“หงเซ่อก็เป็นสตรี” พ่อบุญธรรมหัวเราะเบาๆ มู่จางหมิ่นมองลูกชายตัวโตแล้วยื่นมือไปแตะไหล่ “เจ้าเป็นพี่ใหญ่ เรื่องดูแลน้องๆ เป็นเรื่องของเจ้า”“ขอรับ ท่านพ่อ” มู่ลี่หย่างทำได้แค่รับคำ ถึงอย่างไรเขาไม่สามารถทอดทิ้งน
“เจ้ารู้หรือไม่ บิดาของเจ้าที่เป็นหมอวิปลาสล้มเหลวกับการสร้างโอสถเลือดมาหลายสิบปีจนยอมเป็นทาสปีศาจเช่นข้า มารดาของเจ้ากลืนไข่มุกหมื่นปรารถนาของข้ายามตั้งครรภ์เจ้า ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่รอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เจ้ามีปราณบริสุทธิ์ในตัวเองมากเพียงใด”ดวงตาของสาวงามเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต รอยยิ้มก็ดูน่ากลัวเช่นกัน ริมฝีปากงามคลี่ยิ้มออกมาแล้วเอ่ย“นอกจากเลือดจะเป็นโอสถทิพย์แล้ว พลังปราณไม่จำกัดของเจ้ายังทำลายทุกสิ่งได้ในพริบตา”“พอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงตวาด “นางไม่ควรแบกรับเรื่องเหล่านี้”“อย่ามาแสร้งทำใจดี” ปีศาจราคะหัวเราะในลำคอ “เจ้าใช้นางจนพอใจแล้วจึงทำเป็นมีเมตตารึ”“ไม่! ข้าต้องการให้นางเป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่ง ได้มีชีวิตที่ดีก็เท่านั้น”“เพราะรู้สึกผิดกับทุกชีวิตที่ตายไปหรือไร” นางหัวเราะร่วน “จู่ๆ ก็อยากเป็นคนดีกันเสียจริง”“เพราะว่า...ข้าพอแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สายตาหยุดอยู่ที่หลิวชิง “ชีวิตข้า...อยู่มาพอแล้ว”“อวิ๋นเซิง” หลิวชิงเรียกเขาอย่างปวดร้าว เขาย่อมรู้ว่าร่างกายของฟู่อวิ๋นเซิงเป็นเช่นไร หากนับจากนี้ไม่ได้ดื่มเลือดโอสถอี
“ฟู่อวิ๋นเซิง! เจ้าก่อกรรมทำเข็นมามาก คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปนับร้อย และยังสั่งสมผู้คนจิตใจชั่วช้าไว้อีก เห็นทีหากวันนี้ข้าไม่จัดการเจ้าและพรรคกระเรียนดำให้สิ้นซากก็เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้อื่นอยู่อย่างสงบสุขได้” “นักพรตอี๋” ฟู่อวิ๋นเซิงหัวเราะร่า “วาจาที่เจ้าพ่นออกมาล้วนหาเพียงความชอบให้ตนเอง ข้ากับคนของข้าอยู่ในหุบเขาอู่อี๋มาหลายสิบปี มีแต่คนอย่างพวกเจ้าที่แส่มาหาเรื่องถึงที่ บุกมาถึงบ้านข้าทำร้ายคนของข้าแล้วเช่นนี้จะเรียกว่าอะไร” “ฟู่อวิ๋นเซิง อย่ามาแสร้งทำเป็นพูดดี วันนี้เป็นวันตายของเจ้า” “นักพรตอี๋ มิใช่ว่าท่านต้องการเคล็ดวิชาและโอสถของข้าหรอกรึ” “ข้าจะอยากได้เคล็ดวิชารมารไปเพื่อสิ่งใด!” “มิใช่ว่าท่านสรรหากระษัยยาเพื่อทำยาอายุวัฒนะเพื่อมีชีวิตได้เป็นร้อยปีมิใช่รึ” ฟู่อวิ๋นเซิงคลี่ยิ้มดูแคลน “ได้ยินว่าเพื่อให้ตนมีกำลังวังชาเหมือนเด็กหนุ่ม แม้ต้องขืนใจหญิงพรหมจรรย์ก็ทำได้ เช่นนี้แล้วยังเรียกว่าตัวเองเป็นฝ่ายธรรมะได้อยู่หรือ?” “เจ้า!” นักพรตอี้ตวัดแส้หางม้าชี้ใส่หน้าประมุขพรรคกระเรียนดำ เขาโ
ว่ากันว่า ก่อนพายุใหญ่จะมา คลื่นลมมักเงียบสงบ เรื่องราวในหุบเขาอู่อี๋ก็เช่นกัน หลังจากงานวิวาห์ของฟู่เหยียนอวี้และมู่ลี่หยางผ่านไปได้สามวันก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเพราะเป็นเป็นช่วงที่ทุกคนสนุกสนานกับงานรื่นเริง การคุ้มกันในหุบเขาจึงลดลง แม้แต่ค่ายกลที่สร้างไว้ในหุบเขาก็ถูกทำลายอย่างย่อยยับ หลังออกจากห้องหอ มู่ลี่หยางปรึกษาหารือกับประมุขฟู่ ตั้งใจว่าให้ฟู่เหยียนอวี้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงดีแล้วจะกลับไปบ้านหมอมู่จางหมิ่น เพื่อไม่ให้พ่อบุญธรรมเป็นห่วง เขาจึงคิดว่ากลับไปเล่าเรื่องด้วยตนเองดีกว่าเขียนจดหมายส่งไป ฟู่อวิ๋นเซิงใจกว้างกับคนทั้งสอง มิได้บังคับให้อยู่ในพรรคมาร หากพวกเขาสองคนต้องการไปที่ใดก็ไม่ขัด จะใช้ชีวิตที่ใดก็ย่อมได้ ฟู่เหยียนอวี้คิดถึงเด็กกำพร้าที่บ้านหมอมู่ นางเสนอความคิดกับมู่ลี่หยาง นางรู้ว่าเขารักสันโดษ แต่เด็กๆย่อมต้องเติบโตและควรมีบ้านที่อบอุ่น นางจำได้ว่าที่เมืองเหมียนหยางซึ่งมีสาขาของพรรคกระเรียนดำอยู่นั้น พอจะมีบ้านว่างสภาพดีให้พวกนางสามารถอยู่อาศัยได้ ‘เจ้าจะรับเด็กๆ มาเลี้ยงเองรึ” ฟู่อวิ๋นเซิงถามอย่างปร
“ข้าอยากเห็นท่าน”“ข้าก็เช่นกัน”รอยยิ้มของเขาที่สะกดสายตานาง เขาทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งแต่เป็นที่ยอดอกที่ชูชัน ปลายลิ้นร้อนตวัดปลายถันจนเปียกชุ่ม หญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ระลอกความเสียวซ่านแผ่กระจายไปทั่วร่าง ท้องน้อยปั่นป่วนจนร่างกายบิดเร่า เขาดูดดึงปลายถันทั้งสองข้างสลับกันและยังเคล้นคลึงจนนางแทบทนไม่ไหว สองมือจับที่บ่าของเขาอย่างลืมตัว มือกร้านข้างหนึ่งเลื่อนไปด้านล่างแตะต้องส่วนอ่อนไหวอย่างแผ่วเบาแต่ทำให้นางร้อนรุ่มราวจับไข้ เขาละริมฝีปากจากยอดอดแล้วจูบผิวเนียนละเอียดหอมหวาน ใบหน้าของเขาเลื่อนลงต่ำ สองมือแยกเรียวขาออกกว้าง สายตามองกลีบดอกไม้ที่ผลิบานเบื้องหน้าก่อนยื่นหน้าไปใช้ลิ้นตวัดเลียอย่างชำนาญ ปลายลิ้นเล้าโลมจุดอ่อนไหว ร่างทั้งร่างของหญิงสาวก็สั่นระริกขึ้นมา“ท่าน...ท่านพี่...” ฟู่เหยียนอวี้ได้แต่ครางเรียกชื่อคนรักเพื่อบรรเทาความเสียดเสียวที่เกิดขึ้น แม้นางเป็นหญิงใจกล้าแต่ยามนี้เขินอายไม่กล้ามองว่าเขากำลังทำอะไรกับร่างกายของนาง มู่ลี่หยางดื่มด่ำกับรสชาติของกายสาว กลีบเนื้อสีอ่อนสั่นระริก เขาใช้นิ้วแทรกเข้าไปสำรวจภายในโพรงที่อ่อนนุ่ม ช่องทางอันคับแคบทำให้เขาต้องเตรียมร
“ท่านจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ ขอให้ข้าเป็นภรรยาของท่านก็พอ” นางหลับตาลง “ข้าชอบฟังเสียงหัวใจของพี่ลี่หยาง ชอบที่ท่านทำหน้าดุแต่เป็นห่วง ชอบที่ท่านแสร้งทำเป็นเย็นชา ข้าชอบพี่ลี่หยางมากจริงๆ” “พอแล้ว” ถ้อยคำของนางทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อฟู่เหยียนอวี้ดันกายขึ้นจ้องมองดวงตาของคนรัก“พี่ลี่ หยางก็บอกรักข้าบ้างสิ”คราวนี้มู่ลี่หยางอึกอัก มิใช่ว่าไม่รู้สึก แต่เขาเขินอายและหยาบกระด้างเรื่องพวกนี้ เขาไม่ใช่คนพูดจาหวานหู และที่สำคัญ เขาไม่เคยบอกรักหญิงใดมาก่อน“แม่นางหวงหลันที่หอสุราเจี่ยนตานบอกข้าว่า มีสตรีหมายตาพี่ลี่หยางมากมาย”“หือ? ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นจริง ทำไมข้าไม่รู้” วันนั้นเขาหายไปครู่เดียว เหตุใดเหมือนมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้นักนะ“ก็เพราะว่า...ท่านยังไม่มีคนในดวงใจละสิ” นางยิ้มกว้างอย่างได้ใจ “พี่ลี่หยางคงไม่เคยพูดประโยคเหล่านี้สินะ เช่นนั้น ข้าพูดให้ท่านฟังบ่อยๆ ท่านก็พูดตามข้าก็ได้”“ไป๋เซ่อ” เขาเรียกนางน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเคยได้ยินการกระทำสำคัญกว่าคำพูดหรือไม่”ยังไม่ทันได้เอ่ยถาม ฟู่เหยียนอวี้ก็ถูกพลิกตัวลงมาอยู่ใต้ร่างของมู่ลี่หยาง ริมฝีปากอุ่นประกบที่ริมฝีปาก
คนตัวเล็กแทบจะวิ่งหนี แต่มือใหญ่คว้าคอเสื้อจากด้านหลังของนางไว้ได้ทัน คราวนี้ฟู่เหยียนอวี้เสียหลักหงายหลังลงมานั่งบนตักของเขาพอดี อยากจะตำหนิต่อว่าแต่ก็ทำไม่ลง มู่ลี่หยางได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าจำได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” “จำอะไรได้รึ” นางยังแสร้งทำหน้างุนงง “ฟู่เหยียนอวี้” “เจ้าค่ะ” นางยังคงยิ้มจนดวงตาหยีเล็ก “ฟู่-เหยียน-อวี้”“พี่...พี่ลี่หยางมีอะไรหรือ?” มู่ลี่หยางค้อมเอวลงแล้วจ้องมองนางทำเอาหญิงสาวหายใจติดขัด “เจ้าจำได้แล้วสินะว่าตนเองคือฟู่เหยียนอวี้” “เอ่อ...” ฟู่เหยียนอวี้พลันเข้าใจในทันที แท้ที่จริง มู่ลี่หยางแค่ลองหยั่งเชิงกับนางเท่านั้น มิใช่ว่าเขาจำเส้นทางไม่ได้ “จำได้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังแสร้งทำเป็นจำไม่ได้” เขายืดตัวขึ้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ “ก็ข้ากลัวพี่ลี่หยางไปจากข้า” “ข้าพูดว่าจะไปจากเจ้ารึ” เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ข้าจำได้ว่าเคยพูดว่าจะไปเมื่อเจ้าไม่ต้องการข้าแล้ว” ใบหน้างามระบายยิ้มกว้าง นางร
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อแต่ยาวนานราวชั่วยาม มู่ลี่หยางกำมือแน่น เขาอยากกระชากนางออกมาไม่ให้นางต้องทนเจ็บปวดเพื่อผู้อื่น แม้คนผู้นั้นจะเป็นพี่ชายของนางก็ตาม ก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดไป ฟู่อวิ๋นเซิงก็ผละจากข้อมือของหญิงสาว หลิวชิงส่งผ้าสะอาดให้ประมุขนำไปกดที่บาดแผลของ ฟู่เหยียนอวี้อ้าปากส่งเสียงครางออกมาเบาๆ นางกัดปากจนเป็นแผล ปล่อยให้มู่ลี่หยางประคองนางมานั่งที่เก้าอี้ หลิวชิงส่งขวดยาให้มู่ลี่หยางแล้วเอ่ยขึ้น “ยาห้ามเลือดขอรับ” มู่ลี่หยางรับขวดยามาแล้วโรยผงยาที่บาดแผล เพียงครู่เดียวโลหิตก็หยุดไหล หลิวชิงค้อมเอวลงแล้วหยิบผ้าไหมสะอาดมาพันที่ข้อมือเพื่อห้ามเลือดอีกชั้น “ข้าไม่เป็นอะไร” ฟู่เหยียนอวี้รับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมู่ลี่หยาง หัวใจนางสุขล้ำเกินบรรยาย นับว่าการเจ็บตัวครั้งนี้ก็ไม่เลวร้ายนัก “ได้นั่งพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น แล้วข้าจะพาพี่ลี่หยางไปเที่ยวชมหุบเขาอู่อี๋ของเรา” “รักษาตัวให้ดีขึ้นก่อนเถิด ข้าไม่ได้รีบไปที่ใดเสียหน่อย” มู่ลี่หยางอดดุหญิงสาวไม่ได้ ฟู่เหยียนอวี้ช้อนตาขึ้นมองแล้วยิ้มน้อยๆ ก่
“ข้าทำแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าพี่ลี่หยางเป็นสามีของข้าได้กระมัง” “เจ้า...รู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!” สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี่ยิ่งทำให้ฟู่เหยียนอวี้เอียงคอไปมา “หรือประกบปากไม่นานพอ” นางทำหน้าครุ่นคิด “พวกสาวใช้คุยกันว่า สตรีจะประกบปากกับบุรุษที่เป็นสามีได้เท่านั้น” ฟู่เหยียนอวี้ม้วนแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างในท่าทะมัดทะแมง แล้วยื่นมือไปประกบแก้มของมู่ลี่หยางไว้ไม่ให้เบือนหน้าหลบได้ สายตาแน่วแน่อยู่ที่ริมฝีปากของเขาตามด้วยยื่นหน้าไปใกล้หมายประทับริมฝีปากอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มู่ลี่หยางเป็นฝ่ายฉกจูบนางเสียก่อน นางไม่ทันได้ตั้งสติร่างก็ถูกพลิกลงบนเตียง ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปาก รสหวาบซ่านปลายลิ้นปล้นสติของหญิงสาวไปหมดสิ้น ไม่ต่างจากมู่ลี่หยางที่ถูกความเย้ายวนอ่อนหวานล่อลวงให้ลุ่มหลง ความร้อนรุ่มในกายทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดไม่ได้ เพียงเขาละริมฝีปากนาง หญิงสาวก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ “นี่คือสิ่งที่สามีภรรยาทำร่วมกัน” เขาพูดหลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติ แต่ยามนี้เขาคร่อมร่างนางอยู่ กลิ่นอายหอม
มู่ลี่หยางเบี่ยงตัวหลบให้บ่าวรับใช้เข้ามา คนหนึ่งช่วยสวมเสื้อตัวนอกให้ อีกคนนั่งบนพื้นวางรองเท้าให้นางสวม“ท่านประมุขให้บ่าวสอบถามคุณหนูว่าต้องการให้จัดสำรับอาหารมาที่เรือนคุณชายมู่เลยหรือไม่”“อื้ม จัดมาเลย ข้าจะกินข้าวที่นี่” นางพูดขึ้นแล้วฉีกยิ้มกว้าง “พี่ลี่หยางกินข้าวด้วยกันนะ”มู่ลี่หยางยังไม่ทันพูดอะไร บ่าวคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน“นายท่านยังสอบถามว่าคุณหนูต้องการสิ่งใดหรือไม่”“ได้ทุกอย่างรึ” หญิงสาวถามกลับ ดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้น“บ่าวเป็นบ่าว ขอเพียงคุณหนูสั่งย่อมต้องทำตามเจ้าค่ะ”“อื้ม เช่นนั้นขนข้าวของเครื่องนอนของข้ามาไว้ที่นี่”“หะ!” มู่ลี่หยางถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ “ไป๋...เอ่อ...ฟู่เหยียนอวี้ เจ้าเป็นหญิงจะมานอนห้องเดียวกับข้าไม่ได้”“แต่ที่ผ่านมาข้าก็นอนเตียงกับพี่ลี่หยางมาตลอด” หญิงสาวใช้แววตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อคลอจ้องมองเขา“ไม่มีพี่ลี่หยางอยู่ ข้าจึงนอนฝันร้าย หากได้นอนหนุนแขนพี่ลี่หยางเหมือนตอนที่เราอยู่ที่บ้านท่านหมอมู่ ข้าต้องหลับสบายอย่างแน่นอน”“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบจัดการให้ทันที” บ่าวรับใช้รับคำสั่งแล้วรีบออกไปโดยเร็ว หากมีบุรุษใดที่ปราบคุณหนูฟู่เหยียนอวี้ได