ท้องฟ้ายังไม่กระจ่างชัดปกคลุมกึ่งความมืดปนสว่าง ต้อมเดินไปยังสวนมะม่วงที่เขาปลูกเมื่อสองสามปีก่อน จนตอนนี้ได้เนื้อได้ผลมากินและขายเพื่อยังชีพ กว่าจะจัดการเก็บมะม่วงเสร็จเกือบเที่ยง แต่ยังดีมีรถมารับผลผลิตถึงสวน เขาเลยสบายกายไม่หนักมาก เมื่อรับเงินมาก้อนหนึ่งจึงรีบไปฝากยังธนาคาร หลังจากนั้นต้อมจึงรีบไปหาอาคมที่บ้าน
สองเท้าของต้อมก้าวเข้าไปยังบ้านจัดสรรพ ทำเลนั้นอยู่ห่างตัวเมืองพอสมควร ไกลจากบ้านของเขาอยู่หลายกิโลเมตร ต้อมจึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อยทำไมถึงไม่เคยเจอกันก่อนหน้านี้ แต่ฟ้ายังเป็นใจให้ได้พบเจอเพื่อนเก่า
“เข้ามาก่อนสิต้อม” อาคมเปิดประตูรั้วและเชื้อเชิญต้อมมายังห้องรับแขก
“บ้านนายน่าอยู่จัง” ต้อมนั่งลงบนโซฟา
“น่าอยู่แต่หนักมาก ผ่อนธนาคารเดือนหนึ่งเป็นหมื่น ไม่เหมือนนายมีบ้านพ่อบ้านแม่ให้อยู่ เอ่อ ลืมถามมีเมียหรือเปล่า เราจะได้วางตัวถูก” อาคมอมยิ้มนิดๆ
“ไม่มี”
ไม่มีคำถามต่อจากนี้ด้วยอาคมรู้อยู่แล้ว ต้อมจึงสบายใจมากขึ้นเมื่อไร้การถามต่อ เพราะเป็นสิ่งอันอึดอัดพอสมควรถ้าต้องตอบคำถาม ว่าทำไมไม่มีเมียต้อมยังไม่แปลกใจไม่หาย ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาเป็นแบบนั้นใยต้องถามกันตลอดเมื่อพานพบ
“ตั้งแต่เรียนจบนายก็หายไปเลยนะ ไปอยู่ไหนมาบ้างเนี่ยเราอยากรู้จัง”
“หลายทีนะและสุดท้ายอยู่ที่เชียงใหม่”
“ไปไกลจัง แต่ก็ดีนะเราอยู่กรุงเทพหลายปี พอมีลูกเราเลยกลับมาอยู่บ้านดีกว่า เพราะสภาพแวดล้อมมันดีมากกว่า”
“จริงด้วย ลูกนายอายุเท่าไรแล้วล่ะ”
“ลูกเรามีสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ วันนี้ลูกชายคนโตก็อยู่นะ พรุ่งนี้น่าจะกลับกรุงเทพแล้วแหละ”
“ดีจังมีลูก เราก็อยากมีเหมือนกัน” ต้อมเผลอความในใจที่เขาอยากได้และอยากมี แต่ไม่สามารถทำได้ทั้งสองอย่าง
“อ้าว อยากมีทำไมไม่หาเมียล่ะ”
“เอ่อ”
“อ่อ ลืมไป เปลื่ยนเรื่องคุยดีกว่า”
“อือ”
“เดือนหน้าจะมีเลี้ยงรุ่นนะ เราได้บอกเพื่อนๆ เขาดีใจกันยกใหญ่จะได้เจอนาย”
“เหรอ”
“ใช่ นายต้องไปนะเพราะเมื่อก่อนมีแต่คนถามหานาย เมื่อได้เจอนายแล้วทุกคนล้วนดีใจนะ คิดถึงตอนเรียนเนาะสนุกมาก จนไม่อยากจะแก่เลย”
“นายก็ยังไม่แก่นี่” ต้อมพูดเอาใจเพื่อน
“นายคนเดียวมั้งไม่แก่ เรานี่แก่มากเป็นลุงแล้ว อีกหน่อยน่าจะเป็นตาในไม่ช้า”
“มันก็เป็นไปตามวัยนั่นแหละอย่าคิดอะไรมากเลย”
“คงงั้น แต่ที่เราชวนนายมาวันนี้ มาดื่มเหล้ากันก่อนเจอวันจริงในเดือนหน้า”
“เดือนหน้าอีกไม่กี่วันแล้วนิ” สมองของต้อมครุ่นคิดนับวันทันที
“ใช่ ไปเจอกันที่เพชรบูรณ์ คงเดชไปด้วยนะนายจะได้เจอไง” อาคมแหล่สายตามอง อยากรู้ภายในจิตใจนั้นได้แสดงออกทางสีหน้าไหม
“ทำไมต้องคงเดชด้วยล่ะ คนอื่นตั้งเยอะที่เราอยากเจอ”
“ใช่เหรอ อือ แล้วแต่นายก็แล้วกันอยากเจอใคร คงเดชมีลูกช้านะตอนนี้น่าจะแปดเก้าขวบ ไม่เข้าใจทำไมมีลูกช้าจังเลย”
“ไม่ถามล่ะ”
“ไม่เอาดีกว่า เมียเราเอาเหล้ามาแล้วกับแก้มด้วย”
ต้อมยิ้มให้ส้มทันทีเมื่อวางขวดและแก้วเหล้าบนโต๊ะ ส่วนลูกชายของอาคมนั้นถือกับแก้มสองอย่างมาวางตรงกลาง
“นี่ อาคารลูกชายเราไง ไหว้คุณอาเขาสิ”
“หวัดดีครับ” อาคารยกมือไหว้ต้อมอย่างนอบน้อม
สายตาของต้อมมองแวบเดียวเขาก็รู้ได้ทันที ว่าลูกชายของอาคมนั้นน่าจะเป็นแบบเดียวกับเขาอย่างแน่นอน
“ลูกเราหล่อใช่ไหม” อาคมอวยลูกตัวเองเป็นการใหญ่
“อือ” ต้อมแค่พยักหน้า
“เราก็เป็นห่วงมันเหมือนกัน ไปอยู่กรุงเทพกลัวจะไปทำสาวท้อง ไม่ใช่ไรกลัวเรียนไม่จบ” อาคมเปิดขวดเหล้าพร้อมเทใส่แก้ว
สิ้นเสียงของอาคมลูกชายของเขาก็เดินคอตกเข้าไปยังในครัว แต่ก็ไม่พ้นสายตาของต้อมที่มองตามไปด้วยท่าทีครุ่นคิดและอดเป็นห่วงไม่ได้
“คิดถึงวันแรกที่นายดื่มเหล้าไม่ได้เลยนะ วันนั้นนายเมามากเรายังอดแปลกใจไทำไมนายกล้าดื่ม”
“เข้าเมืองตาลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามไม่ใช่เหรอ”
“อือ จริง คิดย้อนไปแล้วอดขำไม่ได้เลย”
“เราก็ขำตัวเองเหมือนกัน”
สองเพื่อนต่างรสนิยมแต่สนิทกันเป็นเพื่อนแท้ ที่ห่างหายไปนานเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง จึงคุยกันแต่เรื่องความหลังครั้งเก่าก่อน
หลังเลิกเรียนโบ้หัวโจกแห่งรุ่น อยากสมานสานสัมพันธ์บรรดาเพื่อนๆ ที่พึ่งได้เจอกันไม่นาน จึงมีการนัดกันไปดื่มกินบ้านของเขาเอง บางคนได้ไปบางคนติดธุระบ้านไกลก็ปฏิเสธ ยกเว้นต้อมไม่สามารถขัดใจบรรดาเพื่อนๆ ได้เลย
โดยในเย็นนี้หลังเลิกเรียนโบ้ได้นำรถยนต์มา ต้อมจึงถูกล้อมหน้าล้อมหลังไม่ให้หลบหนีไปไหน เขาจึงจำใจขึ้นรถไปและท้ายที่สุดต้องนั่งล้อมวงในวงเหล้า ภายในวงเหล้านั้นมี โบ้ คงเดช อาคม จืด และ ปิ่นสาวคนเดียวในกลุ่ม ส่วนอีกห้าหกคนจะตามมาสมทบทีหลัง
ต้อมนั่งมองแก้วเหล้าที่วนมาถึงตรงหน้า ด้วยความฉุนของกลิ่นต้องกลั้นหายใจ ในขณะเดียวกันมือข้างขวายกแก้วดื่มทันใด รสชาติได้รับช่างบาดคอขม ดื่มและกลืนยากจนเกินไป เกือบทำให้ต้อมคลายออกมา ด้วยความห่วงหน้าตายังอดทนกลั้นใจกลืนลงคอไปอย่างรวดเร็ว
“ให้ได้อย่างนี้สิเพื่อน” คงเดชที่นั่งใกล้ๆ ยกแก้วน้ำให้ดื่มกลั้วคอ
มือข้างเดิมรีบรับแก้วไว้แล้วรีบกลืนลงคอทันที เลยทำให้ต้อมนั้นรู้สึกดีใจแต่ความร้อนเข้าสู้บริเวณใบหน้า แดงก่ำทั่วใบหน้าและรู้สึกตุบๆ บนศีรษะ
“แบบนี้ต้องให้รางวัล” คงเดชจับข้างศีรษะของต้อมโน้มมาใกล้ๆ พร้อมกับใช้ริมฝีประกบแก้ม
“ให้มาดื่มเหล้า ไม่ใช่มาจูบกัน” จืดเพื่อนอีกคนที่หน้าตา จืดๆ พูดขึ้น โดยมีสาวปื่นนั่งข้างๆ มองแล้วอมยิ้ม
แก้วหนึ่งมาแก้วสองต้องมีแก้วสามต่อมาแก้วสี่อีกครั้ง ต้อมเริ่มไม่ไหวแก้วห้าเพราะเป็นเหล้าเพรียวๆ เขาเริ่มรู้สึกมึนหัวและอยากอาเจียน ต้อมจำเป็นต้องหยุดดื่มแล้วรีบลุกขึ้นไปยังหน้าต่าง ปล่อยอาหารออกอยู่หลายครั้งหลายคราจนรู้สึกจะพยุงตัวไม่ไหว ยงดีมีโบ้เจ้าของบ้านคอยดูแล ลูบหลังให้เป็นระยะจนดีขึ้น
“ไปนอนในห้องเราก่อน” โบ้พยุงร่างของต้อมนอนลงบนพื้นในห้องนอนของเขา
ต้อมไม่ไหวที่จะลืมตาจึงปล่อยกายปล่อยใจให้สู่ความหลับ เพราะทนต่ออีกไม่ไหวเนื่องด้วยปวดหัวหนึบๆ อยู่เป็นช่วงๆ มารู้สึกตัวอีกทีเหมือนมีคนมาปลดเข็มขัดของเขา ดวงตาที่หลับค่อยๆ เบิกขึ้นทีละน้อย ทำให้เห็นภาพคนที่นั่งข้างๆ
ความคิดของต้อมไม่เข้าใจว่าคงเดชจะมาแกะเข็มขัดของเขาทำไม แต่เมื่อต้อมลืมตาขึ้นมาคงเดชได้ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องไป ความไม่เข้าใจสับสนมาในหัวของเขา แต่ด้วยความเมาเจึงไม่สามารถจะเบิกตาให้กว้างขี้นได้อีก ต้อมจึงหลับตาลงอีกครั้งและหลับไปในที่สุด
“ต้อม ต้อม ตื่นกลับบ้านได้แล้ว” โบ้ได้เขย่าร่างของต้อมให้ตื่น
ต้อมลืมตาขึ้นและลุกขึ้นนั่งด้วยความมืน ถึงจะยังมีความรู้สึกว่าเมาอยู่ แต่ในเมื่อได้นอนพักนานพอสมควร จึงยังพอมีสติและร่างกายเริ่มฟื้น ต้อมพยุงตัวลุกขึ้นยืนเดินไปยังนอกห้อง เมื่อต้อมออกไปนอกห้อง คนแรกที่เขามองหาแต่ไม่เห็นนั่นคือคงเดช
“ไหวไหม” อาคมเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ไหว”
“ถ้าอย่างงั้นกลับกัน เดี๋ยวไอ้โบ้ไปส่งที่หอใน”
ใบหน้าของต้อมขยับเป็นการรับรู้ ค่อยๆ เดินไปยังรถยนต์แล้วเปิดประตูออกเข้าไปนั่ง เพียงแค่นั้นต้อมก็หลับลงอีกครั้ง มารู้สึกตัวอีกที่เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มปลุกให้ตื่น
“ตื่นได้แล้วไอ้ต้อม”
ต้อมลืมตาขึ้นในขณะเขาก้มหน้าฟุบอยู่บนโต๊ะ เขาผงกศีรษะขึ้นภาพตรงหน้าไม่ใช่หอพักชาย แต่เป็นใบหน้าอาคมในวัยเกือบห้าสิบ
“ยังคออ่อนเหมือนเดิมนะไอ้ต้อม” อาคมนั่งอมยิ้ม
“เราหลับไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย” ต้อมพูดขึ้นด้วยความมึนงงและหนักศีรษะอย่างมาก
“ไม่ถึงสิบแก้วนายก็ฟุบหลับกองกับพื้นโต๊ะ นายไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าเมาจนหลับไป”
“เราไม่รู้ตัวเลย ขอบใจมากนะที่ปลุก เดี่ยวเราต้องกลับบ้านแล้ว” ต้อมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวเราให้ลูกไปส่ง พรุ่งนี้ตอนเช้าเรากับลูกจะเอารถไปส่งนายที่บ้านเอง นายจะขับรถกลับได้ไงมันอันตราย”
“อือ ก็ได้”
อาคารเด็กหนุ่มได้พาต้อมไปยังรถและขับไม่ได้เร็วมาก เพื่อวามปลอดภัยของเพื่อนพ่อและตัวเอง ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้านสวนของต้อม
“ขอบใจมากนะ” ต้อมมองหน้าเด็กหนุ่มแล้วอมยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับอา แต่ทำไมอาถึงยังไม่มีลูกล่ะ” อาคารถามด้วยความใคร่อยากรู้
“อือ จะให้อาตอบว่าอย่างไงดีล่ะ อาก็ไม่รู้นะว่าทำไมเหมือนกัน รีบกลับเถอะเดี๋ยวดึกมันอันตราย”
“ครับอา”
ต้อมลงจากรถแล้วยืนมองรถของอาคมที่ลูกชายของเขาขับมาส่ง สายตาที่ไม่สามารถเบิกกว้างได้มาก มองไปยังรถคันนั้นจนหลับสายตา หลังจากนั้นต้อมจึงเดินเข้าไปยังบ้านด้วยความมึนเมา
วันเวลาที่ต้อมรอคอยมาถึงวันนี้จะได้เจอเพื่อนเก่าอีกหลายคน หนึ่งในนั้นที่อยากเจอมากเขายังไม่แน่ใจว่าจะมาหรือไม่ เพราะต้อมมาในงานร่วมชั่วโมงยังไม่เห็นวี่แวว มีเพียง อาคม โบ้ผู้ทะเล้น จืดกับแฟนสาวนั่นคือปิ่นเพื่อนร่วมคณะนั่นเอง และอีกหลายคนต่างนั่งเรียงรายสองแถวหันหน้าเข้าหากัน โดยต้อมนั่งติดอาคมส่วนอีกข้างยังว่างเปล่าไม่มีใครมานั่ง“หายไปนานเลยนะไอ้ต้อม เรานึกว่าไปอยู่กับแฟนที่ต่างประเทศเหมือนแหวนแล้ว” โบ้พูดขึ้นมาโดยยังคงเอกลักษณ์ความเป็นขึ้เล่นเหมือนเดิม“เพื่อนเราได้ดีแล้วไม่เคยรู้มาก่อนเลย” ต้อมมีสีหน้าท่าทางประหลาดใจพอสมควร“ใช่ เหลือแต่นายนั่นแหละ เขามีครอบครัวกันหมดแล้วนายมัวรออะไรอยู่ หรือรอใครเอ่ยอยากรู้จัง”“เปล่า ยังไม่เจอคนที่ใช่มั้ง”ต้อมพูดจบชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามายืนข้างๆ สายตาของต้อมเห็นเพื่อนร่วมห้องมองมายังใกล้บริเวณที่นั่งอยู่ ต้อมผิดสังเกตเลยหันหน้ามองและเงยขึ้น“พระเอกของเราทำไมมาช้าจังเลย” โบ้เอ่ยขึ้นทันใดเมื่อคงเดชนั่งลงข้างๆ ต้อม“เราพึ่งมาถึงเลยต้องไปส่งเมียกับลูกที่บ้านก่อน” คงเดชพูดจบแล้วหันหน้ามามองต้อมที่นั่งนิ่งๆคำพูดและท่าทางนิ่งๆ ของคงเดชทำให้ความร
ดวงตาที่เล็กหรี่ลงจนหลับ แต่ริมฝีปากบนแก้มยังอยู่อย่างเดิมเป็นเวลา ต้อมเริ่มลืมตาขึ้นทีละนิดแล้วหันหน้ามา คงเดชได้หยุดสัมผัสแก้มอันผ่องใส“ไอ้เดชนายจะจูบไอ้ต้อมอะไรทุกวัน” โบ้ไม่วายพูดทุกวันตอนเช้าต้อมไม่รู้จะทำเช่นไร เพราะทุกเช้าคงเดชจะมาจูบมาหอมแก้มอยู่ประจำ จนเขาเคยชินไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนัก ต้อมมองเห็นสองสาวหนึ่งหนุ่มหวานนั่งอยู่อีกโต๊ะ เขาจึงเดินเข้าไปหาเพื่อเข้ากลุ่มนี้ เพราะคิดว่าน่าจะเหมาะกว่ามาอยู่กับชายแท้นับสิบ“นั่งลงสิ ไปนั่งตรงนั้นอยู่ได้” ปื่นสาวผิวเข้มเอ่ยขึ้น“เป็นอะไรหรือเปล่าจิตดีนั่งเงียบไปเลย” ต้อมผิดสังเกตเห็นจิตดี มีท่าทีซึมลงจนเขาแปลกใจ“เรามาเรียนวันนี้เป็นสุดท้ายนะที่เรามานี่จะบอกพวกเธอนั่นแหละ เดี๋ยวจะกลับแล้วเพราะอยู่ถึงเย็นก็ไม่มีความหมายอะไร”“ทำไม เพราะอะไรเหรอ” ดวงตาที่ค้างและริมฝีปากอันอ้าขึ้นเล็กน้อย มองใบหน้าอันขาวใสที่ปนด้วยความเศร้า“เราคิดว่า เรียนคณะนี้คงไม่เหมาะกับเรา ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ เดี่ยวเราไปช่วยแม่ขายของดีกว่า” มือของจิตดีประสานกันส่วนนิ้วหัวมือถือถูสัมผัสกันไปมา“ลองคิดๆ ดีนะ เรียนไปก่อนถ้าไม่ไหวจริงๆ ปีหน้าค่อยออกก็ได้ และอีกอย่างปีแ
หลังจากงานเลี้ยงรุ่นต้อมอยู่โหมดเศร้าพอสมควร ที่สำคัญได้เริ่มห่างกับคงเดชไม่ค่อยคุยกันอย่างแต่ก่อน ด้วยเหตุหลายอย่างทำให้ทั้งสองต้องรักษาระยะห่าง ในวันนี้ต้อมจึงเข้ามาในสวนมะม่วงของเขา ที่มีอีกรุ่นออกผลจนนำไปขาย “อาต้อมครับ” ต้อมคุ้นๆหูเสียงนี้แต่นึกไม่ออกว่าเสียงใคร เขาจึงหันไปมองทันที่ สิ่งทีเห็นคืออาคารลูกของอาคมยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นมะม่วง เมื่อเห็นเช่นนั้นต้อมจึงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มนั่น “มาหาอามีธุระอะไร”ต้อมเดินไปใต้ต้นมะม่วงที่อาคารยืนอยู่ “ผมกลับมาบ้านแล้วเหงาๆพ่อก็ไปงาน อบต แม่ไปทำงาน ส่วนน้องสาวไปหาเพื่อน ผมไม่มีใครเลยมาคุยด้วยสักหน่อย” “ได้สิ นั่งลงก่อนจะมาคุยอะไรกับคนแก่” “ผมมีเรื่องอยากปรึกษาอาครับ” “เรื่องอะไร อย่าบอกนะเรื่องความรัก”ต้อมยิ้มนิดๆ “เรื่องมันเกี่ยวพันกันน่ะอา” “เกี่ยวพันอะไรอาไม่เข้าใจ พูดมาตรงๆก็ได้อาจะพยายามทำความเข้าใจ ว่าแต่ เอ๊ะ ทำไมไม่ปรึกษาพ่อของหลานล่ะ”ต้อมมีสีหน้าที่งุนงงอยู่บ้าง “ผมไม่กล้าปรึกษา ผมว่าอาน่าจะรู้ว่าผมเป็นแบบไหน เหมือนอ
วันรุ่งขึ้นต้อมมาเรียนตามปกติ แต่แล้วต้องทราบข่าวบางอย่าง เป็นที่อืออาอย่างมากในห้อง แต่คนสองคนที่ถูกพูดถึงไม่มีความอายแต่อย่างใด“ไอ้จืด มึงคิดอย่างไงยอมแหวนมันน่ะ” โบ้พูดขึ้นพร้อมอมยิ้มนิดๆ“อยากลองดูแต่ก็รู้สึกดีนะ” จืดพูดอย่างหน้าตายต้อมนั่งฟังอย่างตั้งใจจนเพลิน และเป็นเช่นเดิมคงเดชมาหอมแก้มเขาอีกครั้งในตอนเช้า พร้อมกับนั่งกอดเรือนร่างอยู่พัก เมื่อแหวนมาไปนั่งยังอีกทีหนึ่ง ต้อมจึงแกะแขนทั้งสองข้างของคงเดชออก“นายจะไปไหน” คงเดชถาม“ไปหาแหวนกับปอนด์” ต้อมลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินไป“อย่าให้รู้นะว่ามึงเป็นกูเตะคว่ำเลย” เพื่อนคนหนี่งพูดขึ้นทันที เมื่อได้ยินต้อมพูดถึงแหวนต้อมได้แต่ยิ้มแล้วเดินไปหาแหวนอยู่ดี ด้วยแหวนนั้นออกชัดเจนว่าเป็น ในส่วนของต้อมนั้นยังมีความเป็นผู้ชายอยู่เยอะกว่าแหวน ถ้าไม่รู้จักจริงๆ อาจมองเป็นผู้ชายเรียบร้อย ต้อมไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่เดินหนีมายังโต๊ะของแหวน“ข่าวเธอดังมากเลยนะ” ต้อมพูดทันทีเมื่อมาถึงและนั่งลงบนม้านั่ง“ข่าวอะไร” แหวนแกล้งทำเป็นไม่รู้“เรื่องของเธอกับจืดนะ เมื่อวานไปหาจืดมาเหรอ”“ข่าวไวจริงหนอ”“เธอไปทำอะไร” ปิ่นเสียงสูงทันที เพราะลึกๆ เธอชอบจ
ความคิดถึงกำลังถามหาความรักครั้งเก่าก่อน ต้อมยิ่งคิดยิ่งเสียดายความปากหนักครั้งในอดีต จะด้วยความที่ยังเด็กหรือยังไม่ประสา หรือกลัวโดนแกล้งล้อภายหลัง ต้อมยังไม่แน่ใจตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นเรื่องที่เลยมาแล้ว ยังไม่เท่าไรแต่กับเรื่องในปัจจุบันช่างโหยหาอยากได้ความรักนั้นคืนมา ต้อมจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนรักยามค่ำคืน“ฮัลโหล” คงเดชรับสายทันที เมื่อเห็นเป็นชื่อต้อม“ทำอะไรอยู่” ความรู้สึกแรกที่ได้ยินเสียงต้อมยินดียิ่งนัก“นั่งดื่มเหล้าอยู่”“กลับใคร”“คนเดียว”“ลูกเมียไม่ว่าเหรอ” ต้อมนึกสงสัยเช่นนั้นจริงๆ“เราอยู่คนเดียว เมียกับลูกเราไปต่างจังหวัด”“อ่อ”“โทรมามีอะไรเหรอ”“คิดถึงน่ะ” กว่าที่ต้อมจะพูดคำนี้ออกมาได้ใช้เวลานานพอสมควร“เราก็พึ่งเจอกันได้ไม่นานนี่ไม่ใช่เหรอ”“สำหรับนายอาจไม่นาน แต่เรานานกว่านายอีกนะ” เสียงของต้อมนั้นเบาบางลง“นายจะพูดขึ้นมาทำไม ในเมื่อเรื่องของเรามันไม่มีทางเป็นไปได้” คงเดชเสียงห้วนขึ้น“เรารู้ แต่เราสามารถที่จะพูดคุยกันได้นิ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง”“นายจำได้ไหมเราเคยพูดอะไรกับนายครั้งหนึ่งตอนเรียน”“อะไร”“เราถามนายว่า นายชอบเราใช่ไหม”เมื่อได้ยินคำพูดน
วันแรกของการทำงานจังหวัดใกล้เคียงในพิษณุโลก ซึ่งต้อมขึ้นรถไฟไปกลับและยังพักอยู่ที่บ้านเช่นเคย เป็นงานทั่วๆ ของกรมอุตสหกรรมจังหวัด สัญญาจ้างหนึ่งปีลูกจ้างชั่วคราว ในช่วงเวลานี้ต้อมยังไม่อยากไปทำงานที่ไหนไกล เขาจึงอยู่แถวๆ ไม่ไกลบ้านนักก่อนที่ต้อมจะเริ่มทำงาน ได้เข้าอบรมอยู่ครึ่งวันกับเพื่อนใหม่สิบคน ช่วงบ่ายต้อมจึงได้เข้าทำงานอย่างเต็มตัวกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานมาก่อน ต้อมค่อยๆ เดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานของรุ่นพี่อย่างช้าๆ ด้วยความประหม่าและกลัวบ้างพอสมควร“สวัสดีครับพี่” ต้อมยืนตรงหน้ารุ่นพี่“อ้าว น้องต้อม” ก้องเงยหน้าขึ้น มีสีหน้าประหลาดใจและดีใจในคราเดียวกัน เขายังจำเด็กหนุ่มรุ่นน้องหน้าตาน่ารัก ในหอพักชายได้ไม่มีวันลืม“พี่ก้อง” ต้อมยิ้มอย่างยินดี เพราะรู้สึกดีใจอย่างมาก เนื่องด้วยจะได้ทำงานอย่างสบายใจไม่ต้องกังวลสิ่งใด“โชคดีมากเลยนะ แต่อย่าพึ่งคุยกันเลย เดี๋ยวหัวหน้าว่ามาเริ่มทำงานกันดีกว่า”“ครับพี่”ช่วงเวลาครึ่งวันที่เหลือ ต้อมได้รับการสอนงานจากก้องอย่างเต็มที่ ในส่วนตัวของต้อมรับอย่างเต็มใจ ไม่เข้าใจตรงไหนถามไถ่อย่างถี่ถ้วน ในเมื่อผู้สอนเต็มใจขนาดนี้ ทั้งสองจึงทำงานกันอย่างมีความส
วันเสาร์ต้อมมาตามคำสัญญาให้ไว้กับก้อง เป็นไปตามปกติทุกอย่างก้องมารับยังสถานีรถไฟแล้วพาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ จนเกือบบ่าย ก็กลับมายังห้องพักที่ดูเรียบง่าย มีเพียงตู้เย็น ทีวี ตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ อีกเล็กน้อย“ห้องพี่น่าอยู่จังเลย” เมื่อต้อมพูดจบนั่งลงบนเตียงนอนทันที เพราะไม่มีเก้าอี้ให้นั่งหรือไม่อีกอย่างต้องนั่งกับพื้น“ถ้าห้องพี่น่าอยู่ มาอยู่กับพี่เลยก็เลย ตอนเช้าเราก็ไปทำงานด้วยกัน ตอนเย็นเลิกงานมาอยู่ด้วยกัน” ก้องนั่งลงใกล้ๆ“ไม่ดีกว่า เกรงใจพี่ อีกอย่างพี่ ถ้าต้อมมาอยู่ด้วยพี่จะไม่อิสระเท่าที่ควร” สายตาของต้อมมีความประหวั่นกลัวใจของก้อง เพราะสมัยอยู่หอพักชายก้อล่อก้อติดอยู่เป็นประจำ“รังเกียจพี่เหรอ ตั้งแต่อยู่หอพักแล้วชอบหลบหนีพี่อยู่เป็นประจำ” ก้องเริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆ ต้อมมากขึ้นพร้อมโอบไหล่“ต้อมไม่ได้รังเกียจพี่ก้องแม้แต่น้อยเลย คือ”“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าไม่ได้รังเกียจพี่ก็ดี พี่จะได้ทำตามใจที่ต้องการนะ”ก้องค่อยๆ ขยับใบหน้ามาทีละนิดๆ เข้ามาใกล้ๆ แก้มของอันขาวผ่องใสเนียน ส่วนก้องค่อยๆ ถอยห่างทีละนิด แต่ความรู้สึกของก้องยังต้องการทำต่อ จึงขยับตามไปครั้งละหน่อย จนกร
ความปากแข็งทำให้ต้อมต้องอยู่เพียงลำพังมีเพียงความเหงาเพิ่มเข้ามา ในพรุ่งนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะไปหาคงเดชยังกรมป่าไม้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจจะเจอหรือไม่แต่ยังดีกว่ารออยู่อย่างนี้แบบไม่มีความหวัง ก่อนวันไปได้โทรหาคงเดช โดยเตรียมเหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญบาทมาอย่างเต็มกระเป๋าต้อมยืนรอคิวหน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ เขาเสียเวลาไปประมาณสามนาทีกว่าจะได้เข้าไปในตู้โทรศัพท์ เมื่อเข้าไปในตู้โทรศัพท์เขารีบยกหูโทรศัพท์ทันที พร้อมหยอดเหรียญใส่อย่างรวดเร็ว รอปลายสายด้วยใจระทึกแต่ไม่มีคนรับ เขาโทรอยู่สองสามรอบยังเหมือนเดิม“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ” ต้อมบ่นพึมพำแล้วพลันเห็นคนยืนรอต่อคิวสองคนด้วยความเกรงใจต้อมจึงหยิบเบอร์เพจเจอร์ และรีบโทรไปทันทีเพื่อส่งข้อความหาคงเดช เวลาไม่นานคอลเซนเตอร์รับทันที ต้อมจีงรีบบบอกข้อความที่จะส่งอย่างรวดเร็วเพราะเกรงใจคนยืนรอคิว“พุร่งนี้เราไปหากรมป่าไม้ได้ไหม หรือไม่ส่งข้อความกลับ xxxxxxxx จากต้อม” ต้อมรีบวางโทรศัพทันทีและรีบออกจากตู้โทรศัพท์อย่างไวต้อมนอนรอข้อความทางเพจเจอร์จนหลับไป เพราะไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด จนกระทั่งเช้ายังไม่มีข้อความเข้ามา ด้วยความคิดถึงและอยากบอกความในใจเข
ช่วงค่ำๆ ต้อมได้แต่งตัวอย่างน่ารักสดใส เพื่อไปเที่ยวกับเสกผู้จัดการฝ่ายบุคคลวัยสี่สิบกว่า ใจหนึ่งก็ไม่อยากไปแต่อีกใจหนึ่งก็เกรงใจ แต่ถึงอย่างนั้นต้อมพยายามคิดในแง่ดี จะได้ไปเที่ยวยามค่ำคืนแห่งเมืองลำพูนในระหว่างที่ต้อมเดินออกจากห้องไปยังหน้าประตูห้องเช่า บังเอิญดำเดินออกมาพอดีเพื่อไปกินข้าวมื้อเย็น ซึ่งทำให้เจอต้อมโดนบังเอิญ“แต่งตัวซะหล่อเลย จะไปไหนน่ะ” ดำยืนนิ่งๆ ข้างๆ ต้อมที่ใบหน้าขาวใสยังกับหญิงสาว“ไปกินข้าวน่ะ” ต้อมมองมาทางดำร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มผิวคล้ำ“กินข้าวแค่นี้แต่งตัวซะเหมือนไปเที่ยวเลย”“ก็ใช่น่ะสิพี่ดำ คืนนี้ผมต้องไปกินข้าวในตัวเมือง”“รถก็ไม่มีจะไปได้อย่างไร จากนี้ไปในเมืองไม่ใช่ใกล้เลย”“ไปกับพี่เสก”“อ่ะ พี่เสกผู้จัดการฝ่ายบุคคลนั่นเหรอ” ดำมีสีหน้าสงสัยยิ่งยวด“ใช่ ทำไมพี่ดำต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วย”“รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเหรอ”“เปล่า”“แล้วจะไปได้ไง ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว”“พี่เขาชวนไป ถ้าไม่ไปก็น่าเกลียดแย่เลย”“พี่เสกมาพอดีเลย ผมไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน” ต้อมหันมายิ้มให้ดำ ที่ยืนนิ่งมองต้อมขิ้นรถและแล่นจากไป ด้วยความรู้สึกแปลกสองด้าน อย่างแรกทำไมเสกต้องพาต้อม
ตอนที่25 ความรู้สึกที่เปลื่ยนไป หลังจากหยุดงานมาหลายวันดำก็มาทำงานตามปกติ โดยก่อนหน้านี้ต้อมได้มีคนมาสอนงานให้ เป็นรุ่นพี่ร่วมแผนกเข้ามาทำงานพร้อมกับดำ ซึ่งซันนั้นได้สอนต้อมทำงานอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง จนทำให้ต้อมเริ่มทำงานได้คล่องมากยิ่งขึ้น “ถ้าไม่ได้พี่ซันผมคงแย่แน่เลย”ต้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดจาอย่างอ่อนน้อม “เอ้า ไอ้ดำหายดีแล้วเหรอว่ะทั้งกายทั้งใจ”ซันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นดำเดินเข้ามาที่ทั้งสองยืนคุยกันก่อนเข้างาน “ปากดีนะมึงนะ”ดำมองตาขวางใส่ซัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดเล่นแรงกว่าหลายเท่า “มึงเป็นอะไรว่ะ ไปกินรังแตนมาจากไหน”ซันมีสีหน้ามึนงง “ไม่เป็นไรหรอก แค่ เอ่อ ไม่มีอะไร”ดำมองไปยังต้อมแว่บหนึ่งก่อนหันมามองซันต่อด้วยความแสนจะหงุดหงิด โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน “สงสัยจะฟื้นไข้ยังไม่หายดี นี่ก็ใกล้เวลางานแล้ว ต่อจากนี้ไปกูส่งน้องต้อมให้มึงดูแลต่อ และอีกอย่างน้องต้อมต้องดูแลพี่ดำดีๆนะ เดี๋ยวพิษไข้กำเริบพี่ไม่ได้กลัวไข้กายหรอก กลัวไข้ใจมากกว่าถ้ามีเวลาก็ค่อยๆดามใจมันก็ได้”ซันหัวเราร่วนก่อนรี
ต้อมนั่งมองดำที่กำลังกินข้าวต้มแบบฝืนกินยากพอสมควร สายตาอันเล็กหรี่จ้องไม่กระพริบตา ส่วนริมฝีปากเล็กรอยหยักคอยเตรียมพูดทันทีเมื่อใดดำหยุดกินข้าวต้ม และมือน้อยอันเรียวงามเทน้ำจากขวดใส่แก้วไว้เตรียมพร้อม รวมทั้งยาแก้ไข้อีกสองเม็ดวางไว้ใกล้ๆ กัน“กินให้หมดนะ” ต้อมพูดทันทีเมื่อดำหยุดกินข้าว“พี่อิ่มแล้ว” ดำถอดถอนหายใจ เพราะเขาไม่รู้สึกอยากกินข้าวแต่อย่างใด ถึงแม้จะพยายามฝืนทนกินแต่ไม่สามารถกินได้มากกว่านี้“ก็ได้ ถ้างั้นก็กินยาซะ” ต้อมพูดเสียงนิ่งๆ ให้ดูเข้มเข้าไว้ แต่เสียงเล็กอันใสหาเป็นใจไม่สายตาของต้อมยังมองดำตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าจะแอบนำยาไปทิ้งขว้างไม่ยอมกิน ดำเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง จนอดคิดไม่ได้ว่าต้อมไม่เหมือนน้องแต่เหมือนพี่สาวมากกว่า“พอใจหรือยัง” ดำพูดทันทีเมื่อได้กลืนยาลงคอ“พอใจมาก”“ถ้างั้นก็กลับไปได้พี่จะนอน” ดำพูดเสียงห้วนๆ“ก็นอนสิ ผมก็จะอยู่ที่นี่”“ห้องตัวเองมีทำไมไม่นอน” ดำแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนคำพูดของดำที่ไม่เกรงใจและสนความรู้สึกคนฟัง ทำให้ต้อมนั้นใจอุ่นๆ ขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ขนาดป่วยยังไม่วายพูดจาไม่น่าฟังเลยสำหรับความคิดของต้อม“ความจริงก็ไม่ได้อยากนอน
วันนี้ต้อมมีความรู้สึกแปลกๆ เพราะดำไม่ได้มาทำงาน สาเหตุใดต้อมไม่สามารถรู้ได้ เพราะดำสั่งห้ามให้อยู่ทางใครทางมัน จึงเป็นเหตุให้ต้อมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับดำ ถึงแม้วันนี้หลายต่อหลายคนจะถามไถ่ จึงได้แต่ปฏิเสธท่าเดียวไม่รู้ จนกระทั่งก่อนกลับบ้านสันต์หัวหน้างานของเขาได้เอ่ยขึ้นมา“กลับไปห้องก็ไปดูดำมันหน่อยนะ มันพึ่งเลิกกับแฟนช่วงนี้มันเศร้าๆ ไหนๆ ก็ทำงานที่เดียวกัน” สันต่์เอ่ยขึ้นก่อนเดินจากไป“ครับ” ต้อมรับคำด้วยความยินดี แต่ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่า ดำต่างหากที่ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ส่วนตัวเขาเองนั้นอยากสนิทสนมด้วยใจจะขาดในช่วงที่ต้อมเดินออกจากโรงงานไปยังที่จอดรถ ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องของดำเพลินๆ ว่าจะจัดการอย่างไรดี ก็มีรถเก๋งคนงามจอดอยู่ข้างๆ เขา ต้อมจึงหันมามองและเป็นจังหวะเดียวกันที่กระจกเปิดออกพอดี“ต้อมขึ้นมาบนรถก่อนสิ” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรียกเขาแบบหน้านิ่งเหมือนตอนที่กำลังสัมภาษณ์งาน“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้ครับ” ต้อมกำลังจะเดินจากไป“บอกให้ขึ้นมาก็ขึ้นมาสิ” เสียงของผู้จัดการฝ่ายบุคคลเริ่มห้วนขึ้น“ครับ” ต้อมเดินอ้อมรถไปอีกด้านและเปิดประตูขึ้นไปในรถเมื่อต้อมขึ้นไปเขาก็นั่งนิ
เนื่องด้วยสภาพจิตใจของต้อมไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาจึงไม่ค่อยได้ออกไปทำงาน มีแต่นอนและพักผ่อนให้ร่างกายฟื้นตัว ยามค่ำคืนก่อนนอนต้อมได้หยิบอัลบั้มรูปขึ้นมาเปิดตัว และได้เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งที่เขาถ่ายตอนหลับ ต้อมจำได้ดีรักครั้งนี้เขาจึงหวนคิดถึงอีกครั้งหลังจากผิดหวังในรักที่มีต่อสน ทำให้ต้อมได้ติดสินใจก้าวเดินต่อไป เพื่อลืมเลือนรักอันเจ็บปวด ต้อมได้ขึ้นมาทำงานทางเหนือตามคำแนะนำของแหวน เพราะเพื่อนร่วมรุ่นได้ออกงานจากที่นี่จึงมีตำแหน่งว่างพอดีเมื่อไปถึงเมืองลำพูนต้อมได้หาห้องเช่าไม่ไกลจากแหล่งนิคมอุตสาหกรรมเท่าไรนัก มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและที่นอนสำหรับไว้เอนกายพักผ่อนยามต้องการ พอรุ่งเช้าต้อมเดินทางไปสมัครงานในนิคมอุตสหกรรม เป็นโรงงานเกี่ยวกับผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยามเข้าไปนิคมและได้กรอกใบสมั8รและรอสัมภาษณ์เลย เพราะต้องการด่วนซึ่งไม่แตกต่างจากต้อมก็อยากได้งานโดยไวเหมือนกัน เมื่อเข้าไปก็เจอผู้จัดการฝ่ายบุคคล ต้อมยกมือไหว้ชายหนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ รูปร่างสูงโปร่งขาวนัยน์ตาเล็ก“สวัสดีครับ” ต้อมยกมือไหว้“นั่งลงได้” ชายหนุ่มผู้นั้นมองต้อมไม่วางสายตา“ดูจากประวัติการทำงาน เปล
วันหยุดยาวต้อมได้กลับบ้านสองวันทีแรกกะสามวัน แต่ทนความคิดถึงสนไม่ไหวเขาจึงกลับมาก่อนเวลา และอีกอย่างหนึ่งเพื่อสืบสาวราวเรื่องของสนว่าเป็นเช่นไรโดยไม่ได้โทรบอกสนไว้แม้แต่น้อย และต้อมไม่ยอมกลับห้องของตัวเองด้วย เลยรวดไปยังห้องพักของสนเพื่อจับผิดหรือถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าเป็นไปหาคนรักแค่นั้นไม่ได้มีอะไรเสียหายหรือเสียเวลาเมื่อมาถึงต้อมรีบไปยังห้องเช่าของสน ด้วยไปหาสนเป็นบางครั้งต้อมจึงมีกุญแจ และยามคุ้นหน้าเป็นอย่างดี จึงเข้าออกง่ายไม่มีปัญหาแต่อย่างใด พอถึงหน้าประตูต้อมจึงหยิบกุญแจมาเปิดเข้าไปในห้อง โดยไม่ได้เคาะเรียกขานแต่อย่างใด เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็ไม่ได้พบกับอะไรผิดปกติ เห็นเพียงแต่สนนั่งดูทีวีอย่างสบายอารมณ์“อ้าว ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไปสามวันไง” สนมีสีหน้าไม่สู้ดีนักและรีบลุกขึ้นยืนทันใด“ทนคิดถึงนายไม่ไหวไง” ต้อมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ“ใครมาสน” หญิงสาวนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเกาะอกออกมาจากห้องน้ำและรีบเดินมาเกาะแขนสน ที่อยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายท่อนล่าง“เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันนะ” สนจ้องมองต้อมไม่วางสายตา เพราะกลัวต้อมพูดอะไรออกมา“ต้อมนี่คือ เอ่อ” สนอ้ำ
ความสัมพันธ์ทั้งสองเปลื่ยนแปลงทีละน้อย คืบคลานทีละนิดจนต้อมผิดสังเกตขึ้นมาทีละมากๆ ในช่วงเวลาที่ยาวนานหลายเดือน ต้อมยังทำตัวปกติทุกอย่างดูแลสนอย่างดีไม่เปลื่ยนแปลง ในขณะอีกคนมีความเปลื่ยนแปลงไป บางครั้งกลับห้องดึกดื่นบางคราไม่กลับมาเลย บางทีมีความสัมพันธ์ทางกายแบบผ่านๆ เหมือนไม่อยากจะมี ความสุขในรสรักของต้อมจึงลดน้อยลงไปอย่างมาก เพราะสนไม่ใคร่สนใจมอบให้อย่างแต่ก่อนมีอยู่ค่ำคืนหนึ่งสนพูดบางสิ่งออกมาจนต้อมรู้สึกใจหายใจคว่ำ เป็นคำพูดที่ไม่ได้รุนแรงแต่เจ็บลึกอย่างสุดทรวงและลึกสุดใจ“ต้อมเรามีเรื่องจะบอกกับนายนะ” สีหน้าของสนมีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องอะไร” ต้อมเดินมานั่งบนเตียงในขณะสนนอนนิ่งๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างไว้ในใจ“คือว่า เอ่อ เราสองคนก็โตกันขึ้นเยอะแล้วนะ ต่างคนต่างมีหน้าทีการงานของตัวเอง มีเพื่อนและอยากมีความเป็นส่วนตัว” สนยังไม่กล้าพูดคำใดๆ ออกมาพยายามเกริ่นนำ“นายจะพูดอะไร” ต้อมใจหวั่นหวิว เพราะคำพูดนำทางแบบนี้ เขาคาดคิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน“อืม เราคิดว่าต้องแยกห้องกันดีกว่าไหม เพราะเราทั้งคู่ก็โตกันแล้วนะ” สนจ้องหน้าของต้อมเพราะอยากรู้ความรู้สึกที่
ความรักทั้งสองคืบหน้าไปอย่างมากในความคิดของต้อม เมื่อถึงเวลาสิ้นเดือนต้อมจึงซื้อของกินของใช้มามากมาย เพื่อเลี้ยงฉลองกับสนคนสำคัญที่สุดในชีวิต ค่ำคืนนี้ต้อมจึงเฝ้ารอการมาของสน แต่สองทุ่มก็แล้วสามทุ่มผ่านไปสี่ทุ่มกำลังจะมาถึง แต่ยังไร้วี่แววของใครบางคน สายตาของต้อมจ้องมองอาหารที่เรียงรายหลายอย่างตรงหน้า จนเวลาเกือบเที่ยงคืนจึงได้ยินเสียงเคาะประตู“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ต้อมเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ“นายไปไหนมาเรานัดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าวันนี้จะเลี้ยงฉลองเงินเดือนออก” ต้อมมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดแสดงท่าทีไม่พอใจ“เราขอโทษ พอดีพี่พี่ทำงานเราเลี้ยงฉลองให้น่ะ เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีงานนี้” สนเข้ามาโอบกอดจากด้านหลัง พร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้าอันบูดบึ้ง“นายไปดื่มเหล้ามาเหรอ”“นิดหน่อยเอง พี่ๆ เขาบังคับให้เราดื่มน่ะ”“อืม แสดงว่านายกินข้าวมาแล้วใช่ไหม”“ใช่ กินมาแล้ว แต่ตอนนี้อยากกินนายมากกว่า”“แล้วกับข้าวที่เราซื้อมาล่ะ เต็มไปหมดเลย”“ไม่เป็นไรหรอกทิ้งไปซะให้หมด แต่ตอนนี้เราขอกินนายก่อนได้ไหม”สนช้อนร่างของต้อมแล้วอุ้มมาวางบนเสื่อไร้ที่นอน พร้อมจับร่างของต้อมพลิกคว่ำหลังจากนั้นดึงกางเก
ต้อมตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำกับข้าวให้สนกินก่อนไปทำงาน ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากไข่เจียวสองฟอง และในขณะเดียวกันต้อมได้รีดเสื้อกางเกงให้สนอย่างเรียบร้อยแขวนไว้ที่ราวตากผ้า ส่วนรองเท้าขัดจนเงาวับ หลังจากนั้นเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อย เมื่อต้อมทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงไปปลุกสนที่นอนหลับอย่างสบาย“สนตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายหรอก” ต้อมเขย่าร่างของสน“แจ้งแล้วเหรอ วันนี้ขี้เกียจจังเลย นึกว่านายจะต่ออีกรอบหนึ่งตอนเช้า” สนลุกขึ้นนั่งแล้วหยิกแก้มของต้อมอย่างเอ็นดูใคร่รัก“บ้า เมื่อคืนตั้งสองครั้งแล้ว”“มันต้องสามครั้งกำลังดี”“สามครั้งนายต้องไปทำเองที่ห้องน้ำโน้น ไม่ไหวยังเจ็บอยู่เลยนายทำเราแรงเกินไป” ต้อมแกล้งทำหน้างอ“ขอโทษนะ ต่อไปจะทำค่อยๆ อีกอย่างครั้งแรกของนายก็แบบนี้แหละ ทางแก้มีต้องทำบ่อยๆ จะได้ขยายหลวมๆ แต่เมื่อคืนฟิตเป็นบ้าเลย”“ทะลึ่ง ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”“จ๊ะ ที่รัก”สนเรีบลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่าท่อนเอ็นตั้งชูชัน โดยไม่ได้มีความเขินอายอย่างแต่ก่อน จนทำให้ต้อมรู้สึกแปลกใจอย่างมาก“กางเกงก็ไม่ใส่ไม่อายบ้างเลยเหรอ”“จะมาอายอะไร ตอนนี้เราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เห็นกันทุกส่วนแล้วไม่