วันรุ่งขึ้นต้อมมาเรียนตามปกติ แต่แล้วต้องทราบข่าวบางอย่าง เป็นที่อืออาอย่างมากในห้อง แต่คนสองคนที่ถูกพูดถึงไม่มีความอายแต่อย่างใด
“ไอ้จืด มึงคิดอย่างไงยอมแหวนมันน่ะ” โบ้พูดขึ้นพร้อมอมยิ้มนิดๆ
“อยากลองดูแต่ก็รู้สึกดีนะ” จืดพูดอย่างหน้าตาย
ต้อมนั่งฟังอย่างตั้งใจจนเพลิน และเป็นเช่นเดิมคงเดชมาหอมแก้มเขาอีกครั้งในตอนเช้า พร้อมกับนั่งกอดเรือนร่างอยู่พัก เมื่อแหวนมาไปนั่งยังอีกทีหนึ่ง ต้อมจึงแกะแขนทั้งสองข้างของคงเดชออก
“นายจะไปไหน” คงเดชถาม
“ไปหาแหวนกับปอนด์” ต้อมลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินไป
“อย่าให้รู้นะว่ามึงเป็นกูเตะคว่ำเลย” เพื่อนคนหนี่งพูดขึ้นทันที เมื่อได้ยินต้อมพูดถึงแหวน
ต้อมได้แต่ยิ้มแล้วเดินไปหาแหวนอยู่ดี ด้วยแหวนนั้นออกชัดเจนว่าเป็น ในส่วนของต้อมนั้นยังมีความเป็นผู้ชายอยู่เยอะกว่าแหวน ถ้าไม่รู้จักจริงๆ อาจมองเป็นผู้ชายเรียบร้อย ต้อมไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่เดินหนีมายังโต๊ะของแหวน
“ข่าวเธอดังมากเลยนะ” ต้อมพูดทันทีเมื่อมาถึงและนั่งลงบนม้านั่ง
“ข่าวอะไร” แหวนแกล้งทำเป็นไม่รู้
“เรื่องของเธอกับจืดนะ เมื่อวานไปหาจืดมาเหรอ”
“ข่าวไวจริงหนอ”
“เธอไปทำอะไร” ปิ่นเสียงสูงทันที เพราะลึกๆ เธอชอบจืด
“แหม ไม่น่าถามจืดเสร็จเราแล้วสิ” แหวนยิ้มระรื่น
“แหวน เธอมันร้าย เธอรู้ไหมเราแอบชอบจืดอยู่นะ”
“ทำไมเธอไม่บอกเก็บอมพะนำไว้ทำไม” แหวนมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ว่าจะบอกแต่ยังไม่ได้บอก”
“ไม่เป็นไรหรอก เราแค่อม” แหวนถอนหายใจ
“ว้าย” ปิ่นร้องออกมา
“เอาน่า ต่อไปเราจะไม่ยุ่งกับจืดแล้ว รวมทั้งคงเดชเอาง่ายๆ เราจะไม่ยุ่งเพื่อนในห้องดีกว่า เดี๋ยวมีปัญหากัน เราขอโทษนะเราจะไม่ทำอีกแล้วแน่นอน” แหวนอื่อมมือไปจับมือของปื่นเป็นการปลอบใจ
ต้อมนั่งนิ่งคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้ยินเมื่อครู่ ถ้าเปลื่ยนเป็นตัวเขาเองคงไม่กล้าทำอย่างแน่นอน เพราะตอนอยู่บ้านเขาก็ทำตัวปกติไม่ได้ออกไปทำแบบแหวนเลย
“ได้เวลาเรียนขึ้นไปบนห้องเถอะ” ต้อมพยายามเบี่ยงเบนประเด็น เพราะเขาไม่อยากฟังเรื่องนี้ และไม่อยากให้เพื่อนรักทั้งสองนั้นได้มีปัญหาทางใจต่อกัน
สองหนุ่มหนึ่งสาวได้เดินขึ้นไปยังห้อเงรียน ซึ่งเช่นเดิมเป็นห้องเรียนในคณะ พวกเขาจึงคุ้นเคยพอทั้งสามเข้าไปในห้องแค่นั้น แหวนถูกล็อคคอไปยังหลังห้อง มีเพื่อนชายห้าถึงหกคนในนั่นรวมโบ้กับคงเดช
ต้อมเห็นแหวนถูกจับกดลงแล้วเธอก็ร้องลั่นชั่วครู่ หลังจากนั้นเสียงแหวนได้หายไป มีเพียงเสียงอู้อี้นิดหน่อยๆ
“เขาทำอะไรแหวนะ” ต้อมถามเพื่อนชายยืนข้างๆ
“จับแหวนแก้ผ้า” เพื่อนคนนั้นหัวเราะขึ้นมาทันที
“อาจารย์มา” ต้อมตะโกนเสียงดังเพื่อช่วยแหวน
เพียงสิ้นเสียงของต้อมแค่นั้น เพื่อนสี่ห้าคนได้แตกกระจาย ซึ่งแหวนยังอยู่ในสภาพเดิม เพื่อนทั้งห้าที่รุมแหวน ไม่ได้ตั้งใจทำอย่างจริงจัง แค่แกล้งแหวนเฉยๆ เพราะรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ ที่ภูมิใจเรื่องได้จืด แค่หยอกนิดๆ แต่ต้อมนึกว่าทำจริง เมื่อต้อมตะโกนเสร็จเขานั่งลงที่เก้าอี้ทันที รวมทั้งเพื่อนในห้องส่วนแหวนเดินมานั่งข้างๆ
“ไหนใครบอกอาจารย์มาแล้ว” โบ้พูดขึ้นทันที เมื่อไม่เห็นมีใครเดินเข้ามาในห้อง
ทุกสายตาจ้องมองมายังต้อม เพียงต้อมเห็นสายตาทุกคนเขายิ้มนิดๆ ทำคอสั้นงอไหล่ เพราะเริ่มกลัวว่าเพื่อนจะมาทำอะไรเขา เพราะเห็นโบ้กับคงเดชเดินเข้ามาใกล้ๆ
“รักเพื่อนมากเลยหนอ” โบ้เอ่ยขึ้นก่อน
“เอาแบบนี้เปลื่ยนจากแหวนเป็นต้อมดีไหม” โบ้พูดอีกคร้ง
“ไม่ดี” คงเดชเอ่ยขึ้น
“อะไรของมึงว่ะเดช” โบ้หันมามองหน้า
“เขารักของเขาก็ต้องห่วงธรรมดา” แหวนรีบพูดถึงทันที
“ปากดีนะแหวน” คงเดชมองตาขวาง
“หมดอารมณ์เล่นแล้ว เดี่ยวอาจารย์มา” โบ้รู้สึกหงุดหงิดเปลื่ยนใจไม่แกล้งใครทั้งนั้น
ก่อนที่คงเดชจะเดินไปได้เหล่ตามามองต้อมแวบนึง ต้อมทันได้เห็นสายตาจึงปะทะกันพอดี หลังจากนั้นเคงเดชดินไปนั่งยังหลังห้องซึ่งเป็นที่ประจำ
“เป็นไงบ้าง” ต้อมถามแหวนด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นหรอก ไม่คิดเลยพวกนี้จะเล่นแรง นายก็รู้ว่าเราไม่ใช่คนอ่อนแอ เราคิดอยู่นะถ้าอยากทำอะไร เราให้ทำได้เต็มที่เลย เพียงแต่สถานที่ไม่เอื่ออำนวยต่างหาก” แหวนเอ่ยขึ้น
“ดีจังที่เป็นเธอถ้าเป็นเราไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลย”
“ไม่ต้องกลัวคงเดชไม่ให้ใครมาทำอะไรเธอหรอก”
“พูดไปเรื่อย” ต้อมพูดเสียงอ่อย
“พูดไปเรื่อยอะไร เท่าที่เราสังเกตคงเดชต้องชอบเธอแน่ๆ ส่วนเธอเรายังไม่แน่ใจเพราะเก็บอาการเก่ง เราจะบอกอะไรให้นะ ถ้ารักก็ไปบอกซะ ถ้าทำเป็นนิ่งๆ แบบนี้ระวังกินแห้วนะ”
“อือ”
ต้อมยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน และอีกอย่างการจะเปิดเผยว่ารักใครมันเป็นเรื่องยากพอสมควร จนบางครั้งอยากเป็นแบบแหวนที่เปิดเผยอย่างชัดเจนไปเลย แต่ใจของต้อมยังไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น
ต้อมอดคิดถึงคำพูดของแหวนไม่ได้ เพราะเขาไม่เชื่อคำของแหวน เขาจึงต้องมานั่งเศร้าใต้ต้นมะม่วงอยู่อย่างนี้ มานั่งคิดถึงคนที่รักแต่ไม่สามารถอยู่ด้วยกัน เป็นเพราะความไม่กล้าในช่วงเวลานั้น ทั้งๆ ที่มีโอกาสอยู่หลายครั้ง จนบางทีทำให้ผิดใจกันก็มี และมีเรื่องกับคนในหอพักยังเคยมี
ครั้งหนึ่งต้อมจำได้ไม่มีวันลืม วันหยุดสุดสัปดาห์เขาได้ไปดูหนังกับสน เพราะสนอยากดูมากเรื่อง เดอะลอร์ดเวิล์ด ซึ่งเป็นโรงหนังเก่าๆ ค่าตั๋วยี่สิบบาท ในวันนั้นสนเป็นคนเลี้ยงเอง เพราะได้ชวนต้อมไป นอกจากค่าตั๋วแล้วยังมีขนมโก๋แก่ ปาปริกา พร้อมน้ำดื่มคนละขวด ระหว่างดูไม่มีปัญหาใดๆ เหตุเกิดทันทีเมื่อหนังจบออกมาจากโรงหนัง ช่วงกำลังรอรถอยู่นั้นได้มีสองหนุ่มยืนประจันหน้าต้อมและสน
“มาดูหนังไม่เห็นชวนเราเลย” คงเดชเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจอย่างมาก
“เราจะไปรู้ได้ไงว่านายอยากดู และนายไม่อยู่ในตัวเมืองบ้านนายอยู่หล่มสัก ไกลจากที่นี่ร่วมยี่สิบโล ใครจะชวนนายไปดูล่ะ” ต้อมพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ เพราะค่อนข้างไม่พอใจกับคำพูดของคงเดช
“เราเป็นคนชวนต้อมมาเอง เราอยู่หอเดียวกันห้องเดียวกัน” สนพูดด้วยความซื่อตาใสแป้ว
“ไมได้ถาม” คงเดชมองหน้าขวางๆ ใส่สน
“ไมได้ถาม แต่บอกให้รู้นายจะได้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร”
“พูดแบบนี้หาเรื่อง หรือว่ามึงจะเอาตอนนี้” คงเดชเดินเข้ามาเพื่อจะชกหน้าสน
“อย่านะคงเดช” ต้อมยืนขวางคงเดชไว้
“เห็นเพื่อนในหอดีกว่าเพื่อนทีคณะเหรอ หรือ ว่านายชอบมันเขาให้แล้ว” คงเดชพูดไม่ทันได้คิด
“นายจะบ้าไปใหญ่พูดอะไรอย่างนั้น”
จังหวะเดียวรถโดยสารที่จะไปมหาวิทยาลัยมาพอดี ต้อมจึงไม่รอช้าโบกมือเรียกรถทันทีและได้ชวนสนกลับหอในมหาวิทยาลัย
“ไปกันเถอะรถมาแล้ว” ต้อมพูดขึ้นและหันหน้าไปมองสน
ต้อมและสนเลยรีบขึ้นรถเพื่อเข้าไปในมหาวิทยาลัย ปล่อยให้คงเดชยืนงง ส่วนโบ้ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น ได้แต่ทำหน้านิ่งๆ
ต้อมและสนนั่งบนรถโดยไม่มีพูดจาอะไรกันทั้งนั้น เนื่องด้วยมีคนอยู่ในรถหลายคน จนกระทั่งมาถึงหน้ามหาวิทยาลัย สนรีบเดินอย่างไวจนต้อมต้องวิ่งตามไปให้ทัน
“รอเราด้วยสิ” ต้อมวิ่งจนมาทันสน
“เราขอโทษแทนเพื่อนเราด้วยนะ ที่พูดจาไม่ดีกับนาย” ต้อมมองหน้าสนแต่ไร้การพูดตอบกลับแต่อย่างใด
ต้อมไม่รู้จะทำเช่นไรจึงปล่อยไป ให้สนเดินไปคนเดียวอย่างรวดเร็ว เพราะเขาเดินตามไม่ทัน จนกระทั้งถึงหอพักด้วยมีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำ ต้อมจึงไม่ได้ใคร่สนใจสนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขากะว่าจะปรับความเข้าใจช่วงเวลาก่อนนอน
เมื่อต้อมทำทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาจึงมานั่งที่เตียงและแปลกใจ เพราะไม่มีสนแต่กับมีอีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ชั้นสองต้อมจำได้ดี
“สนไปไหนเหรอ” ต้อมถามเพื่อนที่มาใหม่
“สนขอเปลื่ยนห้องกับเราน่ะ” เพื่อนใหม่พูดขึ้นเฉยๆ แล้วล้มตัวลงนอน
ในช่วงเวลานั้นนั่นเองอ๊อฟรุ่นพี่ได้เดินเข้ามา เพราะเขาสงสัยสองคนนี้มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า ยิ่งต้อมนิสัยดีไม่มีพิษมีภัยแต่ทำไมสนถึงย้ายหนี ส่วนสนก็เช่นกันนิสัยไม่ได้เลวร้ายอะไร
“พี่ถามตรงๆ น้องสองคนมีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”
“เปล่าครับ เมื่อกลางวันยังไปดูหนังด้วยกันอยู่เลย” ต้อมมีท่าทีครุ่นคิด
“เอาอย่างงั้นไปเคลียร์กันซะ พี่เห็นสนนั่งอยู่ห้องอ่านหนัง อยู่คนเดียวด้วยลองไปพูดคุยกันดู”
“ครับพี่อ๊อฟ”
ต้อมส่งรอยยิ้มให้รุ่นพี่ หลังจากนั้นเขาก็ไปหาสนตามคำแนะนำ เมื่อไปถึงยังห้องอ่านหนังสือ ต้อมเห็นสนนั่งเหม่อลอยไมได้อ่านหนังสือแต่อย่างใด เท้าทั้งสองข้างของต้อมจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปยังห้อง พร้อมกับสงเสียงค่อยๆ จากด้านหลัง
“สน”
ไร้การตอบสนองจากสนต้อมจึงเดินอ้อมไปนั่งตรงหน้า เพราะเขาก็อยากเคลียร์ใจอยุ่เหมือนกัน เพราะสนเป็นเพื่อนในหอคนเดียวที่สนิท
“นายโกรธเราเรื่องอะไรเหรอ” ต้อมมีสีหน้าซึมเล็กน้อย
“ไม่ได้โกรธหรอก”
“ไมได้โกรธเราหรือว่านายโกรธเพื่อนเรา”
“ไม่ได้โกรธใครทั้งนั้น อย่ามายุ่งกับเราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า ไม่ต้องมาหาเราอีกนะ ถ้านายมายุ่งย่ามกับเราอีก เราจะออกไปอยู่ที่อื่นเพราะเราไม่อยากเห็นหน้านาย” สนมีสายตาที่ตัดกับคำพูด
“นั่นแสดงว่านายโกรธเรา เรื่องเมื่อเย็นใช่ไหม”
ไม่มีคำตอบจากสน มีเพียงสีหน้าและแววตาบ่งบอกความรู้สึกหลายอย่างบนใบหน้า ซึ่งต้อมยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าสื่อถึงอะไร แต่ที่รู้แน่ๆ เขาได้เสียเพื่อนสนิทคนนี้ไปอย่างแน่นอน ต้อมแน่ใจว่าคงเป็นคำพูดของคงเดช ที่ทำให้สนนั้นเปลื่ยนไปขนาดนี้
ความคิดถึงกำลังถามหาความรักครั้งเก่าก่อน ต้อมยิ่งคิดยิ่งเสียดายความปากหนักครั้งในอดีต จะด้วยความที่ยังเด็กหรือยังไม่ประสา หรือกลัวโดนแกล้งล้อภายหลัง ต้อมยังไม่แน่ใจตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นเรื่องที่เลยมาแล้ว ยังไม่เท่าไรแต่กับเรื่องในปัจจุบันช่างโหยหาอยากได้ความรักนั้นคืนมา ต้อมจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนรักยามค่ำคืน“ฮัลโหล” คงเดชรับสายทันที เมื่อเห็นเป็นชื่อต้อม“ทำอะไรอยู่” ความรู้สึกแรกที่ได้ยินเสียงต้อมยินดียิ่งนัก“นั่งดื่มเหล้าอยู่”“กลับใคร”“คนเดียว”“ลูกเมียไม่ว่าเหรอ” ต้อมนึกสงสัยเช่นนั้นจริงๆ“เราอยู่คนเดียว เมียกับลูกเราไปต่างจังหวัด”“อ่อ”“โทรมามีอะไรเหรอ”“คิดถึงน่ะ” กว่าที่ต้อมจะพูดคำนี้ออกมาได้ใช้เวลานานพอสมควร“เราก็พึ่งเจอกันได้ไม่นานนี่ไม่ใช่เหรอ”“สำหรับนายอาจไม่นาน แต่เรานานกว่านายอีกนะ” เสียงของต้อมนั้นเบาบางลง“นายจะพูดขึ้นมาทำไม ในเมื่อเรื่องของเรามันไม่มีทางเป็นไปได้” คงเดชเสียงห้วนขึ้น“เรารู้ แต่เราสามารถที่จะพูดคุยกันได้นิ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง”“นายจำได้ไหมเราเคยพูดอะไรกับนายครั้งหนึ่งตอนเรียน”“อะไร”“เราถามนายว่า นายชอบเราใช่ไหม”เมื่อได้ยินคำพูดน
วันแรกของการทำงานจังหวัดใกล้เคียงในพิษณุโลก ซึ่งต้อมขึ้นรถไฟไปกลับและยังพักอยู่ที่บ้านเช่นเคย เป็นงานทั่วๆ ของกรมอุตสหกรรมจังหวัด สัญญาจ้างหนึ่งปีลูกจ้างชั่วคราว ในช่วงเวลานี้ต้อมยังไม่อยากไปทำงานที่ไหนไกล เขาจึงอยู่แถวๆ ไม่ไกลบ้านนักก่อนที่ต้อมจะเริ่มทำงาน ได้เข้าอบรมอยู่ครึ่งวันกับเพื่อนใหม่สิบคน ช่วงบ่ายต้อมจึงได้เข้าทำงานอย่างเต็มตัวกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานมาก่อน ต้อมค่อยๆ เดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานของรุ่นพี่อย่างช้าๆ ด้วยความประหม่าและกลัวบ้างพอสมควร“สวัสดีครับพี่” ต้อมยืนตรงหน้ารุ่นพี่“อ้าว น้องต้อม” ก้องเงยหน้าขึ้น มีสีหน้าประหลาดใจและดีใจในคราเดียวกัน เขายังจำเด็กหนุ่มรุ่นน้องหน้าตาน่ารัก ในหอพักชายได้ไม่มีวันลืม“พี่ก้อง” ต้อมยิ้มอย่างยินดี เพราะรู้สึกดีใจอย่างมาก เนื่องด้วยจะได้ทำงานอย่างสบายใจไม่ต้องกังวลสิ่งใด“โชคดีมากเลยนะ แต่อย่าพึ่งคุยกันเลย เดี๋ยวหัวหน้าว่ามาเริ่มทำงานกันดีกว่า”“ครับพี่”ช่วงเวลาครึ่งวันที่เหลือ ต้อมได้รับการสอนงานจากก้องอย่างเต็มที่ ในส่วนตัวของต้อมรับอย่างเต็มใจ ไม่เข้าใจตรงไหนถามไถ่อย่างถี่ถ้วน ในเมื่อผู้สอนเต็มใจขนาดนี้ ทั้งสองจึงทำงานกันอย่างมีความส
วันเสาร์ต้อมมาตามคำสัญญาให้ไว้กับก้อง เป็นไปตามปกติทุกอย่างก้องมารับยังสถานีรถไฟแล้วพาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ จนเกือบบ่าย ก็กลับมายังห้องพักที่ดูเรียบง่าย มีเพียงตู้เย็น ทีวี ตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ อีกเล็กน้อย“ห้องพี่น่าอยู่จังเลย” เมื่อต้อมพูดจบนั่งลงบนเตียงนอนทันที เพราะไม่มีเก้าอี้ให้นั่งหรือไม่อีกอย่างต้องนั่งกับพื้น“ถ้าห้องพี่น่าอยู่ มาอยู่กับพี่เลยก็เลย ตอนเช้าเราก็ไปทำงานด้วยกัน ตอนเย็นเลิกงานมาอยู่ด้วยกัน” ก้องนั่งลงใกล้ๆ“ไม่ดีกว่า เกรงใจพี่ อีกอย่างพี่ ถ้าต้อมมาอยู่ด้วยพี่จะไม่อิสระเท่าที่ควร” สายตาของต้อมมีความประหวั่นกลัวใจของก้อง เพราะสมัยอยู่หอพักชายก้อล่อก้อติดอยู่เป็นประจำ“รังเกียจพี่เหรอ ตั้งแต่อยู่หอพักแล้วชอบหลบหนีพี่อยู่เป็นประจำ” ก้องเริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆ ต้อมมากขึ้นพร้อมโอบไหล่“ต้อมไม่ได้รังเกียจพี่ก้องแม้แต่น้อยเลย คือ”“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าไม่ได้รังเกียจพี่ก็ดี พี่จะได้ทำตามใจที่ต้องการนะ”ก้องค่อยๆ ขยับใบหน้ามาทีละนิดๆ เข้ามาใกล้ๆ แก้มของอันขาวผ่องใสเนียน ส่วนก้องค่อยๆ ถอยห่างทีละนิด แต่ความรู้สึกของก้องยังต้องการทำต่อ จึงขยับตามไปครั้งละหน่อย จนกร
ความปากแข็งทำให้ต้อมต้องอยู่เพียงลำพังมีเพียงความเหงาเพิ่มเข้ามา ในพรุ่งนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะไปหาคงเดชยังกรมป่าไม้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจจะเจอหรือไม่แต่ยังดีกว่ารออยู่อย่างนี้แบบไม่มีความหวัง ก่อนวันไปได้โทรหาคงเดช โดยเตรียมเหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญบาทมาอย่างเต็มกระเป๋าต้อมยืนรอคิวหน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ เขาเสียเวลาไปประมาณสามนาทีกว่าจะได้เข้าไปในตู้โทรศัพท์ เมื่อเข้าไปในตู้โทรศัพท์เขารีบยกหูโทรศัพท์ทันที พร้อมหยอดเหรียญใส่อย่างรวดเร็ว รอปลายสายด้วยใจระทึกแต่ไม่มีคนรับ เขาโทรอยู่สองสามรอบยังเหมือนเดิม“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ” ต้อมบ่นพึมพำแล้วพลันเห็นคนยืนรอต่อคิวสองคนด้วยความเกรงใจต้อมจึงหยิบเบอร์เพจเจอร์ และรีบโทรไปทันทีเพื่อส่งข้อความหาคงเดช เวลาไม่นานคอลเซนเตอร์รับทันที ต้อมจีงรีบบบอกข้อความที่จะส่งอย่างรวดเร็วเพราะเกรงใจคนยืนรอคิว“พุร่งนี้เราไปหากรมป่าไม้ได้ไหม หรือไม่ส่งข้อความกลับ xxxxxxxx จากต้อม” ต้อมรีบวางโทรศัพทันทีและรีบออกจากตู้โทรศัพท์อย่างไวต้อมนอนรอข้อความทางเพจเจอร์จนหลับไป เพราะไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด จนกระทั่งเช้ายังไม่มีข้อความเข้ามา ด้วยความคิดถึงและอยากบอกความในใจเข
ต้อมโหยหาคิดถึงความหวังครั้งเก่าก่อน มือน้อยๆ จึงเอื้อมไปที่ชั้นหนังสือเพื่อหยิบอัลบั้มรูป ซึ่งภาพส่วนมากจะเป็นเพื่อนๆ ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยซะมากกว่า และภาพแรกที่เห็นเป็นภาพรับปริญญา จึงทำให้ต้อมนั้นอดคิดถึงวันนั้นไม่ได้อีกครา เขาจึงเงยหน้าหลับตาและลืมขึ้น เพื่อมองภาพตรงหน้าและหวนคิดถึงวันวานหลังจากหมดสัญญาจ้างต้อมไม่ต้องการต่อสัญญา เพราะทนความเย็นชาและโดนกลั่นแกล้งจากก้องไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อหมดสัญญาและเป็นช่วงจังหวะเดียวกับรับปริญญา ต้อมจึงถือโอกาสพักผ่อนและได้ไปเพชรบูรณ์เพื่อซ้อมรับปริญญา ในตอนแรกต้อมกะจะพักบ้านแหวน แต่เกรงใจเนื่องด้วยแหวนมีแฟนแล้ว แหวนจะชักชวนอย่างไรต้อมก็ไม่ยอมและต้องการพักที่โรงแรมไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักเพียงก้าวเท้าเข้ามาในมหาวิทยาลัยใจชุ่มชื่นทันที เพราะเหมือนได้ย้อนวัยเป็นวันนาน เขาเดินไปเรื่อยๆ ต่างเจอรุ่นน้องที่มาแสดงความยินดี เจอเพื่อรุ่นเดียวกันต่างหยุดพูดคุย อย่างสนุกสนานมีความสุขกันทั่วทุกคน ในระหว่างรอการซ้อมต้อมได้นั่งอยู่ในกลุ่มของแหวนและปิ่นส่วนจืดนั้นไม่มาในงานครั้งนี้ด้วย“เสียดายเนาะจืดไม่ได้มาด้วย” ต้อมเอ่ยขึ้น“จะมาได้ไง หาเงินแต่งเมียอยู่
หลังจากอกตรมระทมจิตใจอย่างปวดร้าว เมื่อคงเดชไม่ได้มาตามสัญญาที่ให้ไว้ ต้อมจึงกลับบ้านอย่างไร้ความหวัง แต่ยังมีสิ่งที่ต้อมต้องเตรียมตัวเพื่อความภาคภูมิใจของพ่อแม่ นั่นคือวันรับปริญญาที่กรุงเทพ เขาจึงพยายามสลัดความเศร้าทุกข์นั้นทิ้งไปให้หมดต้อมเดินทางมากรุงเทพเพื่อรับปริญญาและหางานทำต่อจากเสร็จพิธี เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหางานทำในกรุงเทพต่อจากนี้ ซึ่งระหว่างรับปริญญาต้อมได้เห็นคงเดชอยู่เหมือนกัน แต่มากับครอบครัว ต่างคนต่างไม่ได้ใคร่สนใจนัก อย่าว่าแต่คงเดชเลยแม้แต่แหวน จืด โบ้ หรือคนอื่นๆ ยังไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไร จนพิธีรับปริญญาเสร็จสิ้นจึงมีโอกาสได้พบปะกันอีกครั้งเมื่อต้อมถ่ายรูปกับครอบครัวเสร็จสิ้น เขาจึงเดินมาหาเพื่อนๆ เพื่อถ่ายรูปหมู่และคู่ หรือกระทั่งถ่ายเดี่ยว ต่างยิ้มแย้มให้กันด้วยความสุขสันต์“ต้อม คงเดช ถ่ายรูปคู่กันหน่อย” แหวนจัดการให้เสร็จสรรพ เพราะออกจะรำคาญต้อมที่เขินอาย ไม่กล้าทำอะไรสักอย่างคงเดชเดินเข้ามาใกล้ๆ ต้อมและมีรอยยิ้มให้อย่างสดใจ ส่วนต้อมยังทำหน้านิ่งๆ โกรธอยู่ที่โดนทิ้งไว้ในโรงแรม“คืนก่อนเราขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้ไปตามนัด เราเมามากไอ้โบ้น่ะสิชวนเราต่อยาวเลย”“
ต้อมทำใจเรื่องคงเดชอยู่หลายวัน จนเริ่มคลายความคิดถึงได้บ้าง เขาจึงซื้อหนังสืองานด่วนแล้วมาเลือกหางานที่ตัวเองต้องการทำ ต้อมติ๊กไว้สี่ห้าที่หลากหลายตำแหน่ง เขากะว่าจะไปสมัครให้ครบทุกที่ในวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้จัดแจงซื้อเสื้อกางเกงรองเท้าหนัง ถ่ายรูปสองโหล ถ่ายรูปบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านหลายสิบแผ่น พร้อมกับซื้อแฟ้มเอกสารอย่างดีเตรียมออกล่าหางานในวันพรุ่งนี้ถึงเวลาเช้าวันใหม่ต้อมรีบออกเดินทางแต่เช้า เพราะกลัวรถติดถึงแม้จะไม่ชำนาญทางแต่ต้อมพยายามใช้ปากให้เป็นประโยชน์ถามไถ่เส้นทางที่จะไป ถ้าไกลขึ้นรถเมล์ที่ไหนใกล้หน่อยก็จะเดินไปงานแรกที่ต้อมสมัครเป็นพนักงานคลังสินค้า รับปริญญาตรีทุกสาขา ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ทำงาน ด้วยอยู่ใกล้ที่พักต้อมจึงสมัครงานตำแหน่งนี้ก่อน พอไปถึงคนมาสมัครเยอะมากแค่เขียนใบสมัครและเข้าอบรมทันที ต้อมดีใจอย่างมากเขาเลยเข้าไปในฟังอบรมทันที โดยในห้องอบรมมีประมาณยี่สิบกว่าคนต้อมตั้งใจฟังเพราะอยากได้งานทันที พอฟังไปยิ่งทะแม่งเพราะให้ขายสินค้าและหาสมาชิก อธิบายตัวสินค้าสองสามนาที ที่เหลืออธิบายหาสมาชิกมาร่วมทีมหลายสิบนาที หลังจากนั้นแนะนำคนที่ทำธุรกิจนี่ประสบความสำเร็จ
ต้อมได้เก็บผักที่อยู่ในสวนมาขายในตลาดนัดทุกวันเสาร์อาทิตย์ ขายดีบ้างไม่ดีบ้างเพราะคนขายดูท่าจะมากกว่าคนซื้อ ระหว่างนั่งจัดผักเล็กๆ น้อยๆ อยู่นั้น สองแม่ลูกคู่หนึ่งเดินเข้ามาทัก“ต้อม ขยันจังเลยเอาผักมาขายเยอะซะด้วย” ส้มภรรยาของอาคมเพื่อนรักทักทายทันทีเมื่อได้พบเจอ โดยมีอาคารลูกชายมาช่วยถือของอยู่ไม่ห่าง“อยู่ว่างๆ หารายได้พิเศษดีกว่าอยู่เฉยๆ เอาผักไปกินบ้างดีกว่านะ” ต้อมหยิบผักบุ้ง บวบ ยัดใส่ถุงให้สองแม่ลูก“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา เกรงใจ” ส้มปฏิเสธพัลวัน“ไม่เป็นไรหรอกที่บ้านมีอยู่เยอะ ถ้าไม่รับโกรธจริงๆ ด้วยนะ”“ได้ ลูกรับของอาไว้สิ อืม เดี๋ยวเราไปซื้อของตรงโน้นก่อนนะ อาคารลูกก็อยู่เป็นเพื่อนอาเขาด้วยก็แล้วกัน”“ครับแม่”เมื่อส้มเดินจากไป อาคารเข้ามานั่งใกล้ๆ ต้อม ส่วนต้อมขยับตัวห่างออกไปเล็กน้อย เพื่อให้อาคารนั่งได้สะดวก“อานี่ขยันจริงๆ เลย”“ทำไงได้ กลับมาอยู่บ้านแล้วมีอะไรก็ต้องทำ เพื่อได้เงินมาใช้จ่ายนั่นแหละ” ต้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียวในบัญชี“ชีวิตคนเราก็แบบนี้หนอ มีทุกข์มีสุขปนกันไป” อาคารถอนหายใจเฮือกใหญ่“เป็นอะไรดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรเลย” ต้อมร
ต้อมนั่งคิดถึงเหตุการณ์รักครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว ก่อนที่จะกลับมาอยู่บ้าน หลังจากวันนี้ด้วยความอับอายและพ่อกับแม่ที่แก่ชรามากแล้ว ต้อมจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างได้กลับมายังบ้านเกิดของตัวเอง ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินในส่วนมะม่วงของตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกขานดังมาแต่ไกลต้อมจึงลุกขึ้นยืนมองตรงใต้ต้นมะม่วง ซึ่งคนที่เดินมาหาไม่ใช่ใครอื่นเป็นเพื่อนรักนั่นเอง “อาคมนี่เองนึกว่าใครมาหาเราถึงที่นี่เลย”ต้อมยิ้มให้อย่างใคร่ยินดี “ปัก ปัก ปัก”อาคมรัวหมัดใส่ใบหน้าของต้อมไม่ยั้งจนล้มลงกองนอนกับพื้น “นายต่อยเราทำไมอาคม”ต้อมใช้มือกุมปากไว้ที่เลือดออกมานองอุ้งมือ “ไอ้ต้อมกูรักมึง ถึงมึงจะเป็นอย่างไรแบบไหนก็รักมึงแบบเพื่อน ไม่เคยรังเกียจมึงเลยแม้แต่น้อย ทำไมมึงทำกับกูได้ลงคอ”อาคมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เราไปทำอะไรให้นาย”ต้อมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน “มึงยังมีหน้ามาพูดอีก เมื่อคืนมึงทำอะไรลูกกู”เมื่ออาคมพูดจบก็หันหน้าไปทางอื่น “อ่อ เมื่อคืนอาคารมานอนกับเราเอง”ต้อมพูดพาซื่อ “เพลี้ยะ
สองสามวันมานี้เรื่องราวของต่อและต่อมไมได้มีปัญหาอะไร เพราะต้อมไม่ได้ให้เงินต่อแม้แต่บาทเดียว จึงเป็นเหตุให้ต่อไม่สามารถที่จะไปเมาที่ไหนได้อีก แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงด้วยที่ต่อยังไม่ได้งานทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมาตกที่ต้อมทั้งหมด ในค่ำคืนนี้ทั้งต่อและต้อมต่างนอนนิ่งไม่คุยกันเท่าไรนัก แต่ในความรู้สึกของต้อมในตอนนี้ก็รู้สึกที่ดีด้วยต่อไม่ได้เมามาย เพราะทำให้สบายใจนอนอิ่มหลับสนิทมาหลายคืน แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายอะไรกันอย่างครั้งก่อนๆหน้านี้ “ไม่ได้ดื่มเหล้ามันเลยทำให้มีอารมณ์”ต่อเอ่ยขึ้นแล้วมองหน้าต้อมด้วยความใคร่อยากขึ้นมา “แล้วไง”ต้อมพูดขึ้นลอยๆถึงแม้จะอยากมีอะไรกับต่อ “ไม่อยากเหรอ” “ไม่อยาก” “แต่เราอยาก” “ก็ทำเองสิ” “อยากให้นายทำได้ไหม ถือว่าให้ของขวัญเราที่ไมได้เมา และ อีกอย่างพรุ่งนี้เราจะไปหางานแล้วนะ” “ให้ทำอะไร” ต้อมพูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต่อต้องการให้ทำอะไร แต่ก็แกล้งไปอย่างนั้นเพื่อให้ชีวิตมีสีสัน สายตาของต้อมจึงได้เหล่ไปมอง แล้วก็เห็นในสิ่งที่เคยเห็นเป
ค่ำคืนดึกดื่นเงียบสงัดต้อมได้ยินเสียงสุนัขที่บ้านเห่า จึงแอบส่องทางหน้าต่าง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นอาคารลูกชายอาคมที่เป็นเพื่อนสมัยเรียน “อาต้อมครับเปิดประตูให้ผมหน่อย” ต้อมไม่สามารถที่จะให้อาคารอยู่หน้าบ้านได้เพียงลำพัง จึงได้เดินออกไปเปิดประตูเพื่อสอบถามทำไมมาตอนดึกขนาดนี้ เมื่อต้อมเดินไปถึงก็ได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจตรงหน้า “มีอะไรเหรอ” “เดี่ยวค่อยบอกผมขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม ยุงกัดผมจนคันไปหมดแล้วครับ” ต้อมไม่สามารถที่จะปฏิเสธเหตุการณ์และคำของจากอาคารได้ จึงเปิดประตูให้เข้ามาอย่างง่ายดายและพาขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง “ห้องอาต้อมใหญ่จังเลย ใหญ๋กว่าห้องผมที่บ้านพ่ออีก”ต่อนั่งลงบนเตียงนอน เพราะที่ห้องของต้อมไม่ได้มีเก้าอี้ไว้ให้นั่งแต่อย่างใด “มาหาอามีธุระอะไรหรือเปล่า ดึกดื่นขนาดนี้แล้วมาอย่างไงเนี่ยไม่เห็นมีรถเลย อ้าว กระเป๋าเสื้อผ้าด้วยยังไม่ได้กลับบ้านเหรอ”ต้อมมีท่าทีตกใจพอสมควร “ถามผมหลายอย่างเลยจนผมไม่อยากจะตอบอะไรสักอย่าง แต่ในเมื่ออาต้อมถามผมก็จะตอบให้หมดอาต้อมจะได้ไม่คาใจในตัวผมไงครับ”
ด้วยเหตุที่ต่อได้พักงานหลายวันจึงถูกให้ออก สาเหตุนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักเท่าไร เพราะมีเหตุร้ายแรงกว่านี้อีก ด้วยต่อได้เมามายไปทำงานจึงเกิดภาพที่ดูไม่ดีหลายครั้ง ทางนายจ้างจึงต้องตัดใจเลิกจ้าง เพราะด้วยความประพฤตินั้นเกินเยียวยา “เราบอกนายหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกดื่มเหล้า เห็นไหมโดนไล่ออกจากงานต่อไปจะทำอย่างไรล่ะ”ต้อมนั่งลงบนเตียงด้วยอารมณ์กลัดกลุ้ม ส่วนต่อนั้นหากลุ้มใจไม่นอนเล่นโทรศัพท์มือถือย่างสบายใจสบายอารมณ์ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรแม้แต่น้อย “เอาน่า ตอนนี้ถือว่าพักผ่อนเดี๋ยวเราก็ออกไปหางานเองนั่นแหละนายไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” “ให้มันจริงเถอะ”ต้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” ต้อมไม่อยากจะพูดอะไรต่อไปอีก เรพาะขืนพูดอาจมีปากเสียงกันได้ และอีกอย่างหนึ่งไปกดดดันคนตกงานมันก็เป็นอะไรที่ดูไม่ค่อยดี ด้วยเป็นครั้งแรกที่ต่อไม่ได้ทำงานซึ่งแต่ก่อนหน้านี้ขยันไปทำงานทุกวัน ได้เงินมาก็แบ่งให้ใช้จ่าย ไม่เหมือนตอนนี้แม้แต่เงินก็ไม่มีให้ต้อมแม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้อยู่กินกับต้อมทั้งนั้น “อืม” “ดีมากที่รัก ขอเง
ความรักของต้อมกับต่อคืบหน้าไปได้พอสมควร ต่างรักใคร่กันมีอะไรเผื่อแผให้แก่กันไม่ขาด แต่มีอยู่สิ่งที่หนึ่งต้อมเริ่มรู้สึกระอาในเมื่อใจยังรักจึงต้องทน ถึงค่ำคืนต่อจะเมามายไม่มีวันหยุดพักเช่นเดียวกันกับตอนนี้ “เมื่อไรนายจะเลิกดื่มเหล้าซะที นายดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องเหล้า”ต้อมนั่งบนเก้าอี้มองต่อนอนเกือกกลั้วกองกับพื้น “ใครเมา อย่ามาพูดแบบนี้นะ”ต่อพยายามลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหาต้อม พร้อมกับลากขึ้นไปบนเตียงนอน “ปล่อยนะเราเหม็นเหล้า”ต้อมดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดของต่อ “อ่อ เดี๋ยวนี้รังเกียจเรามากเลยนะ” “เปล่า แต่นายเมาเกินไป”ต้อมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายแต่ในเมื่อยังรักอยู่ จำใจต้องฝืนทนต่อไปอีก “ได้เลย ถ้างั้นคืนนี้นายอยู่คนเดียวก็แล้วกัน เราจะออกไปเที่ยวข้างนอก” เมื่อต่อพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป อย่างไม่เหลียวหลังมามองต้อมแม้แต่น้อย จนต้อมได้แต่ถอดถอนหายใจถึงแม้จะรู้สึกสบายกายและใจเมื่อได้อยู่คนเดียว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับต่อ เพราะไปในสภาพเมามายอย่างนั้น แต่ต้อมก็พยายามทำใจแข็งฝืนทนความคิด
พักหลังอาคารได้มาหาต้อมบ่อยๆบางครั้งก็อยู่ทั้งวันกว่าจะได้กลับใช้เวลานานพอสมควร วันนี้เช่นเดียวกันเป็นวันอาทิตย์ซี่งอาคารต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพ แต่ยังไม่วายแวะเวียนเข้ามาหาต้อมอยู่ก่อนจากไปอีกหลายวัน “มาหาอาทำไมแต่เช้า วันนี้ไม่ไปกรุงเทพเหรอ”ต้อมนั่งลงตรงหน้าอาคารซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วตรงเรือนชานหน้าบ้าน “วันนี้ผมจะไปแล้วไง ก็อยากมาเห็นหน้าอาต้อมสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ”อาคารยิ้มอย่างมีความสุข “มันก็ดี เดี๋ยวไปไม่ทันรถหรอกจะทำไง” “ถ้าไปไม่ทันก็มาอยู่กับอาต้อมไงครับ” “จะมาอยู่กับอาได้ไงบ้านของอาคารก็มี” “อยู่กับพ่อกับแม่ไม่เหมือนอยู่กับอาต้อมเลย ผมอยู่กับอามีความสุขมากที่สุด อยากหยุดเวลาทั้งหมดไว้ที่นี่” “พูดเป็นนิยายไปได้ คนเราต้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบนะอาคาร อย่าเอาชีวิตมายึดติดกับอาเลย” สาเหตุที่ต้อมพูดเช่นนี้ออกไป เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่อาคารได้ทำให้นั่น สามารถบอกได้เป็นลางๆว่าคิดเช่นไร แต่ยังเผื่อใจว่าอาจคิดไปเองบ้างนิดหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ต้อมจึงไม่อยากที่จะให้มีความสัมพันธ์มากไปกว่
ค่ำคืนนี้อีกเช่นเคยต้อมได้มารอการกลับห้องของต่อ รอมาเนิ่นนานจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มา ต้อมทนไม่ไหวจนกินข้าวคนเดียวที่เหลือเททิ้งหลังจากนั้นเข้านอนในทันที แล้วมาตกใจตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ช่วงแรกต้อมขึ้เกียจไปเปิดแต่ในเมื่อนานเข้าก็เกรงใจข้างห้องจึงได้ตัดสินใจไปเปิดประตูห้อง เมื่อแง้มประตูออกไปต่อก็ผลักประตูเข้ามาในทันที หลังจากนั้นอุ้มร่างของต้อมไว้ในอ้อมแขน เดินพาไปยังเตียงนอนค่อยๆวางอย่างทะนุถนอม เพียงชั่วอึดใจเสื้อกางเกงของต่อหลุดจากเรือนร่างไม่มีเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว เห็นเพียงแต่ท่อนเอ็นที่ตั้งชูสง่า “นายจะทำอะไร”ต้อมเอ่ยขึ้นแต่ไม่ลุกไปไหน ถึงแม้กลิ่นเหล้าจะฟุ้งไปทั่วห้อง “ทำในสิ่งที่เราอยากทำไง” ต่อไม่พูดอะไรจากนี้อีกต่อไป เขาได้ขึ้นไปบนเตียงและนอนทาบทับเรือนร่างของต้อม พร้อมกับจับสองมือให้อยู่เหนือศรีษะ หลังจากนั้นก้มหลงไซร้ซอกคออย่างบ้าคลั่งกระหายในรักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ริมฝีปากซุกซอนไซอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ให้มีพื้นที่เหลือแต่อย่างใด ช่วงแรกต้อมขัดขืนเล็กน้อยก่อนปล่อยกายปล่อยใจให้เตลิดตามไปอย่างง่
ในระหว่างที่ต้อมกำลังนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน หลังจากหาข้าวหาน้ำให้พ่อแม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นหน้าที่ได้ทำเป็นประจำหลังจากกับมาอยู่บ้าน โดยมีพี่คอยส่งเงินมาให้ใช้ในการดูแลพ่อแม่ และด้วยยังมีเวลาว่างจึงได้หางานเล็กๆน้อยหารายได้เสริมไว้ยามแก่เฒ่าชราภาพ “อาต้อม”เสียงของอาคารดังมาก่อนที่ตัวจะมาถึง ต้อมหันไปมองตามเสียงที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นใครไม่ได้นอกจากอาคารลูกชายเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาหาต้อมยังใต้ถุนบ้าน “เอ้ามาหาอามีธุระอะไรเหรอ” “คิดถึงอาต้อมจะมาหาไม่ได้เลยเหรอ”อาคารนั่งลงบนแคร่ไม้ซึ่งอยู่ไม่ห่างต้อมเท่าไรหนัก “ได้ ใครไปว่าอะไร คิดถึงอย่างเดียวหรือว่ามีเรื่องแฟนมาปรึกษาด้วยหรือเปล่า”ต้อมวางมือถือลงไว้ข้างๆตัวเพื่อจะได้คุยกับอาคารอย่างสะดวก “แฟนอะไรกัน ตอนนี้ผมเลิกหมดแล้วเบื่อมีแฟนรุ่นเดียวกัน”อาคารถอนหายใจออกมา “เพื่อนที่มหาวิทยาลัยไม่มีเหรอ” “เบื่อมากๆครับรุ่นเดียวกัน” “แหม เบื่ออีกแล้ว ถ้างั้นก็ตั้งใจเรียนอย่างเดียวก็พอเดี๋ยวถึงเวลามันมาเองอยู่แล้วเรื่องแบบนี้”ต้อมมองอาคารด้วยสาย
วันหยุดสุดสัปดาห์ต้อมไมได้ออกไปเที่ยวไหน ได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในห้องอย่างเดียวดาย ด้วยเพื่อนที่คบกันมาตอนอยู่ร้านอาหารได้ห่างหายกันไปตามกาลเวลา เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ ซึ่งได้สร้างความเหงาขาดคนพูดคุย จึงได้แต่ดูทีวีวนมาวนไปอยู่หลายรอบในช่องที่พึ่งเพิ่มมาใหม่หลายช่องในยุคดิจิตอล “ก๊อก ก๊อก ก๊อก”เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ต้อมรู้สึกดีใจอย่างมากเพราะในความคิดว่าต้องเป็นเพื่อนที่ห่างหายกันไปนานอย่างแน่นอน ความคิดกับการกระทำไปพร้อมกัน รีบเดินไปยังประตูห้องเพื่อเปิดดูว่าเป็นใครกัน “สวัสดีครับ”ต่อหนุ่มข้างห้องยืนนิ่งพร้อมอมยิ้ม “ครับ”ต้อมรู้สึกผิดหวังที่ไม่ใช่เพื่อนแต่ก็ดีใจที่ได้เจอชายหนุ่มข้างห้อง “เราพึ่งย้ายมาจากจังหวัดอื่น ได้ซื้อของฝากมาด้วย”ต้อมยื่นผลไม้รวมกวนให้ต้อม “ขอบใจนะ”ต้อมยิ้มให้อย่างยินดี “เราเหงาๆเข้าไปคุยด้วยกันได้ไหม” “ได้สิ”ต้อมยิ้มอย่างยินดี เพราะช่วงนี้กำลังเหงาอยู่เหมือนกัน เมื่อต่อได้เข้ามาในห้องของต้อมก็รู้สึกว่าห้องนี้ดีกว่าของตัวเองอย่างมาก อย่างแรกเรื่องความสะอ