วันแรกของการทำงานจังหวัดใกล้เคียงในพิษณุโลก ซึ่งต้อมขึ้นรถไฟไปกลับและยังพักอยู่ที่บ้านเช่นเคย เป็นงานทั่วๆ ของกรมอุตสหกรรมจังหวัด สัญญาจ้างหนึ่งปีลูกจ้างชั่วคราว ในช่วงเวลานี้ต้อมยังไม่อยากไปทำงานที่ไหนไกล เขาจึงอยู่แถวๆ ไม่ไกลบ้านนัก
ก่อนที่ต้อมจะเริ่มทำงาน ได้เข้าอบรมอยู่ครึ่งวันกับเพื่อนใหม่สิบคน ช่วงบ่ายต้อมจึงได้เข้าทำงานอย่างเต็มตัวกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานมาก่อน ต้อมค่อยๆ เดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานของรุ่นพี่อย่างช้าๆ ด้วยความประหม่าและกลัวบ้างพอสมควร
“สวัสดีครับพี่” ต้อมยืนตรงหน้ารุ่นพี่
“อ้าว น้องต้อม” ก้องเงยหน้าขึ้น มีสีหน้าประหลาดใจและดีใจในคราเดียวกัน เขายังจำเด็กหนุ่มรุ่นน้องหน้าตาน่ารัก ในหอพักชายได้ไม่มีวันลืม
“พี่ก้อง” ต้อมยิ้มอย่างยินดี เพราะรู้สึกดีใจอย่างมาก เนื่องด้วยจะได้ทำงานอย่างสบายใจไม่ต้องกังวลสิ่งใด
“โชคดีมากเลยนะ แต่อย่าพึ่งคุยกันเลย เดี๋ยวหัวหน้าว่ามาเริ่มทำงานกันดีกว่า”
“ครับพี่”
ช่วงเวลาครึ่งวันที่เหลือ ต้อมได้รับการสอนงานจากก้องอย่างเต็มที่ ในส่วนตัวของต้อมรับอย่างเต็มใจ ไม่เข้าใจตรงไหนถามไถ่อย่างถี่ถ้วน ในเมื่อผู้สอนเต็มใจขนาดนี้ ทั้งสองจึงทำงานกันอย่างมีความสุขจนเลิกงาน
“ต้อมกลับอย่างไงและพักที่ไหน อยู่พิจิตรไม่ใช่เหรอ” ก้องเก็บข้าวของบนโต๊ะไว้อย่างเป็นระเบียบ
“ไม่ไกลหรอกครับ ผมขึ้นรถไฟมาตื่นเช้าหน่อยกลับค่ำบ้างไม่เป็นไรหรอก”
“ต้อมเหนื่อยแย่ ถ้าเหนื่อยไม่ไหวมาพักกับพี่ก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ทำไมพี่ก้องมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“พี่สอบบรรจุติดที่นี่ไง ก็เลยต้องมาทำที่นี่สักพักถ้ามีตำแหน่งว่าง พี่จะกลับไปทำงานแถวบ้านตอนนี้อยู่ไปก่อน” ก้องเก็บข้าวใส่กระเป๋าของตัวเอง
“ดีจัง งานพี่มั่นคงผมแค่ลูกจ้างชั่วคราว” ต้อมเก็บข้าวของใส่กระเป๋าไว้เหมือนกัน
“เอาน่าอย่าไปคิดอะไรมาก สักวันคงจะสมหวังเชื่อพี่ ตอนนี้กลับกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันรถนะ ว่าแต่บ้านต้อมมีโทรศัพท์ไหม พี่จะได้โทรหาบ้างตอนกลางคืนถ้าเกิดพี่รู้สึกเหงาๆ นะ”
“ไม่มีครับ มีแต่เพจเจอร์”
“เพจเจอร์ก็ได้”
ต้อมบอกเบอร์เพจเจอร์แก่ก้องเสร็จ หลังจากนั้นก้องก็พาหนุ่มรุ่นน้องไปยังสถานีรถไฟ ช่วงแรกก้องจะอยู่เป็นเพื่อนแต่โดนห้ามไว้ เพราะรถไฟนั้นเสียเวลาทีป็นชั่วโมง ต้อมไม่อยากให้ก้องเสียเวลานั่งคอยเป็นเพื่อน
“พี่ยังไม่อยากไปเลย พี่อยากคุยกับต้อมนานๆ กว่านี้ วันเสาร์มาเที่ยวหาพี่ได้ไหม พี่จะได้พาเที่ยวพิษณูโลก”
“เอ่อ” ต้อมอ้ำอึ่ง
“อย่าปฏิเสธพี่สิ เมื่อก่อนตอนอยู่ในหอ ต้อมก็ไม่ค่อยอะไรกับพี่เลย พี่อุตส่าห์ไปหาถึงห้อง อยากจะนอนด้วยก็ไม่ให้นอน พี่ตามตื๊อต้อมอยู่ตั้งนานจนสุดท้ายพี่เรียนจบก่อน”
“คนเยอะพี่ก้องพูดอะไรอย่างนั้นล่ะ อายคนรอบข้างเขาใครเดี๋ยวใครมาได้ยิน” ต้อมมองซ้ายขวาด้วยกลัวคนรู้จักมาพบเห็นและได้ยิน
“ถ้าไม่อยากให้ใครได้ยิน วันเสาร์นี้มาหาพี่ที่ห้องได้ไหม เพราะอย่างไงพี่ดูแลต้อมดีตลอดเลยตั้งแต่ตอนแรกที่เจอกัน จนถึงตอนนี้ต้อมยังไม่เห็นความดีของพี่อีกเหรอ”
“อย่างงั้นก็ได้ วันเสาร์นี้เจอกัน”
เมื่อต้อมรับปากก้องเขาก็เดินไปยังชานชาลา เพราะได้ซื้อตั๋วเดือนไว้แล้วจะได้ไม่ต้องรีบเร่งมาก และต่อแถวคิวรอนาน เพราะคนค่อนข้างใช้บริการรถไฟเยอะพอสมควร
ช่วงดึกต้อมนอนยิ้มดีใจได้เจอก้อง เพราะเขาหวั่นวิตกว่าจะกลัวเจอพี่เลี้ยงสอนงานเข้ากันไม่ได้ ด้วยนิสัยท่าทางหลายอย่างหลายคนดูดออกอย่างแน่นอนว่าเป็นแบบไหน ต้อมจึงกลัวไม่เป็นที่พอใจของรุ่นพี่ เมื่อได้มาเจอก้องเขาจึงรู้สึกอิ่มใจและมีกำลังทำงานในวันต่อๆ ไป ในระหว่างที่กำลังนอนคิดอะไรเพลินๆ เสียงเพจเจอร์ดังขึ้นมาทันที
“หลับฝันดีคิดถึงพี่ด้วยนะ” จากก้อง
ต้อมไม่ได้แปลกใจอะไร เมื่อได้เจอข้อความแบบนี้ เพราะตอนอยู่ในหอพักชายก้องมาแนวนี้ตลอดจึงเป็นอะไรธรรมดามากสำหรับต้อม ด้วยคืนนี้อารมณ์ดีอย่างมาก ต้อมจึงเปิดวิทยุฟังเพลงไปเรื่อยๆ ภายในห้องแคบๆ ของเขา
“ต่อไปเป็นช่วงเวลาขอเพลงแล้วนะครับ ใครอยากขอเพลงให้ใครโทรมาได้เลยครับ”
“ฮัลโหล สวัสดีครับ คืนนี้จะขอเพลงให้ใครครับ”
“ขอเพลง ไม่อาจเปลื่ยนใจ ให้คนเคยเรียนมหาวิทยาฟ้าครามครับ จากพี่ก้องรุ่นพี่”
“ทำไมขอเพลงนี้ครับ”
“อยากบอกว่าวันนั้นถึงวันนี่ พี่ยังไม่เปลื่ยนใจไปจากน้องรักของพี่เลย”
“ถ้างั้นได้เลยครับ มาฟังเพลงไม่อาจเปลื่ยนใจกันเลยครับ”
พอเสียงเพลงดังขึ้นต้อมตั้งใจฟัง เพราะเป็นแนวเพลงที่ชอบอยู่เหมือนกัน แต่เขาอดคิดไม่ได้ว่าทำไมก้องถึงต้องของเพลงนี้ให้เขาด้วย ลึกๆ แล้วต้อมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะพฤติกรรมหลายอย่างบ่งบอกว่าก้องคิดเช่นนั้น ต้อมถึงกับฟังไปยิ้มไปและตลกในความกล้า”
เมื่อต้อมฟังเพลงจบเขาปิดวิทยุทันที เพราะในคืนนี้กะจะเขียนจดหมายหาเพื่อนรักอย่างแหวน เพราะตั้งแต่จบมาไม่ได้ติดต่อกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“สวัสดีแหวนเพื่อนรัก
ตอนนี้เป็นไงบ้าง ทำงานที่ไหน ส่วนเราทำงานกรมอุตสกรรมจังหวัด คิดถึงเพื่อนมากเลยวันรับปริญญาคงได้เจอกัน ได้ติดต่อปิ่นบ้างไหม เราไม่ได้โทรไปหาเลย วันหลังว่าจะโทรไปอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้กับจืดเป็นไงบ้าง แต่งงานกันหรือยังก็ไม่รู้ แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน อย่าลืมตอบจดหมายเราด้วยนะ
จาก ต้อม
พรุ่งนี้ต้อมกะว่าจะไปส่งที่ตู้ไปรษณีย์ใกล้ๆ สถานีรถไฟ ซี่งในช่วงเวลานี้ดึกพอสมควร เขายังไม่สามารถข่มตาหลับได้ เพราะในส่วนลึกๆ แล้วยังคิดถึงคงเดชคนรัก ที่ป่านนี้ยังไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนตำบลใด แต่ถึงจะคิดถึงสักปานใด เขาต้องพยายามข่มตาให้หลับ เพื่อไปทำงานต่อในวันพรุ่งนี้ ซึ่งใช้เวลาพักใหญ่ๆ กว่าต้อมจะหลับ
เช้าวันใหม่ต้อมต้องตื่นแต่เช้าไม่ได้กินข้าวปลา เพราะต้องรีบไปขึ้นรถไฟเพื่อทำงาน ถึงแม้ขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้นั่ง ผู้คนเต็มรถไปหมดที่ยืนแท่บจะไม่มี ต้อมต้องใช้มือจับที่โหนไว้ บางทีต้องหลบเจ้าถิ่นแม่ค้าขายของ เพราะจะเดินไม่มีความเกรงใจใครตะกร้าโดนตัวผู้โดยสารคนอื่น แม้แต่คำขอโทษไม่ได้ยิน มีแต่ขอทางหน่อยอย่ายืนขวางทางเดิน
ร่วมชั่วโมงที่ต้อมกว่าจะมาถึงยังสถานีรถไฟปลายทาง เมื่อเดินลงมากำลังจะเตรียมเดินไปรอรถประจำทาง แต่แล้วเขากลับเห็นก้องยืนอยู่ข้างเสาชานชาลา
“พี่ก้อง”
“พี่มารับต้อมไง ถ้ารอขึ้นรถประจำทางจะไปทำงานสายได้”
“พี่ก้องไม่น่าลำบากเลย”
“ไม่ลำบากหรอก แค่นี้พี่ทำได้เพื่อน้องต้อมอยู่แล้ว และอีกอย่างพี่อยู่ที่นี่ไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไรนัก มีต้อมมาอยู่ด้วยพี่มความสุขมาก”
ต้อมมองหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มยืนยิ้ม ในส่วนตัวของเขายิ้มกลับตอบรับไมตรีจิตเช่นกัน
“เมื่อคืนพี่ของเพลงให้ต้อมด้วย ไม่รู้ว่าต้อมได้ยินไหม” ก้องพูดขึ้นแต่ยังมีความอายนิดๆ
“ตอนนี้ทำเป็นอาย แต่เมื่อคืนไม่เห็นอายเลย ได้ยินสิ ขอเพลงไม่อาจเปลื่ยนใจ ต้อมว่าเราเดินคุยกันไปดีกว่า ขืนคุยกันอย่างนี้ไปทำงานสายกันพอดี”
“อืม จริงด้วย”
“เมื่อคืนพี่ก้องคิดอย่างไงขอเพลงให้ต้อมล่ะ” ต้อมแกล้งๆ ถามอยากจะรู้คำตอบว่าเป็นอย่างไร
“เพลงตรงตามความรู้สึกของพี่แล้วนี่ พี่ว่าต้อมน่าจะรู้นะว่าพี่คิดอย่างไรกับต้อมตั้งแต่สมัยเรียน แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างมันไม่สามารถทำให้เดินหน้าต่อไปได้ แต่ตอนนี้สามารถเป็นได้แล้วนี่ พี่จะปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปทำไม” ก้องซ้อนสายตามามองต้อมอย่างแฝงความนัย
เจอคำพูดนี้เข้าไปต้อมไม่รู้จะไปทางไหน เพราะในตอนนั้นและตอนนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกกับก้องเหมือนอย่างก้องรู้สึก แต่อย่างน้อยความรู้สึกดีๆ เริ่มเข้ามาบ้างในช่วงเวลานี้ด้วยที่เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น
“ถามพี่แล้วทำไมเงียบไปเลย อย่าบอกกับพี่อีกนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่ แต่พี่เข้าใจมันยังใหม่อยู่ อีกไม่นานหรอกน้องต้อมจะเห็นความดีของพี่”
“อืม”
ต้อมไม่พูดอะไรต่อได้แต่ยิ้ม แล้วเดินตามก้องไปยังรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อนซ้อนท้ายรถไปทำงาน
วันเสาร์ต้อมมาตามคำสัญญาให้ไว้กับก้อง เป็นไปตามปกติทุกอย่างก้องมารับยังสถานีรถไฟแล้วพาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ จนเกือบบ่าย ก็กลับมายังห้องพักที่ดูเรียบง่าย มีเพียงตู้เย็น ทีวี ตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ อีกเล็กน้อย“ห้องพี่น่าอยู่จังเลย” เมื่อต้อมพูดจบนั่งลงบนเตียงนอนทันที เพราะไม่มีเก้าอี้ให้นั่งหรือไม่อีกอย่างต้องนั่งกับพื้น“ถ้าห้องพี่น่าอยู่ มาอยู่กับพี่เลยก็เลย ตอนเช้าเราก็ไปทำงานด้วยกัน ตอนเย็นเลิกงานมาอยู่ด้วยกัน” ก้องนั่งลงใกล้ๆ“ไม่ดีกว่า เกรงใจพี่ อีกอย่างพี่ ถ้าต้อมมาอยู่ด้วยพี่จะไม่อิสระเท่าที่ควร” สายตาของต้อมมีความประหวั่นกลัวใจของก้อง เพราะสมัยอยู่หอพักชายก้อล่อก้อติดอยู่เป็นประจำ“รังเกียจพี่เหรอ ตั้งแต่อยู่หอพักแล้วชอบหลบหนีพี่อยู่เป็นประจำ” ก้องเริ่มขยับเข้ามาใกล้ๆ ต้อมมากขึ้นพร้อมโอบไหล่“ต้อมไม่ได้รังเกียจพี่ก้องแม้แต่น้อยเลย คือ”“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าไม่ได้รังเกียจพี่ก็ดี พี่จะได้ทำตามใจที่ต้องการนะ”ก้องค่อยๆ ขยับใบหน้ามาทีละนิดๆ เข้ามาใกล้ๆ แก้มของอันขาวผ่องใสเนียน ส่วนก้องค่อยๆ ถอยห่างทีละนิด แต่ความรู้สึกของก้องยังต้องการทำต่อ จึงขยับตามไปครั้งละหน่อย จนกร
ความปากแข็งทำให้ต้อมต้องอยู่เพียงลำพังมีเพียงความเหงาเพิ่มเข้ามา ในพรุ่งนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะไปหาคงเดชยังกรมป่าไม้ ซึ่งเขาไม่แน่ใจจะเจอหรือไม่แต่ยังดีกว่ารออยู่อย่างนี้แบบไม่มีความหวัง ก่อนวันไปได้โทรหาคงเดช โดยเตรียมเหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญบาทมาอย่างเต็มกระเป๋าต้อมยืนรอคิวหน้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ เขาเสียเวลาไปประมาณสามนาทีกว่าจะได้เข้าไปในตู้โทรศัพท์ เมื่อเข้าไปในตู้โทรศัพท์เขารีบยกหูโทรศัพท์ทันที พร้อมหยอดเหรียญใส่อย่างรวดเร็ว รอปลายสายด้วยใจระทึกแต่ไม่มีคนรับ เขาโทรอยู่สองสามรอบยังเหมือนเดิม“ทำไมไม่รับโทรศัพท์นะ” ต้อมบ่นพึมพำแล้วพลันเห็นคนยืนรอต่อคิวสองคนด้วยความเกรงใจต้อมจึงหยิบเบอร์เพจเจอร์ และรีบโทรไปทันทีเพื่อส่งข้อความหาคงเดช เวลาไม่นานคอลเซนเตอร์รับทันที ต้อมจีงรีบบบอกข้อความที่จะส่งอย่างรวดเร็วเพราะเกรงใจคนยืนรอคิว“พุร่งนี้เราไปหากรมป่าไม้ได้ไหม หรือไม่ส่งข้อความกลับ xxxxxxxx จากต้อม” ต้อมรีบวางโทรศัพทันทีและรีบออกจากตู้โทรศัพท์อย่างไวต้อมนอนรอข้อความทางเพจเจอร์จนหลับไป เพราะไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด จนกระทั่งเช้ายังไม่มีข้อความเข้ามา ด้วยความคิดถึงและอยากบอกความในใจเข
ต้อมโหยหาคิดถึงความหวังครั้งเก่าก่อน มือน้อยๆ จึงเอื้อมไปที่ชั้นหนังสือเพื่อหยิบอัลบั้มรูป ซึ่งภาพส่วนมากจะเป็นเพื่อนๆ ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยซะมากกว่า และภาพแรกที่เห็นเป็นภาพรับปริญญา จึงทำให้ต้อมนั้นอดคิดถึงวันนั้นไม่ได้อีกครา เขาจึงเงยหน้าหลับตาและลืมขึ้น เพื่อมองภาพตรงหน้าและหวนคิดถึงวันวานหลังจากหมดสัญญาจ้างต้อมไม่ต้องการต่อสัญญา เพราะทนความเย็นชาและโดนกลั่นแกล้งจากก้องไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อหมดสัญญาและเป็นช่วงจังหวะเดียวกับรับปริญญา ต้อมจึงถือโอกาสพักผ่อนและได้ไปเพชรบูรณ์เพื่อซ้อมรับปริญญา ในตอนแรกต้อมกะจะพักบ้านแหวน แต่เกรงใจเนื่องด้วยแหวนมีแฟนแล้ว แหวนจะชักชวนอย่างไรต้อมก็ไม่ยอมและต้องการพักที่โรงแรมไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักเพียงก้าวเท้าเข้ามาในมหาวิทยาลัยใจชุ่มชื่นทันที เพราะเหมือนได้ย้อนวัยเป็นวันนาน เขาเดินไปเรื่อยๆ ต่างเจอรุ่นน้องที่มาแสดงความยินดี เจอเพื่อรุ่นเดียวกันต่างหยุดพูดคุย อย่างสนุกสนานมีความสุขกันทั่วทุกคน ในระหว่างรอการซ้อมต้อมได้นั่งอยู่ในกลุ่มของแหวนและปิ่นส่วนจืดนั้นไม่มาในงานครั้งนี้ด้วย“เสียดายเนาะจืดไม่ได้มาด้วย” ต้อมเอ่ยขึ้น“จะมาได้ไง หาเงินแต่งเมียอยู่
หลังจากอกตรมระทมจิตใจอย่างปวดร้าว เมื่อคงเดชไม่ได้มาตามสัญญาที่ให้ไว้ ต้อมจึงกลับบ้านอย่างไร้ความหวัง แต่ยังมีสิ่งที่ต้อมต้องเตรียมตัวเพื่อความภาคภูมิใจของพ่อแม่ นั่นคือวันรับปริญญาที่กรุงเทพ เขาจึงพยายามสลัดความเศร้าทุกข์นั้นทิ้งไปให้หมดต้อมเดินทางมากรุงเทพเพื่อรับปริญญาและหางานทำต่อจากเสร็จพิธี เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหางานทำในกรุงเทพต่อจากนี้ ซึ่งระหว่างรับปริญญาต้อมได้เห็นคงเดชอยู่เหมือนกัน แต่มากับครอบครัว ต่างคนต่างไม่ได้ใคร่สนใจนัก อย่าว่าแต่คงเดชเลยแม้แต่แหวน จืด โบ้ หรือคนอื่นๆ ยังไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไร จนพิธีรับปริญญาเสร็จสิ้นจึงมีโอกาสได้พบปะกันอีกครั้งเมื่อต้อมถ่ายรูปกับครอบครัวเสร็จสิ้น เขาจึงเดินมาหาเพื่อนๆ เพื่อถ่ายรูปหมู่และคู่ หรือกระทั่งถ่ายเดี่ยว ต่างยิ้มแย้มให้กันด้วยความสุขสันต์“ต้อม คงเดช ถ่ายรูปคู่กันหน่อย” แหวนจัดการให้เสร็จสรรพ เพราะออกจะรำคาญต้อมที่เขินอาย ไม่กล้าทำอะไรสักอย่างคงเดชเดินเข้ามาใกล้ๆ ต้อมและมีรอยยิ้มให้อย่างสดใจ ส่วนต้อมยังทำหน้านิ่งๆ โกรธอยู่ที่โดนทิ้งไว้ในโรงแรม“คืนก่อนเราขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้ไปตามนัด เราเมามากไอ้โบ้น่ะสิชวนเราต่อยาวเลย”“
ต้อมทำใจเรื่องคงเดชอยู่หลายวัน จนเริ่มคลายความคิดถึงได้บ้าง เขาจึงซื้อหนังสืองานด่วนแล้วมาเลือกหางานที่ตัวเองต้องการทำ ต้อมติ๊กไว้สี่ห้าที่หลากหลายตำแหน่ง เขากะว่าจะไปสมัครให้ครบทุกที่ในวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้จัดแจงซื้อเสื้อกางเกงรองเท้าหนัง ถ่ายรูปสองโหล ถ่ายรูปบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านหลายสิบแผ่น พร้อมกับซื้อแฟ้มเอกสารอย่างดีเตรียมออกล่าหางานในวันพรุ่งนี้ถึงเวลาเช้าวันใหม่ต้อมรีบออกเดินทางแต่เช้า เพราะกลัวรถติดถึงแม้จะไม่ชำนาญทางแต่ต้อมพยายามใช้ปากให้เป็นประโยชน์ถามไถ่เส้นทางที่จะไป ถ้าไกลขึ้นรถเมล์ที่ไหนใกล้หน่อยก็จะเดินไปงานแรกที่ต้อมสมัครเป็นพนักงานคลังสินค้า รับปริญญาตรีทุกสาขา ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ทำงาน ด้วยอยู่ใกล้ที่พักต้อมจึงสมัครงานตำแหน่งนี้ก่อน พอไปถึงคนมาสมัครเยอะมากแค่เขียนใบสมัครและเข้าอบรมทันที ต้อมดีใจอย่างมากเขาเลยเข้าไปในฟังอบรมทันที โดยในห้องอบรมมีประมาณยี่สิบกว่าคนต้อมตั้งใจฟังเพราะอยากได้งานทันที พอฟังไปยิ่งทะแม่งเพราะให้ขายสินค้าและหาสมาชิก อธิบายตัวสินค้าสองสามนาที ที่เหลืออธิบายหาสมาชิกมาร่วมทีมหลายสิบนาที หลังจากนั้นแนะนำคนที่ทำธุรกิจนี่ประสบความสำเร็จ
ต้อมได้เก็บผักที่อยู่ในสวนมาขายในตลาดนัดทุกวันเสาร์อาทิตย์ ขายดีบ้างไม่ดีบ้างเพราะคนขายดูท่าจะมากกว่าคนซื้อ ระหว่างนั่งจัดผักเล็กๆ น้อยๆ อยู่นั้น สองแม่ลูกคู่หนึ่งเดินเข้ามาทัก“ต้อม ขยันจังเลยเอาผักมาขายเยอะซะด้วย” ส้มภรรยาของอาคมเพื่อนรักทักทายทันทีเมื่อได้พบเจอ โดยมีอาคารลูกชายมาช่วยถือของอยู่ไม่ห่าง“อยู่ว่างๆ หารายได้พิเศษดีกว่าอยู่เฉยๆ เอาผักไปกินบ้างดีกว่านะ” ต้อมหยิบผักบุ้ง บวบ ยัดใส่ถุงให้สองแม่ลูก“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา เกรงใจ” ส้มปฏิเสธพัลวัน“ไม่เป็นไรหรอกที่บ้านมีอยู่เยอะ ถ้าไม่รับโกรธจริงๆ ด้วยนะ”“ได้ ลูกรับของอาไว้สิ อืม เดี๋ยวเราไปซื้อของตรงโน้นก่อนนะ อาคารลูกก็อยู่เป็นเพื่อนอาเขาด้วยก็แล้วกัน”“ครับแม่”เมื่อส้มเดินจากไป อาคารเข้ามานั่งใกล้ๆ ต้อม ส่วนต้อมขยับตัวห่างออกไปเล็กน้อย เพื่อให้อาคารนั่งได้สะดวก“อานี่ขยันจริงๆ เลย”“ทำไงได้ กลับมาอยู่บ้านแล้วมีอะไรก็ต้องทำ เพื่อได้เงินมาใช้จ่ายนั่นแหละ” ต้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเขาไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียวในบัญชี“ชีวิตคนเราก็แบบนี้หนอ มีทุกข์มีสุขปนกันไป” อาคารถอนหายใจเฮือกใหญ่“เป็นอะไรดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรเลย” ต้อมร
หลังจากทำงานวันแรกเสร็จทั้งคู่ต่างรีบกลับมายังห้อง เพราะหิวข้าวเนื่องด้วยตอนกลางวันกินไม่ค่อยอิ่มเท่าไร เมื่อมาถึงห้องต้อมเจียวไข่ทันที ส่วนสนหุงข้าวรอสักพักทั้งคู่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้จะเป็นอาหารทั่วไป ทั้งสองกินอย่างเร่งรีบภายในไม่กี่นาทีก็หมดสิ้น หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ผลัดกันอาบน้ำ โดยต้อมจะได้อาบน้ำก่อนเสมอหลังจากนั้นจะเป็นสน เมื่อคู่ชี้เพื่อนรักทำทุกอย่างเสร็จสิ้น จนมานอนคุยกันเช่นเดิมเหมือนทุกวันไม่เปลื่ยนแปลง“วันนี้นายทำงานเป็นไงบ้าง” ต้อมเป็นฝ่ายถามก่อน“ก็ดีนะ พี่ๆ ใจดีทุกคนเลย และ มีคนเข้ามาพร้อมกันด้วย หลายคนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง""เขาน่าจะมีความรู้สึกดีๆ กับสนอยู่บ้างนะเพืีอนใหม่น่ะ""ทำไมเหรอ"สนยิ้ม“แหม ก็ถามเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก”“นายล่ะเป็นไงบ้าง เป็นผู้ช่ายช่างคงมีแต่ผู้ชายมั้ง”“ช่างก็มีแต่ผู้ชายน่ะสิ ผู้หญิงมีนะแต่ไม่ได้ทำงานในแผนกเดียวกันหรอก”“น่ารักๆ อย่างต้อมนี่คงเป็นดาวเลยใช่ไหม เหมือนตอนอยู่หอในมีแต่คนมาหาถึงห้อง ไหนจะเพื่อนร่วมคณะอีกแค่เราไปดูหนังกับนาย ยังมีท่าทีหึงหวงเราเลย” สนเหล่าสายตามองต้อมที่ยังทำหน้านิ่งถึงแม้ต้อมจะมีใจให้สนแล้ว แต่ลึกๆ เมื่อได้ยินอ
ต้อมตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำกับข้าวให้สนกินก่อนไปทำงาน ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากไข่เจียวสองฟอง และในขณะเดียวกันต้อมได้รีดเสื้อกางเกงให้สนอย่างเรียบร้อยแขวนไว้ที่ราวตากผ้า ส่วนรองเท้าขัดจนเงาวับ หลังจากนั้นเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อย เมื่อต้อมทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงไปปลุกสนที่นอนหลับอย่างสบาย“สนตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายหรอก” ต้อมเขย่าร่างของสน“แจ้งแล้วเหรอ วันนี้ขี้เกียจจังเลย นึกว่านายจะต่ออีกรอบหนึ่งตอนเช้า” สนลุกขึ้นนั่งแล้วหยิกแก้มของต้อมอย่างเอ็นดูใคร่รัก“บ้า เมื่อคืนตั้งสองครั้งแล้ว”“มันต้องสามครั้งกำลังดี”“สามครั้งนายต้องไปทำเองที่ห้องน้ำโน้น ไม่ไหวยังเจ็บอยู่เลยนายทำเราแรงเกินไป” ต้อมแกล้งทำหน้างอ“ขอโทษนะ ต่อไปจะทำค่อยๆ อีกอย่างครั้งแรกของนายก็แบบนี้แหละ ทางแก้มีต้องทำบ่อยๆ จะได้ขยายหลวมๆ แต่เมื่อคืนฟิตเป็นบ้าเลย”“ทะลึ่ง ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”“จ๊ะ ที่รัก”สนเรีบลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่าท่อนเอ็นตั้งชูชัน โดยไม่ได้มีความเขินอายอย่างแต่ก่อน จนทำให้ต้อมรู้สึกแปลกใจอย่างมาก“กางเกงก็ไม่ใส่ไม่อายบ้างเลยเหรอ”“จะมาอายอะไร ตอนนี้เราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เห็นกันทุกส่วนแล้วไม่
ต้อมนั่งคิดถึงเหตุการณ์รักครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นหลายปีมาแล้ว ก่อนที่จะกลับมาอยู่บ้าน หลังจากวันนี้ด้วยความอับอายและพ่อกับแม่ที่แก่ชรามากแล้ว ต้อมจึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างได้กลับมายังบ้านเกิดของตัวเอง ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินในส่วนมะม่วงของตัวเองอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกขานดังมาแต่ไกลต้อมจึงลุกขึ้นยืนมองตรงใต้ต้นมะม่วง ซึ่งคนที่เดินมาหาไม่ใช่ใครอื่นเป็นเพื่อนรักนั่นเอง “อาคมนี่เองนึกว่าใครมาหาเราถึงที่นี่เลย”ต้อมยิ้มให้อย่างใคร่ยินดี “ปัก ปัก ปัก”อาคมรัวหมัดใส่ใบหน้าของต้อมไม่ยั้งจนล้มลงกองนอนกับพื้น “นายต่อยเราทำไมอาคม”ต้อมใช้มือกุมปากไว้ที่เลือดออกมานองอุ้งมือ “ไอ้ต้อมกูรักมึง ถึงมึงจะเป็นอย่างไรแบบไหนก็รักมึงแบบเพื่อน ไม่เคยรังเกียจมึงเลยแม้แต่น้อย ทำไมมึงทำกับกูได้ลงคอ”อาคมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “เราไปทำอะไรให้นาย”ต้อมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน “มึงยังมีหน้ามาพูดอีก เมื่อคืนมึงทำอะไรลูกกู”เมื่ออาคมพูดจบก็หันหน้าไปทางอื่น “อ่อ เมื่อคืนอาคารมานอนกับเราเอง”ต้อมพูดพาซื่อ “เพลี้ยะ
สองสามวันมานี้เรื่องราวของต่อและต่อมไมได้มีปัญหาอะไร เพราะต้อมไม่ได้ให้เงินต่อแม้แต่บาทเดียว จึงเป็นเหตุให้ต่อไม่สามารถที่จะไปเมาที่ไหนได้อีก แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงด้วยที่ต่อยังไม่ได้งานทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมาตกที่ต้อมทั้งหมด ในค่ำคืนนี้ทั้งต่อและต้อมต่างนอนนิ่งไม่คุยกันเท่าไรนัก แต่ในความรู้สึกของต้อมในตอนนี้ก็รู้สึกที่ดีด้วยต่อไม่ได้เมามาย เพราะทำให้สบายใจนอนอิ่มหลับสนิทมาหลายคืน แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายอะไรกันอย่างครั้งก่อนๆหน้านี้ “ไม่ได้ดื่มเหล้ามันเลยทำให้มีอารมณ์”ต่อเอ่ยขึ้นแล้วมองหน้าต้อมด้วยความใคร่อยากขึ้นมา “แล้วไง”ต้อมพูดขึ้นลอยๆถึงแม้จะอยากมีอะไรกับต่อ “ไม่อยากเหรอ” “ไม่อยาก” “แต่เราอยาก” “ก็ทำเองสิ” “อยากให้นายทำได้ไหม ถือว่าให้ของขวัญเราที่ไมได้เมา และ อีกอย่างพรุ่งนี้เราจะไปหางานแล้วนะ” “ให้ทำอะไร” ต้อมพูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต่อต้องการให้ทำอะไร แต่ก็แกล้งไปอย่างนั้นเพื่อให้ชีวิตมีสีสัน สายตาของต้อมจึงได้เหล่ไปมอง แล้วก็เห็นในสิ่งที่เคยเห็นเป
ค่ำคืนดึกดื่นเงียบสงัดต้อมได้ยินเสียงสุนัขที่บ้านเห่า จึงแอบส่องทางหน้าต่าง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นอาคารลูกชายอาคมที่เป็นเพื่อนสมัยเรียน “อาต้อมครับเปิดประตูให้ผมหน่อย” ต้อมไม่สามารถที่จะให้อาคารอยู่หน้าบ้านได้เพียงลำพัง จึงได้เดินออกไปเปิดประตูเพื่อสอบถามทำไมมาตอนดึกขนาดนี้ เมื่อต้อมเดินไปถึงก็ได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจตรงหน้า “มีอะไรเหรอ” “เดี่ยวค่อยบอกผมขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม ยุงกัดผมจนคันไปหมดแล้วครับ” ต้อมไม่สามารถที่จะปฏิเสธเหตุการณ์และคำของจากอาคารได้ จึงเปิดประตูให้เข้ามาอย่างง่ายดายและพาขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง “ห้องอาต้อมใหญ่จังเลย ใหญ๋กว่าห้องผมที่บ้านพ่ออีก”ต่อนั่งลงบนเตียงนอน เพราะที่ห้องของต้อมไม่ได้มีเก้าอี้ไว้ให้นั่งแต่อย่างใด “มาหาอามีธุระอะไรหรือเปล่า ดึกดื่นขนาดนี้แล้วมาอย่างไงเนี่ยไม่เห็นมีรถเลย อ้าว กระเป๋าเสื้อผ้าด้วยยังไม่ได้กลับบ้านเหรอ”ต้อมมีท่าทีตกใจพอสมควร “ถามผมหลายอย่างเลยจนผมไม่อยากจะตอบอะไรสักอย่าง แต่ในเมื่ออาต้อมถามผมก็จะตอบให้หมดอาต้อมจะได้ไม่คาใจในตัวผมไงครับ”
ด้วยเหตุที่ต่อได้พักงานหลายวันจึงถูกให้ออก สาเหตุนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักเท่าไร เพราะมีเหตุร้ายแรงกว่านี้อีก ด้วยต่อได้เมามายไปทำงานจึงเกิดภาพที่ดูไม่ดีหลายครั้ง ทางนายจ้างจึงต้องตัดใจเลิกจ้าง เพราะด้วยความประพฤตินั้นเกินเยียวยา “เราบอกนายหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกดื่มเหล้า เห็นไหมโดนไล่ออกจากงานต่อไปจะทำอย่างไรล่ะ”ต้อมนั่งลงบนเตียงด้วยอารมณ์กลัดกลุ้ม ส่วนต่อนั้นหากลุ้มใจไม่นอนเล่นโทรศัพท์มือถือย่างสบายใจสบายอารมณ์ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรแม้แต่น้อย “เอาน่า ตอนนี้ถือว่าพักผ่อนเดี๋ยวเราก็ออกไปหางานเองนั่นแหละนายไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” “ให้มันจริงเถอะ”ต้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” ต้อมไม่อยากจะพูดอะไรต่อไปอีก เรพาะขืนพูดอาจมีปากเสียงกันได้ และอีกอย่างหนึ่งไปกดดดันคนตกงานมันก็เป็นอะไรที่ดูไม่ค่อยดี ด้วยเป็นครั้งแรกที่ต่อไม่ได้ทำงานซึ่งแต่ก่อนหน้านี้ขยันไปทำงานทุกวัน ได้เงินมาก็แบ่งให้ใช้จ่าย ไม่เหมือนตอนนี้แม้แต่เงินก็ไม่มีให้ต้อมแม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้อยู่กินกับต้อมทั้งนั้น “อืม” “ดีมากที่รัก ขอเง
ความรักของต้อมกับต่อคืบหน้าไปได้พอสมควร ต่างรักใคร่กันมีอะไรเผื่อแผให้แก่กันไม่ขาด แต่มีอยู่สิ่งที่หนึ่งต้อมเริ่มรู้สึกระอาในเมื่อใจยังรักจึงต้องทน ถึงค่ำคืนต่อจะเมามายไม่มีวันหยุดพักเช่นเดียวกันกับตอนนี้ “เมื่อไรนายจะเลิกดื่มเหล้าซะที นายดีทุกอย่างยกเว้นเรื่องเหล้า”ต้อมนั่งบนเก้าอี้มองต่อนอนเกือกกลั้วกองกับพื้น “ใครเมา อย่ามาพูดแบบนี้นะ”ต่อพยายามลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหาต้อม พร้อมกับลากขึ้นไปบนเตียงนอน “ปล่อยนะเราเหม็นเหล้า”ต้อมดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมกอดของต่อ “อ่อ เดี๋ยวนี้รังเกียจเรามากเลยนะ” “เปล่า แต่นายเมาเกินไป”ต้อมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายแต่ในเมื่อยังรักอยู่ จำใจต้องฝืนทนต่อไปอีก “ได้เลย ถ้างั้นคืนนี้นายอยู่คนเดียวก็แล้วกัน เราจะออกไปเที่ยวข้างนอก” เมื่อต่อพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป อย่างไม่เหลียวหลังมามองต้อมแม้แต่น้อย จนต้อมได้แต่ถอดถอนหายใจถึงแม้จะรู้สึกสบายกายและใจเมื่อได้อยู่คนเดียว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับต่อ เพราะไปในสภาพเมามายอย่างนั้น แต่ต้อมก็พยายามทำใจแข็งฝืนทนความคิด
พักหลังอาคารได้มาหาต้อมบ่อยๆบางครั้งก็อยู่ทั้งวันกว่าจะได้กลับใช้เวลานานพอสมควร วันนี้เช่นเดียวกันเป็นวันอาทิตย์ซี่งอาคารต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพ แต่ยังไม่วายแวะเวียนเข้ามาหาต้อมอยู่ก่อนจากไปอีกหลายวัน “มาหาอาทำไมแต่เช้า วันนี้ไม่ไปกรุงเทพเหรอ”ต้อมนั่งลงตรงหน้าอาคารซึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้วตรงเรือนชานหน้าบ้าน “วันนี้ผมจะไปแล้วไง ก็อยากมาเห็นหน้าอาต้อมสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ”อาคารยิ้มอย่างมีความสุข “มันก็ดี เดี๋ยวไปไม่ทันรถหรอกจะทำไง” “ถ้าไปไม่ทันก็มาอยู่กับอาต้อมไงครับ” “จะมาอยู่กับอาได้ไงบ้านของอาคารก็มี” “อยู่กับพ่อกับแม่ไม่เหมือนอยู่กับอาต้อมเลย ผมอยู่กับอามีความสุขมากที่สุด อยากหยุดเวลาทั้งหมดไว้ที่นี่” “พูดเป็นนิยายไปได้ คนเราต้องมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบนะอาคาร อย่าเอาชีวิตมายึดติดกับอาเลย” สาเหตุที่ต้อมพูดเช่นนี้ออกไป เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่อาคารได้ทำให้นั่น สามารถบอกได้เป็นลางๆว่าคิดเช่นไร แต่ยังเผื่อใจว่าอาจคิดไปเองบ้างนิดหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ต้อมจึงไม่อยากที่จะให้มีความสัมพันธ์มากไปกว่
ค่ำคืนนี้อีกเช่นเคยต้อมได้มารอการกลับห้องของต่อ รอมาเนิ่นนานจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มา ต้อมทนไม่ไหวจนกินข้าวคนเดียวที่เหลือเททิ้งหลังจากนั้นเข้านอนในทันที แล้วมาตกใจตื่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ ช่วงแรกต้อมขึ้เกียจไปเปิดแต่ในเมื่อนานเข้าก็เกรงใจข้างห้องจึงได้ตัดสินใจไปเปิดประตูห้อง เมื่อแง้มประตูออกไปต่อก็ผลักประตูเข้ามาในทันที หลังจากนั้นอุ้มร่างของต้อมไว้ในอ้อมแขน เดินพาไปยังเตียงนอนค่อยๆวางอย่างทะนุถนอม เพียงชั่วอึดใจเสื้อกางเกงของต่อหลุดจากเรือนร่างไม่มีเหลือแม้แต่ชิ้นเดียว เห็นเพียงแต่ท่อนเอ็นที่ตั้งชูสง่า “นายจะทำอะไร”ต้อมเอ่ยขึ้นแต่ไม่ลุกไปไหน ถึงแม้กลิ่นเหล้าจะฟุ้งไปทั่วห้อง “ทำในสิ่งที่เราอยากทำไง” ต่อไม่พูดอะไรจากนี้อีกต่อไป เขาได้ขึ้นไปบนเตียงและนอนทาบทับเรือนร่างของต้อม พร้อมกับจับสองมือให้อยู่เหนือศรีษะ หลังจากนั้นก้มหลงไซร้ซอกคออย่างบ้าคลั่งกระหายในรักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ริมฝีปากซุกซอนไซอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ให้มีพื้นที่เหลือแต่อย่างใด ช่วงแรกต้อมขัดขืนเล็กน้อยก่อนปล่อยกายปล่อยใจให้เตลิดตามไปอย่างง่
ในระหว่างที่ต้อมกำลังนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน หลังจากหาข้าวหาน้ำให้พ่อแม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นหน้าที่ได้ทำเป็นประจำหลังจากกับมาอยู่บ้าน โดยมีพี่คอยส่งเงินมาให้ใช้ในการดูแลพ่อแม่ และด้วยยังมีเวลาว่างจึงได้หางานเล็กๆน้อยหารายได้เสริมไว้ยามแก่เฒ่าชราภาพ “อาต้อม”เสียงของอาคารดังมาก่อนที่ตัวจะมาถึง ต้อมหันไปมองตามเสียงที่คุ้นเคย ซึ่งเป็นใครไม่ได้นอกจากอาคารลูกชายเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาหาต้อมยังใต้ถุนบ้าน “เอ้ามาหาอามีธุระอะไรเหรอ” “คิดถึงอาต้อมจะมาหาไม่ได้เลยเหรอ”อาคารนั่งลงบนแคร่ไม้ซึ่งอยู่ไม่ห่างต้อมเท่าไรหนัก “ได้ ใครไปว่าอะไร คิดถึงอย่างเดียวหรือว่ามีเรื่องแฟนมาปรึกษาด้วยหรือเปล่า”ต้อมวางมือถือลงไว้ข้างๆตัวเพื่อจะได้คุยกับอาคารอย่างสะดวก “แฟนอะไรกัน ตอนนี้ผมเลิกหมดแล้วเบื่อมีแฟนรุ่นเดียวกัน”อาคารถอนหายใจออกมา “เพื่อนที่มหาวิทยาลัยไม่มีเหรอ” “เบื่อมากๆครับรุ่นเดียวกัน” “แหม เบื่ออีกแล้ว ถ้างั้นก็ตั้งใจเรียนอย่างเดียวก็พอเดี๋ยวถึงเวลามันมาเองอยู่แล้วเรื่องแบบนี้”ต้อมมองอาคารด้วยสาย
วันหยุดสุดสัปดาห์ต้อมไมได้ออกไปเที่ยวไหน ได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในห้องอย่างเดียวดาย ด้วยเพื่อนที่คบกันมาตอนอยู่ร้านอาหารได้ห่างหายกันไปตามกาลเวลา เพราะต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ ซึ่งได้สร้างความเหงาขาดคนพูดคุย จึงได้แต่ดูทีวีวนมาวนไปอยู่หลายรอบในช่องที่พึ่งเพิ่มมาใหม่หลายช่องในยุคดิจิตอล “ก๊อก ก๊อก ก๊อก”เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ต้อมรู้สึกดีใจอย่างมากเพราะในความคิดว่าต้องเป็นเพื่อนที่ห่างหายกันไปนานอย่างแน่นอน ความคิดกับการกระทำไปพร้อมกัน รีบเดินไปยังประตูห้องเพื่อเปิดดูว่าเป็นใครกัน “สวัสดีครับ”ต่อหนุ่มข้างห้องยืนนิ่งพร้อมอมยิ้ม “ครับ”ต้อมรู้สึกผิดหวังที่ไม่ใช่เพื่อนแต่ก็ดีใจที่ได้เจอชายหนุ่มข้างห้อง “เราพึ่งย้ายมาจากจังหวัดอื่น ได้ซื้อของฝากมาด้วย”ต้อมยื่นผลไม้รวมกวนให้ต้อม “ขอบใจนะ”ต้อมยิ้มให้อย่างยินดี “เราเหงาๆเข้าไปคุยด้วยกันได้ไหม” “ได้สิ”ต้อมยิ้มอย่างยินดี เพราะช่วงนี้กำลังเหงาอยู่เหมือนกัน เมื่อต่อได้เข้ามาในห้องของต้อมก็รู้สึกว่าห้องนี้ดีกว่าของตัวเองอย่างมาก อย่างแรกเรื่องความสะอ