ตั้งแต่จำความได้ “อู๋เหริ่นชวน” ประมุขน้อยพรรคมารโลหิต ก็ฝันว่า ตนเองตายด้วยฉินเวทย์ของจิ้งจอกเก้าหางผู้หนึ่ง กระทั่งได้พบกับ “หลัวเซียน” บุรุษเซียนรูปงาม แทนที่จะเป็นรักแรกพบ กลับกลายเป็นความเกลียดชังลึกซึ้ง ตั้งแต่แรกเจอ ยิ่งท่านพ่อมีคำสั่งให้เขาคำนับ คนแซ่หลัว ผู้นั้น ให้เรียกว่า อาจารย์ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า เขาก็ยิ่งไม่พอใจ หาเรื่องอีกฝ่ายมาตลอด ทว่าสำหรับหลัวเซียนแล้ว กลับรู้สึกผูกพันกับศิษย์ปากร้าย ขี้แกล้งผู้นี้อย่างลึกซึ้ง คล้ายชะตาผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อรู้ว่าเขาไม่มีแม้พลังวิญญาณ ไม่มีวรยุทธใดๆ ก็ยิ่งอยากอ้าแขนปกป้องให้พ้นภัยอันตรายทั้งปวง แต่ลิขิตชะตานั้นไม่แน่นอน ก่อนหน้าจะขึ้นรับตำแหน่งประมุขเผ่าเซียนคนใหม่ หลัวเซียน กลับถูกศิษย์น้องร่วมสำนักทำร้ายจนตาบอด สูญสิ้นพลังวิญญาณ อู๋เหริ่นชวน จึงต้องเป็นฝ่ายพยายามปกป้องอาจารย์โง่ของเขา ด้วยการพาหลบหนีมายังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะต้องถูกตามล่าเอาคัมภีร์มหาเวทย์ จากบรรดาจอมยุทธอีก
View Moreภายในโรงเตี๊ยม กลางเมืองยวี่เทียน นักเล่านิทานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีอ่อน กลืนกับเรือนผมหงอกขาวเกล้าขึ้นสูงประดับปิ่นไม้สีน้ำตาล กำลังเล่านิทานเรื่องหนึ่งอยู่ สีหน้าและน้ำเสียงสูงๆ ต่ำๆ พาให้เรื่องราวถูกถ่ายทอดออกมานั้น มีชีวิตชีวา
“...เมื่อร้อยปีก่อน ทุกท่านรู้หรือไม่ว่า อู๋เซียงอี๋ ประมุขเผ่ามาร บำเพ็ญตะบะมานับพันปีจนแก่กล้า ปกครองเผ่ามารด้วยความเที่ยงธรรม เผ่ามารต่างร่มเย็นเป็นสุข
ยามนั้นเผ่าเซียน นำโดยหลัวเฟิง ต้องการแผ่ขยายอำนาจ ยึดครองเผ่ามนุษย์และมารมาเป็นของตนเอง จึงสั่งให้คนของเขาปลอมตนเป็นมาร สวมอาภรณ์สีดำ แต้มชาดบนหน้าผากอย่างมาร ออกเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ทำให้เจ้าแคว้นเผ่ามนุษย์เข้าใจผิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือเผ่ามาร จึงร้องต่อเผ่าเซียนให้ส่งคนไปปราบเผ่ามารให้สิ้นซาก…”
“ดูสิ เผ่าเซียนช่างชั่วร้ายนัก ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย เพราะความลุ่มหลง มัวเมาในอำนาจแท้ๆ เผ่ามารจึงต้องประสบกับเคราะห์กรรมเช่นนี้” เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีดำ หน้าตาหมดจด ผิวพรรณขาวจัด ตัดกับเรือนผมดำขลับเกล้าขึ้น ผูกผ้าสีน้ำเงินเข้ม วางจอกน้ำชาลงบนโต๊ะโดยแรง จนน้ำชาในจอกกระฉอกออกมา ดวงตาคู่คมประดุจเหยี่ยว ภายใต้เส้นคิ้วมังกรยกเฉียงขึ้นวาววับ ริมฝีปากบางขยับเอ่ยถามนักเล่านิทานออกไปว่า
“แล้วอย่างไรต่อ”
“...เช่นนั้นแล้ว หลัวเฟิงก็สบโอกาส ส่งกองทัพทหารเผ่าเซียนบุกเผ่ามารน่ะสิ แต่มีหรือจะสู้กองทัพอันแข็งแกร่งของเผ่ามารได้ ต้องพ่ายแพ้ไปทุกครา โอรสญาติพี่น้อง ล้วนแล้วแต่สังเวยคมกระบี่หยกโลหิต ทุกคราที่กระบี่หยกโลหิตต้องแสงจันทรา ฟาดฟันลงบนร่างของทหารเผ่าเซียนเหล่านั้น มีหรือพวกเขาจะรอดชีวิต ครั้งนั้น...ผืนดินเมืองยวี่เทียนของเราอาบย้อมไปด้วยเลือด
เมื่อไม่อาจปราบอู๋เซียงอี๋ได้ หลัวเฟิงจึงไปเชิญปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนลงจากตำหนักฉางชุนมาปราบมารอู่เซียงอี๋…”
“ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียน ใครอีกล่ะ” หนุ่มน้อยนักฟังนิทานอีกคนเอ่ยแทรกขึ้น พลางเคาะนิ้วมือลงกับโต๊ะไม้ตรงหน้า
“ได้ยินว่า เป็นจิ้งจอกสวรรค์ บำเพ็ญเพียรอยู่บนตำหนักฉางชุน เหนือยอดเขาเซียนกู่ เขาเป็นจิ้งจอกหนุ่มรูปงาม เห็นพวงหางสีขาวทั้งเก้าของเขาก็รู้ว่ามีวิชาอาคมแก่กล้าระดับปรมาจารย์ ดวงหน้าเรียวขาวดุจจันทราน่าเหมันตฤดู นัยน์ตาหรือก็งดงามราวตาพญาหงส์ เส้นคิ้วมังกรเรียงเป็นระเบียบปานวาดด้วยหมึกจีน จมูกโด่ง กลีบปากได้รูปงามเชียว แต่ใครจะรู้เล่าว่าทำนองกู่ฉินพิฆาตของเขานั้น ร้ายกาจนัก ต่อกรกับวิหคโลหิตของจอมมารอู๋เซียงอี๋ได้อย่างคู่คี่ สูสี หากจอมมารอู๋เซียงอี๋ไม่ธาตุไฟเข้าแทรกจนคลุ้มคลั่งละก็ ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนคงไม่มีทางเอาชนะ สังหารจอมมารของเราได้หรอก”
“ได้ยินว่า ก่อนจะเกิดสงครามระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียน ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนกับจอมมารเป็นสหายรักกันไม่ใช่หรือ เหตุใดปรมาจารย์เซียนผู้นั้น จึงฆ่าสหายได้ลงคอ” นักฟังนิทานหนุ่มน้อยอีกคนเอ่ยถามแทรกขึ้นบ้าง
“พวกท่านไม่รู้อะไร พอจอมมารเกิดธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว ก็กลับกลายร่างเป็นวิหคโลหิตเพลิง คลุ้มคลั่ง ทำร้ายผู้คน ทั้งเผ่าตนและเผ่าเซียน ล้วนแต่ล้มตายเป็นเบือ แม้แต่เด็ก สตรีที่ท่านเคยเมตตา ก็ยังไม่เว้น ที่ใดที่วิหคเพลิงบินผ่าน ล้วนแล้วแต่เกิดเพลิงไหม้ ดินแดนสองเผ่าล้วนกลายเป็นทะเลเพลิง หากปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนไม่ฆ่าจอมมาร ไหนเลยจะหยุดยั้งความเสียหายได้ แต่หลังจากสงครามน่ะสิ ช่างน่าเศร้านัก”
“น่าเศร้าอย่างไร” หนุ่มน้อยนักฟังนิทานอีกผู้หนึ่งถามแทรกขึ้นอีกหน ไม่รู้ว่าเหตุใด จึงนึกเกลียดชังปรมาจารย์เซียนผู้เข่นฆ่าสหายขึ้นมาครามครัน
“ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนได้ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมด ดีดฉินทำนองเวทย์ฟื้นฟูทุกสิ่งขึ้นมาใหม่น่ะสิ ได้ยินว่าทำนองนั้น สามารถทำให้ทุกสิ่งที่เคยเสียหาย คืนกลับมาเป็นดังเดิมได้ หากผู้ใดชะตายังไม่ถึงฆาต ก็ยังสามารถฟื้นคืนจากความตายได้ เมื่อพลังปราณหมดลง ท่านก็จบชีวิตตามสหายไป เฮ้อ… ช่างน่าเศร้าจริงๆ จะว่าไปก็น่าสงสารปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนอยู่เหมือนกันนะ”
“น่าเศร้าตรงไหนกัน คนที่น่าสงสารควรจะเป็นจอมมารอู๋เซียงอี๋มากกว่า เขาไม่เคยทำผิดสิ่งใด แต่กลับถูกใส่ร้ายว่าก่อสงคราม ซ้ำยังถูกสหายฆ่าอีก” ยิ่งฟัง หนุ่มน้อยนักฟังนิทาน เจ้าของดวงหน้ามดจด งดงามราวรูปสลัก สวมอาภรณ์ดำก็ยิ่งโกรธแค้น ราวกับสิงที่เกิดขึ้น มันได้เกิดกับตนเองแล้วอย่างไรอย่างนั้น
พลันภาพโรงเตี๊ยมกลางเมืองยวี่เทียนกับนักเล่านิทาน คนฟังนิทานมากมายก็มลายไป ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยภาพเส้นทางแคบ ทอดยาวไปเบื้องหน้า ภายใต้ผืนฟ้ามืดดำ ดูเหมือนตัวเขาเองจะกำลังเดินตามคนกลุ่มหนึ่งไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงป้ายบอกทาง “เส้นทางหวงเฉวียน” สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกปี่อั้น ดอกไม้สีแดงเพลิงผลิบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมกำซาบใจ มองแต่ไกล จึงดูคล้ายเส้นทางแห่งนี้ปูด้วยพรมสีแดงดุจโลหิต จากที่เคยอ่านพบจากตำราในหอคัมภีร์ ที่แห่งนี้ดูคล้ายกับเส้นทางในดินแดนปรโลกไม่มีผิด
เขายังไม่ตายไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมองเห็นตนเองเดินตามผู้คนมากมาย ข้ามสะพานไน่เหอตัดผ่านแม่น้ำวั่งชวนไปได้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ นี่คือความจริง หรือความฝัน” หนุ่มน้อยถามตนเอง ยามสองเท้าก้าวผ่านหินซานเซิง แลเห็นหอวั่งเซียงปลูกสร้างด้วยดินตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ด้านข้างหอแห่งนั้น มีหญิงชรายืนขายน้ำแกงอยู่
“แม่เฒ่า ท่านเป็นใคร” หนุ่มน้อยถามออกไป หากยังไม่ทันที่หญิงชราจะเอ่ยอะไรออกมา จิตของเขาก็ได้รับคำตอบเองว่า นางคือยายเมิ่ง ผู้ปรุงน้ำแกงลืมอดีต จากแม่น้ำวั่งชวนเบื้องล่างนั่นเอง
“...เหตุใด ข้าจึงมายังสถานที่ประหลาดเช่นนี้ หรือว่า ข้าจะตายแล้ว…” หนุ่มน้อยถามตนเอง หากยังไม่ทันจะได้คำตอบ สายตาของเขาก็ไปปะทะเข้ากับชายผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์ดำ ที่น่าแปลกก็คือ ชายผู้นั้นมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน จะต่างกันก็แต่รอยตรามารบนหน้าผาก ที่ไม่เพียงแค่รอยชาดแต้ม ทว่าตามารนั้นกลับยังคงเปิดอยู่ ภายในดวงตามาร เป็นสีแดงดุจโลหิต ดวงตาทั้งคู่แดงเจิดจ้า ฉายความร้าวราน อย่างไม่อาจปิดบังได้
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์
“ยามนี้คงไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคัมภีร์มหาเวทย์แล้ว ท่านเจียงเหวินขอรับ ก่อนนักพรตผู้นั้นจะให้ข้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ไว้ แล้วทำลายมันทิ้ง ท่านเคยบอกข้าว่า หากคัมภีร์นี้ตกอยู่ในมือของคนชั่วช้า ใจอัมหิต ยุทธภพ หรือแม้แต่เซียนภพย่อมลุกเป็นไฟ ข้าจึงกังวลว่า จะทำเช่นไรดี จึงจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากข้าให้ท่านประมุขจุ้นซินได้คัมภีร์ไปก่อนผู้อื่น เจ้าสำนักอื่นๆ ย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ท่านว่า ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ แม้ข้าจะอ่อนอาวุโส ทั้งยังไร้ฝีมือ แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้สงครามดังเมื่อร้อยปีก่อนเกิดขึ้นอีก”“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”“ขอรับ ข้าไม่เพียงอาศัยคำพูดลอยๆ หลังจากแยกย้ายกันที่เจียงอู่ ข้ามาอยู่ที่เซียนกู่ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า ท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้ว่า หลัวเซียนถูกทำร้ายในงานวันประลองยุทธของสำนักเซียนเอง ข้าจึงต้องพาเขาหลบหนีไปยังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะพบนักพรตท่านนั้น และได้คัมภีร์มหาเวทย์มา นับจากนั้น พรรคหวันซา พรรคเหมยลี่ คนของแคว้นไป่ลี่ก็ล้วนแล้วแต่ตามล่าข้ากับหลัวเซียนเพื่อสิ่งนี้ ที่พวกเขามายังเซียนกู่ ก็คงเพื่อแย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ ยามนี้ ดูท่าแล้ว ปร
ขณะเดียวกัน หลัวจุ้นซินเองก็กำลังจับจ้องเจดีย์ขังมารในอุ้งมือด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม อยากรู้นักว่าป่านนี้ ศิษย์พี่ของเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว บอกตนเองเช่นนั้นแล้ว ประมุขเผ่าเซียนก็ร่ายคาถาตามที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ “...เทียน ชื่อเต้า ตี้ชื่อเต้า หยิน ชื่อเต้า หยาง ชื่อเต้า เก๋ย หว่อ ซื่อ โหยว…” ไม่ว่าจะท่องอีกสักกี่หน ประตูเจดีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หรือเขาจะจำผิด… ไม่สิ เขาเข้าไปในหอคัมภีร์ คัดลอกคาถาบทนั้นด้วยลายมือตนเอง จะผิดพลาดได้อย่างไร เช่นนี้แล้ว หากหลัวเซียนตายไปแล้ว เขาจะเข้าไปดูดซับเอาปราณเซียนได้อย่างไร เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขา ด้วยเรื่องบัดซบเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน หลัวเซียนปรือตาขึ้นช้าๆ พบว่า รอบกายของเขายังคงว่างเปล่า แสงจากตะเกียงจุดสว่างจากทุกมุมภายในเจดีย์ บอกให้รู้ว่า บัดนี้กลไกต่างๆ ได้หยุดทำงานแล้ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น จึงไม่มีพลังเวทย์วารีพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอีก พลันบุรุษเซียนก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอขึ้นน้อยๆ เมื่อพบเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าจากเลือนราง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ หางเป
“มีสิ อันที่จริง ข้าก็มิได้ห่วงใยเขาเท่าไหร่หรอก เพียงเวทนาที่เขาดวงตาพิการเท่านั้น เรื่องคัมภีร์มหาเวทย์ ข้าให้ท่านได้อยู่แล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สู้ให้คนที่คู่ควรยังดีซะกว่า ส่วนศิษย์พี่ของท่าน ท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ข้าจะไม่ยุ่ง” “ไม่คิดว่า ประมุขน้อยจะเฉลียวฉลาด รู้จักรักษาตัวรอดเช่นนี้”“แน่อยู่แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ใครเล่าจะอยากตายก่อนวัยอันสมควร ขอเพียงท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ระหว่างที่ข้าอยู่บนเขาเซียนกู่ คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะตกเป็นของท่านทันที”แม้จะระแวงอู๋เหริ่นชวนอยู่ แต่ความอยากได้คัมภีร์มหาเวทย์นั้นมีมากกว่า เมื่อเดินทางมาถึงเขาเซียนกู่ เขาจึงจัดให้ประมุขน้อยหนุ่มพักที่เรือนรับรอง มีการเฝ้ายามแน่นหนา ป้องกันมิให้เซียนยุทธ ชาวยุทธทั่วหล้าเข้ามาช่วงชิงคัมภีร์มหาเวทย์ได้ทว่าสำหรับหลัวเซียนกลับตรงกันข้าม เพียงเดินทางมาถึงก็ถูกจำขังในเจดีย์ขังมารเจดีย์ขังมารเป็นเจดีย์เจ็ดชั้น หลังคาทรงเก๋งจีน ลดหลั่นกันลงมา สามารถเพิ่มลดขนาดได้ตามใจผู้ใช้ ถือเป็นของวิเศษประจำเผ่าเซียนเลยก็ว่าได้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้าง ชั้นล่า
พร้อมกับคำพูดนั้นของหลัวเซียน หูซื่อเยว่ อู๋หมิ่นเยี่ยนก็เดินเข้ามาสมทบ “ศิษย์พี่ สหายหู ท่านได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”อู๋หมิ่นเยี่ยนพยักหน้าแทนคำตอบ “ท่านประมุขโปรดวางใจเถอะ ข้าจะไม่ปล่อยให้สหายอู๋กับจิ้งเทียนได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” หูซื่อเยว่ให้คำมั่น เห็นเซียนกระบี่อาวุโสยื่นมือเข้าช่วยอีกแรงแล้ว อู๋ลี่หมิงก็ค่อยวางใจ เมื่อเตรียมการรับมือไว้แล้ว ประมุขอู๋ลี่หมิงจึงมิได้ประหลาดใจกับการมาของหลัวจุ้นซินเลยแม้แต่น้อย แม้จะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนก็ตามขณะที่หลัวเซียนเอง ยังคงแสร้งตาบอดต่อไป เพื่อลอบดูท่าทีของศิษย์น้องเช่นกันดูเหมือนยามนี้ ท่าทีของหลัวจุ้นซินจะเต็มไปด้วยการเสแสร้งเสียมากกว่าจริงใจ “ข้านึกอยู่แล้วว่า ท่านประมุขจะต้องยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ยอมมอบตัวศิษย์พี่กับประมุขน้อยให้ชาวยุทธทั้งสามเผ่าแต่โดยดี ท่านโปรดวางใจเถอะ อย่างไร ข้าจะต้องสืบสวนเรื่องนี้ คืนความเป็นธรรมให้ประมุขน้อยอย่างแน่นอน” ดูเหมือนหลัวจุ้นซินผู้นี้ จะมิได้พูดถึงความเป็นธรรมของศิษย์พี่ตนเลยแม้แต่การเสแสร้งก็ไม่อาจละเว้นหลัวเซียนได้เลยจริงๆ สายตายามลอบมองมาทางหลัวเซียนรึก็เต็มไปด้วยความสาสมใจ
ขณะที่การประชุมกำลังดำเนินไปนั่นเอง ชาวยุทธกลุ่มหนึ่งจากเผ่ามนุษย์ก็ถูกเชื้อเชิญเข้ามา“คารวะท่านประมุข” บุรุษวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายนักพรต เรือนผมแซมหงอก หนวดเครายาว ดวงตาสามเหลี่ยม ประสานมือคารวะนอบน้อม เบื้องหลังของเขา มีชาวยุทธแต่งกายแตกต่าง บ่งบอกว่ามาจากต่างสำนักยืนแถวตอนเรียงสี่เป็นระเบียบ ทำการคารวะ ค้อมกายเล็กน้อย ในลักษณะเดียวกันเมื่อมีผู้มาเยือนมากมายเช่นนี้ โถงรับรองของตำหนักหวงหลัน จึงดูแคบไปถนัดตา“ทุกท่านคงมาจากต่างสำนักกันใช่หรือไม่” หลัวจุ้นซินแย้มริมฝีปากน้อยๆ เลื่อนสายตาจ้องหน้าผู้มาเยือนด้วยไมตรี“ขอรับ ข้าได้รับประกาศจากท่านประมุขแล้ว จึงเห็นว่า ควรนำผู้ได้รับความเดือดร้อนจากหลัวเซียน และอู๋เหริ่นชวนมาที่นี่”“เดือดร้อนหรือ… ไม่ทราบว่าทุกท่านได้รับความเดือดร้อนเรื่องใดกัน”“หลายเดือนก่อน หลัวเซียนและประมุขน้อยพรรคมารได้หลบหนีเข้าไปในเผ่ามนุษย์ แย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ คัมภีร์สำคัญของเผ่ามนุษย์ไป”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ” หลัวจุ้นซินถึงกับผุดลุกจากเก้าอี้ นึกไม่ถึงเลยว่าอะไรๆ จะมาบรรจบกันอย่างประจวบเหมาะเช่นนี้ อย่างน้อยก็มีศัตรูของหลัวเซ
เพิ่งรู้ว่า บุรุษเซียนคนเดิมผู้มิใช่หนุ่มน้อยอ่อนแอในโอวาทของเขาคืนกลับมาแล้วก็ในยามนี้เอง ความตระหนกพาให้ประมุขน้อยหนุ่มเบิกตากว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง เป็นโอกาสให้คนตรงหน้าสอดปลายสัมผัสเข้าไปลิ้มรสความหอมหวานจากโพรงปากเล็กกว่าเสียอีก คนถูกรุกแบบไม่ทันตั้งตัวจึงเผลอครางแผ่วอย่างพออกพอใจ รอให้อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว จึงเอาคืนด้วยการยื่นหน้าเข้าไปขบเม้มตรงติ่งหูของอีกฝ่ายเบาๆ “พอเถอะ” หลัวเซียนร้องห้ามเสียงสั่น แทนที่จะห้ามอีกฝ่ายไม่ให้รุกคืบหนักข้อเข้า กลับเป็นการเชิญชวนเสียนี่ “เสี่ยวชวน”“อะไร” ประมุขน้อยหนุ่มงึมงำ ลากเลื่อนเรียวลิ้นลงมาวนเวียนตรงลำคอของเขาอย่างเอาใจ “เดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเข้า” แทนที่จะหยุด ประมุขน้อยหนุ่มเพียงกะพริบตา ประตูห้องยาก็ปิด ซ้ำยังลงกลอนเอง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพลิกฝ่ามือร่ายอาคมกำกับไว้อีกต่างหาก “เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว ต่อให้เจ้าร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยินด้วย” อู๋เหริ่นชวนยิ้มยั่วเย้า คิดจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงหลัวเซียนพลิกวาดฝ่ามือในอากาศไม่กี่ครั้ง เสื้อผ้าของประมุขน้อยเช่นเขา จะรูดลงไปกองที่พื้น โดยเจ้าตัวไม่
เงียบ ไร้เสียงตอบกลับมา สังหรณ์ใจแล้วว่า ตนเองคงถูกประมุขน้อยหนุ่มแกล้งเข้าให้แล้ว จึงเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาเรียกหาเมื่อครู่ จะเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับสวมเสื้อตัวใหม่ให้ ผูกสายรัดเอวให้เรียบร้อย แล้วจัดการดึงผ้าเช็ดตัวพันกายออกให้เสียด้วย “เจ้าเอาเสื้อผ้าข้าไปหรือ”“ใช่แล้วจะทำไม ข้าหายไปตั้งหลายวัน ลืมแล้วหรือว่า ใครต้องดูแลเจ้าน่ะ”“เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เมื่อก่อนเจ้าก็สอนให้ข้าทำโน่นทำนี่เองไม่ใช่หรือ แม้แต่หาอาหาร เจ้าก็ยังให้ข้าเป็นคนไปหามาให้เจ้ากินเลย” นึกถึงการใช้ชีวิตระหกระเหิน ไม่รู้เหนือใต้กลางป่าเขาแล้ว หลัวเซียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตนเองผ่านมันมาได้อย่างไร วันใดสมาธิไม่มั่นคง ดวงตาที่สามปรากฎภาพไม่ชัดเจน เมื่อต้องออกหาอาหารเพียงลำพัง บ่อยครั้งมีสะดุดรากไม้ล้มหน้าคะมำบ้าง ยามหาผลไม้ ถูกมดแดงรุมกัดตามเนื้อตัวบ้าง แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ โดยไม่เคยปริปากบอกแก่อู๋เหริ่นชวนเลยแม้แต่คำเดียว เพราะรู้ว่ายามนั้น ประมุขน้อยหนุ่มเองก็ไม่ต่างจากเขา คนหนึ่งพลังวิญญาณน้อยนิดจนแทบสูญสิ้น ซ้ำยังตาบอดสนิทอี
Comments