“ข้าคิดว่า คงเป็นอย่างที่ท่านเหยียนเจียทำนายไว้จริงๆ ลูกของเรามีพลังปราณมารของท่านจอมมารอู๋เซียงอี๋อยู่ในกายจริงๆ แม้ไม่ต้องฝึกวิชาใด ก็มีพลังปราณแก่กล้า แต่ยามนี้ ลูกของเรายังเล็กนัก ไม่สามารถควบคุมพลังปราณที่มีได้เลย ข้าได้ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมดปิดผนึกพลังวิญญาณและพลังปราณของลูกไว้แล้ว”
“แล้วเจ้าเล่าฮูหยิน เมื่อไม่มีพลังปราณแล้วเช่นนี้ เจ้ามิต้องตายหรือ แล้วข้าเล่า จะอยู่อย่างไร” ประมุขพรรคมารกอดกระชับร่างฮูหยินไว้ในอ้อมแขน สายน้ำตาเอ่อรินอาบสองแก้ม สะอื้นจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน
“แม้ข้าจะตายลงแล้ว แต่ข้าจะยังอยู่ในใจของท่านพี่ตลอดไป ข้าฝากลูกด้วยนะเจ้าคะ ดูแลลูกของเราให้ดี จนกว่าเขาจะเติบใหญ่ พลังวิญญาณและปราณมารถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในเวลาอันสมควร” เหยว่เอ๋อร์ฮูหยินปิดเปลือกตาลงช้าๆ อึดใจต่อมา ลมหายใจสุดท้ายของนางก็ปลิดปลิวไป ราวแสงเทียนต้องลมแรงจนดับวูบ...
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าอย่าห่วงไปเลย บัดนี้บุตรของเราสองคนเติบโตขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานหรอก พลังวิญญาณกับพลังปราณมารของเขาคงใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว” ประมุขพรรคมารเอ่ยกับกระจกกลมบานใหญ่ตรงหน้า ก่อนร่ายคาถา เสกให้กระจกหมื่นลี้หายลับไป ดวงตาทั้งคู่ทอประกายเจิดจ้า ยามก้าวออกจากห้องหนังสือมายังห้องนอนของตนเอง
แสงตะวันโผล่พ้นเหลี่ยมเขา ส่องลอดแนวใบไม้รกครึ้มลงมา เสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว ผสานกับเสียงกู่ร้องของสัตว์ป่าดังมาแต่ไกล ปลุกให้อู๋เหริ่นชวนลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะลุก เดินมาล้างหน้าล้างตาริมลำธาร
เมื่อกลับมายังที่พักใต้ต้นไม้ ก็พบว่าหลัวเซียนเดินกลับมาแล้ว พร้อมกับหอบหิ้วเอากล้วยป่าติดมือมาด้วย
“กินซะ จะได้ออกเดินทาง”
เห็นคนตื่นก่อน ห่วงใยกระเพาะเขาเช่นนี้ ประมุขน้อยหนุ่มก็อยากจะเอ่ยขอบคุณออกไป แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า ตนเองไม่ชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ จึงยั้งคำพูดนั้นไว้ที่ริมฝีปาก แล้วกลืนหายลงคอไป ยามยื่นมือออกไปรับกล้วยป่ามาแกะเปลือกออก ส่งเข้าปาก
ครู่ต่อมา หลัวเซียนกับอู๋เหริ่นชวนก็ออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่เจียงหนาน
ระหว่างเดินทางมาถึงป่าพยูง ต้นสูงยืนตระหง่านเขียวครึ้มนั่นเอง สองบุรุษหนุ่มก็ต้องชะงักไปตามๆ กัน เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้วยวิชาตัวเบา แหวกอากาศเข้ามาใกล้ จากทุกทิศทุกทาง
เมื่อคนกลุ่มนั้นพลิ้วกายลงบนพื้น จึงได้รู้ว่าคือ มือสังหารแปดเซียนนั่นเอง
พวกเขาต่างยืนล้อมเหยื่อเอาไว้ทุกทิศ พลางชักกระบี่คมวับออกมา
“อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้ แล้วหลบให้ดี” หลัวเซียนกำชับหนักแน่น ทว่าแทนที่ประมุขน้อยหนุ่มจะเชื่อฟัง กลับก้าวออกไปข้างหน้าสองก้าว
“นี่ ทุกท่าน อย่าเพิ่งรีบร้อนลงมือเลยขอรับ จะว่าไปแล้ว ทุกท่านเองก็ยังไม่เคยรู้จักข้ามาก่อนเลย เหตุใดต้องลงมือกับข้าด้วยล่ะ”
“เจ้าเป็นบ่าวของคนผู้นี้ไม่ใช่เรอะ” จอมยุทธหนึ่งในแปดเซียนว่าไปตามความเข้าใจของตนเอง
“บ่าวที่ไหนกัน ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วยซ้ำ อีกอย่างทุกท่านกับข้าก็ไม่มีความแค้นต่อกันสักนิด ต่างคนต่างก็ไม่รู้จักกัน ใยทุกท่านต้องเสียแรงลงมือด้วยเล่า”
“ข้าไม่รู้จักเจ้า แต่ข้ารู้จักคนผู้นั้น” จอมยุทธร่างผอมสูง ผายมือไปทางหลัวเซียน ผู้ถือพัดเวทย์คุมเชิงอยู่
“มีคนสั่งพวกท่านมาฆ่าเขาหรือ ใครกัน ทุกท่านช่วยบอกข้าได้หรือไม่ เผื่อว่า หากเขาตายด้วยน้ำมือของทุกท่านแล้ว จะได้ไปบอกท่านยมบาลได้ถูกว่า ใครเป็นคนเอาชีวิตเขา”
“เรื่องอะไร ข้าจะบอก” จอมยุทธร่างสันทัด หน้ายาวเรียวปฏิเสธ หากเขาเอ่ยชื่อผู้บงการออกไป ก็มีแต่จะต้องตายด้วยคำสาปร้ายเท่านั้น
มือสังหารแปดเซียนทุกคน ย่อมรู้ดีว่า หากเอ่ยนามผู้บงการออกไป ก็จะต้องพลังปราณแตกซ่านตาย เพราะคำสาปร้ายที่บรรพชนวางเอาไว้ เพื่อป้องกันมิให้เหยื่อรู้ตัวฆาตกรที่บงการสังหารตน
หรือเด็กหนุ่มผู้นี้ จะล่วงรู้คำสาปร้ายนั้น จึงหลอกล่อให้เขาเอ่ยชื่อผู้บงการเช่นนี้
“หากข้าบอก เจ้าก็รู้ด้วยน่ะสิ เช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้าปิดปากเสีย จะได้ไปบอกใครไม่ได้อีก” จอมยุทธร่างท้วมขู่ หวังให้เด็กหนุ่มกลัว แล้วเลิกถามไปเอง
“เอาเลย ท่านบอกข้า แล้วลงมือเลยก็ได้” อู๋เหริ่นชวนทำใจดีสู้เสือ
“มา กระซิบที่ข้างหูข้านี่” ประมุขน้อยหนุ่มยกมือขึ้นชี้ใบหูตนเอง
จอมยุทธหน้ากลมหลงกล เดินใกล้เข้ามากระซิบที่ข้างหูประมุขน้อยหนุ่ม
“หลัวจุ้นซิน!”
เพียงคำพูดนั้นหลุดจากปาก จอมยุทธร่างท้วมก็ชักกระตุก สายโลหิตพุ่งออกจากทวารทั้ง 7 ล้มฟาดลงกับพื้น ดวงตาทั้งคู่เหลือกค้าง สิ้นใจในทันที
“น้องห้า” มือสังหารที่เหลือต่างตะลึงจังงัง นึกไม่ถึงเลยว่า คำสาปร้ายของบรรพชนจะให้ผลร้ายแรงเช่นนี้
จากผู้ไม่เกี่ยวข้องจึงกลายเป็นว่า อู๋เหริ่นชวนทำให้น้องห้าของพวกเขาตายเสียแล้ว
“ฆ่า!” สิ้นคำของมือสังหารร่างสูงใหญ่ มือสังหารทั้ง 7 ก็พุ่งกระบี่เข้าหาประมุขน้อยหนุ่มเป็นจุดเดียว
ในยามคับขันนั่นเอง จอมยุทธผู้หนึ่งก็เคลื่อนกายแหวกอากาศเข้ามา เพียงซัดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไป มือสังหารทั้ง 7 ก็กระเด็นไปคนละทิศละทาง ก่อนการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธผู้นั้น หลัวเซียน กับมือสังหารจะเริ่มขึ้น
หลัวเซียนกระชับพัดเวทย์ในมือมั่น ซัดออกไปด้วยพลังปราณ พัดเวทย์ลอยหวือในอากาศ เข้าใส่ลูกกระเดือกของมือสังหารคนแล้วคนเล่า ขณะที่มือสังหารที่เหลือ ต่อสู้กับจอมยุทธผู้มาใหม่ด้วยเพลงกระบี่รวดเร็ว ดุจเงามัจจุราช คมกระบี่ฉวัดเฉวียนในอากาศ รุกคืบเข้าใส่คมกระบี่ของคู่ต่อสู้ บ้างดุดัน บ้างอ่อนโยน ไม่ถึงครึ่งเพลงด้วยซ้ำ ก็ปลิดชีวิตมือสังหารลงได้
ขณะที่อู่เหริ่นชวนวิ่งมาหลบหลังต้นไม้ใหญ่ มองการต่อสู้ระหว่างหลัวเซียน จอมยุทธผู้มาใหม่กับมือสังหาร เพียงไม่นานมือสังหารก็ล้มตายลงราวใบไม้ร่วง
กระทั่งแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว จอมยุทธผู้มาใหม่จึงร้องตะโกนขึ้นว่า
“เจ้าหนุ่ม ออกมาได้แล้ว”
อู๋เหริ่นชวนก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ แรกเห็นจอมยุทธผู้มาใหม่ก็นึกประหลาดใจว่า เหตุใด เด็กหนุ่มหน้าละอ่อน วัยไม่น่าจะแก่กว่าเขาสักเท่าไหร่ จึงเรียกเขาว่า “เจ้าหนุ่ม” ราวกับว่า เจ้าหน้าละอ่อนผู้นั้นเป็นชายชรา อายุรุ่นปู่ของเขาอย่างนั้นแหละ
อีกประการที่ทำให้อดประหลาดใจไม่ได้ก็คือ เหตุใดเจ้าหน้าละอ่อนถึงมีวิชากระบี่ร้ายกาจยิ่งนัก ทุกคราที่วาดคมกระบี่ออกไปต่อสู้กับมือสังหาร ท่าทางการเคลื่อนไหว คมกระบี่วาดออกไปนั้นรวดเร็วราวเงาปริศนาพุ่งเข้าสังหารคู่ต่อสู้อย่างไร้ปราณี“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย เจ้าหนุ่ม” เจ้าหน้าละอ่อนยังมีแก่ใจห่วงใยหลัวเซียนที่เพิ่งเก็บพัดเวทย์เข้าไว้ในมือขวา “ไม่เป็นไร ต้องขอบคุณท่านที่มาช่วยได้ทันการณ์” หลัวเซียนประสานมือคารวะนอบน้อม ค้อมศีรษะน้อยๆ“ข้าหลัวเซียน ไม่ทราบว่า ท่านมีนามว่าอะไรหรือขอรับ”“ข้าหูซื่อเยว่” “ท่านคือ เซียนกระบี่แห่งเขาเทียนคงหรือขอรับ” หลัวเซียนเอ่ยในสิ่งที่เขาเคยได้ยินมา นึกไม่ถึงเลยว่า เซียนกระบี่อายุน่าจะมากกว่าร้อยปีผู้นี้ จะยังคงมีหน้าตาอ่อนเยาว์ ราวเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบ มิหนำซ้ำเพลงกระบี่เงาสังหารของเขายังร้ายกาจไร้เทียมทานอีกต่างหาก“ใช่แล้ว หากปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนของเจ้ายังอยู่ อายุก็คงพอๆ กับข้านี่แหละ ว่าแต่เจ้าสองคนจะไปที่ใด”“ข้ากับเขา กำลังเดินทางไปเจียงหนานขอรับ”“ได้ข่าวว่าที่นั่น มีงานเลี้ยงปักบุปผาอย่างนั้นหรือ ดีๆ ข้ากำลังจะไปหาอาหารเลิศรสกินแกล้มสุราอยู่พ
“ข้าหูซื่อเยว่ เซียนกระบี่แห่งเขาเทียนคง” เห็นคนที่ภายนอกดูอ่อนอาวุโสกว่ามากส่งยิ้มน้อยๆ มาแล้ว เจียงเหวินก็เข้าใจว่า หนุ่มน้อยผู้นี้คงจะเป็นศิษย์ผู้หนึ่งของผู้อาวุโสแห่งเขาเทียนคงเป็นแน่ ขณะที่หูซื่อเยว่เอง คร้านจะอธิบาย จำเป็นด้วยหรือที่เขาจะเที่ยวป่าวประกาศบอกแก่คนในใต้หล้าว่า เขาคือเซียนกระบี่ผู้มีชีวิตยืนยาวมานับร้อยปี โดยคงความหนุ่มเอาไว้ดังเดิมมาเนิ่นนาน จนลืมอายุของตนเองไปแล้ว แทนที่จะเอ่ยอะไรต่อ จึงเพียงรับกุหลาบจากมือคนอ่อนอาวุโสแต่หน้าตาแก่วัยกว่ามาถือไว้ในมือ ขณะสองเท้าก้าวเนิบช้าไปตามขั้นบันได ทอดขึ้นสู่ตำหนักเจียงอู่นั่นเอง เซียนกระบี่หน้าละอ่อนก็แทบลืมหายใจ สองเท้าคล้ายถูกตรึงแน่นอยู่กับที่ เพียงสายตาไปปะทะเข้ากับดวงหน้างดงามของสตรีผู้ยืนเคียงข้างอู๋เหริ่นชวน และกำลังหันมาทางเขาพอดี ดวงหน้านาง ขาวนวลราวไข่ปอก ดวงตาคู่เรียวภายใต้เส้นคิ้วโค้งงามตามธรรมชาติ รับกันดีกับสันจมูกโด่ง เหนือริมฝีปากอิ่มงามสีชมพูระเรื่อ แม้แตะแต้มด้วยชาตเพียงเบาบาง แม้ไม่งดงามที่สุดในใต้หล้า แต่มีหรือหัวใจเขาจะลืมดวงหน้านี้ได้ลง หากไม่เห็นกับตาตนเอง หูซื่อเยว่ก็คงไม่เชื่อว่า ในใต้หล้านี้จะม
ครู่ต่อมา อู๋เหริ่นชวนพร้อมด้วยศิษย์พี่ของเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องพักส่วนตัวของหลัวเซียน กลั้นใจรอเพียงเสี้ยวนาที เจ้าของห้องก็ออกมาเปิดประตูรับ “แม่นางอู๋” บุรุษหนุ่มรูปงามประสานมือคารวะนอบน้อม ปากเอ่ยชื่ออู๋หมินเยี่ยน ทว่าสายตากลับมองเลยมายังประมุขน้อยหนุ่มด้านหลัง เข้ามาในห้องพักส่วนตัวของเขาได้ อู๋เหริ่นชวนก็รีบส่งสาส์นลับในมือให้เขาทันที“ท่านพ่อฝากมาให้ท่าน”หลัวเซียนยิ้มน้อยๆ ยามรับสาส์นกระดาษสีทองนั้นมาเปิดอ่าน เพียงตัวอักษรเวทย์ผ่านสายตาไป ว่าที่ประมุขเผ่าเซียนก็เข้าใจความประสงค์ของประมุขพรรคมารจนสิ้น “ประมุขอู๋ ให้ข้ารับศิษย์ใหม่ ตามสัญญาสันติระหว่างสองเผ่า”“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” อู๋หมิ่นเยี่ยนเลิกคิ้ว จ้องหน้าว่าที่ประมุขเผ่าเซียนแน่วนิ่ง อดสงสัยไม่ได้เลยว่า อู๋ลี่หมิงจะให้ใครมาเป็นศิษย์ของหลัวเซียนกันแน่“ท่านประมุขอู๋ ให้ข้ารับประมุขน้อยอู๋เหริ่นชวนเป็นศิษย์” คำพูดช้าชัดหนักแน่น คล้ายแส้ฟาดลงกลางหลังอู๋เหริ่นชวนก็ไม่ปาน ใครเลยจะนึกฝันว่า จะต้องมาเป็นศิษย์ของคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าเช่นนี้“ไม่ เป็นไปไม่ได้!” ประมุขน้อยหนุ่มไม่โวยวายเปล่า ปราดเข้ามาแย่งสาส์นในมือบุร
ขณะเดียวกัน อู๋หมิ่นเยี่ยนเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องพักของตนเอง ดวงตาทั้งคู่แข็งค้าง จนมิอาจเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง ข่มตาหลับลงได้ ด้วยความเป็นห่วงศิษย์น้องแม้อู๋เหริ่นชวนจะกำชับหนักหนา ไม่ให้นางไปที่ห้องของหลัวเซียน ในระหว่างการดวลสุราที่กำลังดำเนินไป แต่นางก็มิอาจวางใจได้ จากที่เดินไปเดินมาจนเมื่อยไปทั้งขา จึงต้องออกจากห้อง ก้าวเร็วๆ มายังห้องพักของหลัวเซียนหากยังไม่ทันจะได้ยกมือขึ้นเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง“แม่นางอู๋”นางหันขวับกลับไปมอง กลีบปากงามคลี่ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นว่าหูซื่อเยว่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า เสื้อผ้าตัวยาวสีขาวสะอาดที่เขาสวมใส่ ผนวกกับดวงหน้าอ่อนเยาว์ของคนตรงหน้า ทำให้เขาดูไม่ต่างอะไรจากเทพบุตรลอยลงมาจากจันทราเต็มดวงเบื้องบนเสียจริงๆ นางจะต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ที่อยากจะหยุดเวลามีค่าเช่นนี้เอาไว้ตราบนานเท่านาน เพียงแค่รู้ว่าเขามาจากเขาเทียนคง สำเร็จวิชากระบี่เงาสังหาร ก็ปลื้มในความเก่งกาจของเขา จนอยากทำความรู้จักให้มากขึ้น หากใครล่วงรู้ความคิดของนาง คงจะปรามาตว่าเป็นสตรีไร้ยางอายเป็นแน่“แม่นาง มีธุระอะไรกับคุณชายหลัวหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะ”
เจ้า!”“เจ้าอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะถึงอย่างไร ใจข้าก็ไม่มีวันนับถือเจ้าเป็นอาจารย์แน่” “ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าติดตามข้าไปเขาเซียนกู่ก็เพียงพอแล้ว”“เช่นนั้นก็ดี” อู๋เหริ่นชวนค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น ขณะที่หลัวเซียนเดินไปรินชาแก้เมามาส่งให้ “ดื่มซะ”แทนที่จะขอบคุณ เขากลับรับจอกชามาอย่างกระแทกกระทั้นเต็มที แล้วเหลือบมองกาน้ำหยดบนโต๊ะริมหน้าต่าง“ยามเหม่าแล้ว ขอตัวล่ะ”ประมุขน้อยหนุ่มกำลังจะเดินไปที่ประตู ทว่ามือของคนแซ่หลัวกลับฉุดต้นแขนเขาเอาไว้“เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ”เจ้าไม่นอนรึไง”แทนคำตอบ หลัวเซียนกลับเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ยกขาขึ้นขัดสมาธิ หลับตาลง “คงอยากบำเพ็ญเพียรนอกสถานที่สินะ ได้” ว่าแล้วอู๋เหริ่นชวนก็กลับขึ้นเตียง แต่จนแล้วจนรอดก็มิอาจข่มตาหลับลงได้ ดูเหมือนฝันประหลาด ผนวกกับชาแก้เมาเมื่อครู่จะทำให้ความง่วงหายไปเสียแล้ว จากที่จะแกล้งหลับให้เวลาผ่านพ้นไป จึงหรี่มองคนนั่งสมาธิอยู่ด้วยประกายตาเจ้าเล่ห์ ในเมื่อเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว เขานี่แหละจะเป็นคนต้อนรับอาจารย์คนใหม่อย่างสมเกียรติทีเดียวประมุขน้อยหนุ่มบอกตนเอง กลีบปากแย้มน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนอื่นขอคิดแผนการก่อน แล
“ข้าอยากกินของหวานน่ะ รับสักถ้วยมั้ย”เป็นครั้งแรกละกระมัง ที่อู๋เหริ่นชวนมีแก่ใจเผื่อแผ่ของกินให้เขา บุรุษเซียนรูปงามจึงไม่คิดอะไร รับถ้วยของหวานไว้ แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะของตนเอง “อาจารย์ ของหวานที่โต๊ะเรามีแล้วนี่ขอรับ” ซานไป๋ทักขึ้น เมื่อเห็นว่าอาจารย์หนุ่มถือถ้วยของหวานมาวางลงบนโต๊ะ“ศิษย์น้องเจ้าให้มาน่ะ”“ใครขอรับ” มู่เฉินขมวดคิ้ว เขาก็เหมือนกับจิวยี่ ซานไป๋นั่นละ ที่ไม่รู้เรื่องเลยว่า อาจารย์ไปรับศิษย์คนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน “ต่อไปอู๋เหริ่นชวน ประมุขน้อยพรรคมารจะมาเป็นศิษย์น้องของพวกเจ้า”คำตอบของอาจารย์หนุ่ม พาให้ศิษย์ทั้งสามต่างเบิกตากว้าง อ้าปากค้างไปตามๆ กัน“อาจารย์หมายถึง คนที่ผู้อื่นต่างร่ำลือว่าเป็นคนไร้ประโยชน์น่ะหรือขอรับ” จิวยี่เอ่ยตามตรง ในสิ่งที่เขาได้ยินมาแต่เมื่อเห็นสายตาดุของอาจารย์กราดมา จึงต้องก้มหน้า“ข้าก็แค่ได้ยินมาแบบนี้น่ะขอรับ” น้ำเสียงเอ่ยออกไปนั้นอ่อนอ่อย “ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินสิ่งใดมาก็ตาม อย่าได้หมิ่นแคลนผู้อื่น”“ขอรับ”“ว่าแต่เหตุใด เขาจึงกลายมาเป็นศิษย์น้องของพวกเราได้ล่ะขอรับ” มู่เฉินยังคงไม่คลายความสงสัยอยู่นั่นเอง “เขาเป็นทูตตามสัญญาสันติระ
อู๋เหริ่นชวนสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบขวดยาออกมาถือไว้“ขอเพียงพวกเขายอมขอขมาศิษย์พี่ข้า ก็จะได้ยาถอนพิษไป”ศิษย์ปากเปราะต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก เพิ่งรู้ว่า คนที่ตนเองหมิ่นแคลนไว้ร้ายกาจเพียงใด ก็ในยามนี้เอง หากไม่รีบขอขมาสตรีผู้นี้ มีหวังพวกเขาต้องหัวเราะจนขาดใจตายเป็นแน่ พวกเขาจึงต้องยอมคุกเข่าลงตรงหน้าอู๋หมิ่นเยี่ยน“ข้า ต้องขอโทษแม่นางด้วย ที่หมิ่นแคลนแม่นางออกไป”“ข้าเองก็ต้องขอโทษท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ”“ท่านทั้งสองโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด” แม้จะเป็นการขอขมาปนเสียงหัวเราะไปสักหน่อย แต่ประมุขน้อยหนุ่มก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต้องต่อความยาวสาวความยืดอยู่อีก จึงส่งยาถอนพิษขวดนั้นให้เกาหย่วนแต่โดยดีเรื่องวุ่นวายคงจบลงเพียงเท่านี้อยู่หรอก หากบุคคลที่สามไม่สอดมือเข้ามาอีกคน“ประมุขน้อยอู๋ โทษฐานที่ท่านก่อเรื่องวุ่นวายในตำหนักเจียงอู่ ท่านเองก็ต้องรับโทษของสำนักเจียงอู่ด้วย จะยินยอมหรือไม่”ได้ยินคำถามเฉียบขาด กับแววตาวาวโรจน์ไร้ปราณีคู่นั้นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาครามครัน ใครเลยจะไม่รู้ว่า บทลงโทษของสำนักเจียงอู่นั้น ขึ้นชื่อว่ารุนแรงกว่าที่ใดในใต้หล้า “ท่า
“เกิดอะไรขึ้น!” อู๋หมิ่นเยี่ยนเดินผ่านมาประสบเหตุเข้าถามหน้าตาตื่น คงเห็นสภาพย่ำแย่ของหลัวเซียนไม่ต่างจากเขานั่นละ “ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งถามอะไรเลย รบกวนเตรียมน้ำสะอาดให้ข้าที” “อึม” อู๋หมิ่นเยี่ยนรับคำ ก่อนจะก้าวเร็วๆ ผละจากไป อู๋เหริ่นชวนพาหลัวเซียนมานั่งลงบนที่นอนนุ่ม หากไม่เพราะเขาผนึกชีพจรวิญญาณ อาการบาดเจ็บคงจะไม่หนักหนาเช่นนี้ “เป็นไงบ้าง” “ข้าไม่เป็นไร” หลัวเซียนตอบเสียงอ่อน คงอีกสักชั่วยามกว่าชีพจรวิญญาณจะคลาย และใช้พลังปราณขับพิษออกมาได้ ระหว่างนี้คงต้องอดทนกับความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลถูกโบย และพิษจากลูกธนูไปก่อน “หน้าซีดปากเขียวขนาดนี้ ยังจะทำอวดเก่งอีก” อู๋เหริ่นชวนว่าเข้าให้ กำลังจะถอดเสื้อตัวนอกของอีกฝ่ายออก ทว่าหลัวเซียนกลับปัดป้อง “จะทำอะไร” “ก็ถอดเสื้อไง ไม่ถอดแล้วจะทำแผลยังไง” “ไม่เป็นไร ข้าทำเอง” “หุบปากไปเลย ท่านมีตาหลังรึไง ท่านเป็นบุรุษ ข้าก็เป็นบุรุษ ใยต้องอายอะไรอีก มา!” คนเจ็บอ่อนแรงจนแทบทรงกายนั่ง
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์
“ยามนี้คงไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคัมภีร์มหาเวทย์แล้ว ท่านเจียงเหวินขอรับ ก่อนนักพรตผู้นั้นจะให้ข้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ไว้ แล้วทำลายมันทิ้ง ท่านเคยบอกข้าว่า หากคัมภีร์นี้ตกอยู่ในมือของคนชั่วช้า ใจอัมหิต ยุทธภพ หรือแม้แต่เซียนภพย่อมลุกเป็นไฟ ข้าจึงกังวลว่า จะทำเช่นไรดี จึงจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากข้าให้ท่านประมุขจุ้นซินได้คัมภีร์ไปก่อนผู้อื่น เจ้าสำนักอื่นๆ ย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ท่านว่า ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ แม้ข้าจะอ่อนอาวุโส ทั้งยังไร้ฝีมือ แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้สงครามดังเมื่อร้อยปีก่อนเกิดขึ้นอีก”“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”“ขอรับ ข้าไม่เพียงอาศัยคำพูดลอยๆ หลังจากแยกย้ายกันที่เจียงอู่ ข้ามาอยู่ที่เซียนกู่ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า ท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้ว่า หลัวเซียนถูกทำร้ายในงานวันประลองยุทธของสำนักเซียนเอง ข้าจึงต้องพาเขาหลบหนีไปยังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะพบนักพรตท่านนั้น และได้คัมภีร์มหาเวทย์มา นับจากนั้น พรรคหวันซา พรรคเหมยลี่ คนของแคว้นไป่ลี่ก็ล้วนแล้วแต่ตามล่าข้ากับหลัวเซียนเพื่อสิ่งนี้ ที่พวกเขามายังเซียนกู่ ก็คงเพื่อแย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ ยามนี้ ดูท่าแล้ว ปร
ขณะเดียวกัน หลัวจุ้นซินเองก็กำลังจับจ้องเจดีย์ขังมารในอุ้งมือด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม อยากรู้นักว่าป่านนี้ ศิษย์พี่ของเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว บอกตนเองเช่นนั้นแล้ว ประมุขเผ่าเซียนก็ร่ายคาถาตามที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ “...เทียน ชื่อเต้า ตี้ชื่อเต้า หยิน ชื่อเต้า หยาง ชื่อเต้า เก๋ย หว่อ ซื่อ โหยว…” ไม่ว่าจะท่องอีกสักกี่หน ประตูเจดีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หรือเขาจะจำผิด… ไม่สิ เขาเข้าไปในหอคัมภีร์ คัดลอกคาถาบทนั้นด้วยลายมือตนเอง จะผิดพลาดได้อย่างไร เช่นนี้แล้ว หากหลัวเซียนตายไปแล้ว เขาจะเข้าไปดูดซับเอาปราณเซียนได้อย่างไร เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขา ด้วยเรื่องบัดซบเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน หลัวเซียนปรือตาขึ้นช้าๆ พบว่า รอบกายของเขายังคงว่างเปล่า แสงจากตะเกียงจุดสว่างจากทุกมุมภายในเจดีย์ บอกให้รู้ว่า บัดนี้กลไกต่างๆ ได้หยุดทำงานแล้ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น จึงไม่มีพลังเวทย์วารีพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอีก พลันบุรุษเซียนก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอขึ้นน้อยๆ เมื่อพบเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าจากเลือนราง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ หางเป
“มีสิ อันที่จริง ข้าก็มิได้ห่วงใยเขาเท่าไหร่หรอก เพียงเวทนาที่เขาดวงตาพิการเท่านั้น เรื่องคัมภีร์มหาเวทย์ ข้าให้ท่านได้อยู่แล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สู้ให้คนที่คู่ควรยังดีซะกว่า ส่วนศิษย์พี่ของท่าน ท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ข้าจะไม่ยุ่ง” “ไม่คิดว่า ประมุขน้อยจะเฉลียวฉลาด รู้จักรักษาตัวรอดเช่นนี้”“แน่อยู่แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ใครเล่าจะอยากตายก่อนวัยอันสมควร ขอเพียงท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ระหว่างที่ข้าอยู่บนเขาเซียนกู่ คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะตกเป็นของท่านทันที”แม้จะระแวงอู๋เหริ่นชวนอยู่ แต่ความอยากได้คัมภีร์มหาเวทย์นั้นมีมากกว่า เมื่อเดินทางมาถึงเขาเซียนกู่ เขาจึงจัดให้ประมุขน้อยหนุ่มพักที่เรือนรับรอง มีการเฝ้ายามแน่นหนา ป้องกันมิให้เซียนยุทธ ชาวยุทธทั่วหล้าเข้ามาช่วงชิงคัมภีร์มหาเวทย์ได้ทว่าสำหรับหลัวเซียนกลับตรงกันข้าม เพียงเดินทางมาถึงก็ถูกจำขังในเจดีย์ขังมารเจดีย์ขังมารเป็นเจดีย์เจ็ดชั้น หลังคาทรงเก๋งจีน ลดหลั่นกันลงมา สามารถเพิ่มลดขนาดได้ตามใจผู้ใช้ ถือเป็นของวิเศษประจำเผ่าเซียนเลยก็ว่าได้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้าง ชั้นล่า
พร้อมกับคำพูดนั้นของหลัวเซียน หูซื่อเยว่ อู๋หมิ่นเยี่ยนก็เดินเข้ามาสมทบ “ศิษย์พี่ สหายหู ท่านได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”อู๋หมิ่นเยี่ยนพยักหน้าแทนคำตอบ “ท่านประมุขโปรดวางใจเถอะ ข้าจะไม่ปล่อยให้สหายอู๋กับจิ้งเทียนได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” หูซื่อเยว่ให้คำมั่น เห็นเซียนกระบี่อาวุโสยื่นมือเข้าช่วยอีกแรงแล้ว อู๋ลี่หมิงก็ค่อยวางใจ เมื่อเตรียมการรับมือไว้แล้ว ประมุขอู๋ลี่หมิงจึงมิได้ประหลาดใจกับการมาของหลัวจุ้นซินเลยแม้แต่น้อย แม้จะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนก็ตามขณะที่หลัวเซียนเอง ยังคงแสร้งตาบอดต่อไป เพื่อลอบดูท่าทีของศิษย์น้องเช่นกันดูเหมือนยามนี้ ท่าทีของหลัวจุ้นซินจะเต็มไปด้วยการเสแสร้งเสียมากกว่าจริงใจ “ข้านึกอยู่แล้วว่า ท่านประมุขจะต้องยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ยอมมอบตัวศิษย์พี่กับประมุขน้อยให้ชาวยุทธทั้งสามเผ่าแต่โดยดี ท่านโปรดวางใจเถอะ อย่างไร ข้าจะต้องสืบสวนเรื่องนี้ คืนความเป็นธรรมให้ประมุขน้อยอย่างแน่นอน” ดูเหมือนหลัวจุ้นซินผู้นี้ จะมิได้พูดถึงความเป็นธรรมของศิษย์พี่ตนเลยแม้แต่การเสแสร้งก็ไม่อาจละเว้นหลัวเซียนได้เลยจริงๆ สายตายามลอบมองมาทางหลัวเซียนรึก็เต็มไปด้วยความสาสมใจ
ขณะที่การประชุมกำลังดำเนินไปนั่นเอง ชาวยุทธกลุ่มหนึ่งจากเผ่ามนุษย์ก็ถูกเชื้อเชิญเข้ามา“คารวะท่านประมุข” บุรุษวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายนักพรต เรือนผมแซมหงอก หนวดเครายาว ดวงตาสามเหลี่ยม ประสานมือคารวะนอบน้อม เบื้องหลังของเขา มีชาวยุทธแต่งกายแตกต่าง บ่งบอกว่ามาจากต่างสำนักยืนแถวตอนเรียงสี่เป็นระเบียบ ทำการคารวะ ค้อมกายเล็กน้อย ในลักษณะเดียวกันเมื่อมีผู้มาเยือนมากมายเช่นนี้ โถงรับรองของตำหนักหวงหลัน จึงดูแคบไปถนัดตา“ทุกท่านคงมาจากต่างสำนักกันใช่หรือไม่” หลัวจุ้นซินแย้มริมฝีปากน้อยๆ เลื่อนสายตาจ้องหน้าผู้มาเยือนด้วยไมตรี“ขอรับ ข้าได้รับประกาศจากท่านประมุขแล้ว จึงเห็นว่า ควรนำผู้ได้รับความเดือดร้อนจากหลัวเซียน และอู๋เหริ่นชวนมาที่นี่”“เดือดร้อนหรือ… ไม่ทราบว่าทุกท่านได้รับความเดือดร้อนเรื่องใดกัน”“หลายเดือนก่อน หลัวเซียนและประมุขน้อยพรรคมารได้หลบหนีเข้าไปในเผ่ามนุษย์ แย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ คัมภีร์สำคัญของเผ่ามนุษย์ไป”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ” หลัวจุ้นซินถึงกับผุดลุกจากเก้าอี้ นึกไม่ถึงเลยว่าอะไรๆ จะมาบรรจบกันอย่างประจวบเหมาะเช่นนี้ อย่างน้อยก็มีศัตรูของหลัวเซ
เพิ่งรู้ว่า บุรุษเซียนคนเดิมผู้มิใช่หนุ่มน้อยอ่อนแอในโอวาทของเขาคืนกลับมาแล้วก็ในยามนี้เอง ความตระหนกพาให้ประมุขน้อยหนุ่มเบิกตากว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง เป็นโอกาสให้คนตรงหน้าสอดปลายสัมผัสเข้าไปลิ้มรสความหอมหวานจากโพรงปากเล็กกว่าเสียอีก คนถูกรุกแบบไม่ทันตั้งตัวจึงเผลอครางแผ่วอย่างพออกพอใจ รอให้อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว จึงเอาคืนด้วยการยื่นหน้าเข้าไปขบเม้มตรงติ่งหูของอีกฝ่ายเบาๆ “พอเถอะ” หลัวเซียนร้องห้ามเสียงสั่น แทนที่จะห้ามอีกฝ่ายไม่ให้รุกคืบหนักข้อเข้า กลับเป็นการเชิญชวนเสียนี่ “เสี่ยวชวน”“อะไร” ประมุขน้อยหนุ่มงึมงำ ลากเลื่อนเรียวลิ้นลงมาวนเวียนตรงลำคอของเขาอย่างเอาใจ “เดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเข้า” แทนที่จะหยุด ประมุขน้อยหนุ่มเพียงกะพริบตา ประตูห้องยาก็ปิด ซ้ำยังลงกลอนเอง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพลิกฝ่ามือร่ายอาคมกำกับไว้อีกต่างหาก “เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว ต่อให้เจ้าร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยินด้วย” อู๋เหริ่นชวนยิ้มยั่วเย้า คิดจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงหลัวเซียนพลิกวาดฝ่ามือในอากาศไม่กี่ครั้ง เสื้อผ้าของประมุขน้อยเช่นเขา จะรูดลงไปกองที่พื้น โดยเจ้าตัวไม่
เงียบ ไร้เสียงตอบกลับมา สังหรณ์ใจแล้วว่า ตนเองคงถูกประมุขน้อยหนุ่มแกล้งเข้าให้แล้ว จึงเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาเรียกหาเมื่อครู่ จะเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับสวมเสื้อตัวใหม่ให้ ผูกสายรัดเอวให้เรียบร้อย แล้วจัดการดึงผ้าเช็ดตัวพันกายออกให้เสียด้วย “เจ้าเอาเสื้อผ้าข้าไปหรือ”“ใช่แล้วจะทำไม ข้าหายไปตั้งหลายวัน ลืมแล้วหรือว่า ใครต้องดูแลเจ้าน่ะ”“เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เมื่อก่อนเจ้าก็สอนให้ข้าทำโน่นทำนี่เองไม่ใช่หรือ แม้แต่หาอาหาร เจ้าก็ยังให้ข้าเป็นคนไปหามาให้เจ้ากินเลย” นึกถึงการใช้ชีวิตระหกระเหิน ไม่รู้เหนือใต้กลางป่าเขาแล้ว หลัวเซียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตนเองผ่านมันมาได้อย่างไร วันใดสมาธิไม่มั่นคง ดวงตาที่สามปรากฎภาพไม่ชัดเจน เมื่อต้องออกหาอาหารเพียงลำพัง บ่อยครั้งมีสะดุดรากไม้ล้มหน้าคะมำบ้าง ยามหาผลไม้ ถูกมดแดงรุมกัดตามเนื้อตัวบ้าง แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ โดยไม่เคยปริปากบอกแก่อู๋เหริ่นชวนเลยแม้แต่คำเดียว เพราะรู้ว่ายามนั้น ประมุขน้อยหนุ่มเองก็ไม่ต่างจากเขา คนหนึ่งพลังวิญญาณน้อยนิดจนแทบสูญสิ้น ซ้ำยังตาบอดสนิทอี