อู๋เหริ่นชวนสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบขวดยาออกมาถือไว้“ขอเพียงพวกเขายอมขอขมาศิษย์พี่ข้า ก็จะได้ยาถอนพิษไป”ศิษย์ปากเปราะต่างมองหน้ากันเลิกลั่ก เพิ่งรู้ว่า คนที่ตนเองหมิ่นแคลนไว้ร้ายกาจเพียงใด ก็ในยามนี้เอง หากไม่รีบขอขมาสตรีผู้นี้ มีหวังพวกเขาต้องหัวเราะจนขาดใจตายเป็นแน่ พวกเขาจึงต้องยอมคุกเข่าลงตรงหน้าอู๋หมิ่นเยี่ยน“ข้า ต้องขอโทษแม่นางด้วย ที่หมิ่นแคลนแม่นางออกไป”“ข้าเองก็ต้องขอโทษท่านประมุขน้อยด้วยขอรับ”“ท่านทั้งสองโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด” แม้จะเป็นการขอขมาปนเสียงหัวเราะไปสักหน่อย แต่ประมุขน้อยหนุ่มก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต้องต่อความยาวสาวความยืดอยู่อีก จึงส่งยาถอนพิษขวดนั้นให้เกาหย่วนแต่โดยดีเรื่องวุ่นวายคงจบลงเพียงเท่านี้อยู่หรอก หากบุคคลที่สามไม่สอดมือเข้ามาอีกคน“ประมุขน้อยอู๋ โทษฐานที่ท่านก่อเรื่องวุ่นวายในตำหนักเจียงอู่ ท่านเองก็ต้องรับโทษของสำนักเจียงอู่ด้วย จะยินยอมหรือไม่”ได้ยินคำถามเฉียบขาด กับแววตาวาวโรจน์ไร้ปราณีคู่นั้นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาครามครัน ใครเลยจะไม่รู้ว่า บทลงโทษของสำนักเจียงอู่นั้น ขึ้นชื่อว่ารุนแรงกว่าที่ใดในใต้หล้า “ท่า
“เกิดอะไรขึ้น!” อู๋หมิ่นเยี่ยนเดินผ่านมาประสบเหตุเข้าถามหน้าตาตื่น คงเห็นสภาพย่ำแย่ของหลัวเซียนไม่ต่างจากเขานั่นละ “ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งถามอะไรเลย รบกวนเตรียมน้ำสะอาดให้ข้าที” “อึม” อู๋หมิ่นเยี่ยนรับคำ ก่อนจะก้าวเร็วๆ ผละจากไป อู๋เหริ่นชวนพาหลัวเซียนมานั่งลงบนที่นอนนุ่ม หากไม่เพราะเขาผนึกชีพจรวิญญาณ อาการบาดเจ็บคงจะไม่หนักหนาเช่นนี้ “เป็นไงบ้าง” “ข้าไม่เป็นไร” หลัวเซียนตอบเสียงอ่อน คงอีกสักชั่วยามกว่าชีพจรวิญญาณจะคลาย และใช้พลังปราณขับพิษออกมาได้ ระหว่างนี้คงต้องอดทนกับความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลถูกโบย และพิษจากลูกธนูไปก่อน “หน้าซีดปากเขียวขนาดนี้ ยังจะทำอวดเก่งอีก” อู๋เหริ่นชวนว่าเข้าให้ กำลังจะถอดเสื้อตัวนอกของอีกฝ่ายออก ทว่าหลัวเซียนกลับปัดป้อง “จะทำอะไร” “ก็ถอดเสื้อไง ไม่ถอดแล้วจะทำแผลยังไง” “ไม่เป็นไร ข้าทำเอง” “หุบปากไปเลย ท่านมีตาหลังรึไง ท่านเป็นบุรุษ ข้าก็เป็นบุรุษ ใยต้องอายอะไรอีก มา!” คนเจ็บอ่อนแรงจนแทบทรงกายนั่ง
ณ เขาเซียนกู่ภายในตำหนักหวงหลัน อันโอ่อ่า ปลูกสร้างด้วยอิฐสีเหลือง หลังคาทรงเก๋งจีน รอบบริเวณเต็มไปด้วยดอกหวงหลัน บ้างตูมบ้างบาน ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วบริเวณ แม้ในยามกลางคืน สายลมเย็นยามดึกหอบเอากลิ่นหวงหลันเข้ามาภายในตำหนัก ก็ยิ่งพาให้บรรยากาศโดยรอบชื่นมื่น หลัวจุ้นซิน โอบเอวสตรีร่างแน่งน้อย หน้าตาหมดจดงดงาม ดุจรุปสลักสองนางไว้ในอ้อมแขนคนละข้าง ดื่มสุราจากจอกที่นางทั้งสองป้อนให้ พลางหัวเราะสิ่งใดเลยจะทำให้เขามีความสุขเท่ากับการที่ศิษย์พี่ของเขาไม่ได้อยู่ที่เขาเซียนกู่อีกเป็นไม่มีนับตั้งแต่รู้ว่า หลัวเซียนลงเขาไป พร้อมกับศิษย์เอกทั้งสามและศิษย์โง่อีกสิบสี่คนแล้ว เขาก็สั่งให้คนตระเตรียมอาหารคาวหวาน สุรารสเลิศพร้อมสรรพ สำหรับค่ำคืนอันแสนสุข ขณะกำลังส่งจอกสุราใส่มือหนึ่งในสองสตรี แล้วเลยฉวยโอกาสจับทรวงอกหยุ่นนิ่ม ละมุนมือเล่น “ไห่เยี่ยน” จอมยุทธหนุ่มเผ่าเซียน ดวงหน้าสี่เหลี่ยม ริมฝีปากหนา ดวงตาคมราวดวงตานกอินทรีย์ ปลายจมูกงุ้ม ดูคล้ายจะงอยปากนก ก็เดินเข้ามาในห้องรับรอง พร้อมประสานมือคารวะนอบน้อม“นายท่าน”“เจ้ามาก็ดีแล้ว มือสังหารที่ส่งไปทำงานลุล่วงหรือไม่” แววตาและน้ำเสียงของหลัวจุ้น
“ไม่ต้องไปดูหรอก เขามีศิษย์คอยดูแลตั้งสามคนแล้ว อีกอย่างเขาได้ยาถอนพิษของข้า กับได้สหายหูใช้พลังปราณขับพิษให้ ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” “ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ได้นอนมาทั้งคืน คงเหนื่อยแย่ พี่ตุ๋นน้ำแกงรากบัวให้เจ้าสักถ้วยดีหรือไม่” “ดีขอรับ ไปกัน ไปกัน” ว่าแล้วประมุขน้อยหนุ่มก็เดินนำศิษย์พี่ของเขามายังห้องรับรอง มองอู๋หมิ่นเยี่ยนทำอาหารยิ้มๆ ปากก็ชวนคุยไปเรื่อยว่า“พรุ่งนี้ ท่านกับศิษย์พี่ศิษย์น้องของเราก็จะกลับเคหาสน์พันดาวแล้ว ส่วนข้าก็ต้องไปอยู่ที่เขาเซียนกู่ ศิษย์พี่ท่านอย่าลืมข้านะ”“เสี่ยวชวน เจ้าเป็นศิษย์น้องที่ข้ารักที่สุด ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไรกัน อีกอย่าง ทุกคนในพรรคเรา ล้วนแต่รักและเอ็นดูเจ้า พวกเขาจะคิดถึงเจ้ามากละไม่ว่า ไม่มีเจ้าอยู่สักคน เคหาสน์พันดาวคงเงียบเหงาแย่ เจ้าอยู่ที่นั่น ต้องไม่ดื้อไม่ซน ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายให้อาจารย์เจ้าปวดหัวรู้มั้ย”“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ศิษย์พี่อย่าห่วงไปเลยขอรับ ถึงข้าจะไม่ชอบขี้หน้าคนแซ่หลัวผู้นั้น แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นประมุขน้อยพรรคมาร ข้าจะไม่ทำให้พรรคของเราเสื่อมเสียอย่างแน่นอน” “ข้าเชื่อเจ้า ว่าแต่คุณชายหลัวเองก็ดีกับเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใด เ
“ข้า อู๋เหริ่นชวน นามรอง เสี่ยวชวน ขอรับ” อู๋เหริ่นชวนประสานมือขึ้นคารวะ ค้อมศีรษะลงน้อยๆ ทว่าฝ่ายนั้นกลับเดินมาตบไหล่เขา แล้วจับต้นแขนข้างหนึ่งเอาไว้อย่างเบามือ“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้ากับประมุขน้อย ใช่คนอื่นไกลกันเสียที่ไหน เราทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแท้ๆ มาๆ นั่งลง ไห่เยี่ยน รินชาเร็วเข้า” ไม่รู้เพราะเหตุใด ประมุขน้อยหนุ่มจึงรู้สึกว่า หลัวจุ้นซินผู้นี้ มีท่าทีพินอบพิเทามากกว่าปกติ การพูดการจาก็ดูเสแสร้งเสียมากกว่าหวังดีกับเขาจากใจจริง คนสุภาพเรียบร้อย ดูนุ่มนวลกว่าบุรุษอื่นเช่นหลัวเซียนยังดูน่าไว้วางใจเสียมากกว่า “นี่เป็นชาอู่หลงจากเขาเซียนเรา ศิษย์น้อง ลองชิมดูก่อนเถิด”“เอ่อ ขออภัยด้วยขอรับ คือข้าไม่นิยมดื่มชาตอนใกล้ค่ำเช่นนี้ เกรงว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับ”“เช่นนั้น จะรับสุราอาหารเลยดีหรือไม่ ข้าจะได้ให้คนยกมาที่นี่” หลัวจุ้นซินยังคงทำหน้าที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างไม่ขัดตกบกพร่อง จนคนถูกต้อนรับไม่คุ้นชินเอาเสียเลย “ศิษย์น้อง เจ้าเองก็ดูแลงานในสำนักคนเดียวมาหลายวันแล้ว ไม่ต้องลำบากหรอก” “ไม่เป็นไรหรอกศิษย์พี่ ข้าเต็มใจ เห็นท่านปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว”ได้ยินหลัวจุ้นซินพู
หลังจากให้คนเตรียมสำรับสำหรับแขกผู้มาเยือนเรียบร้อย หลัวเซียนก็กลับเข้ามาในห้องพัก ทันทีที่ลับสายตาบุคคลอื่น บุรุษเซียนรูปงามก็มิอาจเก็บซ่อนอาการจากพิษตกค้างในกายได้อีกต่อไป เพียงไอเบาๆ เท่านั้น ลิ่มเลือดสายเล็กๆ ก็พุ่งออกมาจากมุมปาก เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับโลหิตที่มุมปาก ปราดมายังที่นอน นั่งลงขัดสมาธิ แล้วจึงวาดฝ่ามือขับเคลื่อนพลังปราณในกาย รู้ดีว่าแม้จะพยายามสักกี่หน แต่ก็ไม่สามารถขับพิษตกค้างในกายออกมาได้เลย หากไม่ได้ยาอันซีเซียงของอู๋เหริ่นชวน ไม่แน่ว่า อาการอาจจะรุนแรงยิ่งกว่านี้ก็ได้ ใครกันที่ต้องการให้เขาตาย ถึงขนาดส่งคนไปลอบสังหารหลายครั้งหลายครา หรือจะเป็นผู้ที่ไม่อยากให้เขาก้าวขึ้นรับตำแหน่งประมุขเผ่าเซียน ใครกันที่ปรารถนาตำแหน่งประมุขถึงเพียงนั้น ไฉนจึงไม่บอกเขาตามตรง เหตุใดต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมเช่นนี้ด้วย หลัวเซียนครุ่นคิด ความหนาวจนกายสะท้านจากพิษในกาย ซ่านไปทั้งกระดูก บางคราวก็แลเห็นภาพตรงหน้าพร่ามัวลง แล้วก็กลับชัดเจนขึ้นดังเดิม หรืออีกไม่ช้า ความปรารถนาของคนบงการจะสำเร็จลุล่วงแล้วจริงๆ หนอสองสัปดาห์ของการอยู่ที่เขาเซียนกู่ เต็มไปด้วยความน่าเบื่อหน่าย จนอยาก
เห็นว่าหลัวเซียนจมน้ำไปนานแล้ว เกรงว่าพิษในร่างจะกำเริบขึ้นมาอีก จึงจมน้ำไปเช่นนั้น ตัดสินใจอยู่ครู่ จึงถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดลงไป ดำหาหลัวเซียนอยู่ครู่ใหญ่ สลับกับตะโกนเรียกชื่อเขา แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีมือของใครคนหนึ่ง ดึงขาเขาให้จมน้ำไปด้วยกัน อู๋เหริ่นชวนดิ้นรน หลับหูหลับตากลืนน้ำไปหลายอึก พอลืมตาขึ้นได้ ก็เห็นว่าหลัวเซียนถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว “ท่านหลอกข้านี่” อู๋เหริ่นชวนตะโกนเอะอะ โผล่ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้ก็จะเข้าบีบคอคนตรงหน้า ทว่าหลัวเซียนกลับรู้ทัน ชิงรวบมือเขาเอาไว้เสียก่อน “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้าแกล้งข้าก่อน แกล้งอาจารย์ควรมีโทษสถานใด” “จะทำอะไรก็ทำ ยังไงฝีมือข้าก็สู้ท่านไม่ได้อยู่แล้วนี่” ประมุขน้อยหนุ่มประชดประชันออกไป นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ บุรุษหนุ่มรูปงามจะโอบเอวเขาเอาไว้ แล้วพาขึ้นฝั่งมาด้วยกัน “มา ข้าอบผ้าให้เจ้า” ว่าแล้วหลัวเซียนก็วาดฝ่ามือในอากาศ รวมพลังปราณมายังมือ แล้วปล่อยละไอร้อนเป่ากางเกงให้อู๋เหริ่นชวนจนแห้งก่อน แล้วจึงอบผ้าให้ตนเองจนแห้งสนิท“เห็ดหลินจือแดงของเจ้าช่วยบำรุงร่างกายได้ดีจริงๆ ข้ารู้สึกดี
“ศิษย์น้องอู๋ เจ้าว่าอะไรนะ” มู่เฉินคงได้ยินคำพูดเขาไม่ชัดเจนนักเลิกคิ้ว “ศิษย์พี่มู่เฉิน เจ้าว่าวันนี้อาจารย์ออมมือให้อาจารย์อาหรือเปล่า” ซานไป๋ยังคงไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น“นั่นสิ ทุกทีอาจารย์ไม่เคยออมมือเลยนะ ชนะอย่างสมศักดิ์ศรีมาตลอด” จิวยี่เปรียบเทียบการต่อสู้ในหลายปีที่ผ่านมา ทุกคราวอาจารย์ของเขาจะไม่เคยออมมือ ต่อสู้เต็มกำลังมาตลอด มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่ท่วงท่าการต่อสู้ ดูเหมือนจะอ่อนกำลัง ขาดความดุดันเข้มแข็งกว่าที่เคย ฟังการสนทนาของศิษย์พี่แล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็อดเป็นห่วงหลัวเซียนขึ้นมาไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ และนี่ก็ไม่ใช่เวลามาเกลียดชังเขาด้วย เพียงใจบอกตนเองว่าไม่ได้เกลียดชังเขาแล้ว จู่ๆ ก็กลับรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกการเต้นของหัวใจเจ็บร้าวรุนแรง พาให้ลมหายใจติดขัด ราวส่วนลึกของแก่นวิญญาณ ต้องการให้เขายังคงเกลียดชังหลัวเซียนต่อไป นั่นอย่างไร เขากำลังถอยหลังไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงริมผาอยู่แล้ว อีกไม่ช้า ก็จะตกลงไปเบื้องล่าง หากหลัวเซียนตาย ความเกลียดชังที่มี ก็จะถึงคราวจบลงเสียที หากเป็นเช่นนั้น มันก็จะไม่โหดร้ายไปหน่อยหรื
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์
“ยามนี้คงไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคัมภีร์มหาเวทย์แล้ว ท่านเจียงเหวินขอรับ ก่อนนักพรตผู้นั้นจะให้ข้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ไว้ แล้วทำลายมันทิ้ง ท่านเคยบอกข้าว่า หากคัมภีร์นี้ตกอยู่ในมือของคนชั่วช้า ใจอัมหิต ยุทธภพ หรือแม้แต่เซียนภพย่อมลุกเป็นไฟ ข้าจึงกังวลว่า จะทำเช่นไรดี จึงจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากข้าให้ท่านประมุขจุ้นซินได้คัมภีร์ไปก่อนผู้อื่น เจ้าสำนักอื่นๆ ย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ท่านว่า ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ แม้ข้าจะอ่อนอาวุโส ทั้งยังไร้ฝีมือ แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้สงครามดังเมื่อร้อยปีก่อนเกิดขึ้นอีก”“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”“ขอรับ ข้าไม่เพียงอาศัยคำพูดลอยๆ หลังจากแยกย้ายกันที่เจียงอู่ ข้ามาอยู่ที่เซียนกู่ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า ท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้ว่า หลัวเซียนถูกทำร้ายในงานวันประลองยุทธของสำนักเซียนเอง ข้าจึงต้องพาเขาหลบหนีไปยังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะพบนักพรตท่านนั้น และได้คัมภีร์มหาเวทย์มา นับจากนั้น พรรคหวันซา พรรคเหมยลี่ คนของแคว้นไป่ลี่ก็ล้วนแล้วแต่ตามล่าข้ากับหลัวเซียนเพื่อสิ่งนี้ ที่พวกเขามายังเซียนกู่ ก็คงเพื่อแย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ ยามนี้ ดูท่าแล้ว ปร
ขณะเดียวกัน หลัวจุ้นซินเองก็กำลังจับจ้องเจดีย์ขังมารในอุ้งมือด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม อยากรู้นักว่าป่านนี้ ศิษย์พี่ของเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว บอกตนเองเช่นนั้นแล้ว ประมุขเผ่าเซียนก็ร่ายคาถาตามที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ “...เทียน ชื่อเต้า ตี้ชื่อเต้า หยิน ชื่อเต้า หยาง ชื่อเต้า เก๋ย หว่อ ซื่อ โหยว…” ไม่ว่าจะท่องอีกสักกี่หน ประตูเจดีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หรือเขาจะจำผิด… ไม่สิ เขาเข้าไปในหอคัมภีร์ คัดลอกคาถาบทนั้นด้วยลายมือตนเอง จะผิดพลาดได้อย่างไร เช่นนี้แล้ว หากหลัวเซียนตายไปแล้ว เขาจะเข้าไปดูดซับเอาปราณเซียนได้อย่างไร เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขา ด้วยเรื่องบัดซบเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน หลัวเซียนปรือตาขึ้นช้าๆ พบว่า รอบกายของเขายังคงว่างเปล่า แสงจากตะเกียงจุดสว่างจากทุกมุมภายในเจดีย์ บอกให้รู้ว่า บัดนี้กลไกต่างๆ ได้หยุดทำงานแล้ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น จึงไม่มีพลังเวทย์วารีพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอีก พลันบุรุษเซียนก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอขึ้นน้อยๆ เมื่อพบเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าจากเลือนราง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ หางเป
“มีสิ อันที่จริง ข้าก็มิได้ห่วงใยเขาเท่าไหร่หรอก เพียงเวทนาที่เขาดวงตาพิการเท่านั้น เรื่องคัมภีร์มหาเวทย์ ข้าให้ท่านได้อยู่แล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สู้ให้คนที่คู่ควรยังดีซะกว่า ส่วนศิษย์พี่ของท่าน ท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ข้าจะไม่ยุ่ง” “ไม่คิดว่า ประมุขน้อยจะเฉลียวฉลาด รู้จักรักษาตัวรอดเช่นนี้”“แน่อยู่แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ใครเล่าจะอยากตายก่อนวัยอันสมควร ขอเพียงท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ระหว่างที่ข้าอยู่บนเขาเซียนกู่ คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะตกเป็นของท่านทันที”แม้จะระแวงอู๋เหริ่นชวนอยู่ แต่ความอยากได้คัมภีร์มหาเวทย์นั้นมีมากกว่า เมื่อเดินทางมาถึงเขาเซียนกู่ เขาจึงจัดให้ประมุขน้อยหนุ่มพักที่เรือนรับรอง มีการเฝ้ายามแน่นหนา ป้องกันมิให้เซียนยุทธ ชาวยุทธทั่วหล้าเข้ามาช่วงชิงคัมภีร์มหาเวทย์ได้ทว่าสำหรับหลัวเซียนกลับตรงกันข้าม เพียงเดินทางมาถึงก็ถูกจำขังในเจดีย์ขังมารเจดีย์ขังมารเป็นเจดีย์เจ็ดชั้น หลังคาทรงเก๋งจีน ลดหลั่นกันลงมา สามารถเพิ่มลดขนาดได้ตามใจผู้ใช้ ถือเป็นของวิเศษประจำเผ่าเซียนเลยก็ว่าได้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้าง ชั้นล่า
พร้อมกับคำพูดนั้นของหลัวเซียน หูซื่อเยว่ อู๋หมิ่นเยี่ยนก็เดินเข้ามาสมทบ “ศิษย์พี่ สหายหู ท่านได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”อู๋หมิ่นเยี่ยนพยักหน้าแทนคำตอบ “ท่านประมุขโปรดวางใจเถอะ ข้าจะไม่ปล่อยให้สหายอู๋กับจิ้งเทียนได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” หูซื่อเยว่ให้คำมั่น เห็นเซียนกระบี่อาวุโสยื่นมือเข้าช่วยอีกแรงแล้ว อู๋ลี่หมิงก็ค่อยวางใจ เมื่อเตรียมการรับมือไว้แล้ว ประมุขอู๋ลี่หมิงจึงมิได้ประหลาดใจกับการมาของหลัวจุ้นซินเลยแม้แต่น้อย แม้จะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนก็ตามขณะที่หลัวเซียนเอง ยังคงแสร้งตาบอดต่อไป เพื่อลอบดูท่าทีของศิษย์น้องเช่นกันดูเหมือนยามนี้ ท่าทีของหลัวจุ้นซินจะเต็มไปด้วยการเสแสร้งเสียมากกว่าจริงใจ “ข้านึกอยู่แล้วว่า ท่านประมุขจะต้องยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ยอมมอบตัวศิษย์พี่กับประมุขน้อยให้ชาวยุทธทั้งสามเผ่าแต่โดยดี ท่านโปรดวางใจเถอะ อย่างไร ข้าจะต้องสืบสวนเรื่องนี้ คืนความเป็นธรรมให้ประมุขน้อยอย่างแน่นอน” ดูเหมือนหลัวจุ้นซินผู้นี้ จะมิได้พูดถึงความเป็นธรรมของศิษย์พี่ตนเลยแม้แต่การเสแสร้งก็ไม่อาจละเว้นหลัวเซียนได้เลยจริงๆ สายตายามลอบมองมาทางหลัวเซียนรึก็เต็มไปด้วยความสาสมใจ
ขณะที่การประชุมกำลังดำเนินไปนั่นเอง ชาวยุทธกลุ่มหนึ่งจากเผ่ามนุษย์ก็ถูกเชื้อเชิญเข้ามา“คารวะท่านประมุข” บุรุษวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายนักพรต เรือนผมแซมหงอก หนวดเครายาว ดวงตาสามเหลี่ยม ประสานมือคารวะนอบน้อม เบื้องหลังของเขา มีชาวยุทธแต่งกายแตกต่าง บ่งบอกว่ามาจากต่างสำนักยืนแถวตอนเรียงสี่เป็นระเบียบ ทำการคารวะ ค้อมกายเล็กน้อย ในลักษณะเดียวกันเมื่อมีผู้มาเยือนมากมายเช่นนี้ โถงรับรองของตำหนักหวงหลัน จึงดูแคบไปถนัดตา“ทุกท่านคงมาจากต่างสำนักกันใช่หรือไม่” หลัวจุ้นซินแย้มริมฝีปากน้อยๆ เลื่อนสายตาจ้องหน้าผู้มาเยือนด้วยไมตรี“ขอรับ ข้าได้รับประกาศจากท่านประมุขแล้ว จึงเห็นว่า ควรนำผู้ได้รับความเดือดร้อนจากหลัวเซียน และอู๋เหริ่นชวนมาที่นี่”“เดือดร้อนหรือ… ไม่ทราบว่าทุกท่านได้รับความเดือดร้อนเรื่องใดกัน”“หลายเดือนก่อน หลัวเซียนและประมุขน้อยพรรคมารได้หลบหนีเข้าไปในเผ่ามนุษย์ แย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ คัมภีร์สำคัญของเผ่ามนุษย์ไป”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ” หลัวจุ้นซินถึงกับผุดลุกจากเก้าอี้ นึกไม่ถึงเลยว่าอะไรๆ จะมาบรรจบกันอย่างประจวบเหมาะเช่นนี้ อย่างน้อยก็มีศัตรูของหลัวเซ
เพิ่งรู้ว่า บุรุษเซียนคนเดิมผู้มิใช่หนุ่มน้อยอ่อนแอในโอวาทของเขาคืนกลับมาแล้วก็ในยามนี้เอง ความตระหนกพาให้ประมุขน้อยหนุ่มเบิกตากว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง เป็นโอกาสให้คนตรงหน้าสอดปลายสัมผัสเข้าไปลิ้มรสความหอมหวานจากโพรงปากเล็กกว่าเสียอีก คนถูกรุกแบบไม่ทันตั้งตัวจึงเผลอครางแผ่วอย่างพออกพอใจ รอให้อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว จึงเอาคืนด้วยการยื่นหน้าเข้าไปขบเม้มตรงติ่งหูของอีกฝ่ายเบาๆ “พอเถอะ” หลัวเซียนร้องห้ามเสียงสั่น แทนที่จะห้ามอีกฝ่ายไม่ให้รุกคืบหนักข้อเข้า กลับเป็นการเชิญชวนเสียนี่ “เสี่ยวชวน”“อะไร” ประมุขน้อยหนุ่มงึมงำ ลากเลื่อนเรียวลิ้นลงมาวนเวียนตรงลำคอของเขาอย่างเอาใจ “เดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเข้า” แทนที่จะหยุด ประมุขน้อยหนุ่มเพียงกะพริบตา ประตูห้องยาก็ปิด ซ้ำยังลงกลอนเอง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพลิกฝ่ามือร่ายอาคมกำกับไว้อีกต่างหาก “เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว ต่อให้เจ้าร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยินด้วย” อู๋เหริ่นชวนยิ้มยั่วเย้า คิดจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงหลัวเซียนพลิกวาดฝ่ามือในอากาศไม่กี่ครั้ง เสื้อผ้าของประมุขน้อยเช่นเขา จะรูดลงไปกองที่พื้น โดยเจ้าตัวไม่
เงียบ ไร้เสียงตอบกลับมา สังหรณ์ใจแล้วว่า ตนเองคงถูกประมุขน้อยหนุ่มแกล้งเข้าให้แล้ว จึงเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาเรียกหาเมื่อครู่ จะเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับสวมเสื้อตัวใหม่ให้ ผูกสายรัดเอวให้เรียบร้อย แล้วจัดการดึงผ้าเช็ดตัวพันกายออกให้เสียด้วย “เจ้าเอาเสื้อผ้าข้าไปหรือ”“ใช่แล้วจะทำไม ข้าหายไปตั้งหลายวัน ลืมแล้วหรือว่า ใครต้องดูแลเจ้าน่ะ”“เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เมื่อก่อนเจ้าก็สอนให้ข้าทำโน่นทำนี่เองไม่ใช่หรือ แม้แต่หาอาหาร เจ้าก็ยังให้ข้าเป็นคนไปหามาให้เจ้ากินเลย” นึกถึงการใช้ชีวิตระหกระเหิน ไม่รู้เหนือใต้กลางป่าเขาแล้ว หลัวเซียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตนเองผ่านมันมาได้อย่างไร วันใดสมาธิไม่มั่นคง ดวงตาที่สามปรากฎภาพไม่ชัดเจน เมื่อต้องออกหาอาหารเพียงลำพัง บ่อยครั้งมีสะดุดรากไม้ล้มหน้าคะมำบ้าง ยามหาผลไม้ ถูกมดแดงรุมกัดตามเนื้อตัวบ้าง แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ โดยไม่เคยปริปากบอกแก่อู๋เหริ่นชวนเลยแม้แต่คำเดียว เพราะรู้ว่ายามนั้น ประมุขน้อยหนุ่มเองก็ไม่ต่างจากเขา คนหนึ่งพลังวิญญาณน้อยนิดจนแทบสูญสิ้น ซ้ำยังตาบอดสนิทอี