เห็นว่าหลัวเซียนจมน้ำไปนานแล้ว เกรงว่าพิษในร่างจะกำเริบขึ้นมาอีก จึงจมน้ำไปเช่นนั้น ตัดสินใจอยู่ครู่ จึงถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดลงไป ดำหาหลัวเซียนอยู่ครู่ใหญ่ สลับกับตะโกนเรียกชื่อเขา แต่กลับไม่มีเสียงใดตอบกลับมา นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีมือของใครคนหนึ่ง ดึงขาเขาให้จมน้ำไปด้วยกัน อู๋เหริ่นชวนดิ้นรน หลับหูหลับตากลืนน้ำไปหลายอึก พอลืมตาขึ้นได้ ก็เห็นว่าหลัวเซียนถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว “ท่านหลอกข้านี่” อู๋เหริ่นชวนตะโกนเอะอะ โผล่ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้ก็จะเข้าบีบคอคนตรงหน้า ทว่าหลัวเซียนกลับรู้ทัน ชิงรวบมือเขาเอาไว้เสียก่อน “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้าแกล้งข้าก่อน แกล้งอาจารย์ควรมีโทษสถานใด” “จะทำอะไรก็ทำ ยังไงฝีมือข้าก็สู้ท่านไม่ได้อยู่แล้วนี่” ประมุขน้อยหนุ่มประชดประชันออกไป นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ บุรุษหนุ่มรูปงามจะโอบเอวเขาเอาไว้ แล้วพาขึ้นฝั่งมาด้วยกัน “มา ข้าอบผ้าให้เจ้า” ว่าแล้วหลัวเซียนก็วาดฝ่ามือในอากาศ รวมพลังปราณมายังมือ แล้วปล่อยละไอร้อนเป่ากางเกงให้อู๋เหริ่นชวนจนแห้งก่อน แล้วจึงอบผ้าให้ตนเองจนแห้งสนิท“เห็ดหลินจือแดงของเจ้าช่วยบำรุงร่างกายได้ดีจริงๆ ข้ารู้สึกดี
“ศิษย์น้องอู๋ เจ้าว่าอะไรนะ” มู่เฉินคงได้ยินคำพูดเขาไม่ชัดเจนนักเลิกคิ้ว “ศิษย์พี่มู่เฉิน เจ้าว่าวันนี้อาจารย์ออมมือให้อาจารย์อาหรือเปล่า” ซานไป๋ยังคงไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น“นั่นสิ ทุกทีอาจารย์ไม่เคยออมมือเลยนะ ชนะอย่างสมศักดิ์ศรีมาตลอด” จิวยี่เปรียบเทียบการต่อสู้ในหลายปีที่ผ่านมา ทุกคราวอาจารย์ของเขาจะไม่เคยออมมือ ต่อสู้เต็มกำลังมาตลอด มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่ท่วงท่าการต่อสู้ ดูเหมือนจะอ่อนกำลัง ขาดความดุดันเข้มแข็งกว่าที่เคย ฟังการสนทนาของศิษย์พี่แล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็อดเป็นห่วงหลัวเซียนขึ้นมาไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ และนี่ก็ไม่ใช่เวลามาเกลียดชังเขาด้วย เพียงใจบอกตนเองว่าไม่ได้เกลียดชังเขาแล้ว จู่ๆ ก็กลับรู้สึกแน่นหน้าอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกการเต้นของหัวใจเจ็บร้าวรุนแรง พาให้ลมหายใจติดขัด ราวส่วนลึกของแก่นวิญญาณ ต้องการให้เขายังคงเกลียดชังหลัวเซียนต่อไป นั่นอย่างไร เขากำลังถอยหลังไปเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงริมผาอยู่แล้ว อีกไม่ช้า ก็จะตกลงไปเบื้องล่าง หากหลัวเซียนตาย ความเกลียดชังที่มี ก็จะถึงคราวจบลงเสียที หากเป็นเช่นนั้น มันก็จะไม่โหดร้ายไปหน่อยหรื
“นั่นวิหคโลหิตนี่” อาจารย์กับบรรดาศิษย์ร่วมสำนักเซียนต่างแตกตื่น หลัวเซียนแพ้การประลอง ร่างร่วงหล่นลงไปยังผืนน้ำเบื้องล่าง ยังไม่สร้างความตื่นกลัวให้ได้เท่ากับวิหคโลหิตโผบินเหนือน่านฟ้า ไม่เพียงเท่านั้น ทุกที่ที่วิหคโลหิตบินผ่าน เบื้องล่างจะต้องกลายเป็นป่าอัคคี จากเพลิงกัลป์ที่พุ่งตามการขยับปีกขึ้นลงจากที่จะช่วยหลัวเซียน ทุกคนจึงต่างต้องหลบหนีเอาตัวรอด จึงมิได้สนใจว่า วิหคโลหิตได้พุ่งลงไปยังใต้ผาเหลื่อมเมฆา โฉบรับร่างหลัวเซียนเอาไว้ได้ทันท่วงที ทันทีที่เรือนขนสีแดงเพลิงต้องโลหิตหลัวเซียน ก็กลับกลายร่างเป็นอู๋เหริ่นชวนในสภาพหมดสติ ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำไปพร้อมกัน จึงต่างไม่รู้ตัวเลยว่า สายน้ำเชี่ยวกราก มิได้ต้องการพรากชีวิตและลมหายใจของสองบุรุษหนุ่มไป แต่ได้พัดพาเอาร่างของทั้งคู่ ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอู๋เหริ่นชวนไม่อาจรู้เลยว่าตนเองหมดสติไปนานเท่าไร มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อสายลมเย็นพัดมาต้องผิวกายจนหนาวสะท้าน เปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมอง ก็พบว่าตนเองนอนอยู่ริมลำธาร“เกิดอะไรขึ้น!” ประมุขน้อยหนุ่มถามตนเอง นิ่งนึกอยู่ครู่ก็จำได้ว่า ตนเองวิ่งเตลิดเข้าป่า แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีก
“...เสียงนั่นอีกแล้ว ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินเสียงนั่นตอนเห็นภาพปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนกับจอมมารอู๋เซียงอี๋ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใด เมื่อข้าได้ยินเสียงนั่น ถึงรู้สึกเกลียดชังหลัวเซียนขึ้นมาอีกแล้ว หรือว่าข้ากำลังจะเสียสติไปแล้วจริงๆ...”อู๋เหริ่นชวนยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมหน้าอก หายใจเข้าออกช้าลึกไล่ขับความอึดอัดนั่นออกไป ครู่เดียวอาการเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหายไปจนเป็นปกติขณะเดียวกัน หลัวเซียนสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นแล่นมาปะทะผิวกาย ทว่าภายในร่างกายกลับร้อน จนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ค่อยๆ เปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นอย่างยากเย็น ทว่าแทนที่จะเห็นว่ารอบกายคือที่ใด ก็กลับแลเห็นเพียงความมืดมิด แม้ลำแสงเท่ารูเข็มก็มิอาจมองเห็นได้“...เกิดอะไรขึ้น!...” เขาถามตนเองในใจ ยกมือขึ้นขยี้ตา หลับตาลงเปิดเปลือกตาขึ้นมาใหม่ แต่กลับยังคงพบเพียงความมืดมิดดังเดิม โสดประสาทยินเสียงความเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา น่าแปลกที่กลับสัมผัสได้ว่า เจ้าของความเคลื่อนไหวไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอู๋เหริ่นชวนนั่นเอง“ท่านฟื้นแล้วนี่ เป็นยังไงบ้าง”“ข้าเป็นอะไรไป”“ท่านก็ถูกพิษตอนสู้กับศิษย์น้องท่านน่ะสิ หากไม่ได้ข้า เจ้าก็คงตายไปแล้ว”“งั้น
“แต่เท่าที่ข้ารู้ ประมุขน้อยไม่มีแม้แต่พลังวิญญาณไม่ใช่หรือ แล้วจะสำเร็จวิชาขั้นสุดยอดของพรรคมารโลหิตได้อย่างไร ได้ยินว่า ขนาดประมุขอู๋ลี่หมิงคนปัจจุบัน ยังไม่อาจฝึกวิชานี้ได้ถึงขั้นสุดยอดเลย” หลัวชิงหยาง อาจารย์สูงวัย เจ้าของดวงหน้ากลมแป้น อิ่มเอิบ แม้ในยามปกติ สีหน้าก็ยังดูแย้มยิ้มอยู่เป็นนิจบอกเล่าในสิ่งที่เขาเองรู้มาเช่นกัน “ทุกท่าน เรื่องวิหคโลหิตเอาไว้ก่อนเถิด ตอนนี้สิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญก็คือ เรื่องของจิ้งเทียน ป่านนี้เขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ก็ยังไม่มีใครรู้ได้” หลัวเซิ่นเอ่ยถึงนามรองของศิษย์คนโปรด “ท่านอาจารย์เซิ่น เรื่องศิษย์พี่ ข้าเองก็ร้อนใจไม่น้อยไปกว่าท่าน แต่หากประมุขน้อยอู๋หายไปอีกคน เผ่ามารย่อมคลางแคลงใจ จนอาจส่งผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าได้ ท่านคงเข้าใจนะขอรับ” “อึม ที่จุ้นซินพูดก็มีเหตุผล บางทีประมุขน้อยอู๋ อาจจะกำลังออกตามหาอาจารย์ของเขาอยู่ก็เป็นได้ ได้ยินว่า แม้พวกเขาจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี ทุกท่านก็รู้ไม่ใช่หรือว่า ที่สำนักเจียงอู่ เพื่อศิษย์คนใหม่แล้ว จิ้งเทียน
หลังจากกินอาหารเรียบร้อย อู๋เหริ่นชวนก็ออกไปเก็บสมุนไพรมาเก็บไว้ต้มให้หลัวเซียนดื่ม โดยมีคนไข้จำเป็นถือไม้เท้าทำจากไม้ไผ่เดินตามมาติดๆ “นี่ ท่านจะมาทำไม มาแล้ว จะช่วยข้าหาสมุนไพรได้รึไง”“ข้ามาเป็นเพื่อนเจ้า” “ทำไม กลัวข้าถูกเสือคาบไปกินรึไง รึต่อให้เจอเสือ ท่านจะทำอะไรได้ อย่าลืมสิว่า พลังวิญญาณท่านยังไม่ฟื้นคืน เราทั้งคู่ต่างกลายเป็นคนไร้ประโยชน์เหมือนกัน คงได้กลายเป็นอาหารเสือทั้งคู่”“เป็นอย่างนั้นก็ดี ได้ตายพร้อมประมุขน้อยพรรคมาร ก็ไม่นับว่าเสียชาติเกิด” หลัวเซียนเคาะไม้เป็นจังหวะสลับกับการก้าวเดิน แต่แล้วก็ต้องเป็นฝ่ายชะงัก เมื่อโสดประสาทยินเสียงฝีเท้าเร็วๆ ดังใกล้เข้ามาเพียงนิ่งฟัง ใช้สมาธิจดจ่อไปยังสิ่งที่ได้ยิน ในใจเขาก็ปรากฎภาพนักพรตชราผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาด เรือนผมหงอกขาวเกล้าสูงประดับปิ่นปักผมสีม่วง หน้าตาเหี่ยวย่น ถือไม้เท้า กำลังเดินมาทางที่เขากับอู๋เหริ่นชวนยืนอยู่น่าประหลาดเหลือเกินที่บริเวณก้นกบของนักพรตผู้นั้นกลับมีหางเป็นพวงงอกออกมาด้วย หลัวเซียนกำไม้ไผ่ในมือต่างกระบี่มั่น พยายามเรียกพัดเวทย์ออกมาจากมือซ้าย แต่ก็มิอาจทำได้ ขณะที่ประมุขน้อยหนุ่มเองก็ชะ
จอมมารอู๋เซียงอี๋เหินกายอ้อมไปยังด้านหลังของมัน ฟาดฟันคมกระบี่เข้าใส่ขาหลังของมันสุดแรง จนขาหลังสองข้างขาดกระเด็น ขณะที่ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนเอง ซัดพลังจากกู่ฉินพิฆาตเข้าใส่ เพียงต้องเวทย์จากสายฉินพิฆาต ผนวกกับถูกโจมตีด้วยคมกระบี่หยกโลหิต ปีศาจแมงมุมก็ถึงคราวสิ้นฤทธิ์ ยอมคายพลังวิญญาณของมนุษย์ที่นางกลืนกินเข้าไปออกมา พลังวิญญาณลักษณะคล้ายลูกแก้วหลายดวงล่องลอยในอากาศ ครู่เดียวก็ค่อยๆ ล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า อึดใจต่อมาร่างของปีศาจแมงมุมก็ค่อยๆ สลายกลายเป็นเถ้าธุลี “เป็นยังไงบ้าง” ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนปราดเข้าไปหาสหายรัก ผู้กำลังสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก แล้วเก็บเข้าไว้ในมือขวาดังเดิม “เป็นยังไงบ้าง” ปรมาจารย์หรงอ้ายเสียนกราดสายตาสำรวจไปทั่วร่างสหายรัก คิ้วมังกรเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อพบว่า แขนเสื้อข้างซ้ายของเขาขาดวิ่น “เสื้อเจ้า!” “เล็กน้อยน่า” จอมมารหนุ่มยกมือขึ้นคลำแขนเสื้อข้างที่ขาด พลางส่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ “ก็แค่เสื้อขาด เดี๋ยวค่อยซื้อใหม่ก็ได้”
ดวงตะวันลับขอบฟ้า พาให้สรรพชีวิตในป่ากลับสู่รวงรัง ถิ่นที่อยู่ของตน ขณะที่คณะเดินทางของอู๋หมิ่นเยี่ยนและบรรดาศิษย์น้องเอง ก็พักค้างแรมกลางป่าเช่นกัน จากการเดินทางแบบไม่รีบร้อนนัก พรุ่งนี้ก็คงถึงเมืองยวี่เทียนแล้ว “แม่นางอู๋” หูซื่อเยว่ส่งมันเผาเสียบไม้หัวหนึ่งให้ แล้วเดินมานั่งลงอีกด้านหนึ่งของกองไฟ มองเปลวไฟแลบเลียกองฟืน สลับกับดวงหน้านวล ยามต้องแสงไฟ ยิงพิศมองก็ยิ่งชวนให้นึกถึงดวงหน้าฮูหยินผู้ล่วงลับของเขา หากไม่เพราะอยากมองดวงหน้างดงามนี้ให้เต็มตาในทุกๆ วัน ผู้อาวุโสอายุร่วมร้อยปีเช่นเขา คงกลับเขาเทียนคงไปแล้ว ไม่ตามติดแม่นางน้อย อายุคราวเหลนอยู่เช่นนี้หรอก “คุณชายหู พรุ่งนี้ก็จะถึงเมืองยวี่เทียนแล้ว หลังจากท่องเที่ยวฟังนิทาน ชมละครที่เมืองยวี่เทียนจนอิ่มหนำแล้ว หากไม่รังเกียจละก็ ข้าขอเชิญท่านไปเป็นแขกที่เคหาสน์พันดาวได้ทุกเมื่อเลยนะเจ้าคะ” “ขอบคุณแม่นางอู๋ อย่างไรข้าต้องไปเป็นแขกที่เคหาสน์พันดาวแน่” หูซื่อเยว่ประสานมือคารวะนอบน้อม หากไม่เกรงว่าหญิงงามตรงหน้าจะเสียหายละก็ เขาคงติดตามนางไปจนถึงเคหาสน์พันดาวแล้ว ไม่ทำตัว
“สหายอู๋ ท่านตื่นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง” หลัวเซียนลุกขึ้นประสานมือคารวะสหายที่กลายมาเป็นองค์ชาย เห็นดังนั้นประมุขน้อยหนุ่มจึงทำตามอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ “สหายทั้งสองไม่ต้องมากพิธีหรอก ในห้องนี้มีเพียงข้ากับสหาย ไม่มีองค์ชายกับราษฎร ค่ำนี้ข้าได้ให้ห้องเครื่องเตรียมสุราอาหารคาวหวานไว้รับรองสหายทั้งสองแล้ว” “รบกวนองค์ชายแล้ว” หลัวเซียนค้อมตัวลงเล็กน้อย “สหายจิ้งเทียน ท่านอย่าได้เกรงใจไปเลย อย่างไรข้าต้องต้อนรับว่าที่อาจารย์ของข้าเป็นอย่างดีอยู่แล้ว” “อาจารย์ หมายความว่ายังไง” “ข้าขอให้สหายจิ้งเทียนมาเป็นครูสอนกู่ฉิน และสหายจิ้งเทียนก็ได้ตอบตกลงแล้ว ส่วนสหายอู๋นั้น ระหว่างที่สหายจิ้งเทียนสอนข้าดีดฉินอยู่ในสวน ข้าจะหาหญิงงามมาปรนณิบัติท่านเป็นอย่างดี มิให้ท่านต้องเบื่อหน่ายอย่างแน่นอน”ไม่รู้เหตุใด เพียงแค่องค์ชายเอ่ยถึงหญิงงาม ประมุขน้อยหนุ่มก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา ว่ากันว่าบุรุษย่อมพึงใจในหญิงงาม เหตุใดเขาจึงไม่นึกพึงใจเช่นนั้นบ้างนะ แต่ถึงจะไม่พึงใจในหญิงงามอย่างไร แต่ก็อยากยั่วโมโหหล
“ข้าต้องขออภัยทุกท่านแทนสหายของข้าด้วย” บุรุษเซียนลุกขึ้นยืน ประสานมือขึ้นคารวะนอบน้อม “ข้ากับสหายเป็นเพียงคนผ่านทาง องค์รัชทายาทเพียงแต่มาฟังข้าดีดฉินเท่านั้น ขอท่านอย่าได้ถือสา” “คุณชายท่านนี้กับสหายผู้นั้น ล้วนเป็นแขกพิเศษของข้า หากพวกเจ้ากล้าเสียมารยาท ไม่ยอมสอดกระบี่เก็บเข้าฝัก หากกลับถึงวัง ข้าจะสั่งตัดมือพวกเจ้าทุกคนทิ้งเสีย!” สิ้นคำสั่งเฉียบขาดนั้น หัวหน้ากองทหาร พร้อมด้วยทหารผู้ติดตามก็ต่างสอดกระบี่เก็บเข้าฝักโดยพร้อมเพรียงกัน “คุณชายจิ้ง ข้าต้องขออภัยแทนทหารไร้มารยาทของข้าด้วย หากท่านไม่รังเกียจละก็ ขอเชิญกลับเข้าวังไปพร้อมกับข้าเถิด” หากจะขัดรับสั่งก็เกรงว่าตนเองและประมุขน้อยพรรคมารจะไม่ปลอดภัย จึงจำต้องเดินทางมากับขบวนเสด็จขององค์ชายฉู่หนิงจิ้งเสีย ณ ห้องลับ ใต้หอคัมภีร์ของวังหลวง แคว้นไป่ลี่ ภายในห้องโล่งกว้าง มืดทึบ มีเพียงแสงรำไรจากตะเกียงมุมห้องให้แสงสว่างเพียงสลัวราง มหาราชครูฉินหรูอวี้ กำลังจ้องมองเข้าไปในกระจกหมื่นลี้บานใหญ่ หลังจาก
“หากสหายข้า เรียกกู่ฉินออกมาได้ ท่านจะให้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน” “เงินหนึ่งร้อยตำลึง” เฉาเหว่ยพูดจาส่งเดชไปอย่างนั้นเอง เขามั่นใจเหลือเกินว่า อย่างไรเสียก็ไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากนี้ไปอย่างแน่นอน ขณะที่หลัวเซียนเพียงแต่แย้มริมฝีปากน้อยๆ รู้หรอกว่า ประมุขน้อยหนุ่มกำลังหลอกเอาเงินจากคนท้าอยู่ เพื่อปากท้องระหว่างเดินทาง คงต้องยอมเรียกกู่ฉินออกมาสักหน่อยแล้วละ บอกตนเองแล้ว บุรุษเซียนก็วาดพลิกฝ่ามือขึ้นในอากาศ ครู่เดียวกู่ฉินเวทย์ก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า “เรื่องเงิน เจ้าคงไม่ผิดคำพูดหรอกนะ”ยามนี้เฉาเหว่ยแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง แต่ก็ยอมหยิบถุงเงินออกมายื่นให้ประมุขน้อยหนุ่มอย่างไม่เต็มใจนัก “คุณชาย เมื่อครู่ตอนที่ข้ากำลังชมป่าอยู่ ได้ยินเสียงฉินของท่าน รู้สึกหลงไหลในท่วงทำนองยิ่งนัก จึงได้เที่ยวตามหาจนมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่า ท่านพอจะดีดฉินให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่” ไม่เพียงแต่ต้องการฟังเสียงฉิน บุรุษหนุ่มผู้ดูมีฐานะ ยังให้คนของเขาเตรียมสุรา มาพร้อมสรรพอีกต่างหาก จากคนแปลกหน้า เมื่อต่างได้ดื่มสุ
หลังการจิบน้ำชาร่วมกับสหายใหม่ผ่านพ้นไป หูซื่อเยว่ก็กลับมาลาประมุขอู๋ลี่หมิง เพื่อเดินทางออกจากเคหาสน์พันดาว นึกไม่ถึงเลยว่า เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาภายในห้องรับรอง จะพบอู๋หมิ่นเยี่ยนอยู่ในห้องนั้นด้วย “ท่านประมุขอู๋ แม่นางอู๋” เซียนกระบี่หน้าละอ่อนประสานมือคารวะนอบน้อม “ท่านอาวุโส มาพอดีเลย เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะให้เยี่ยนเอ๋อร์เป็นตัวแทนพรรคมารโลหิต เดินทางไปแสดงความยินดีกับประมุขเผ่าเซียนคนใหม่ ที่จะขึ้นรับตำแหน่งในต้นเดือนหน้าอยู่พอดี เยี่ยนเอ๋อร์บอกข้าว่า ท่านจะร่วมเดินทางไปด้วย ข้าจึงมิได้ให้อาเหยียน อาถง อาเฉียงติดตามไปด้วย มีศิษย์เอกของสำนัก ร่วมเดินทางไปกับท่านเซียนกระบี่เขาเทียนคง เดินทางไปพร้อมของขวัญล้ำค่า ก็เพียงพอแล้ว” “เหตุใดท่านประมุขจึงไม่แต่งขบวนของกำนัลไปล่ะ” หูซื่อเยว่ยังมิอาจคลายความสงสัยได้ “จะแต่งขบวนไปได้อย่างไร ในเมื่อผู้ที่ก้าวขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขมิใช่ท่านหลัวเซียนน่ะสิ ท่านหลัวเซียนหายตัวไปไม่นาน หลัวจุ้นซิน ศิษย์ผู้น้องก็เสนอตนขึ้นรับตำแหน่งประมุขเสียแล้ว เช่นนี้ดูไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย”
“แม่นางอู๋ มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ” “ข้า... ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่าน” “แม่นางโปรดรอซักครู่ ข้าขอสวมเสื้อให้เรียบร้อยก่อน” ครู่ต่อมา หนึ่งเซียนกระบี่ กับอีกหนึ่งหญิงสาวก็มานั่งประจันหน้ากันอยู่ตรงม้าหินใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่ กลางสวนหย่อมใกล้กับเรือนรับรอง “ขออภัยที่ข้ามารบกวนท่าน” ทั้งที่เมื่อตอนหัวค่ำ เพิ่งจะล่วงเกินคนรุ่นทวดไป ถึงขนาดชักกระบี่ออกมาข่มขู่ หากความอยากรู้ก็ทำให้นางต้องยอมอ่อนข้อให้คนตรงหน้าเสียอย่างนั้น “ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือเป็นการรบกวนอะไร” หูซื่อเยว่แย้มริมฝีปากน้อยๆ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงเลยว่า สตรีงามตรงหน้าจะถามเรื่องที่เขาไม่ต้องการตอบเช่นนี้“แม่นางชิงชิงเป็นใคร”เซียนกระบี่หน้าละอ่อนก้มหน้าน้อยๆ ดวงหน้าคมคายสลดลงอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้เลย “นางคือฮูหยินของข้า นอกจากคนของเขาเทียนคงแล้ว ไม่เคยมีใครรู้จักนาง แล้วเจ้ารู้จักนางได้อย่างไร” “ข้าเองก็ไม่รู้ว่า ข้ารู้จักชื่อนางได้อย่างไร แต่ในทุกค่ำคืนที่ข้าหลับ ข้ามักจะฝันเห็นนาง ใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษผู้หนึ่ง กร
“ไปให้พ้น!” นางชี้ปลายกระบี่ไปที่ผู้อาวุโสกว่า“เจ้าเก็บกระบี่ก่อนได้หรือไม่ ข้าเพียงอยากมาขอโทษเจ้า ข้าไม่ได้เจตนาจะหลอกลวงเจ้า” อู๋หมิ่นเยี่ยนสอดกระบี่เข้าฝักอย่างกระแทกกระทั้นเต็มที“หากไม่เพราะท่านประมุขสัมผัสปราณเซียนร้อยปีของท่านได้ ท่านคงไม่ยอมรับ คงเห็นข้าโง่งมนักสินะ”“ไม่ใช่อย่างนั้น หากข้าบอกเจ้าแต่แรกว่า ข้าแก่ปูนนี้ อายุเกินร้อยปีแล้ว เจ้าจะเชื่อหรือ” อู๋หมิ่นเยี่ยนชะงัก จริงสินะ หากเขาบอกนางว่าอายุเกินร้อยปีตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน นางคงหาว่าเขาล้อเล่นเท่านั้น คนอายุร้อยปีอะไร จะยังอ่อนเยาว์อยู่เช่นนี้ “ข้าขอโทษ ที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้ หากเจ้าไม่สบายใจละก็ ข้าจะออกจากเคหาสน์พันดาวไปเสียเดี๋ยวนี้ และจะไม่กลับมาให้เจ้าเห็นหน้าอีก” ไม่รู้เหตุใด เพียงแค่รู้ว่าเขากำลังจะจากไปแล้ว นางจึงรู้สึกคล้ายของรักกำลังจะหลุดลอยไปจากมือเช่นนี้ นางจะต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ ที่รู้สึกพิเศษกับผู้อาวุโสคราวทวดได้เช่นนี้ “ท่านจะไปที่ใด เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย แต่อย่างไรท่านก็ควรให้เกียรติท่านประมุขด้วย ไม่ใช่นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ถึงท่านจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ใช่จะทำตามอำเพอใจได้” ที่เ
“ข้าได้ทำร้ายเจ้าหรือไม่” ไม่ ตรงกันข้ามเจ้ากลับเป็นคนพาข้าหนีออกมาด้วยซ้ำ แสดงว่าเจ้ายังคงครองสติได้ แต่ไม่อาจควบคุมพลังสังหารในตัวเจ้าได้” ฟังคำตอบของบุรุษเซียนแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ได้แต่ระบายลมหายใจหนักๆ“มือของข้าเปื้อนเลือดซะแล้ว”“แต่พวกเขาเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าก่อน”“หากข้าควบคุมพลังไม่ได้ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร” “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปเลย พักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกกัน” “ก็ได้ๆ ว่าแต่เจ้าเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่”“ข้าไม่เป็นไร ที่หอเหม่ยลี่ ตอนกำลังจะถูกแส้ของนาง จู่ๆ ข้าก็เรียกพัดเวทย์ออกมาปัดแส้ไว้ได้ทัน แต่พลังก็ยังคงอ่อนอยู่” “แต่เจ้าก็ไม่ได้อ่อนแรงแล้วนี่ แสดงว่าพลังวิญญาณเจ้าเริ่มฟื้นขึ้นมาทีละน้อยแล้ว เจ้าเองก็ต้องฝึกฝนด้วยเช่นกัน” “คงต้องเป็นอย่างนั้น อากาศเริ่มเย็นแล้ว ใส่เสื้อเถอะ มา ข้าช่วย” ว่าแล้วบุรุษเซียนก็คว้าเสื้อของตนเองมาถือไว้ในมือ รอกระทั่งอีกฝ่ายหยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้ว จึงค่อยๆ สวมให้“เสื้อเจ้าขาดหมดแล้ว ใส่เสื้อข้าไปก่อนนะ” “ขอบคุณ” อู๋เหริ่นชวนไม่เอ่ยเปล่า ชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนกำลังสวมเสื้อให้แน่วนิ่ง เพีย
“เจ้าต้องการอะไร” “ท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป” สตรีหน้าตาหมดจดงดงาม ทว่านัยน์ตาทั้งคู่กลับฉายแววโหดเหี้ยม ลมหายใจเข้าออกเรื่อยช้า เยือกเย็นเชยคางประมุขน้อยหนุ่มขึ้นสบตา แต่แทนที่เขาจะทำตามความต้องการของนาง กลับห่วงความปลอดภัยของผู้ที่ติดตามมาด้วยมากกว่า“คนของข้าล่ะ”“คุณชายดวงตาพิการผู้นั้นน่ะหรือ ข้าขังเขาไว้ในห้องข้างๆ นี่เอง หากเจ้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมาแล้ว ข้าก็จะปล่อยเจ้า และเขาออกไปพร้อมกัน”“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เจ้าจะไม่โกหก”“ข้ามีเหตุผลอันใดต้องโกหกเจ้าด้วยเล่า”“หากข้าไม่ทำตามล่ะ”“ข้าก็จะทรมานเจ้าจนตาย แม้แต่คุณชายผู้นั้นก็ต้องตายด้วยเช่นกัน” “หากข้าตาย คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะหายไปพร้อมกับข้าด้วย เจ้าปล่อยเขาก่อนสิ แล้วข้าจะท่องคัมภีร์นั่นออกมา” ภายนอกนั้น ประมุขน้อยหนุ่มพูดจาเล่นลิ้นไปเรื่อยก็จริง ทว่าสมองกลับคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่จริงสินะ ทุกครั้งที่พบกับอันตราย เหตุการณ์จวนตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว พลังปราณในกายเขาจึงจะสำแดงออกมา ตอนพบกับจิ้งจอกม่วง หรือแม้กระทั่งตอนวิ่งหนีกลุ่มชายชุดดำเมื่อคืน ก็ล้วนเอาตัวรอดได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งนั
ขณะที่บุรุษเซียนมือไม้สั่น ขณะลงกับหัวกางเกงอีกฝ่าย “พอๆ ไม่ต้องหาแล้ว ข้าล้อเล่นน่ะ อยากรู้ว่าเจ้าจะทำยังไง” “เจ้า!” เจอคนขี้เล่นแกล้งเข้าให้ บุรุษเซียนก็นึกฉุน คว้าไม้ไผ่มาไว้ในมือ ลุกขึ้นได้ก็เดินฉับๆ กลับมาหน้าตาเฉย “เป็นอะไร โกรธรึไง รึว่าเสียดาย” “เสียดายอะไร” “ก็เสียดายที่ไม่ได้จับพญาช้างศารของข้าน่ะสิ เจ้าเกิดในตระกูลเซียนชั้นสูง คงไม่เคยมีใครหยอกเจ้าแบบนี้สินะ” “ใช่” หลัวเซียนพยักหน้ารับ จริงอย่างที่เขาว่านั่นละ ใครเลยจะกล้าเล่นหัวกับว่าที่ประมุขเผ่าเซียน แค่เห็นว่าหลัวเซียนเดินผ่านมาก็ต้องแสดงการคารวะ แล้วเดินตัวลีบเลี่ยงไปทางอื่น ยิ่งเขาเติบโตขึ้น สำนักเซียนรับศิษย์รุ่นใหม่ เขาก็กลายเป็นอาจารย์ไปโดยปริยาย ใครเลยจะกล้าหยอกเล่นกับอาจารย์กันเล่า “รีบกลับเถอะ ข้าง่วงแล้ว” อู๋เหริ่นชวนยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด เร่งฝีเท้านำอีกฝ่ายกลับมายังโรงเตี๊ยม ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองว่า เขาจะเดินตามมาทันหรือไม่ เมื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว ใยต้องสนใจคนที่ใจไม่เคยนับเป็นสหายอีกเล่า ณ