ดวงตะวันลับขอบฟ้า พาให้สรรพชีวิตในป่ากลับสู่รวงรัง ถิ่นที่อยู่ของตน ขณะที่คณะเดินทางของอู๋หมิ่นเยี่ยนและบรรดาศิษย์น้องเอง ก็พักค้างแรมกลางป่าเช่นกัน จากการเดินทางแบบไม่รีบร้อนนัก พรุ่งนี้ก็คงถึงเมืองยวี่เทียนแล้ว “แม่นางอู๋” หูซื่อเยว่ส่งมันเผาเสียบไม้หัวหนึ่งให้ แล้วเดินมานั่งลงอีกด้านหนึ่งของกองไฟ มองเปลวไฟแลบเลียกองฟืน สลับกับดวงหน้านวล ยามต้องแสงไฟ ยิงพิศมองก็ยิ่งชวนให้นึกถึงดวงหน้าฮูหยินผู้ล่วงลับของเขา หากไม่เพราะอยากมองดวงหน้างดงามนี้ให้เต็มตาในทุกๆ วัน ผู้อาวุโสอายุร่วมร้อยปีเช่นเขา คงกลับเขาเทียนคงไปแล้ว ไม่ตามติดแม่นางน้อย อายุคราวเหลนอยู่เช่นนี้หรอก “คุณชายหู พรุ่งนี้ก็จะถึงเมืองยวี่เทียนแล้ว หลังจากท่องเที่ยวฟังนิทาน ชมละครที่เมืองยวี่เทียนจนอิ่มหนำแล้ว หากไม่รังเกียจละก็ ข้าขอเชิญท่านไปเป็นแขกที่เคหาสน์พันดาวได้ทุกเมื่อเลยนะเจ้าคะ” “ขอบคุณแม่นางอู๋ อย่างไรข้าต้องไปเป็นแขกที่เคหาสน์พันดาวแน่” หูซื่อเยว่ประสานมือคารวะนอบน้อม หากไม่เกรงว่าหญิงงามตรงหน้าจะเสียหายละก็ เขาคงติดตามนางไปจนถึงเคหาสน์พันดาวแล้ว ไม่ทำตัว
หลังจากเดินทางมาตลอดทั้งวัน ประมุขน้อยหนุ่มก็ติดตามบุรุษเซียนมาถึงเผ่ามนุษย์ระหว่างแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ มองหลัวเซียนเดินเคาะไม้ไผ่ในมือไปเรื่อยนั่นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็มีโจรป่าร่างกำยำ สวมชุดดำ โพกผ้าดำจนเห็นเพียงตาทั้งสอง พร้อมกระบี่ครบมือบุกมาขวางหน้า “ส่งเงินมา แล้วพวกข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” “ข้าไม่มีเงิน ซ้ำยังตาบอด ทุกท่านโปรดปล่อยข้าไปเถิด” หลัวเซียนประสานมือขึ้นคารวะนอบน้อม ขอร้องออกไป แต่แทนที่สามโจรป่าจะยอมอ่อนข้อ กลับชักกระบี่ออกจากฝัก เกือบพร้อมกันหนึ่งในสามโจรป่าเข้าประชิดตัวบุรุษเซียน ยกปลายกระบี่ขึ้นจ่อที่คอเขาเอาไว้ หลัวเซียนไร้ทางเลือก จึงต้องหลับตาลง กำหนดสมาธิจดจ่อ ใช้ตาในสำรวจไปรอบๆ ใช้ไม้ไผ่ต่างกระบี่ในมือ ต่อสู้กับสามโจรป่าปลายกระบี่ฉวัดเฉวียนในอากาศ ต่างรุกรับโรมรัน แม้ท้ายที่สุดหลัวเซียนจะเป็นฝ่ายจัดการกับสามโจรป่า จนต่างทิ้งกระบี่วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง แต่การใช้กำลังก็ทำให้พิษกำเริบขึ้นมาอีก บุรุษเซียนทรงกายด้วยไม้ไผ่ในมือ เพื่อมิให้ตนเองต้องล้มลงไปกองกับพื้น พาร่างกายอันอ่อนเปลี้ยมายังใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ อย่างยากเย็น เขาเอนหลังพิงลำต้
“ข้าเป็นคนธรรมดาแล้ว อย่าพูดถึงเปลือกนอกที่ไม่ใช่ของข้านั่นอีกเลย” “ก็ได้ๆ ข้าจะไม่พูดถึงมันอีก เอาเป็นว่า ข้าจะให้เจ้าติดตามข้าไป จนกว่าพลังวิญญาณของเจ้าจะฟื้นคืนก็แล้วกัน อย่างน้อย หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาอีก จะได้มีคนพาเจ้ามารักษา”“ขอบคุณ” ฟังคำขอบคุณชวนให้ขนลุกนั่นแล้ว อู๋เหริ่นชวนก็รู้สึกจั๊กจี้หัวใจอย่างไรชอบกล “ข้าไม่ได้จะใจดีอะไรกับเจ้าหรอกนะ แค่เห็นแก่มารธรรมเท่านั้นเอง พอแล้วๆ” ประมุขน้อยหนุ่มลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แต่แล้วสองบุรุษต่างเผ่าก็ต้องชะงัก เบิกตากว้าง เมื่อจู่ๆ นักพรตเฒ่าผู้หนึ่งก็เดินโซซัดโซเซเข้ามาในศาลเจ้า ด้วยความหวาดหวั่นว่า ปีศาจตนใดจะปลอมตัวเป็นนักพรตเฒ่าอีกหรือไม่ หลัวเซียนจึงออกมายืนขวางระหว่างนักพรตกับอู๋เหริ่นชวนอย่างต้องการปกป้องเต็มที่แม้จะได้กลิ่นคาวเลือดจากอีกฝ่าย บุรุษเซียนก็ไม่กล้าเข้าใกล้คนตรงหน้าอยู่ดี“ท่านบาดเจ็บหรือ”แทนคำตอบ นักพรตเฒ่า หนวดเคราขาวยาวรุงรัง สวมเสื้อผ้าสีซีด แม้ภายนอกจะไม่มีบาดแผล ทว่ากลับบาดเจ็บภายในอย่างหนัก ก็กระอักเอาโลหิตออกมาเป็นสายยาว “เขากระอักเลือดออกมาแล้ว ท่านนักพรต ท่าน...” ว่าแล้วอู๋เหริ่นชวนก็ปราดเข้าไปประคองร่าง
“คืนนี้เราสองคนมีที่พักแล้ว รีบเข้าไปหาอะไรกิน แล้วนอนพักเอาแรงก่อนดีกว่า” “เจ้ามีเงินเหรอ” ประมุขน้อยหนุ่มนิ่งคิด มองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของบุรุษเซียนครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงปิ่นหยกของเขาออกมาอย่างถือวิสาสะ “นี่เจ้า!” “นี่ ปิ่นนี่ สำคัญกว่าปากท้องของเราสองคนรึไง ไป!” ว่าแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็กึ่งจูงกึ่งลากคนข้างกายเข้ามาในเมือง เพื่อหาร้านแลกเงิน กว่าจะมีที่กิน ที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ ช่างยากเย็นเสียจริงขณะที่หลัวเซียนเอง ได้แต่นึกโกรธที่อู๋เหริ่นชวนเอาปิ่นปักผมของเขาไปขาย ระคนเสียดาย จะอะไรเสียอีกเล่า ถ้ามิใช่ปิ่นนั่น เป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ก่อนสิ้นใจ ต่อให้ต้องอดตาย เขาก็จะไม่มีวันขายปิ่นชิ้นนั้นไปเด็ดขาด แทนที่จะกินอาหารบนโต๊ะ หลัวเซียนจึงเอาแต่นั่งนิ่ง ขณะที่คนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาแต่คีบบะหมี่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ “ทำไมเจ้าไม่กินล่ะ ไม่หิวรึไง เป็นอะไร” เห็นสีหน้านิ่งขึงของคนตรงหน้าแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็มองไม่เห็นความเป็นไปได้อื่นอีก นอกจากเรื่องปิ่นหยกเมื่อครู่“ทำไม
ยังไม่ทันจะถึงตัวประมุขน้อยหนุ่มด้วยซ้ำ เสียงของใครคนหนึ่งก็ตวาดก้องขึ้น “หยุดนะ! ไม่ว่าใครก็พาเขาไปไม่ได้ทั้งนั้น!” เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนเดือนแรม ไม่มีแม้แสงจันทร์เพียงนิดส่องลงมา จั่วเฉินและกลุ่มชายชุดดำ จึงแลเห็นเพียงบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมาจากหน้าต่างโรงเตี๊ยม ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเรียกกู่ฉินออกจากมือทั้งสองข้างได้ด้วย “เจ้าเป็นใคร” “บรรพชนเจ้าไง”สิ้นคำตอบนั้น การต่อสู้ด้วยท่วงทำนองกู่ฉินพิฆาต กับทำนองขลุ่ยก็เริ่มขึ้นไม่เพียงเสียงฉิน เสียงขลุ่ยจะบาดลึกเข้าไปในโสดประสาทของคนฟัง จนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะเท่านั้น แต่ยังทำให้มนตร์สะกดที่ครอบงำสติของประมุขน้อยหนุ่มคลายลงด้วยเช่นกัน ถึงคราวคับขันเช่นนี้ คนไร้ฝีมือเช่นประมุขน้อยหนุ่มจะทำอะไรได้ นอกจากออกวิ่งไปเบื้องหน้า แต่ก็ยังเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน เมื่อเทียบกับวิชาตัวเบาอยู่ดี วิ่งไปได้ครู่เดียว ชายชุดดำกลุ่มนั้นก็ตามมาทัน “จะหนีไปไหน” “พวกเจ้าก็อย่าตามมาสิ” ประมุขน้อยหนุ่มหยุดฝีเท้ากึก กวาดสายตาไปรอบๆ หาห
ขณะที่บุรุษเซียนมือไม้สั่น ขณะลงกับหัวกางเกงอีกฝ่าย “พอๆ ไม่ต้องหาแล้ว ข้าล้อเล่นน่ะ อยากรู้ว่าเจ้าจะทำยังไง” “เจ้า!” เจอคนขี้เล่นแกล้งเข้าให้ บุรุษเซียนก็นึกฉุน คว้าไม้ไผ่มาไว้ในมือ ลุกขึ้นได้ก็เดินฉับๆ กลับมาหน้าตาเฉย “เป็นอะไร โกรธรึไง รึว่าเสียดาย” “เสียดายอะไร” “ก็เสียดายที่ไม่ได้จับพญาช้างศารของข้าน่ะสิ เจ้าเกิดในตระกูลเซียนชั้นสูง คงไม่เคยมีใครหยอกเจ้าแบบนี้สินะ” “ใช่” หลัวเซียนพยักหน้ารับ จริงอย่างที่เขาว่านั่นละ ใครเลยจะกล้าเล่นหัวกับว่าที่ประมุขเผ่าเซียน แค่เห็นว่าหลัวเซียนเดินผ่านมาก็ต้องแสดงการคารวะ แล้วเดินตัวลีบเลี่ยงไปทางอื่น ยิ่งเขาเติบโตขึ้น สำนักเซียนรับศิษย์รุ่นใหม่ เขาก็กลายเป็นอาจารย์ไปโดยปริยาย ใครเลยจะกล้าหยอกเล่นกับอาจารย์กันเล่า “รีบกลับเถอะ ข้าง่วงแล้ว” อู๋เหริ่นชวนยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด เร่งฝีเท้านำอีกฝ่ายกลับมายังโรงเตี๊ยม ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองว่า เขาจะเดินตามมาทันหรือไม่ เมื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว ใยต้องสนใจคนที่ใจไม่เคยนับเป็นสหายอีกเล่า ณ
“เจ้าต้องการอะไร” “ท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป” สตรีหน้าตาหมดจดงดงาม ทว่านัยน์ตาทั้งคู่กลับฉายแววโหดเหี้ยม ลมหายใจเข้าออกเรื่อยช้า เยือกเย็นเชยคางประมุขน้อยหนุ่มขึ้นสบตา แต่แทนที่เขาจะทำตามความต้องการของนาง กลับห่วงความปลอดภัยของผู้ที่ติดตามมาด้วยมากกว่า“คนของข้าล่ะ”“คุณชายดวงตาพิการผู้นั้นน่ะหรือ ข้าขังเขาไว้ในห้องข้างๆ นี่เอง หากเจ้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ออกมาแล้ว ข้าก็จะปล่อยเจ้า และเขาออกไปพร้อมกัน”“แล้วข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เจ้าจะไม่โกหก”“ข้ามีเหตุผลอันใดต้องโกหกเจ้าด้วยเล่า”“หากข้าไม่ทำตามล่ะ”“ข้าก็จะทรมานเจ้าจนตาย แม้แต่คุณชายผู้นั้นก็ต้องตายด้วยเช่นกัน” “หากข้าตาย คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะหายไปพร้อมกับข้าด้วย เจ้าปล่อยเขาก่อนสิ แล้วข้าจะท่องคัมภีร์นั่นออกมา” ภายนอกนั้น ประมุขน้อยหนุ่มพูดจาเล่นลิ้นไปเรื่อยก็จริง ทว่าสมองกลับคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่จริงสินะ ทุกครั้งที่พบกับอันตราย เหตุการณ์จวนตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว พลังปราณในกายเขาจึงจะสำแดงออกมา ตอนพบกับจิ้งจอกม่วง หรือแม้กระทั่งตอนวิ่งหนีกลุ่มชายชุดดำเมื่อคืน ก็ล้วนเอาตัวรอดได้อย่างไม่น่าเชื่อทั้งนั
“ข้าได้ทำร้ายเจ้าหรือไม่” ไม่ ตรงกันข้ามเจ้ากลับเป็นคนพาข้าหนีออกมาด้วยซ้ำ แสดงว่าเจ้ายังคงครองสติได้ แต่ไม่อาจควบคุมพลังสังหารในตัวเจ้าได้” ฟังคำตอบของบุรุษเซียนแล้ว ประมุขน้อยหนุ่มก็ได้แต่ระบายลมหายใจหนักๆ“มือของข้าเปื้อนเลือดซะแล้ว”“แต่พวกเขาเป็นฝ่ายทำร้ายเจ้าก่อน”“หากข้าควบคุมพลังไม่ได้ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร” “เจ้าอย่าเพิ่งกังวลไปเลย พักผ่อนก่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเริ่มฝึกกัน” “ก็ได้ๆ ว่าแต่เจ้าเถอะ เป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บหรือไม่”“ข้าไม่เป็นไร ที่หอเหม่ยลี่ ตอนกำลังจะถูกแส้ของนาง จู่ๆ ข้าก็เรียกพัดเวทย์ออกมาปัดแส้ไว้ได้ทัน แต่พลังก็ยังคงอ่อนอยู่” “แต่เจ้าก็ไม่ได้อ่อนแรงแล้วนี่ แสดงว่าพลังวิญญาณเจ้าเริ่มฟื้นขึ้นมาทีละน้อยแล้ว เจ้าเองก็ต้องฝึกฝนด้วยเช่นกัน” “คงต้องเป็นอย่างนั้น อากาศเริ่มเย็นแล้ว ใส่เสื้อเถอะ มา ข้าช่วย” ว่าแล้วบุรุษเซียนก็คว้าเสื้อของตนเองมาถือไว้ในมือ รอกระทั่งอีกฝ่ายหยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้ว จึงค่อยๆ สวมให้“เสื้อเจ้าขาดหมดแล้ว ใส่เสื้อข้าไปก่อนนะ” “ขอบคุณ” อู๋เหริ่นชวนไม่เอ่ยเปล่า ชำเลืองมองเสี้ยวหน้าคมคายของคนกำลังสวมเสื้อให้แน่วนิ่ง เพีย
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ค่ายกลในเจดีย์ก็พลันหยุดทำงาน พร้อมๆ กับคนจากเผ่ามนุษย์คนสุดท้าย จบชีวิตลง ภายใต้คมกระบี่กรีดฟ้าเช่นกัน“เอาล่ะ ไม่มีผู้ใดรบกวนท่านแล้ว ซ้ำค่ายกลก็หยุดทำงานแล้ว เรามาคัดคัมภีร์กันเถอะ”หลัวจุ้นซินเสกกระดาษ พู่กัน และหมึกออกมาจากทั้งสองมือ ทั้งยังเสกโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้ขึ้นมาด้วยอู๋เหริ่นชวนยิ้มน้อยๆ หัวเราะเบาๆ ยามหย่อนกายลงบนเก้าอี้ ถือพู่กันไว้ในมือ จรดลงกับกระดาษนิ่งนึกอยู่ครู่ก็เขียนตัวอักษรลงไปเพียงอักษรตัวแรกปรากฏบนกระดาษ ปลายกระบี่กรีดฟ้าก็พุ่งมาพาดบนคอของประมุขน้อยหนุ่ม“ท่านจะทำอะไร”“ข้าต้องแน่ใจสิว่า เจ้าจะไม่แพร่งพรายเนื้อหาในคัมภีร์แก่ผู้อื่นอีก”“ท่านไม่ต้องห่วงหรอก หากข้าให้คัมภีร์แก่ท่านแล้ว ข้าจะฆ่าตัวตายเอง เก็บกระบี่ของท่านเสียก่อนเถิด หากข้าตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ เขียนข้อความผิดขึ้นมาจะทำอย่างไร”นั่นละ หลัวจุ้นซินจึงต้องสอดกระบี่เก็็บ็บเข้าฝักประมุขน้อยหนุ่มจึงจรดพู่กันเขียนข้อความต่อไป บทแล้วบทเล่า ยื้อเวลาให้ถึงยามห้าย การคัดคัมภีร์จึงเสร็จสิ้นลง“เอาล่ะ ข้าคัดเสร็จแล้ว เชิญท่านฝึกวิชาในคัมภีร์บทนี้ได้เลย”หลัวจุ้นซินรับกระดาษมากมายม
“ที่ทุกท่านมาถึงเขาเซียนกู่แห่งนี้ คงเพราะเห็นข้ากลายร่างเป็นวิหคโลหิตในวันรับตำแหน่งของท่านประมุขหลัว หลายท่านคงมาเพราะคัมภีร์มหาเวทย์ในหัวข้า ข้าคิดใคร่ครวญมาตลอดทั้งคืนแล้ว ว่าควรจะให้คัมภีร์แก่ใครดี แล้วข้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า ในฐานะที่ประมุขหลัวจุ้นซิน เป็นประมุขเผ่าเซียน เขาสมควรได้รับคัมภีร์มหาเวทย์นี้”สิ้นคำประกาศก้องนั้น เซียนยุทธทั้งหลายดูจะไม่ประหลาดใจสักเท่าไหร่ตรงกันข้ามกับคนเผ่ามนุษย์ที่ต่างมองหน้ากัน สนทนากันเบาๆ สีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้ง“คัมภีร์มหาเวทย์เป็นของเผ่ามนุษย์ เจ้าจะให้คนเผ่าเซียนครอบครองได้อย่างไร” ชายวัยกลางคน หน้ากระดูกจากพรรคหวันซา ต่อว่าขึ้น“นั่นสิ เจ้าควรจะคืนคัมภีร์มหาเวทย์ให้เผ่ามนุษย์ แล้วฆ่าตัวตายไปซะ คัมภีร์จะได้ไม่ตกถึงมือผู้ใดอีก” ชายร่างกำยำ ดวงตาสามเหลี่ยมจากพรรคเหม่ยลี่ต่อว่าขึ้นบ้าง“ใช่ๆ” คนของแคว้นไป่ลี่เองก็เห็นด้วยกับคนเผ่าเดียวกันเช่นกัน“ข้าตัดสินใจแล้ว หากข้าไม่มอบคัมภีร์ให้ประมุขหลัว ท่านว่าจะเป็นเช่นไร ข้าเป็นคนเผ่ามาร ย่อมไม่อยากให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างเผ่ามารกับเผ่าเซียนอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน แต่คัมภีร์
“ยามนี้คงไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าคัมภีร์มหาเวทย์แล้ว ท่านเจียงเหวินขอรับ ก่อนนักพรตผู้นั้นจะให้ข้าท่องคัมภีร์มหาเวทย์ไว้ แล้วทำลายมันทิ้ง ท่านเคยบอกข้าว่า หากคัมภีร์นี้ตกอยู่ในมือของคนชั่วช้า ใจอัมหิต ยุทธภพ หรือแม้แต่เซียนภพย่อมลุกเป็นไฟ ข้าจึงกังวลว่า จะทำเช่นไรดี จึงจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น หากข้าให้ท่านประมุขจุ้นซินได้คัมภีร์ไปก่อนผู้อื่น เจ้าสำนักอื่นๆ ย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ท่านว่า ข้าควรทำเช่นไรดีขอรับ แม้ข้าจะอ่อนอาวุโส ทั้งยังไร้ฝีมือ แต่ข้าก็ไม่ปรารถนาจะให้สงครามดังเมื่อร้อยปีก่อนเกิดขึ้นอีก”“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”“ขอรับ ข้าไม่เพียงอาศัยคำพูดลอยๆ หลังจากแยกย้ายกันที่เจียงอู่ ข้ามาอยู่ที่เซียนกู่ ตามสัญญาสันติภาพระหว่างสองเผ่า ท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้ว่า หลัวเซียนถูกทำร้ายในงานวันประลองยุทธของสำนักเซียนเอง ข้าจึงต้องพาเขาหลบหนีไปยังเผ่ามนุษย์ นึกไม่ถึงเลยว่า จะพบนักพรตท่านนั้น และได้คัมภีร์มหาเวทย์มา นับจากนั้น พรรคหวันซา พรรคเหมยลี่ คนของแคว้นไป่ลี่ก็ล้วนแล้วแต่ตามล่าข้ากับหลัวเซียนเพื่อสิ่งนี้ ที่พวกเขามายังเซียนกู่ ก็คงเพื่อแย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ ยามนี้ ดูท่าแล้ว ปร
ขณะเดียวกัน หลัวจุ้นซินเองก็กำลังจับจ้องเจดีย์ขังมารในอุ้งมือด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม อยากรู้นักว่าป่านนี้ ศิษย์พี่ของเขาจะมีสภาพเป็นเช่นไรแล้ว บอกตนเองเช่นนั้นแล้ว ประมุขเผ่าเซียนก็ร่ายคาถาตามที่ได้รับสืบทอดมาจากท่านอาจารย์ “...เทียน ชื่อเต้า ตี้ชื่อเต้า หยิน ชื่อเต้า หยาง ชื่อเต้า เก๋ย หว่อ ซื่อ โหยว…” ไม่ว่าจะท่องอีกสักกี่หน ประตูเจดีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก หรือเขาจะจำผิด… ไม่สิ เขาเข้าไปในหอคัมภีร์ คัดลอกคาถาบทนั้นด้วยลายมือตนเอง จะผิดพลาดได้อย่างไร เช่นนี้แล้ว หากหลัวเซียนตายไปแล้ว เขาจะเข้าไปดูดซับเอาปราณเซียนได้อย่างไร เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขา ด้วยเรื่องบัดซบเช่นนี้ได้ ขณะเดียวกัน หลัวเซียนปรือตาขึ้นช้าๆ พบว่า รอบกายของเขายังคงว่างเปล่า แสงจากตะเกียงจุดสว่างจากทุกมุมภายในเจดีย์ บอกให้รู้ว่า บัดนี้กลไกต่างๆ ได้หยุดทำงานแล้ว เมื่อหยัดกายลุกขึ้น จึงไม่มีพลังเวทย์วารีพุ่งเข้ามาทำร้ายเขาอีก พลันบุรุษเซียนก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอขึ้นน้อยๆ เมื่อพบเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งปรากฎขึ้นตรงหน้าจากเลือนราง ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ที่น่าประหลาดก็คือ หางเป
“มีสิ อันที่จริง ข้าก็มิได้ห่วงใยเขาเท่าไหร่หรอก เพียงเวทนาที่เขาดวงตาพิการเท่านั้น เรื่องคัมภีร์มหาเวทย์ ข้าให้ท่านได้อยู่แล้ว จะว่าไปข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร สู้ให้คนที่คู่ควรยังดีซะกว่า ส่วนศิษย์พี่ของท่าน ท่านอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ข้าจะไม่ยุ่ง” “ไม่คิดว่า ประมุขน้อยจะเฉลียวฉลาด รู้จักรักษาตัวรอดเช่นนี้”“แน่อยู่แล้ว ชีวิตน้อยๆ ของข้าเพิ่งจะลืมตาดูโลกได้เพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ใครเล่าจะอยากตายก่อนวัยอันสมควร ขอเพียงท่านดูแลข้าเป็นอย่างดี ระหว่างที่ข้าอยู่บนเขาเซียนกู่ คัมภีร์มหาเวทย์ก็จะตกเป็นของท่านทันที”แม้จะระแวงอู๋เหริ่นชวนอยู่ แต่ความอยากได้คัมภีร์มหาเวทย์นั้นมีมากกว่า เมื่อเดินทางมาถึงเขาเซียนกู่ เขาจึงจัดให้ประมุขน้อยหนุ่มพักที่เรือนรับรอง มีการเฝ้ายามแน่นหนา ป้องกันมิให้เซียนยุทธ ชาวยุทธทั่วหล้าเข้ามาช่วงชิงคัมภีร์มหาเวทย์ได้ทว่าสำหรับหลัวเซียนกลับตรงกันข้าม เพียงเดินทางมาถึงก็ถูกจำขังในเจดีย์ขังมารเจดีย์ขังมารเป็นเจดีย์เจ็ดชั้น หลังคาทรงเก๋งจีน ลดหลั่นกันลงมา สามารถเพิ่มลดขนาดได้ตามใจผู้ใช้ ถือเป็นของวิเศษประจำเผ่าเซียนเลยก็ว่าได้ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้าง ชั้นล่า
พร้อมกับคำพูดนั้นของหลัวเซียน หูซื่อเยว่ อู๋หมิ่นเยี่ยนก็เดินเข้ามาสมทบ “ศิษย์พี่ สหายหู ท่านได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”อู๋หมิ่นเยี่ยนพยักหน้าแทนคำตอบ “ท่านประมุขโปรดวางใจเถอะ ข้าจะไม่ปล่อยให้สหายอู๋กับจิ้งเทียนได้รับอันตรายอย่างแน่นอน” หูซื่อเยว่ให้คำมั่น เห็นเซียนกระบี่อาวุโสยื่นมือเข้าช่วยอีกแรงแล้ว อู๋ลี่หมิงก็ค่อยวางใจ เมื่อเตรียมการรับมือไว้แล้ว ประมุขอู๋ลี่หมิงจึงมิได้ประหลาดใจกับการมาของหลัวจุ้นซินเลยแม้แต่น้อย แม้จะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาก่อนก็ตามขณะที่หลัวเซียนเอง ยังคงแสร้งตาบอดต่อไป เพื่อลอบดูท่าทีของศิษย์น้องเช่นกันดูเหมือนยามนี้ ท่าทีของหลัวจุ้นซินจะเต็มไปด้วยการเสแสร้งเสียมากกว่าจริงใจ “ข้านึกอยู่แล้วว่า ท่านประมุขจะต้องยึดถือคุณธรรมเป็นที่ตั้ง ยอมมอบตัวศิษย์พี่กับประมุขน้อยให้ชาวยุทธทั้งสามเผ่าแต่โดยดี ท่านโปรดวางใจเถอะ อย่างไร ข้าจะต้องสืบสวนเรื่องนี้ คืนความเป็นธรรมให้ประมุขน้อยอย่างแน่นอน” ดูเหมือนหลัวจุ้นซินผู้นี้ จะมิได้พูดถึงความเป็นธรรมของศิษย์พี่ตนเลยแม้แต่การเสแสร้งก็ไม่อาจละเว้นหลัวเซียนได้เลยจริงๆ สายตายามลอบมองมาทางหลัวเซียนรึก็เต็มไปด้วยความสาสมใจ
ขณะที่การประชุมกำลังดำเนินไปนั่นเอง ชาวยุทธกลุ่มหนึ่งจากเผ่ามนุษย์ก็ถูกเชื้อเชิญเข้ามา“คารวะท่านประมุข” บุรุษวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายนักพรต เรือนผมแซมหงอก หนวดเครายาว ดวงตาสามเหลี่ยม ประสานมือคารวะนอบน้อม เบื้องหลังของเขา มีชาวยุทธแต่งกายแตกต่าง บ่งบอกว่ามาจากต่างสำนักยืนแถวตอนเรียงสี่เป็นระเบียบ ทำการคารวะ ค้อมกายเล็กน้อย ในลักษณะเดียวกันเมื่อมีผู้มาเยือนมากมายเช่นนี้ โถงรับรองของตำหนักหวงหลัน จึงดูแคบไปถนัดตา“ทุกท่านคงมาจากต่างสำนักกันใช่หรือไม่” หลัวจุ้นซินแย้มริมฝีปากน้อยๆ เลื่อนสายตาจ้องหน้าผู้มาเยือนด้วยไมตรี“ขอรับ ข้าได้รับประกาศจากท่านประมุขแล้ว จึงเห็นว่า ควรนำผู้ได้รับความเดือดร้อนจากหลัวเซียน และอู๋เหริ่นชวนมาที่นี่”“เดือดร้อนหรือ… ไม่ทราบว่าทุกท่านได้รับความเดือดร้อนเรื่องใดกัน”“หลายเดือนก่อน หลัวเซียนและประมุขน้อยพรรคมารได้หลบหนีเข้าไปในเผ่ามนุษย์ แย่งชิงคัมภีร์มหาเวทย์ คัมภีร์สำคัญของเผ่ามนุษย์ไป”“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ” หลัวจุ้นซินถึงกับผุดลุกจากเก้าอี้ นึกไม่ถึงเลยว่าอะไรๆ จะมาบรรจบกันอย่างประจวบเหมาะเช่นนี้ อย่างน้อยก็มีศัตรูของหลัวเซ
เพิ่งรู้ว่า บุรุษเซียนคนเดิมผู้มิใช่หนุ่มน้อยอ่อนแอในโอวาทของเขาคืนกลับมาแล้วก็ในยามนี้เอง ความตระหนกพาให้ประมุขน้อยหนุ่มเบิกตากว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง เป็นโอกาสให้คนตรงหน้าสอดปลายสัมผัสเข้าไปลิ้มรสความหอมหวานจากโพรงปากเล็กกว่าเสียอีก คนถูกรุกแบบไม่ทันตั้งตัวจึงเผลอครางแผ่วอย่างพออกพอใจ รอให้อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว จึงเอาคืนด้วยการยื่นหน้าเข้าไปขบเม้มตรงติ่งหูของอีกฝ่ายเบาๆ “พอเถอะ” หลัวเซียนร้องห้ามเสียงสั่น แทนที่จะห้ามอีกฝ่ายไม่ให้รุกคืบหนักข้อเข้า กลับเป็นการเชิญชวนเสียนี่ “เสี่ยวชวน”“อะไร” ประมุขน้อยหนุ่มงึมงำ ลากเลื่อนเรียวลิ้นลงมาวนเวียนตรงลำคอของเขาอย่างเอาใจ “เดี๋ยวผู้อื่นมาเห็นเข้า” แทนที่จะหยุด ประมุขน้อยหนุ่มเพียงกะพริบตา ประตูห้องยาก็ปิด ซ้ำยังลงกลอนเอง ไม่เพียงเท่านั้น เขายังพลิกฝ่ามือร่ายอาคมกำกับไว้อีกต่างหาก “เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว ต่อให้เจ้าร้องดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยินด้วย” อู๋เหริ่นชวนยิ้มยั่วเย้า คิดจะแกล้งอีกฝ่ายเล่นเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่า เพียงหลัวเซียนพลิกวาดฝ่ามือในอากาศไม่กี่ครั้ง เสื้อผ้าของประมุขน้อยเช่นเขา จะรูดลงไปกองที่พื้น โดยเจ้าตัวไม่
เงียบ ไร้เสียงตอบกลับมา สังหรณ์ใจแล้วว่า ตนเองคงถูกประมุขน้อยหนุ่มแกล้งเข้าให้แล้ว จึงเดินออกมาจากห้องน้ำ ทั้งที่มีเพียงผ้าเช็ดตัวพันกายท่อนล่าง นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาเรียกหาเมื่อครู่ จะเดินมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลัง พร้อมกับสวมเสื้อตัวใหม่ให้ ผูกสายรัดเอวให้เรียบร้อย แล้วจัดการดึงผ้าเช็ดตัวพันกายออกให้เสียด้วย “เจ้าเอาเสื้อผ้าข้าไปหรือ”“ใช่แล้วจะทำไม ข้าหายไปตั้งหลายวัน ลืมแล้วหรือว่า ใครต้องดูแลเจ้าน่ะ”“เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ เมื่อก่อนเจ้าก็สอนให้ข้าทำโน่นทำนี่เองไม่ใช่หรือ แม้แต่หาอาหาร เจ้าก็ยังให้ข้าเป็นคนไปหามาให้เจ้ากินเลย” นึกถึงการใช้ชีวิตระหกระเหิน ไม่รู้เหนือใต้กลางป่าเขาแล้ว หลัวเซียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตนเองผ่านมันมาได้อย่างไร วันใดสมาธิไม่มั่นคง ดวงตาที่สามปรากฎภาพไม่ชัดเจน เมื่อต้องออกหาอาหารเพียงลำพัง บ่อยครั้งมีสะดุดรากไม้ล้มหน้าคะมำบ้าง ยามหาผลไม้ ถูกมดแดงรุมกัดตามเนื้อตัวบ้าง แต่เขาก็ผ่านมันมาได้ โดยไม่เคยปริปากบอกแก่อู๋เหริ่นชวนเลยแม้แต่คำเดียว เพราะรู้ว่ายามนั้น ประมุขน้อยหนุ่มเองก็ไม่ต่างจากเขา คนหนึ่งพลังวิญญาณน้อยนิดจนแทบสูญสิ้น ซ้ำยังตาบอดสนิทอี